คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Vol. 2 - Why did you do that to me?
Why did you do that to me?
Vol. 2
หลังแจกแจงรายละเอียดยิบย่อยอื่นๆ เป็นที่เรียบร้อยเวอกัสก็จบการประชุม และอนุญาตให้ทุกคนกลับไปเก็บข้าวของส่วนตัวที่บ้าน เพื่อโยกย้ายมาพักอาศัยอยู่ที่กองทัพ แต่สำหรับผมที่อาศัยอยู่ในกองทัพอยู่แล้ว จึงทำเพียงเก็บของไปไว้ในที่ที่เตรียมให้เท่านั้น
ผมยกแขนข้างซ้ายที่สวมสายรัดข้อมือไว้ขึ้นมา ให้เครื่องสแกนตรวจจับเพื่อเปิดประตูเข้าไปด้านใน สายรัดข้อมือนี้ทำจากโลหะชนิดอ่อน ยืดหยุ่นตามข้อมือของผู้สวม ทำงานโดยตรวจจับกับชิพที่ถูกฝังอยู่ในข้อมือด้านซ้าย
ปริภูมิแจกสายรัดข้อมือนี้ให้หน่วยพิเศษทุกคนในระหว่างการประชุม อุปกรณ์นี้สามารถทำให้สมาชิกในทีมติดต่อสื่อสารกันได้ รู้พิกัดตำแหน่งของคนอื่นๆ มีปุ่มขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน รวมทั้งยังสามารถแจ้งสถานะเป็นหรือตายของสมาชิกทีมได้ด้วย
ที่สำคัญ เมื่อสวมสิ่งนี้เข้ากับข้อมือ ระบบจะอ่านข้อมูลบนชิพแล้วจดจำเจ้าของโดยถาวร หากถูกถอดออก ระบบจะปิดโดยอัตโนมัติ และถ้าหากนำไปสวมเข้ากับข้อมือคนอื่น อุปกรณ์จะทำลายตัวเองทันที จึงเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะเอาวัตถุนี้ไปใช้แสวงหาผลประโยชน์อื่น
มนุษย์โลกขี้หวาดระแวง
ผมหิ้วกระเป๋าสัมภาระที่เพิ่งไปเก็บมาจากห้องพักทหารในกองทัพ เดินไปสุดทางเพื่อขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสอง ไล่อ่านป้ายหน้าประตูจนเจอกับชื่อตนเอง (หรือก็คือ ALIEN) ขนาบข้างด้วยห้องของแพะกับเรเว่น ยกแขนซ้ายส่องกับเครื่องสแกน ก้าวผ่านประตูบานหนาเข้าไปด้านใน
ดูดีกว่าห้องพักเดิมที่ผมอาศัยอยู่หลายเท่าตัว ห้องกว้างขวางมีพื้นที่ให้ใช้สอยได้โดยไม่รู้สึกอึดอัด การออกแบบล้ำสมัย แต่บรรยากาศดูมืดทึมไปหน่อย ผมเปิดไฟจนครบทุกดวง แตะนิ้วเข้าที่ผนังห้อง ไทเทเนียมอัลลอยด์? อยากรู้จริงว่าคนออกแบบมันวางแผนอะไรอยู่ ถึงต้องประกอบฐานทัพด้วยวัสดุชนิดเดียวกับที่ใช้สร้างยานอวกาศ
หลังเก็บข้าวของเสร็จ ผมตัดสินใจออกจากห้องไปสำรวจสถานที่อื่นๆ ในฐานทัพ ไม่มีใครอยู่ที่นี่ ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปเก็บของที่บ้านตามระยะเวลาที่กันหนด ยกเว้นแพะที่ถูกส่งไปทำภารกิจด่วนก่อน
หากเมื่อมองผ่านระเบียงระหว่างชั้นลงไปที่ล๊อบบี้ กลับเห็นร่างของเด็กสาวคนหนึ่งเดินเล่นอยู่...รีน่ายังคงอยู่ที่นี่ เธอไม่ได้กลับไปที่บ้านเหมือนคนอื่นๆ
ผมลงลิฟต์ไปที่ชั้นล๊อบบี้ รีน่าสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอื่นนอกจากตนเอง เธอเหลียวหน้ามามองผม ท่าทางไม่แน่ใจว่าควรจะทักทายผมก่อนดีหรือไม่
“ไม่กลับบ้านเหรอ” จะว่าไป นี่ก็เป็นครั้งแรกบนโลกมนุษย์ที่ผมออกปากชวนคนอื่นคุยก่อน บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอ...ไม่ใช่มนุษย์เหมือนผมก็ได้ล่ะมั้ง?
“อื้ม หนูหนีออกมาจากที่นั่นเองนี่นา กลับไปไม่ได้หรอก...” ผมพินิจมองเรือนผมสีน้ำเงินยาวประบ่าของเด็กสาว ดูอ่อนนุ่มราวกับเป็นเส้นผมของมนุษย์จริงๆ รวมถึงการแสดงออกทางสีหน้า ดวงตาสีแดงสดที่กำลังประกายแววเหงาหงอย ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นการสังคราะห์สร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีของมนุษย์ “...เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
เสียงทักทำให้เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอจ้องหน้าเธอนานเกินไป ผมเสสายตามองไปทางอื่น “ไม่มีอะไร”
“แล้วนายไม่กลับบ้านเหรอ”
“กลับไปไม่ได้เหมือนกัน”
“ทำไมล่ะ หนีออกมาเหมือนกันหรือเปล่า” ลักษณะที่เหมือนมนุษย์โลกอีกประการคือช่างสงสัย ไม่เคยมีวันใดที่มนุษย์โลกจะดำรงอยู่ได้โดยปราศจากคำถาม
“เปล่า...พอดีมัน มีปัญหานิดหน่อย” หลายวันบนโลกมนุษย์ ผมสังเกตเวอกัสจนได้เรียนรู้ถึงวิธีการหลีกเลี่ยงคำถามที่ดูท่าว่าจะต้องเสียเวลาอธิบายยืดยาว แน่นอนว่ามันช่วยประหยัดพลังงานไปได้มากจริงๆ
รีน่าเรียกผมว่าเอเลี่ยนแต่ดูท่าเธอจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมมาจากนอกโลก ถ้าไม่เลี่ยงการตอบคำถามตั้งแต่ตอนนี้ บางทีอาจจะต้องตอบยาวไปถึงคำถามที่ว่าเผ่าพันธุ์ของผมกินอะไรเป็นอาหารเลยก็ได้
“เหรอ...ถ้างั้นขอให้ได้กลับบ้านเร็วๆ นะ” ในที่สุดเธอก็แย้มรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มไร้เดียงสาแสดงออกถึงความสนิทใจ
............
บางที...นี่อาจจะเป็นสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าเพื่อนก็ได้?
วันที่ 7 พฤษภาคม, เวลา 8.55 น.
ผู้ส่ง: เวอกัส
เนื้อหา: ประชุมด่วน เก้าโมง ที่ห้องประชุมในฐานทัพ”
ผมอ่านรายละเอียดบนหน้าจอโฮโลแกรมที่ฉายจากสายรัดข้อมือ นัดก่อนเวลาห้านาที... สมกับที่บอกว่าด่วน เวลานี้เป็นเวลาที่ผมกำลังเตรียมตัวออกจากฐานทัพไปทำงานที่ศูนย์บัญชาการ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่าวันนี้เป็นวันหยุด
ไวเท่าความคิด ประตูรั้วด้านหน้าก็พลันเลื่อนเปิดออกพร้อมร่างของเจ้าของข้อความ เขามองหน้าผมเล็กน้อย “ได้ข้อความแล้วใช่ไหม”
“ครับ”
ชายหนุ่มเดินนำเข้าไปในห้องประชุม ย่อตัวนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนสอดชิพขนาดเล็กเข้าไป เคาะนิ้วบนกระจกเรียกให้หน้าจอโฮโลแกรมจำนวนหนึ่งขึ้นมาฉายตรงกลางโต๊ะกลม
ผมนั่งถัดจากเวอกัส จังหวะเดียวกับที่มิคัง รีน่า และคาเดียเปิดประตูเข้ามาในห้อง ไม่มีเรเว่น ผมเดาว่าเขาโดด
“ขอโทษที่ต้องเรียกมาด่วน” ชายหนุ่มกล่าวเมื่อทุกคนนั่งประจำที่ “ฉันมีภารกิจมาให้พวกเธอทำ”
เวอกัสเลือกหน้าจอโฮโลแกรมหนึ่งขึ้นมาฉาย มันเป็นวิดีโอคลิปถ่ายให้เห็นลำแสงสีม่วงขนาดใหญ่ พุ่งตรงจากยอดเขาสู่ท้องฟ้า สภาพอากาศโดยรอบเลวร้าย มีทั้งพายุหิมะและดินโคลนถล่ม
“ลำแสงประหลาดนี้เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนที่ยอดเขาพัมพ์กินส์ บริเวณชานเมืองเวสเทิร์นฟอร์ด ประชาชนตื่นตระหนกว่านี่อาจจะเป็นเวทต้องห้ามของทางฝ่ายแฟนตาเซีย อีกทั้งบริเวณเทือกเขายังปกคลุมไปด้วยพลังงานบางอย่างทำให้ไม่สามารถขับพาหนะทุกชนิดขึ้นไปได้ ฉันจึงอยากให้รีน่าไปตรวจสอบสาเหตุของลำแสงประหลาดนั่น”
“หนูคนเดียวเหรอคะ?” รีน่าถามด้วยความตกใจเมื่อได้ยินชื่อตนเอง
“ใช่ เธอคนเดียว” เวอกัสตอบ ปาดนิ้วเบาๆ บนกระจก บังคับให้หน้าต่างบนจอนั้นเลื่อนเข้าไปหารีน่า ก่อนมันจะไปฉายขึ้นบนจอโฮโลแกรมเหนือสายรัดข้อมือของเธอแทน
ให้รีน่าไปทำภารกิจแบบนั้นคนเดียว? ชายคนนี้คิดอะไรอยู่ ถึงร่างกายเธอจะเป็นหุ่นยนต์ แต่ความคิดของเธอไม่ต่างอะไรกับเด็กผู้หญิงอายุสิบหกคนหนึ่ง เธอแทบไม่เคยจับอาวุธต่อสู้ด้วยซ้ำ
“ขออนุญาตค่ะ” มิคังพลันแทรกขึ้นมาอย่างสุภาพ
“เชิญครับ” เวอกัสรับคำ เบือนสายตาไปสบกับหญิงสาวที่มีท่าทีไม่ค่อยพอใจ
“นี่คุณคิดจะส่งเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ไปปีนยอดเขาฝ่าพายุหิมะแบบนั้นคนเดียวหรือคะ?” ผมนึกขอบคุณเธอที่พูดแทนสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ตอนนี้
“เข้าใจถูกแล้วครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม
“ฉันขอคัดค้านค่ะ ฉันเกรงว่าภารกิจนี้จะหนักเกินไปสำหรับ...”
“ผมว่าคุณคงจะลืมอะไรไปนะ” เวอกัสเอ่ยขัดเสียงเย็นทั้งที่มุมปากยังคงยกยิ้ม “หน้าที่ของคุณคือทำตามคำสั่ง ไม่ใช่คัดค้าน”
จบประโยค หญิงสาวพลันผุดลุกขึ้นยืน ดวงตาสีฟ้าคมกริบประกายแววดุร้าย มือเรียวทาบไว้ที่ด้ามดาบคล้ายว่าจะชักออกมาฟันคอเวอกัสได้ทุกเมื่อ
ด้วยหน้าที่ทำให้ผมต้องลุกขึ้นแตะปืนที่เหน็บเอวไว้ เตรียมป้องกันผู้บัญชาการเช่นกัน ถึงใจจริงจะรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของมิคังก็ตามที
“ไม่เป็นไรค่ะคุณน้ามิคัง หนูจะทำภารกิจนี้ค่ะ” รีน่ารีบเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นบรรยากาศคุกกรุ่นในห้องประชุม พอได้ยินรีน่าพูดด้วยความมุ่งมั่นแบบนั้นผมก็คลายความกังวลลงไปได้นิดหน่อย มิคังเองก็ยอมปล่อยมือออกจากดาบและนั่งลง หากดวงตายังคงจ้องเขม็งมาที่ชายหนุ่ม
“ไม่ต้องสนใจคนอื่นหรอกครับ คุณเองก็มีภารกิจที่ต้องทำเช่นกัน” ผู้บัญชาการเอ่ยด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน นิ้วเคาะเปิดจอใหม่ขึ้นมา...ภาพผู้คนแต่งตัวลักษณะคล้ายชนเผ่าโบราณ กำลังพากันเดินอพยพอยู่กลางทุ่งหิมะ “ที่ชายแดนน้ำแข็งบริเวณเขตศูนย์ ใกล้กับเมืองมิดเวย์ มีชนเผ่านี้อาศัยอยู่และได้ติดต่อค้าขายกับประเทศเรามาเป็นเวลานาน เมื่อวานนี้ได้รับแจ้งมาว่า พวกเขากำลังอพยพหนีความหนาวเข้ามาในเมืองมิดเวย์ แต่สถานที่บริเวณนั้นแออัดไปด้วยผู้คนอยู่แล้ว จึงอยากให้ไปเจรจาเพื่อให้ชนเผ่าเดินทางไปยังสถานีอพยพที่ตั้งอยู่ในเขตสอง”
เขาปาดนิ้วบนกระจกอีกครั้ง และผลักหน้าจอนั้นเข้าไปที่มิคัง “ผมมอบหมายภารกิจนี้ให้คุณ รายละเอียดอื่นๆ อยู่ในนั้นแล้ว”
หญิงสาวไม่ได้ตอบรับ เวอกัสจึงเปิดหน้าจอภารกิจต่อไป เผยให้เห็นรูปวัตถุทรงกลมขนาดเล็กสีดำสนิท ผมทบทวนความทรงจำ สิ่งนี้น่าจะเรียกว่าไข่มุก
“ไข่มุกที่เก็บได้จากหมู่บ้านเพิร์ลกลายเป็นสีดำสนิทเหมือนมีเวทมนตร์ชั่วร้ายเคลือบอยู่ ประชาชนที่นั่นบอกว่าอาจจะเป็นเกิดการเปลี่ยนแปลงใต้ทะเลลึก เครื่องจักรที่ใช้เก็บไข่มุกเหล่านั้นก็เหมือนถูกย้อมด้วยพลังอำนาจบางอย่างให้กลายเป็นสีดำสนิท แม้ว่าจะสามารถซ่อมแซมได้ แต่ดูเหมือนคราบสีดำจะไม่หายไป...” ชายหนุ่มผลักหน้าต่างบานนั้นไปยังเด็กสาวผมสีดำสนิทที่นั่งหาววอดๆ อยู่ “ฉันอยากให้คาร์เดียที่เกิดที่นั่นเป็นคนไปตรวจสอบหาสาเหตุ”
“คะ?” ดูเหมือนเธอแทบไม่ได้ฟังที่เวอกัสพูดเมื่อครู่นี้เลยด้วยซ้ำ
“ถึงจะเป็นงานง่ายๆ ไม่เร่งด่วน แต่ก็อย่าใช้เวลานานมากนักแล้วกัน” เวอกัสกำชับ คาร์เดียทำเพียงนิ่งเงียบ ความง่วงคงจะทำให้เธอขี้เกียจซักถามนู่นนี่ตามนิสัย
“สุดท้าย เจ้าเอเลี่ยน” คราวนี้ชายหนุ่มหันมาที่ผม “เคยดูการ์ตูนเรื่อง Despicable Me ไหม”
“...ไม่เคยครับ” เวอกัสไม่ได้เปิดหน้าจอภารกิจขึ้นมาเหมือนคนอื่นๆ แต่กลับเสิร์ชชื่อการ์ตูนเรื่องดังกล่าว เรียกรูปภาพหนึ่งขึ้นมาฉายแทน
ตัวประหลาดสีเหลือง ร่างป้อมเตี้ยขาสั้น ดวงตาโตแปลกประหลาด หน้าตาดูโง่เง่าชอบกล แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม?
“สิ่งที่นายต้องไปสู้ด้วย เหมือนกับไอ้ ‘มิเนี่ยน’ พวกนี้เลยล่ะ”
............
ฉากประชุมในมุมมิคัง - http://my.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1153886&chapter=6
ฉากประชุมในมุมรีน่า - http://writer.dek-d.com/envymusaki/writer/viewlongc.php?id=1153887&chapter=7
‘ภารกิจที่หนึ่ง
เมื่อสองวันก่อนเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ Farrest Town ตรวจพบกองทัพมอนสเตอร์ประหลาด กำลังขยายอาณาเขตเข้ามายังอาณาจักร จึงอยากให้หน่วยพิเศษ ‘ALIEN’ ออกไปทำการกำจัดกองทัพมอนสเตอร์นั้น’
ในการ์ตูนก็ออกจะดูไร้พิษภัย ทำไมถึงต้องไปกำจัดมันด้วยล่ะนั่น?
ผมย้อนอ่านรายละเอียดภารกิจบนหน้าจอโฮโลแกรมที่ฉายจากสายรัดข้อมือ ยานบินส่งผมมาที่เนินเขาแห่งหนึ่งภายในเมือง Farrest Town เขตนี้เป็นเขตที่มีป่าไม้มากที่สุดในประเทศ บรรยากาศเงียบสงบเสียจนเหมือนเป็นคนละโลกกับในกองทัพ สิ่งก่อสร้างรูปทรงทันสมัยต่างตั้งกระจายห่างกันระยะหลายไมล์ เมื่อหันไปทางทิศใต้ก็เห็นโบสถ์ของรีน่าตั้งอยู่ไกลๆ บนเนินเขา เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมเพิ่งเดินทางมารับเธอไปจากที่นี่ พอนึกถึงอุปสรรคที่เธอต้องไปเผชิญแล้วก็อดจะเป็นห่วงขึ้นมาลึกๆ ไม่ได้
ผมใช้วิธีเดินเท้าฝ่าแนวป่าไปตามแผนที่บนจอโฮโลแกรม ปุ่มสีแดงระบุว่ามันอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่สิบไมล์ หากเดินไปได้เพียงไม่กี่นาทีปลายเท้าก็เริ่มรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้นดิน บ่งบอกว่ากำลังมี ‘กองทัพ’ อะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ไม่ไกลออกไป มาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ
ผมหยุดนิ่งเพื่อสดับฟัง ปุ่มสีแดงกะพริบถี่ขึ้นเรื่อยๆ ...คาดว่าน่าจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่าพัน มันกำลังเคลื่อนที่มาทางทิศใต้...
ไม่รู้ว่าจะมีจำนวนมากขนาดนี้...ผมตรวจเช็คอาวุธที่เหน็บอยู่หลังเข็มขัด ปืนเลเซอร์สองกระบอก ปืนพกหนึ่งกระบอก มีดพลาสม่า และระเบิดอีกสามลูก ดูจากหน้าตาโง่เง่าในหนังแล้วคิดว่าคงไม่มีพิษภัยอะไรมากจึงไม่ได้สวมเสื้อเกราะมาด้วย
แรงสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ปุ่มสีแดงแทบจะกลายเป็นปุ่มเดียวกับตำแหน่งปัจจุบันของผม ถ้าหากไม่ออกไปจากเส้นทางนี้คงจะต้องปะทะเข้ากับพวกมันแน่ รอบด้านก็มีแค่ต้นไม้ ถอยออกไปก็เจอทุ่งราบ ผมตัดสินใจปีนขึ้นไปอยู่บนกิ่งไม้ อาศัยร่มเงาอำพรางตัว ปิดเสียงสัญญาณเตือนทุกชนิดของสายรัดข้อมือ เฝ้ารอเวลาให้พวกมันผ่านมาทางนี้
เพียงอึดใจเดียว กองทัพมอนสเตอร์ก็ปรากฎกายขึ้นมา...ไม่เห็นเหมือนกับในรูปเลย!
สิ่งมีชีวิตรูปร่างป้อมเตี้ย ผิวหนังสีเขียวตะปุ่มตะป่ำ หน้าตาอัปลักษณ์ ขาและลำตัวสั้น ในขณะที่ศีรษะและดวงตาใหญ่โตผิดสัดส่วน ท่าทางดุร้ายแตกต่างจากการ์ตูนที่เวอกัสเปิดให้ดูลิบลับ พวกมันพูดคุยสนทนาภาษาที่ผมไม่สามารถตีความออก ทยอยเดินเท้าผ่านดงไม้ออกไปยังทุ่งราบ
สำรวจโดยคร่าว อาวุธของพวกมันมีเพียงแค่ขวานและท่อนไม้ น่าจะโจมตีอะไรไม่ได้มาก หากแต่จำนวนของมันมากพอจะถล่มเมืองขนาดกลางสักเมืองได้ คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเจอกับกองทัพใหญ่ขนาดนี้ อาวุธแค่นี้จะไปทำอะไรมันได้?
ผมกดปุ่มบนสายรัดข้อมือเรียกหน้าจอโฮโลแกรมขึ้นมา จับภาพมอนสเตอร์ตรงหน้าก่อนส่งไปให้เวอกัส ไม่ถึงสิบวินาทีก็ได้รับข้อความตอบกลับมา
‘เยียน (Yein) มอนสเตอร์แถบเหนือ อาศัยอยู่ตามเทือกเขา มีความสามารถในการสร้างเครื่องรางแปลกๆ พิสดาร ลักษณะการจู่โจมเป็นหมู่ หากหัวหน้าถูกจู่โจมเสียชีวิต พวกเยียนจะหนีกันอย่างไม่คิดชีวิต ฆ่าหัวหน้ามันให้ได้และกำจัดสถานที่พิธีกรรมที่ใช้สร้างเครื่องรางซะ’
มันคนละรากเหง้ากับมิเนี่ยนเลยนะครับผู้บัญชาการ
‘ตัวธรรมดามีสองตาแต่หัวหน้าจะมีตาเดียว ต้องหาหัวหน้าให้เจอภายในกองทัพนับพัน เพราะงั้น พยายามเข้านะ
อ่านข้อความต่อมา...แล้วรู้สึกอยากจะสบถคำหยาบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาที่โลกมนุษย์...
ทำไมไม่บอกแต่แรกล่ะโว้ย
ผมปิดข้อความ พยายามคิดวิธีการจัดการพวกมันโดยประหยัดพลังงานที่สุด พลางขยับตัวหมายจะเปลี่ยนกิ่งไม้เพื่อให้มองเห็นทัศนียภาพมากขึ้น เผื่อจะฟลุ๊คเจอตัวหัวหน้าวิ่งผ่านมา
หากแต่สิ่งที่ไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
เปลือกไม้หลุดร่วงลงไปด้านล่างจากแรงขยับตัว และดันไปตกใส่หัวเยียนตัวหนึ่งที่กำลังเดินผ่านไป...มันเงยหน้าขึ้นมามองด้านบน สบตากับผมพอดิบดี
...
เอาล่ะ ต่อให้พูดว่า ‘สวัสดีชาวโลก เรามาอย่างเป็นมิตร’ ตอนนี้...ก็คงช่วยอะไรไม่ได้แล้วสินะ?
............
ความคิดเห็น