ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [IRC Project 2.0 beta] Pumpkinz World

    ลำดับตอนที่ #22 : [Side story Vol.3.3] Battle Field Part 3

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 57


    [Side story Vol.3.3] Battle Field Part 3


    “เกิดระเบิดขึ้นที่ฐานของเราครับ!” นายทหารรายงานผลอย่างรวดเร็ว “มีการปนเปื้อนจากสารพิษปะปนลงในน้ำกับอากาศด้วยครับท่าน ผมไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนเสาสัญญาณรับข้อมูลของทางเราจะยังคงใช้ได้อยู่ครับ”

     

    คริสหันมามองนายทหารคนนั้นทันที่ เขากระโจนเข้าไปกระชากคอนายทหารคนนั้นจนทุกคนแตกตื่น

     

    “นายว่ายังไงนะ..”

     

    “ฐานของเรา…”

     

    “หน่วยพิเศษล่ะ.. หน่วยพิเศษที่ไปที่นั่นเป็นยังไงบ้าง” คริสไม่รอให้นายทหารพูดจบเขาก็ยิงคำถามใหม่ทันที นายทหารคนนั้นงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มตรงหน้าที่ดูเยือกเย็นมาตลอดอยู่ดีๆ ก็พุ่งเข้ามากระชากคอเสื้อเขาเสียอย่างนั้น

     

    คริสกำหมัดแน่น ก่อนจะออกมารบในสงครามเขาได้ตรวจสอบข้อมูลของหน่วยพิเศษมาก่อนแล้ว เขารู้ว่าคาร์เดียจะได้รับภารกิจอะไร สิ่งที่เขาทำคืออาสาตนเองออกมาช่วยบัญชาการรบทางน่านน้ำ เป็นเพราะเขารู้ดีว่าหากเขาเสียที่มั่นตรงนี้ไปคาร์เดียที่อยู่ด้านหลังของเขาจะเกิดอันตราย

     

    แต่เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีชาว Fantasia ใจกล้าบ้าบิ่นมาจากไหนก็ไม่รู้บุกเดี่ยวเข้าไปทำลายเสาสัญญาณ

     

    “ตอนนี้...ยังไม่มีรายงานเพิ่มเติมครับ” นายทหารหนุ่มจ้องมองคริสด้วยความกลัว

     

    คริสใช้เวลาพักหนึ่งตั้งสติเล็กน้อย ตอนนี้เขาไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่นใด เพราะอย่างไรก็ตามเขาต้องรักษาที่มั่นตรงนี้เอาไว้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นต่อให้คาร์เดียมีชีวิตรอดกับเหตุการณ์ระเบิดที่ว่า กองเรือของฝ่าย Fantasia ก็คงไม่เก็บเธอเอาไว้ดูเล่นอย่างแน่นอน

     

    คริสเดินกลับไปบนแท่นบัญชาการตามเดิม เขาส่งสัญญาณไปหาอาแปะให้บุกเต็มอัตราศึก

     

    สัญญาณนี้หมายถึงเขาต้องการปิดฉากการสู้รบโดยเร็วที่สุด

     

    คลื่นสัญญาณถูกส่งออกไปยังชั้นบรรยากาศ ยานบินขนาดมหึมากำลังบินวนอยู่บนนั้น มันกำลังรอสัญญาณนี้อยู่พอดี หลังจากที่สัญญาณส่งมาถึง ตัวยานก็ได้ปรับเปลี่ยนวิถีการบินทันที ยานหันมาบินเป็นวงกลมก่อนเปลี่่ยนองศาของยานเล็กน้อยให้หันด้านขวาลงสู่พื้นดิน

     

    เมื่อมองดูแล้ว ยานบินลำนี้ดูเหมือนพยายามจะเปลี่ยนองศาให้ยานตั้งฉากกับพื้น แล้วทันใดนั้นกราบด้านขวาของยานก็เปิดออก ปรากฏปืนใหญ่ยักษ์ตั้งประจำการอยู่ ความใหญ่ยักษ์ของแต่ล่ะกระบอก บ่งบอกได้ถึงพลังทำลายล้างอันสูงส่ง

     

    คริสไม่อยากใช้กลยุทธ์นี้ในการรบเท่าไหร่นัก เพราะนี่เป็นสงครามที่เขาไม่มีทางเลือก เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายนึงก็มีคนที่โดนบังคับเข้าร่วมสงครามเช่นเดียวกัน ความต้องการที่จะฆ่าอีกฝ่ายให้หมดไปไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลยตั้งแต่แรก

     

    แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว คาร์เดียกำลังตกอยู่ในอันตราย และเขาไม่สามารถปลีกตัวไปช่วยเธอได้ หากเขาต้องการทำเช่นนั้น เขาก็ต้องยุติสงครามบ้าๆ นี่เสียที

     

    อาแปะตกใจกับสัญญาณที่ถูกส่งออกมาเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาก็ได้ยินข่าวเรื่องเมืองที่ถูกถล่มเหมือนกัน เขาคิดว่าคนสำคัญของคริสน่าจะอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย เจ้าหนูที่เยือกเย็นมาตลอดถึงได้ตัดสินใจแบบนี้ เขาก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับคริส หากเป็นไปได้ เขาก็อยากลดความเสียหายของสงครามลงให้มากที่สุด

     

    แต่ความคิดของอาแปะก็ต้องหยุดลง เมื่อกระสุนนัดแรกที่ถูกส่งจากฝากฟ้ามาถึง เสียงกัมปนาทดังสนั่นเข้าไปถึงฝั่ง เสียงระเบิดทำให้เกิดชอคเวฟลำลายล้างเรือรบข้างๆ ไปจนหมด

     

    ระเบิดเพียงลูกเดียวก็ทำให้ฝ่าย Fantasia ตกเป็นรองทันที

     

    แต่มันไม่ได้มีเพียงลูกเดียว หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเสียงหวีดหวิวก็ดังขึ้นอีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้ง แล้วก็อีกครั้ง เสียงระเบิดดังสนั่นติดกันไม่หยุดหย่อน แรงระเบิดรุนแรงเสียจนบาเรียสลาย โล่ถูกทำลาย  เมอร์ทักเห็นพลังการทำลายล้างครั้งนี้แล้วถึงกับถอนหายใจ นอกจากบาเรียธาตุที่แข็งแกร่งของเหล่าสภาสูงแล้ว ดูท่าจะไม่มีเกราะกำบังใดๆ ที่สามารถป้องกันลูกระเบิดเหล่านี้ได้แน่นอน

     

    ยานบินที่อยู่บนชั้นบรรยากาศ ยิงกระหน่ำออกมาไม่หยุดยั้ง เรือที่บินวนทำให้รัศมีของการทำลายสามารถควบคุมได้ เหล่ากองเรือของอาแปะไม่ได้รับความเสียหายจากระเบิด อีกทั้งเขายังต้านทัพหน้าของศัตรูเอาไว้ได้อยู่หมัด

     

    ก๊อตซิล่า สัตว์อสูรยักษ์โดนยิงถล่มจนต้องหลบไปใต้น้ำ ไม่แน่ใจว่ากวิ้นจะอยู่ที่นั่นรึเปล่า แต่อาแปะเชื่อว่ากวิ้นจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไปได้แน่นอน

     

    คริสเริ่มใจชื้นขึ้น อย่างน้อยเขาก็สามารถติดต่อกับยานบินที่อยู่บนชั้นบรรยากาศได้ เขารู้ว่าคาร์เดียต้องปกป้องเสาสัญญาณ ซึ่งหากเธอปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จเขาก็จะไม่สามารถติดต่อกับยานบินที่อยู่บนชั้นบรรยากาศได้

     

    เมอร์ทักเห็นสถานการณ์ทั้งหมดเขาจำเป็นต้องสั่งถอยทัพ  หากใช้บาเรียธาตุเข้าช่วยกองทัพของเขาจะกลับมาได้เปรียบอีกครั้ง อย่างไรวันนี้ก็ยังไม่ใช่วันตัดสินว่าใครจะเป็นผู้ชนะในสงคราม ไม่มีสงครามไหนที่รู้ผลภายในวันเดียว ครั้งนี้ก็เช่นกัน

     

    เมอร์ทักตัดสินใจส่งสัญญาณถอยทัพ ก่อนจะเร่งพลังเวทย์ในตัวทั้งหมดเพื่อตัดน้ำทะเลออกจากฝั่ง Metropolis เขาต้องยอมเสียสละเรือกองหน้าด้านซ้ายนั่นไป

     

    เขาไม่ได้เสียดายกองเรือหรือชีวิตผู้คนที่สูญเสียไปในสงครามครั้งนี้ แต่เขารู้สึกเป็นกังวลกับชะตาของชายหนุ่มที่ล่องเรือเล็กไปกับกองเรือด้านซ้ายนั้นด้วย

     

    ไม่ว่าเขาจะได้รับภารกิจอะไรจากเชสเซอร์ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้

     

    เมอร์ทักเพียงภาวนา…

     

    ให้ชายหนุ่มคนนั้นรอดปลอดภัยกลับมา...

     

    ………………………………………………………………….

     

    เวอกัสกำลังเดินเข้าสู่สนามรบ เขาตัดสินใจเปิดระบบกำไลข้อมือเพื่อตรวจสอบว่าหน่วยพิเศษแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง

     

    ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าเอเลี่ยนและคาร์เดียเสียชีวิตแล้ว…

     

    เขาหลับตาลงไว้อาลัยเล็กน้อย แต่หลังจากที่เขาตรวจสอบพบว่าการทำงานของเตาปฏิกรณ์และเสาสัญญาณยังปรกติดีอยู่ แม้ว่าสัญญาณจะอ่อนลงไปบ้างก็ตามที่ ดูเหมือนว่าทั้งสองคนยังมีความหวังที่จะรอดชีวิตอยู่

     

    เอเลี่ยนคือเผ่าพันธุ์เซิร์กที่มาจากดาวเดวาฮาล โครงสร้างร่างกายของเขาแตกต่างจากมนุษย์โลกอยู่แล้ว ระบบการทำงานของเอเลี่ยนอาจจะแปลกพิสดารจนเวอกัสนึกไม่ถึง และอีกอย่าง...เขาไม่คิดว่าเซิร์กจะตายได้ง่ายดายขนาดนั้น

     

    ส่วนคาร์เดีย เขาไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวจะรู้ถึงชาติกำเนิดของตนเองรึยัง แต่ดูเหมือนว่าชาติกำเนิดของเธอจะมาจากทางเหนือ ดินแดนของผู้มีพลังในการรักษา อีกทั้งเธอเป็นหญิงสาวที่มีหัวใจที่ไม่ธรรมดา เขาเชื่อว่าการแสดงผลว่าเธอตายแล้วอาจจะหมายถึงการบาดเจ็บสาหัสก็ได้

     

    อย่างน้อยเขาก็ยังคงมีความหวังอยู่บ้าง เขาสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปเล็กน้อย คนที่ออกคำสั่งให้พวกเขาไปเสี่ยงอันตรายก็เป็นเขาเอง สิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ก็เปรียบเสมือนข้อแก้ตัวที่พูดให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลงเท่านั้น

     

    เพราะเวอกัสไม่มีเวลาไปช่วยใครหน้าไหนทั้งนั้น สงครามของเขาอยู่ตรงหน้าแล้ว

     

    เวอกัสกำลังจะกดปิดการทำงานของกำไลข้อมือ เขาไม่ต้องการรับรู้ว่าจะมีหน่วยพิเศษตกอยู่ในอันตรายอีกกี่คน มันทำให้เขาเสียสมาธิ นิ้วของเขากำลังจะโดนคำสั่งปิดการทำงาน ทันใดนั้นมิคังก็ติดต่อเข้ามาพอดี

     

    เวอกัสขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะกดรับการติดต่อ

     

    “ขอโทษด้วยค่ะ….ฉันทำภารกิจไม่สำเร็จ” มิคังพูดผ่านกำไลมาด้วยเสียงราบเรียบ แต่เวอกัสรู้ดีว่าเธอคงมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก คนอย่างมิคังคงไม่สามารถให้อภัยกับความผิดพลาดของตนเองได้ง่ายๆ แน่นอน

     

    แต่การที่เธอทำภารกิจไม่สำเร็จก็ไม่ทำให้แผนของเขาผิดเพี้ยนไปแต่อย่างใด

     

    “อืม…รีบกลับมารายงานตัว”

     

    “ฉันสามารถเข้าไปทำลายค่ายทหารที่เมือง Hexsenberg ได้ค่ะ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะนำกำลังรบออกไปเศษสามส่วนสี่แล้ว ที่เหลืออยู่ฉันน่าจะจัดการไหว” มิคังพูดเสียงราบเรียบ

     

    เวอกัสรู้ดีว่านั่นเป็นคำโกหก ค่ายทหารเมืองหน้าด่านไม่เคยมีทหารต่ำกว่าครึ่ง กองกำลังที่เมืองนั้นต้องเพียบพร้อมไปด้วยกำลังทหารที่พร้อมจะปลิดชีวิตคนจากฝ่ายของ Metropolis อย่างแน่นอน

     

    ที่มิคังพูดอย่างนั้นเพราะเธอต้องการชดใช้ความผิดที่เธอทำภารกิจไม่สำเร็จ ดูท่านิสัยรับผิดชอบเกินเหตุของเธอก็ส่งผลเสียได้เหมือนกัน

     

    “กลับมาซะคุณมิคัง ที่นั่นไม่มีภารกิจอะไรเหลือให้คุณทำอีกแล้ว”

     

    “ไม่ค่ะ… ฉันคิดว่าฉันสามารถทำลายคะ..”

     

    “อยากจะตายไปอีกคนหรือไง” เวอกัสขึ้นเสียงเล็กน้อย

     

    เขาได้ยินปลายสายอุทานด้วยความสงสัย ก่อนจะเข้าตรวจเช็คข้อมูลในกำไลข้อมือ หลังจากนั้นก็มีแต่ความเงียบ…ดูเหมือนเธอจะรับรู้แล้วว่ามีคนเสียชีวิตในภารกิจครั้งนี้ เวอกัสถอนหายใจก่อนจะเริ่มพูดต่อ

     

    “ดูเหมือนว่าเอเลี่ยนจะทำภารกิจสำเร็จ…วาร์ปยังใช้งานได้” เวอกัสพูดพร้อมกับออกคำสั่งไปที่เตาปฏิกรณ์ส่งประตูมิติไปหามิคัง “คุณกลับมาก่อนจะดีกะ…”

     

    ยังไม่ทันที่เวอกัสจะได้พูดจบ มิคังที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ตรงเข้ามากระชากคอเสื้อเขาเอาไว้ สายตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาคลอหน่วยนั้นดูเคียดแค้นเขาสุดกำลัง

     

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เวอกัสถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้

     

    “คุณปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง!!!” มิคังตวาดลั่น องครักษ์สิบกว่าคนที่อยู่ข้างกายเวอกัสรีบยกปืนขึ้นมาจ่อเล็งไว้ที่มิคังทันที แต่นั่นไม่ได้ทำให้มิคังละความสนใจไปจากชายตรงหน้าแม้แต่น้อย

     

    เวอกัสไม่ตอบคำถาม เขาส่งสัญญาณให้การ์ดที่อยู่รอบตัวเขาลดปืนลง ก่อนจะหันไปตอบมิคังช้าๆ

     

    “เสาสัญญาณที่คาร์เดียป้องกันดูเหมือนจะยังใช้งานได้ เมือง Outpost เพิ่งถูกระเบิดไปได้ไม่นาน ผมแน่ใจว่าหากคุณรีบไปอาจจะพอช่วยอะไรเธอได้บ้าง” เวอกัสกล่าวด้วยน้ำเสียงปรกติ

     

    นั่นเป็นข่าวดี… เธอค่อยๆ คลายมือที่กระชากเสื้อเวอกัสลง

     

    “ผมจะเปิดวาร์ปให้ คุณรีบไปเถอะ” เวอกัสไม่พูดเปล่า เขาส่งสัญญาณเปิดประตูมิติขึ้นที่ด้านหลังของมิคัง

     

    มิคังก้มลงเช็ดน้ำตาเล็กน้อย ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศก หากยังมีความหวังอยู่เธอจะไม่ยอมถอดใจเด็ดขาด

     

    ก่อนที่มิคังจะเดินผ่านประตูมิติเข้าไป เธอก็เพิ่งสังเกตเห็นเหตุการณ์รอบๆ ตัว ก่อนหน้านี้เธอโกรธเวอกัสจนลืมมองสถานการณ์รอบตัวไป

     

    เธอยืนอยู่กลางสงคราม  และเวอกัสกำลังเดินไปที่แนวหน้าของสนามรบ เธอสัมผัสได้ถึงพลังกดดันบางอย่างจากฝั่งตรงข้าม… แม้ว่าเธอจะไม่เคยสู้กับอีกฝ่ายมาก่อน แต่เธอมั่นใจได้เลยว่า แรงกดดันของความตายอันน่าสะอิดสะเอียนนี้มาจากตัวของแดเนียล แม่ทัพแห่ง Fantasia อย่างแน่นอน

     

    แล้วทำไมเวอกัสมาอยู่ที่นี่?

     

    ทำไมเขากำลังเดินเข้าหาความตายด้วยสีหน้าแบบนั้น

     

    ทันใดนั้นมิคังก็คิดได้ นี่ไม่ใช่สนามรบที่เวอกัสบัญชาการ แต่นี่เป็นสุสานที่เขาเตรียมไว้ให้กับตัวเองต่างหาก มิคังพุ่งตัวเข้ามาตบหน้าเวอกัสรุนแรงเสียจนองครักษ์ทำตัวไม่ถูก

     

    “นี่คุณคิดอะไรของคุณอยู่! คิดจะให้การเสียสละของสองคนนั้นสูญเปล่าเหรอไง คุณส่งพวกเขาไปตายแม้แต่ความเสียใจสักนิดก็ยังไม่มี! แล้วนี่จะหนีไปตายเพื่อชดใช้ความผิดงั้นเหรอ?” มิคังตะโกนลั่น “มันไม่มีทางชดใช้กันได้คุณเข้าใจไหม!”

     

    เวอกัสไม่พูดอะไรตอบ เขาไม่รู้สึกเจ็บที่ใบหน้าแม้แต่น้อย ดูเหมือนกระทั่งหัวใจของเขาก็ยังด้านชาไปเสียแล้ว เขายิ้มตอบให้มิคัง มิคังจ้องใบหน้าเขาด้วยความงุนงง เขายิ้มอะไร?

     

    แต่มิคังก็ไม่ได้รับคำตอบนั้น เพราะจังหวะที่มิคังกำลังสงสัย เวอกัสก็ผลักมิคังให้หลุดเข้าไปในประตูมิติสุดแรง

     

    ก่อนที่ประตูมิติจะพาร่างของมิคังไป เธอมองเห็นปากของเวอกัสเริ่มขยับพูด

     

    “อย่าตายไปอีกคนล่ะคุณมิคัง”

     

    แล้วเธอก็หายไปจากสนามรบ

     

    เวอกัสจ้องมองดูร่างของมิคังหายไป เขาก้มลงปิดการทำงานของกำไลข้อมือทิ้ง ต่อแต่นี้แผนการของเขาจะต้องไม่ผิดพลาดหรือถูกรบกวนได้โดยเด็ดขาด เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้อาจจะเป็นตัวตัดสินถึงชะตากรรมของฝ่าย Metropolis

     

    เวอกัสและองครักษ์อีกสิบนายเริ่มเดินเข้าสู่สงครามอีกครั้ง

     

    ………………………………………………………………….

     

    เพลกบังคับทิศทางเรือเล็กให้ล่องเข้าประชิดเรือธงช้าๆ แน่นอนว่าเรือลำนี้เล็กพอๆ กับเรือชูชีพ ในสงครามที่มีแต่ความแปรปรวนไม่มีใครหันมาสนใจเรือลำเล็กที่ทำอะไรใครไม่ได้อยู่แล้ว

     

    ภารกิจของเขาก็เหมือนทุกครั้งไป แพร่เชื้อร้ายให้กับเหล่าผู้นำกองทัพ เชสเซอร์คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเทคโนโลยีทางเรือไม่สามารถสู้รบปรบมือกับฝ่าย Metropolis ได้ ถึงแม้ว่าเมอร์ทักจะสามารถแหวกน้ำทะเลได้ก็ตาม แต่วิทยาการของฝ่าย Metropolis ก็สามารถหาทางรับมือกับมันได้เสมอ ดูอย่างตอนนี้ที่กองเรือของพวกเขาสามารถลอยอยู่บนผิวน้ำได้ โดยที่เรือไม่จำเป็นต้องโดนน้ำเลยสักนิด

     

    เพลกมองหาทางขึ้นฉุกเฉิน ไม่นานนักเขาก็เจอบันไดที่ต่อยื่นลงมาจากกาบขวาเรือเพลกกระโดดเกาะบันไดก่อนจะปีนขึ้นมานั่งพักหายใจที่ดาดฟ้าเรือ

     

    เขาไม่คิดว่าเรือธงของ Metropolis จะใหญ่โตขนาดนี้ บันไดฉุกเฉินเมื่อสักครู่มีความสูงพอๆ กับตึกสิบชั้นได้ หลังจากพักจนหายเหนื่อยเพลกก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะลุกขึ้นยืน

     

    ข้างๆ เขาก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเสียก่อน

     

    “เฮ้อ… รู้ทันจนได้เหรอเนี่ย” เพลกพูดขึ้น เขาเหลือบมองไปยังศัตรูที่กำลังเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ

     

    สุริยะถือปืนคู่ยืนอยู่ด้านหน้าของเขา ปืนทั้งสองดูไม่แตกต่างจากปืนกระบอกอื่นๆ เท่าไหร่นัก แต่เพลกสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่อยู่ในนั้น  

     

    สุริยะจ้องมองผู้มาเยือนด้วยสายตาอันคมกริบ หากว่าไม่มีคนเตือนเขาถึงชายตรงหน้า สุริยะอาจจะมองเขาเป็นแค่เด็กหนุ่มแต่งกายซอมซ่อธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น

     

    “เพลก?”

     

    “นั่นไม่ใช่ชื่อฉันหรอกนะ… แต่ก็จะเรียกอย่างนั้นก็ได้” เพลกลุกขึ้นยืนก่อนจะปัดเสื้อให้ดูสะอาดขึ้นมาบ้าง ก็เพราะอีกฝ่ายดันแต่งกายในชุดเครื่องแบบออกมาซะเต็มยศ แถมยังดูสะอาดสะอ้านอีกต่างหาก

     

    สุริยะรู้ข้อมูลของเพลกจากชิพของเวอกัส โครวส่งต่อชิพมาให้อาแปะก่อนจะให้สุริยะดูข้อมูล ศัตรูที่เขาต้องเจอเคยประมือกับอดีตแม่ทัพแห่งเมโทรโปลิสปริภูมิได้ต่อสู้กับเพลกแล้วเก็บข้อมูลบางส่วนมา

     

    เวทย์แห่งความตายเป็นส่วนหนึ่งในพลังของเพลก แต่จะเรียกแบบนั้นก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพลกมีพลังในการทำให้สิ่งต่างๆ เสื่อมสลาย แม้ว่าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็ยังถือว่าเป็นพลังเวทย์ที่น่ากลัวอยู่ดี

     

    แน่นอนว่าสุริยะมีสิ่งที่จะช่วยให้เขาต่อกรกับชายตรงหน้าได้อย่างไม่เสียเปรียบ สุริยะก้มลงมองปืนในมือ ปืนสั้นสองกระบอกนี้รูปร่างเหมือนกับปืนที่เขาพกติดตัวเอาไว้ตลอด อันที่จริงแล้วในสมัยก่อนเขาก็เคยใช้งานพวกมันตอนออกไปปฏิบัติภารกิจกับมิคังอยู่บ่อยๆ

     

    สุริยะนึกถึงมิคังที่กำลังทำภารกิจอยู่ก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ หากการที่เขายอมลงมาต่อสู้ในครั้งนี้จะแบ่งเบาภาระหน้าที่ของมิคังไปได้บ้าง เขาก็พร้อมที่จะทำมัน

     

    เพลกจ้องมองเข้าไปในแววตาของสุริยะ แน่นอนว่าเขาไม่มีพลังในการอ่านใจแบบเชสเซอร์ แต่หลังจากเห็นแววตานั้นแล้วเขาก็เข้าใจได้…เพราะเขาก็มีคนสำคัญที่เขาต้องคอยปกป้องอยู่เหมือนกัน แม้ว่าเธอคนนั้นจะไม่รู้ว่าเขามีตัวตนอยู่ก็ตามที

     

    เพลกถอนหายใจ หากเลือกได้เขาก็ไม่อยากกลายเป็นปีศาจชั่วร้ายคอยคร่าชีวิตผู้คนเท่าไหร่นัก แต่สงครามมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ถ้าเราไม่ฆ่าเขาเขาก็จะฆ่าเรา แม้ว่าจะมีเหตุผลอันสวยหรูแค่ไหน แต่ความตายก็คือความตาย ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้น และเขาก็เป็นคนที่คุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี

     

    “เอาล่ะพี่ชาย… เราจะมาเริ่มกันเลยดีไหม?” เพลกพูดพร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันที่เหมือนเป็นคำสาปร้ายออกมา

     

    สุริยะเริ่มรู้สึกอยากจะอาเจียนให้กับความรู้สึกน่าสะอิดสะเอียนนี่เหลือเกิน อากาศรอบๆ ตัวเพลกเริ่มเน่าเหม็น และบรรยากาศรอบๆ ตัวเขาเริ่มสิ้นใจ

     

    สุริยะไม่รอช้า เขายกปืนขึ้นแล้วส่งกระสุนลูกแรกเข้าสู่เป้าหมายในทันที

     

    เพลกไม่ขยับตัวหลบหลีกเลยสักนิด เขายื่นมือขึ้นรับกระสุนตรงๆ กระสุนลูกนั่นเสื่อมสลายกลายเป็นเศษฝุ่นก่อนจะถึงตัวเขาด้วยซ้ำ

     

    พลังของเขาเพิ่มขึ้น… สุริยะขมวดคิ้ว ตามที่ได้รับข้อมูลมาเขาไม่คิดว่าเพลกจะมีพลังในการสลายได้รวดเร็วขนาดนี้

     

    “ใจร้อนเหมือนกันนะ” เพลกพูดพร้อมกันพุ่งตัวเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ดูเหมือนเพลกจะใช้ท่ารางในการต่อสู้ระยะประชิดตัว ซึ่งก็เหมาะสมกับความสามารถของเขาดี

     

    ฝ่ามือถลันวูบเข้าสู่ใบหน้าของสุริยะ สุริยะเอี้ยวตัวหลบอย่างหวุดหวิดก่อนจะใช้ด้ามปืนกระแทกเข้าไปที่แขนของเพลก แขนเพลกผงะออกตามแรงกระแทก สุริยะหันปืนอีกข้างยิงเข้าใส่เพลกในระยะประชิด แต่เพลกรู้ตัวอยู่ก่อนแล้ว เขาใช้มือทั้งมือปิดปากกระบอกปืนไว้ พร้อมกับเร่งพลังเวทย์เพื่อให้ปืนกระบอกนี้เสื่อมสลายหายไป

     

    แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกผิดปรกติ

     

    ปัง!

     

    เสียงปืนนัดที่สองดังขึ้นในการต่อสู้ เพลกถลันตัวหลบออกมาพร้อมกับกุมมือที่บาดเจ็บ กระสุนพุ่งทะลุผ่านมือของเขาไป ทิ้งรอยเป็นรูโบ๋เอาไว้หนึ่งรู

     

    เพลกขมวดคิ้ว ปืนนั่นต้องมีลูกเล่นอะไรบางอย่างทำให้เวทย์ของเขาใช้การไม่ได้

     

    สุริยะนำปืนมาสัมผัสที่ผิวหนังบริเวณใบหน้าข้างซ้าย ดูเหมือนว่าการเข้าใกล้เพลกในระยะประชิดขนาดนั้นจะทำให้เขาติดเชื้อร้ายของเพลกไปไม่มากก็น้อย แต่พอปืนสัมผัสโดนร่างกายของเขา ดูเหมือนพลังเวทย์ของเพลกก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง

     

    ...เพลกเริ่มไม่แน่ใจว่าตนเองจะเจอกับอะไร หรือว่าอีกฝ่ายก็เป็นผู้ใช้เวทมนตร์? เพลกรีบสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกไป เพราะคำสาปของเขาต่อให้เป็นนักเวทย์ผู้มีพลังสูงส่งก็ยากที่จะควบคุมมันได้ เว้นแต่จะมีพลังเทียบเคียงเชสเซอร์

     

    “มีของดีเหมือนกันนี่” เพลกพูดพลางฉีกชายเสื้อตัวเองขึ้นมามัดฝ่ามือเอาไว้ เขาลองขยับมือดู เหมือนว่ามันจะยังใช้การได้

     

    ฝุ่นควันที่เกิดจากการถล่มกองเรือของ Fantasia เริ่มจางลง แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาอีกครา เพลกหรี่ตา เขาไม่ชอบแสงแดดจ้าๆ เท่าไหร่ เขาชื่นชอบแสงแดดในยามเช้าก็จริง แต่นี่ก็ล่วงเลยมาถึงยามเที่ยงแล้ว

     

    แสงแดดส่องลงมากระทบกับปืนของสุริยะ ปืนของเขาทอประกายประหลาดสีฟ้าออกมาดูแปลกตา เพลกสังเกตุสิ่งนั้นได้ทันก่อนมันจะหายไป…

     

    ผลึกอูริออส ว่ากันว่าสามารถสลายเวทย์คำสาปทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้เพียงแค่สัมผัสมัน.. หายากยิ่งกว่ายาก อันที่จริงต้องบอกว่าการจะหาตัวอูริออสนั้นไม่ยาก แต่การจะได้ผลึกมันมานั้นยากกว่า อูริออสเป็นมอนเตอร์ที่แข็งแกร่งราวเทพเจ้า

     

    แต่ชายตรงหน้ากลับนำมาหล่อเป็นปืน แถมยังมีถึงสองกระบอกอีกด้วย

     

    ก่อนมานี่เพลกคิดไว้อยู่แล้วเขาอาจจะเจอกับคู่ต่อสู้ที่ตึงมืออยู่บ้าง แต่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะเจอคนที่มีความสามารถในการต่อสู้แล้วยังดันมีผลึกอูริออสอยู่ในมืออีกต่างหาก แต่เพลกไม่ได้ร้อนใจอะไร เขายังมีทางจัดการชายตรงหน้าอยู่ หากเขาชิงปืนสองกระบอกนั้นออกมาได้ อีกฝ่ายก็คงเหลือแต่ร่างกายเปล่าๆ รอให้เขาย่อยสลายเท่านั้น

     

    เพลกตั้งท่าต่อสู้เพื่อจะกระโจนเข้าสู่ระยะประชิด สุริยะก็ตั้งท่าเช่นเดียวกัน เพราะเขาจำเป็นต้องให้ปากกระบอกปืนแนบชิดติดกับตัวของเพลก กระสุนปืนของเขาจึงสามารถใช้ได้ เขาได้ปืนสองกระบอกนี้มาจากอาแปะดูเหมือนกว่าอาแปะจะมีผลึกอูริออสเก็บเอาไว้กับตัว นี้เป็นเป็นผลึกที่เขาเหลืออยู่ นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมอาแปะในสมัยก่อนจึงสามารถไล่ฆ่าเหล่าจอมเวทย์ได้เป็นเบือโดยที่ตนเองไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย

     

    สุริยะไม่พูดอะไรมากความ เพราะเขารู้ตัวดีว่าไม่จำเป็นต้องพูด เพลกกับเขามีจุดประสงค์เดียวกันในการมาที่นี่

     

    ทำลายอีกฝ่ายให้ย่อยยับ

     

    แล้วร่างของทั้งสองก็กลายเป็นเงาสีดำพุ่งเข้าหากัน

     

    ……………………………………………………………………………………….

     

    นัยน์ตาไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต ยมทูตทำหน้าที่ของเขาอย่างเคร่งครัด เสียงกรีดร้องถึงความเจ็บปวดนั้นฟังดูเสียดหู อาจจะเป็นเพราะนั่นไม่ใช่เสียงจากร่างกายของผู้ที่โดนปลิดชีวิต แต่เป็นเสียงของวิญญาณที่ทุกทรมาณอยู่ในเคียวเล่นนั้นต่างหาก

     

    เวอกัสเหม่อมองแดเนียล ผู้ซึ่งไม่มีใครต้องการเข้าใกล้ เหล่าทหารหาญของ Fantasia ยันกองทัพของเขาเอาไว้ได้อย่างที่เวอกัสคิดเอาไว้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา

     

    เรเว่นทำภารกิจสำเร็จแล้ว… เสบียงและยุทโธปกรณ์จะถูกส่งมาให้ไม่ขาด สงครามในวันนี้จะได้รับการตัดสินใจไม่ช้า Metropolis อาจจะชนะสงครามในครั้งนี้ แต่ในวันพรุ่งนี้ไม่มีใครรู้ เวอกัสรู้ตัวดีว่าเขามีชีวิตได้อีกไม่นานเท่าไหร่นัก หาก Metropolis ต้องต่อสู้กับเชสเซอร์โดยไม่มีเขา ผลก็คงเป็นที่คาดเดาได้ไม่ยาก

     

    เวอกัสเดินตรงเข้าไปหาแดเนียล  ยมทูตฟาดฟันเหล่าทหารของเขาด้วยสีหน้าเหม่อลอย แดเนียลไม่มีความคิดจะต่อสู้เลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยพลังที่เหนือธรรมชาติของเขาเพียงแค่เขาฟาดฟัน เหล่าหทารแห่ง Metropolis ก็ล้มตายอย่างสิ้นหวัง เมื่อขาดปริภูมิไป การต่อสู้ของแดเนียลก็ไร้ชีวิตชีวา

     

    เวอกัสแสยะยิ้มแล้ว นี่อาจจะเป็นการแสยะยิ้มครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผ่านมา เพราะทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผนการของเขา แดเนียลที่ไร้ความสามารถในการบัญชาการรบและหมดอาลัยตายอยาก คงไม่ครณามือเทสล่ามากนัก อย่างน้อยเขาก็สามารถฝากฝังเรื่องแดเนียลให้เทสล่าจัดการได้

     

    แผนของเวอกัสนั้นเป้าหมายอยู่ที่เชสเซอร์ ก่อนหน้านี้ปริภูมิได้ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเชสเซอร์มาจากการไปลอบโจมตี เวอกัสอ่านรายละเอียดข้อมูลนั้นหลายต่อหลายเที่ยวจนกระทั่งคิดได้ถึงแผนรับมือกับเชสเซอร์ เขาจึงมั่นใจในผลของสงครามในครั้งนี้

     

    แต่แล้วปริภูมิก็มาตายไป ขุนพลตัวสำคัญในแผนการของเขาจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา เวอกัสไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากใช้ตัวเองเข้าแลก เชสเซอร์เป็นบุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก ไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากไหน เผ่าพันธุ์ใด หรือเขามีพลังที่มากมายมหาศาลอย่างนั้นได้อย่างไร

     

    และคำถามที่เวอกัสคอยถามตัวเองมาตลอดคือเหตุใดเชสเซอร์จึงไม่ฆ่าเขา หรือถล่ม Metropolis ให้ราบเป็นหน้ากลองทั้งๆ ที่เขาสามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็น ดูเหมือนว่าเชสเซอร์จะต้องการสงคราม สงครามที่คนทั้งสองประเทศจะต้องเสียสละ คนทั้งสองประเทศจะต้องรับรู้

     

    เหมือนกับว่าเชสเซอร์จะต้องการชนะเขาในสงครามเท่านั้น

     

    และทุกครั้งที่เชสเซอร์วางแผนอะไรเอาไว้ เวอกัสจะเหมือนกับรับรู้ได้เสมอ… เวอกัสไม่แน่ใจว่านั่นเป็นกับดักของฝ่าย Fantasia รึเปล่า เขาอาจจะกำลังเดินบนฝ่ามือของเชสเซอร์ก็เป็นได้ แต่ก่อนหน้านี้แผนการที่เขาวางเอาไว้ล่วงหน้าก็ดูเหมือนจะได้ผลเสมอมา

     

    เวอกัสไม่เคยสงสัยในความสามารถอันนี้ เพราะตราบใดที่มันยังส่งประโยชน์แก่เขา เขาก็ยังจะใช้มันอย่างเต็ม และมันทำให้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบเชสเซอร์หลายต่อหลายครั้ง

     

    แผนการวัดใจสุดท้ายของเวอกัสคือการละทิ้งสมรภูมิด้านบนเตาปฏิกรณ์มารบที่ด้านล่างแทน เขาต้องการเห็นปฏิกริยาของเชสเซอร์ที่มีต่อแผนการของเขา เวอกัสเป็นคนสั่งให้โครวจ้องตากับเชสเซอร์ด้วยตัวเอง เขาอยากจะรู้ว่าเชสเซอร์จะยอมสละสมรภูมิตามมาฆ่าเขารึเปล่า

     

    แล้วเวอกัสก็ได้รู้ เชสเซอร์แค้นเขามากกว่าที่ตัวเขาเองจะนึกออก ดูเหมือนความแค้นครั้งนี้จะฝังรากลึกมาอย่างยาวนานเกินกว่าที่เวอกัสจะรับรู้ได้ เขาคิดว่าคงจะมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับปีศาจในตัวเขา ปีศาจร้ายที่คอยบอกให้เขาทำเรื่องเลวทราม และแน่นอนว่าเวอกัสไม่ใช่คนดีเท่าไหร่นัก แม้เขาจะยังคงมีสติแต่เขาก็ไม่ปฏิเสธเสียงกระซิบนั่นเสมอไป

     

    บัดนี้เขาใช้ตนเองล่อเชสเซอร์ให้ออกมาจากสมรภูมิด้านบน ปราศจากเชสเซอร์โครวน่าจะสามารถป้องกันเตาปฏิกรณ์เอาไว้ได้

     

    เวอกัสเดินมาถึงหน้าแดเนียลแล้ว เขาสั่งให้องครักษ์ทุกคนถอยออกไป เคียวเกี่ยววิญญาณนั้นหยุดชะงักทันที ไม่ทราบเพราะเหตุใด ดวงตาที่แดเนียลจ้องมองเวอกัสนั้นเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสมเพชเสียเหลือเกิน

     

    ดวงตาที่เหมือนจะเหยียดทุกสิ่งบนโลกให้ไร้ค่า ไร้ความหมาย เวอกัสยิ้มเล็กน้อย เขาเคยเห็นดวงตาแบบนี้หลายต่อหลายครั้งแล้ว เพราะมันเป็นดวงตาแบบเดียวกับเชสเซอร์…

     

    “เชสเซอร์สั่งฉันไม่ให้ฆ่านาย…” แดเนียลกล่าวเสียงเรียบพร้อมกับลดเคียวลง

     

    “ฉันรู้” เวอกัสตอบทันที เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ “น่าแปลกเนอะว่าไหม? คราวก่อนเขายังส่งนายมาเก็บฉันอยู่เลย”

     

    “ครั้งนั้น...เขาอยากให้นายตื่นขึ้นมามากกว่า” แดเนียลพูดตอบ

     

    “อืม… งั้นเหรอ” เวอกัสรู้ดีว่าแดเนียลพูดถึงปีศาจในจิตใจของเขา บัดนี้มันตื่นขึ้นแล้วตามความต้องการของเชสเซอร์ และแน่นอนว่าเพราะเหตุนี้ด้วยเช่นกัน เวอกัสจึงเป็นเหมือนเหยื่อล่อชิ้นใหญ่ที่พอจะทำให้เชสเซอร์วิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อฆ่าเขาด้วยมือของตนเอง

     

    หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็คงจะยินยอมให้มันตื่นขึ้นไวกว่านี้

     

    “ช่วยหลบไปหน่อยได้ไหม… ฉันฆ่านายไม่ได้” แดเนียลบอกเสียงเรียบ แต่พลังกดดันอันมหาศาลนั้นไม่ได้เรียบตามน้ำเสียงของเขาเลยแม้แต่น้อย

     

    “นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันอุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่ไง” เวอกัสอัดบุหรี่เข้าปอดจนหมดมวน “เพราะมันจะทำให้นายไร้ประโยชน์ไปทันที”

     

    เวอกัสพูดพร้อมกับส่งสัญญาณมือ

     

    หน่วยทัพทั้งหมดอยู่ในสภาพเตรียมพร้อม บุกเข้าสู่กองทัพของฝ่าย Fantasia ที่ปกป้องที่มั่นเอาไว้พร้อมกัน หน่วยยานบินเร่งเครื่องยนต์เพื่อไปสกัดกั้นกองหนุนของฝ่ายตรงข้าม มีสามทัพที่อ้อมแนวสันเขาสำเร็จและเริ่มเข้าตีค่ายทหารของฝ่าย Fantasia

     

    แดเนียลสะดุ้งตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทันหัน เขาง้างเคียวออกเตรียมฟาดฟันเหล่าทหารของ Metropolis แต่ยังไม่ทันที่จะได้ปล่อยเคียวออก เวอกัสก็เข้ามายืนดักหน้าแดเนียลเสียก่อน

     

    “อ๊ะๆ...ระวังหน่อย..” เคียวเล่มงามพาดอยู่บนคอของเวอกัส หากแดเนียลออกแรงอีกเพียงนิดเดียวเวอกัสก็จะสิ้นชีพในทันที แต่เวอกัสกลับแสยะยิ้ม… “ลำบากน่าดูเลยสิ”

     

    แดเนียลกัดฟันกรอด เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะพบพานกับศัตรูที่น่ารำคาญและแสนจะน่ารังเกียจขนาดนี้ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถปลีกตัวออกจากสถานที่นี้ได้ หากเวอกัสตายก่อนที่เชสเซอร์จะมา เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แม้ว่าแดเนียลอาจจะไม่ได้เป็นคนฆ่าเวอกัสด้วยตัวเองก็ตาม

     

    การที่เวอกัสเดินมาแนวหน้าในสงครามแบบนี้ เป็นเรื่องที่แดเนียลไม่เคยคาดคิดมาก่อน

     

    ศรเวทย์ถูกยิงมาจากด้านหลัง วิถีพุ่งตรงเข้าใส่เวอกัสอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนการรบที่ด้านหลังของแดเนียลจะดุเดือดกว่าที่คิด แต่เวอกัสไม่หลบ เขาเพียงยิ้มแล้วมองหน้าแดเนียล

     

    ชั่วพริบตาศรเวทย์นั้นก็ถูกปัดกระเด็นออกไป และนั่นไม่ใช่ฝีมือของเวอกัส แต่เป็นตัวแดเนียลเองต่างหาก

     

    “ขอบคุณ” เวอกัสส่งยิ้มน่าขยะแขยงมาให้แดเนียล

     

    สีหน้าของแดเนียลเริ่มเปลี่ยนแปลงไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องมาปกป้องชายผู้ที่ฆ่าประชาชนของฝ่าย Fantasia ไปหลายหมื่นหลายแสนคน ชายผู้สร้างความเสียหายมากมายนับไม่ถ้วนให้แก่ประเทศ Fantasia

     

    และบัดนี้ชายคนนั้นกลับยืนอยู่ในท่าทางที่สบายที่สุด กลางแนวหน้าสงครามโดยมีเขาเป็นผู้ปกป้อง

     

    แดเนียลจ้องหน้าเวอกัสเขม็ง พลังกดดันมหาศาลถูกปล่อยออกมาจนเวอกัสอึดอัด แต่นี่ยังไม่ทำให้เขาล้มลง...ยังก่อน

     

    ศรเวทย์อีกลูกนึงพุ่งออกมาจากด้านหลัง คราครั้งนี้เวอกัสถึงกับชี้ให้แดเนียลดูว่ามันกำลังจะตรงมาที่เขา แดเนียลสะบัดข้อมือออกไปรับศรเวทย์ด้วยมือเปล่า แรงระเบิดแรงพอจะทำให้เวอกัสผงะถอยหลังไปเล็กน้อย แต่ศรเวทย์ลูกนั้นกลับไม่ทำอันตรายใดๆ แก่แดเนียลเลย

     

    “น่าประทับใจ” เวอกัสปรบมือให้กับแดเนียลพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูแสแสร้งที่สุดที่เขาสามารถทำได้

     

    แดเนียลทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เคียวเกี่ยววิญญาณถูกง้างขึ้นสุดแรง เสียงกรีดร้องของวิญญาณดังกระหึ่มมากพอจะให้เวอกัสได้ยินอย่างชัดเจน

     

    คราครั้งนี้เสียงแห่งความตายไม่ได้กระซิบกับเขาอีกแล้ว

     

    “หลีกไปพวกสวะ!!!!”

     

    สิ้นเสียงตะโกนที่ดังปานอัตนีบาท  เสียงระเบิดก็ดังขึ้นตามมา แรงระเบิดรุนแรงพอจะทำลายแนวเขาที่เคยมีมาตั้งแต่โบราณให้ราบเป็นหน้ากลองเศษซากชิ้นส่วนของมนุษย์กระจัดกระจายไปคนล่ะทิศคนล่ะทาง ท่ามกลางซากปรักหักพังของภูเขามีเงาของชายคนนึงยืนอยู่

     

    เชสเซอร์มาถึงแล้ว

     

    เขาถึงกับทำลายภูเขาที่บดบังเส้นทางออกไป สายตาของเขาจดจ้องอยู่ที่เคียวเล่มงามเล่มนั้น แดเนียลรั้งเคียวไว้ได้ทัน… เวอกัสยังคงมีชีวิตอยู่

     

    เชสเซอร์พุ่งตัวเข้ามาดุจดาวตก เขากระโจนเข้าใส่เวอกัสอย่างรวดเร็วจนกว่าใครจะคาดคิด เสียงแหวกอากาศสะท้อนก้อง มันดังกระหึ่มพอที่จะพัดเอาทหารหลายนายลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

     

    มือที่เย็นเยีบบีบเข้าไปที่คอของเวอกัส

     

    “คิดว่าจะตายง่ายๆ หรือยังไง คิดว่าฉันรอเวลานี้มานานเท่าไหร่กัน?” เชสเซอร์จ้องเข้าไปในดวงตาของเวอกัส

     

    และทันใดนั้นคำตอบของปริศนาทั้งหมดทั้งหมวลก็หลั่งไหลเข้าไปในสมองของเขา

     

    “นี่แก..” เชสเซอร์ขมวดคิ้วจ้องมองที่เวอกัส

     

    รวดเร็วเท่าความคิดมือของเวอกัสขยับอย่างรวดเครื่องมือแปลกประหลาดถูกติดไว้ที่ตัวของเชสเซอร์

     

    เครื่องส่งสัญญาณการวาร์ป

     

    เวอกัสกดปุ่มส่งสัญญาณในทันที ก่อนที่เชสเซอร์จะทันรู้ตัว ประตูมิติก็ถูกเปิดออกก่อนที่เชสเซอร์จะถูกดูดเข้าไปในประตูมิติแล้วหายไปตลอดกาล เหลือเพียงแขนข้างเดียวที่บีบคอเวอกัสอยู่เท่านั้น

     

    เวอกัสทิ้งตัวลงกับพื้น แผนของเขาสำเร็จแล้ว…เชสเซอร์ได้จากไปตลอดกาล

     

    “งั้นเหรอ?” เสียงของเชสเซอร์ดังขึ้นข้างๆ ราวกับเสียงของปีศาจร้ายในจิตใจของเขา

     

    เวอกัสสะบัดเงยหน้าขึ้นมองเชสเซอร์ในทันที เชสเซอร์ปรากฏตัวอยู่ข้างแดเนียล ไร้ซึ่งบาดแผลใดๆ

     

    “คิดถูกจริงๆ ที่สร้างร่างปลอมเข้ามาก่อน” เชสเซอร์เดินตรงเข้ามาหาเวอกัสอย่างช้าๆ คราครั้งนี้เขาไม่เข้าประชิดตัวเวอกัสอีกต่อไปแล้ว ท่อนแขนที่บีบคอเวอกัสอยู่สลายกลายเป็นฝุ่นผงไป “เอาวาร์ปมาจัดการฉันงั้นเหรอ...นายรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

     

    เวอกัสยิ้มอีกครั้ง...แต่ครานี้ช่างดูสิ้นหวังเหลือเกิน ไพ่ตายใบสุดท้ายเขาพนันกับสติที่ขาดผึงของเชสเซอร์ หากเชสเซอร์พุ่งเข้ามาบีบคอเขาเอาไว้จริงๆ โอกาสหนึ่งในล้านก็จะเป็นของเขา

     

    แต่เชสเซอร์ใจเย็นกว่านั้น โหดเหี้ยมกว่านั้น อำมหิตกว่านั้น เขาไม่รีบร้อนที่จะดูเวอกัสตายอย่างที่เวอกัสคิดเอาไว้

     

    “รู้ตั้งแต่นายร่างสนธิสัญญาห้ามสร้างเตาปฏิกรณ์แล้วล่ะ” พูดจบเวอกัสก็ก้มตัวลงไออย่างรุนแรง “แล้วก็มาแน่ใจอีกทีตอนได้ข้อมูลกลับมาจากปริภูมิ”

     

    “อ๋อ...แม่ทัพไร้ความสามารถคนนั้นน่ะเหรอ” เชสเซอร์แสยะยิ้ม “งั้นแสดงว่านายรู้ตัวตนที่แท้จริงของฉันแล้วสินะ”

     

    “ฉันว่า...ฉันคงไม่ต้องตอบหรอกจริงไหม?” เวอกัสเงยหน้าขึ้นเพื่อจ้องตาเชสเซอร์อีกครั้ง

     

    ความทรงจำในสมองของเวอกัสหลั่งไหลเข้าสู่ความทรงจำของเชสเซอร์ เวอกัสรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร เหตุใดการวาร์ปถึงได้เป็นจุดอ่อนสำหรับเขา

     

    โลกใบนี้เปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิต มันมีความนึกคิดและเจตจำนงในรูปแบบของมัน เชสเซอร์เป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นตัวแทนของความลึกลับทั้งมวลบนโลกใบนี้ เชสเซอร์เป็นตัวตนของปริศนาที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ ตัวตนของเขาเปรียบเสมือนกลุ่มควัน ที่เป็นรูปร่างเมื่อเราจับต้องมันมันจะเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ  พลังที่ไร้ขีดจำกัด ชีวิตที่ไร้อายุขัย เป็นเพราะเชสเซอร์เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้

     

    แต่เพราะเหตุนั้น เขาจึงพ่ายแพ้ต่อประตูมิติ… เพราะช่วงเวลาเพียงครู่เดียวที่เขาเข้าไปอยู่ในประตูมิตินั้น ตัวตนของเขาบนโลกจะหายไป…

     

    เวอกัสสร้างห้องคุมขังเชสเซอร์ไว้ที่เขตหนึ่ง ใกล้ๆ กับเตาปฏิกรณ์การวาร์ป สถานที่แห่งนั้นจะมีเครื่องสร้างประตูมิติหลายจุด เพื่อตรึงให้เชสเซอร์ที่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อเขาอยู่ในประตูมิติ เขาจะกลายเป็นเพียงคนธรรมดา พลังของเขาจะไร้ความหมาย

     

    ประตูมิติเปรียบเสมือนคุกของเชสเซอร์ เวอกัสรู้เรื่องนี้ชัดเจนดีอยู่แล้ว แต่การจะเข้าถึงตัวเชสเซอร์ได้นั้นไม่ง่ายเลย

     

    เครื่องวาร์ปอันที่เวอกัสเพิ่งใช้ไป เป็นตัวที่จะดึงเชสเซอร์เข้าไปอยู่ในห้องนั้น

     

    เวอกัสไม่มีแผนสำรองอีกต่อไปแล้วถึงมีเครื่องส่งสัญญาณอีกหลายตัว… เชสเซอร์ก็คงไม่คิดที่จะเข้ามาประชิดตัวเขาอีกเป็นครั้งที่สอง

     

    “พยายามมาได้ขนาดนี้...นับว่าน่าประทับใจ” เชสเซอร์แสยะยิ้ม เขาอ่านข้อมูลในหัวของเวอกัสหมดแล้วจนรู้ว่าเวอกัสไม่มีแผนสำรองอีกแล้ว  “ไม่ต้องเป็นห่วงไปเวอกัส…ฉันจะไม่ทำให้นายผิดหวังแน่นอน”

     

    “...”

     

    เชสเซอร์ล้วงเอาผลึกสีม่วงขึ้นมากุมไว้ เขาเร่งพลังเวทย์เพื่อดึงพลังงานในผลึกสีม่วงมาใช้งาน วงแหวนเวทย์นับสิบวงเกิดขึ้นรอบตัวของเขา พลังจากผลึกสีม่วงแผ่พุ่งทะลุผ่านวงแหวนเหล่านั้นก่อนจะเข้าไปรวมเอาไว้ที่มือของเชสเซอร์อีกข้างหนึ่ง

     

    การหน่วงเวทย์ระดับนี้คงมีเพียงเขาคนเดียวที่ทำได้ อีกทั้งเวทย์ทั้งหมดได้รับการเสริมพลังจากผลึกสีม่วงที่มีพลังมหาศาล เชสเซอร์ยืนฝ่ามือเล็งตรงไปที่ตัวของเวอกัส

     

    “เมโทรโปลิสจะพินาศย่อยยับขนาดที่นายจินตนาการไม่ออกเลยเชียวล่ะ”

     

    และแล้วเชสเซอร์ก็ได้เห็นสีหน้าอันเจ็บปวดของเวอกัส ใบหน้านั้นสิ้นหวังเสียจนเชสเซอร์รู้สึกจุกเพราะความสุข เขากำลังจะสะสางความแค้นที่มีอยู่อย่างยาวเสียที ศัตรูคู่ฟ้าของเขาจะถูกลบหายไปตลอดกาลพร้อมๆ กับของทัพอันเกรียงไกรของ Metropolis

     

    “ลาก่อนเวอกัส… ฉันจะได้เลิกปวดหัวเสียที”

     

    เวทย์สีม่วงถูกปลดปล่อยออกจากมือ ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งพลังเวทย์ที่รุนแรงและรวดเร็วแบบนี้ได้อีกแล้ว

     

    เวอกัสเห็นภาพทุกอย่างเป็นภาพช้า เหตุการณ์ในอดีตไหลย้อนกลับมาเป็นฉากๆ… เขาไม่เคยกลัวความตาย แต่การตายโดยที่เขาไม่สามารถช่วย Metropolis เอาไว้ได้มันทำให้เขารู้สึกเศร้า

     

    น้ำตาของเขาไหลออกมาเล็กน้อย แต่มันเหือดแห้งไปเพราะความร้อนจากพลังเวทย์ที่พุ่งเข้ามาหาเขา

     

    เวอกัสหลับตาลง พลางนึกถึงคนที่กำลังรอเขาอยู่อีกฟากหนึ่ง

     

    ปริภูมิ

     

    ...

    ..

    .

     

    ตูม!!!

     

    เสียงเปิดประตูมิติดังสนั้นขึ้นพร้อมกับดูดพลังเวทย์เข้าไปในประตูมิติจนหมด นี่ย่อมไม่ใช่ประตูมิติที่เปิดจากเตาปฏิกรณ์การวาร์ปแน่นอน เพราะมันไม่สามารถดูดซับพลังเวทย์ที่มากมายมหาศาลขนาดนี้ได้

     

    ประตูมิติถูกเปิดขึ้นขวางระหว่างพลังเวทย์กับตัวของเวอกัส

     

    เชสเซอร์งุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเขาแน่ใจแล้วว่าเวอกัสไม่มีแผนสำรองใดๆ ทั้งนั้น แม้กระทั่งเวอกัสเองก็ยังสงสัยกับเหตุการณ์ตรงหน้าเช่นเดียวกัน

     

    แต่แล้วคำตอบทั้งหมดก็หลุดออกมาจากประตูมิติ

     

    ชายหนุ่มหน้าทะเล้น เจ้าของผมสีเงิน ตาสีเขียวและรอยยิ้มอันกวนตีน หลุดออกมาจากประตูมิติอย่างรวดเร็ว พริบตาที่เขาออกมาเศษชิ้นส่วนต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ในสนามรบก็ถูกแยกชิ้นส่วนจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย

     

    เศษชิ้นส่วนที่ถูกแยกออกประกอบกลับเข้ามาเป็นชุดเกราะเหล็กที่มีกำปั้นขนาดใหญ่ ไอพ่นของเกราะด้านหลังเริ่มทำงานทันทีที่เกราะสร้างเสร็จ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงสองวินาที

     

    เร็วเกินกว่าทุกคนจะตั้งตัวทัน ร่างกำยำที่มีเกราะสวมใส่ก็พุ่งเข้าใส่เชสเซอร์ด้วยความรวดเร็ว

     

    “คิดถึงป๊ะป๋าไหมล่ะลูก”

     

    ปริภูมิ

     

    กลับมาแล้ว

     

    .................................................................

     

    ตอนหน้า Fall Of Metropolis!!


     




     



    ติดตามวิดีโออนิเมชั่นประกอบไซด์ได้ที่ http://youtu.be/fAma7_K7PO8

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×