ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [IRC Project 2.0 beta] Pumpkinz World

    ลำดับตอนที่ #20 : [Side story Vol.3.3] Battle Field Part 1

    • อัปเดตล่าสุด 21 มิ.ย. 57





    [Side story Vol.3.3] Battle Field Part 1





    โครวยิ้มแล้ว เขาเงยหน้ามองพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นสู่ขอบฟ้า แสงสีทองส่องประกายงามตา แต่สิ่งที่ทำให้เขายิ้มไม่ใช่ความสวยงาม แต่กลับเป็นแผนการของเวอกัสที่แม้แต่เขาเองก็นึกไม่ถึง

     

    เวอกัสออกมาจากห้องทำงานแล้วตั้งแต่เมื่อวานช่วงเย็น เขามาพบโครวก่อนจะบอกถึงแผนการบางอย่าง แม้ว่าน้ำเสียงของเวอกัสจะดูอ่อนแรงและอมโรค แต่ถึงกระนั้นความหมายในคำพูดก็ยังคงหนักแน่นเช่นเดิม เขาหันไปสั่งการกองทัพที่กำลังจัดกองกำลังอยู่ด้านหลัง เมื่อคืนนี้กองทัพของเขาได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม

     

    หทารของ Metropolis นั้นถูกฝึกภายใต้สภาวะสงครามอย่างหนักหน่วงตลอดเวลา เพื่อให้ร่างกายเคยชินกับแรงกดดันต่างๆ ในสงคราม พวกเขาสามารถหลับสนิทได้ แม้รู้ว่าในวันพรุ่งนี้ตนเองจะต้องเจอศึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ พวกเขายังมีความรู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวังเป็นธรรมดา

     

    เพราะแม่ทัพผู้ที่เคยเป็นศูนย์รวมจิตใจของเขาได้จากไปแล้ว โครวรู้เรื่องนี้ดีเขาย่อมต้องสร้างความเชื่อมั่นเหล่านั้นกลับมา

     

    ฉันจะนำทัพหน้าให้เองโครวพูดกับรองแม่ทัพที่อยู่ด้านช้าง รองแม่ทัพเงยหน้าขึ้นมามองโครวด้วยความประหลาดใจ

     

    แต่ท่านไม่จำเป็นต้อง….”

     

    โครวส่ายหน้าพร้อมกับโบกมือไปมา

     

    ท่านเทิ่นอะไรกัน เรียกฉันว่าโครวก็พอโครวเงยหน้ามองไปยังขอบฟ้าทางที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ฉันถนัดการบัญชาการขณะต่อสู้ไปด้วยอยู่แล้ว

     

    เขาเริ่มจะมองเห็นกองทัพแห่ง Fantasia โผล่มาเป็นเงาสีดำเป็นจุดเล็กๆ ขึ้นที่ขอบฟ้า  แรงสั่นสะเทือนจากีเท้าจำนวนหลายหมื่นคนกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา จำนวนทหารที่แน่นอนของ Fantasia นั้นมีน้อยกว่าของ Metropolis มาก เรียกได้ว่าเกือบเท่าหนึ่งเลยทีเดียวแต่สิ่งสำคัญไม่ใช่เรื่องจำนวน แต่เป็นความสามารถในการรบของแต่ละฝ่ายมากกว่า Fantasia ทหารของพวกเขาต่างก็มีความสามารถที่คาดเดาไม่ได้ ทหารแต่ละนายต่างมีความถนัดกันไปคนละแบบ ทำให้ไม่สามารถหาทางรับมือได้

     

    มากันแล้วสินะ”​ โครวพูดขึ้น ก่อนจะสั่งให้ทัพหน้าเริ่มเคลื่อนกำลังพลเข้าสู่สงคราม

     

    เขาอดยิ้มระหว่างการสั่งการไม่ได้ แน่นอนว่าส่วนลึกในจิตใจของเขากระหายสงคราม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขามอบรอยยิ้มให้

     

    ที่เขายิ้มเป็นเพราะเขาพอจะนึกสีหน้าของเชสเซอร์ออกหลังจากที่เจอเข้ากับแผนของเวอกัส

     

    แผนที่พอจะทำให้โครวอารมณ์ดีไปอีกนาน

     

    ………………………………………………………………….

     

    เสียงฝีเท้าของสัตว์อสูรรูปร่างมหึมาดังสนั่นไปทั่วอาณาบริเวณ แต่นั่นกลับสร้างความฮึกเหิมให้กับกองทัพแห่ง Fantasia เชสเซอร์บุรุษหนุ่มผู้มีบุคลิกสูงสง่านั่งอยู่บนซุ้มบัญชาการเคลื่อนที่บนหลังของสัตว์อสูรตนนี้ เชสเซอร์ไม่เคยปิดบังที่ตั้งของตนเองในสนามรบ แต่ไหนแต่ไรมา หากเกิดการต่อสู้ขึ้นที่ไหน เขามักจะทำให้ตัวเองเป็นจุดสนใจอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ ทำให้สัตว์อสูรของเขาดูยิ่งใหญ่หว่าตนอื่นอย่างเห็นได้ชัด

     

    แน่นอนว่านิสัยส่วนนี้แตกต่างจากเวอกัส เชสเซอร์กวาดสายตามองไปด้านหน้าเขาเห็นเพียงกองทัพแห่ง Metropolis เท่านั้น เมื่อดูการเคลื่อนทัพชองฝ่าย Metropolis แล้วเขาก็อดที่จะยอมรับไม่ได้จริงๆ ว่า กองทัพ Fantasia ของเขายังอ่อนด้อยกว่าเล็กน้อย

     

    กองทัพของ Metropolis เปรียบเสมือนร่างกายของคนๆ หนึ่ง แต่สำหรับ Fantasia กองทัพของเขาเปรียบเสมือนผู้คนที่หลากหลาย เรื่องนี้เชสเซอร์ไม่สามารถควบคุมอะไรมันได้ เป็นเพราะทั้งสองประเทศต่างมีรากฐานที่แตกต่างกันอยู่แล้วตั้งแต่ต้น

     

    ผู้คนของ Fantasia ต่างมีความรู้ความสนใจที่เป็นเอกเทศ เป็นเพราะเวทมนตร์แต่ละประเภทหรือศาสตร์แขนงต่างๆ ของ Fantasia นั้นมีมากมายหลากหลาย เพื่อให้ความสามารถแสดงผลออกมาได้สูงสุด ผู้ใช้จำเป็นต้องต้องเลือกศาสตร์ที่เหมาะสมกับตนเอง เพราะฉะนั้นการที่จะให้ผู้คนที่มีนิสัยต่างกัน ศึกษาเรื่องราวที่ต่างกันมาอยู่ร่วมกันอย่างไม่มีข้อขัดแย้งเป็นเรื่องยากมาก การฝึกทหารของฝ่าย Fantasia จึงไม่เข้มงวดเท่าไหร่นัก

     

    ต่างจากฝ่าย Metropolis ทหารทุกนายของฝ่ายนั้นเปรียบเสมือนบุคคลเดียวกัน พวกเขาเคลื่อนไหวราวกับเป็นอวัยวะของอีกคนก็ปาน ด้วยความพร้อมเพรียงกันรวมเข้ากับจำนวนที่มากกว่า ทำให้ฝ่าย Metropolis ไม่เคยกลัวการพ่ายแพ้ เพราะพวกเขารู้เสมอ ว่าหากแขนขาขาดไปข้างหนึ่ง แขนข้างนั้นก็พร้อมจะงอกขึ้นมาใหม่ในทันที

     

    เชสเซอร์กวาดสายตามองหาเวอกัสในกองทัพของอีกฝ่าย เขาไม่ประหลาดใจเท่าไหร่นักที่ไม่เห็นเวอกัส เพราะเวอกัสไม่เคยปรากฏอยู่ในแนวหน้าของสนามรบมาก่อน หากเขาต้องการเข้าไปให้ถึงตัวเวอกัสเขาจำเป็นต้องทำลายทัพหน้านี้ให้ย่อยยับ

     

    เขสเซอร์กำลังอารมณ์ดี แม้ว่าแอร์เชเบตจะทำภารกิจไม่สำเร็จตามที่เขาคาดหวังไว้ แต่เขาก็รู้ดีว่าการส่งเธอไปทำเรื่องแบบนั้นมันไม่ง่ายดายอย่างที่คิด แต่อย่างไรซะเธอก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง ของเล่นที่เขาเลือกมักจะมีความพิเศษในตัวมันเสมอ เขาไม่จำเป็นต้องปลอบใจเธอ เพราะเขาไม่ได้คาดหวังชัยชนะอื่นใดจากตัวเธอไปมากกว่าการถ่วงเวลาไม่ให้หน่วยพิเศษของอีกฝ่ายเข้ามายุ่มย่ามในสงคราม

     

    แค่กองทัพของ Metropolis กับแม่ทัพคนใหม่ก็ทำให้เขาวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ถ้าเพิ่มหน่วยพิเศษที่มีความสามารถแปลกประหลาดเข้าไปอีกสักหลายคน เขาคงจะเริ่มกลับมาปวดหัวอีกครั้ง เขาสัมผัสได้ถึงจิตของแอร์เชเบตเมื่อตอนเช้าแสดงว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องไปเป็นห่วงเธอ ปีศาจในร่างกายของเธอสังเวยทหารแห่ง Metropolis ไปเกือบครึ่งร้อย หากเธอจะมาตายเพราะอาการบาดเจ็บเล็กน้อย เขาก็คงผิดหวังน่าดู

     

    เชสเซอร์หลับตาลงเล็กน้อย เขาต้องการสมาธิเพื่อค้นหาเวอกัสในสงคราม แน่นอนว่าของเล่นชิ้นใหญ่ชิ้นนีเขาต้องจัดการด้วยน้ำมือของตัวเอง เขาตัดกระแสจิตที่ติดต่อกับหน่วยพิเศษทุกคน ณ เวลานี้ภารกิจที่ส่งพวกเขาไปทำนั้นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่เขาสนใจคือสงครามตรงหน้า

     

    เชสเซอร์สั่งให้ทหารคนสนิทเป่าหลอดเขา เสียงปลุกใจดังกระหึ่มไปทั่วด้วยการเสริมพลังของเวทมนตร์ ทหารทุกนายแห่ง Fantasia ฮึกเหิมขึ้นทันที พวกเขาเร่งฝีเท้าเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว

     

    และสงครามที่ก่อตัวมาเป็นเวลานาน ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว

     

    ………………………………………………………………….

     

    เด็กคนนั้นไปไหนแล้วนะสุริยะเอ่ยขึ้นอย่างลอยๆ หลังจากที่เขาหาตัวกวิ้นไม่เจอ สงครามกำลังจะเริ่มในไม่ช้า แต่ทหารนายสำคัญกลับหายไปในช่วงเวลานี้ซะได้ แม้เขาจะไม่ได้สนิทกับกวิ้นสักเท่าไหร่นัก แต่สำหรับเขากวิ้นเปรียบเสมือนเด็กคนหนึ่งเท่านั้น แม้เขาจะรู้ดีว่ากวิ้นก็เป็นหนึ่งในหน่วยเอลฟซีโร่อันเลื่องชื่อก็ตาม

     

    ยานบินของ Metro นั้นใช้เทคโนโลยีการลอยตัวขึ้นจากผิวน้ำเล็กน้อยเพื่อการทรงตัวและการควบคุมที่ดีขึ้น แน่นอนว่าเรือลำนี้ไม่สามารถบินขึ้นสูงไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว เพราะจำเป็นต้องใช้แรงตึงผิวของน้ำช่วยในการพยุงยานบินทั้งลำเอาไว้  ยานบินลำที่สุริยะยืนอยู่ถือเป็นเรือธงของกองทัพเมโทรโปลิส ขนาดอันใหญ่โตของมัน มากพอจะสะกดทุกสายตาที่มองเห็นแม้ว่าจะอยู่จากระยะไกล เพราะเหตุนั้นยานบินลำนี้จึงเปรียบเสมือนเกาะเคลื่อนที่แห่งหนึ่งนั่นเอง การที่จะเดินหาคนที่หายตัวไปในยานลำนี้จึงเป็นไปไม่ได้เลย

     

    สุริยะตัดสินใจเดินไปยังห้องควบคุม เพื่อดูภาพจากกล้องวงจรปิดแทน เมื่อถึงหน้าห้องควบคุมประตูก็เลื่อนออกให้อัตโนมัติหลังผ่านการสแกนชิพบนข้อมือซ้ายเรียบร้อย ภายในห้องประกอบไปด้วยนายทหารยศสูงมากมายกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น

     

    อาแปะกำลังยืนสั่งการอยู่บนแท่นบัญชาการกลางห้อง เขามีชายผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างกาย ยูนิฟอร์มทหารดูใหม่และเพิ่งได้รับการใช้งาน ดูเหมือนว่าจะเป็นนายทหารคนใหม่ แต่สุริยะไม่เข้าใจว่าเหตุใดทหารใหม่คนนั้นถึงได้มียศที่สูงถึงขนาดยืนสั่งการอยู่ข้างๆ อาแปะได้

     

    ทหารใหม่มีผมสีทองและในตาสีฟ้าทะเล โครงหน้าได้รูป หากเขาไม่ขมวดคิ้วเอาไว้ตลอดเวลา เขาอาจจะดูดีกว่านี้ก็เป็นได้

     

    ฉันไม่คิดว่าเธอจะมาปรากฏตัวที่นี่อาแปะพูดขึ้นกับชายหนุ่มด้านข้าง

     

    ผมก็ไม่คิดแบบนั้นเหมือนกัน

     

    พ่อหนุ่มเธอเกลียดสงครามไม่ใช่รึ? แล้วเพชรล้ำค่าอย่างเธอจะมาลำบากในแนวหน้าของสงครามทำไมกัน ด้วยอำนาจของตระกูล…”

     

    เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตระกูลของผมครับคุณอาสเปชายหนุ่มตัดบททันควัน

     

    อาแปะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบไปเห็นสุริยะที่กำลังเดินขึ้นมาบนแท่นบัญชาการ

     

    ฉันว่ากำลังจะตามนายมาพอดีอาแปะหันมาคุยกับสุริยะก่อนจะผายมือออกแนะนำชายหนุ่มด้านข้าง​นี่คือคริสเขาจะมาช่วยเราบัญชาการกองเรือในครั้งนี้ อย่างน้อยก็ช่วยเบาแรงนายได้อีกเยอะแหละนะ

     

    ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อสุริยะสุรินะโค้งตัวคำนับเช่นเดิม คริสสะดุ้งตัวเล็กน้อย ก่อนจะคำนับกลับ นี่เป็นการทักทายที่เขาไม่คุ้นชินเท่าไหร่นัก

     

    ผมชื่อคริสครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับคุณสุริยะคริสกล่าวอย่างนอบน้อม กับคนที่แสดงต่อเขาด้วยความเคารพเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปเป็นศัตรูด้วย คริสรู้สึกดีกับกองทัพของ Metropolis ขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากที่ครั้งแรกเขาพบคนจากหน่วยพิเศษ

     

    หน่วยเดียวกับคาร์เดีย

     

    สุริยะสังเกตุเห็นได้ถึงแววตาของคริสที่เปลี่ยนไป เขาจำแววตานั้นได้ดี เพราะมันเป็นแววตาเดียวกันกับเขาในตอนที่ตัดสินใจเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้

     

    ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดเวิ่นเว้อ เขาเดินเข้าไปบีบไหล่คริสด้วยความเข้าใจ คริสเงยหน้าขึ้นมองสุริยะเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะเจอกับชายตรงหน้าได้ไม่นาน แต่เหมือนเขามีพลังอะไรบางอย่างที่แผ่ออกมาให้เขารับรู้ว่านี่จะเป็นคนที่เขาพึ่งพาได้ในยามคับขัน  

     

    ผมมาตามหากวิ้นน่ะครับ หลังจากทานอาหารเสร็จเขาก็หายตัวไปสุริยะหันไปถามอาแปะข้างๆ ที่กำลังมองท่าทางของทั้งสองอย่างยิ้มๆ

     

    อ่อ เจ้ากวิ้นน่ะเหรอ ไม่ต้องเป็นห่วงไป เขาก็มีสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกันอาแปะหันหน้ามองไปยังทิศทางที่เรือกำลังมุ่งตรงไป กระจกใสที่สร้างขึ้นด้วยวัสดุอย่างดีกำลังเผยให้เห็นภาพท้องฟ้าสีสดใส หลังจากที่ผ่านช่วงพายุมา เมื่อเพ่งสายตาดีๆ เขาเริ่มจะมองเห็นเงาสีดำเม็ดถั่วอยู่ไกลๆ แล้ว  “พวกเจ้ามาเป็นกังวลกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเราจะดีกว่า

     

    อาแปะชี้นิ้วไปยังเงาเม็ดถั่วนั้น ก่อนภาพโฮโลแกรมจะขยายขึ้นมาให้เห็นถึงกองเรือขนาดใหญ่โตมโหฬารของฝ่าย Fantasia

     

    เอาล่ะทุกคน ฉันขอแนะนำให้รู้จักนายพลเมอร์ทัก ผู้ซึ่ง…..แหวกน้ำทะเลได้

     

    ………………………………………………………………….

     

    ให้พลปืนใหญ่นำหน้า”​ เวอกัสเอ่ยเสียงเรียบ เบาพอจะเป็นเสียงกระซิบ

     

    รองแม่ทัพทำสีหน้างุนงงทันที พลปืนใหญ่นั้นเคลื่อนที่ได้ค่อนข้างช้าแต่มีระยะยิงที่ไกลมากการเอาพลปืนใหญ่นำหน้าในสงครามก็เหมือนการฆ่าตัวตายดีๆ นี่เอง

     

    แต่..ท่าน


    ให้หน่วยทหารราบทั้งหมดถอยร่นออกมาเวอกัสออกคำสั่งต่อไปทันที ก่อนจะก้มตัวลงไอไม่หยุด เขาไอจนตัวงอก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วควานหาบุหรี่มวนต่อไปสูบขึ้น

     

    ควันบุหรี่ทำให้จิตใจของเขาสงบลง

     

    เขายื่นมือไปแตะบนบ่าของรองแม่ทัพพร้อมกับแสยะยิ้มเล็กน้อย

     

    กระจายคำสั่งเถอะเวอกัสมองเข้าไปในดวงตาของรองแม่ทัพ

     

    แม้ว่าสภาพร่างกายภายนอกของเวอกัสจะเปลี่ยนไป แต่ภายในดวงตานั้นกลับวาวโรจน์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้รองแม่ทัพปราศจากข้อกังขาทันที เขาหันไปถ่ายทอดคำสั่งอย่างรวดเร็ว  เขาไม่รู้ว่าทำไมเวอกัสถึงได้ออกคำสั่งไปเช่นนั้น แต่เขามั่นใจได้แล้วว่าคนที่อยู่ข้างๆ เขาจะไม่พาเขาไปสู่ความล่มสลาย

    แต่สิ่งที่เขาขบคิดไม่เข้าใจ คือทำไมเวอกัสถึงได้เลือกที่จะมาที่นี่

     

    ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของ Metropolis คือเชสเซอร์แห่งสภาสูง ใครๆ ก็ต่างรู้ว่าคนที่พอจะรับมือกับเชสเซอร์ได้นั้นมีแต่เวอกัสเท่านั้น

     

    แต่เขากลับเลือกที่จะมาประมือกับมัจจุราชแห่งความตาย

     

    แดเนียล

     

    บุกเวอกัสออกคำสั่งต่อไปทันทีโดยไม่ให้รองแม่ทัพตั้งตัว

     

    แม้ว่าเสียงนั้นจะเบาราวเสียงกระซิบก็ตาม

     

    ………………………………………………………………….

     

    เวอกัสไม่ได้อยู่ที่นี่…. เชสเซอร์รู้ได้ทันทีตั้งแต่เสียงกระสุนปืนนัดแรกดังขึ้น บาเรียเวทย์ทำหน้าที่ป้องกันแรงระเบิดได้เป็นอย่างดี ส่วนพวกกระสุนเวทย์นั้น โล่ธาตุที่แจกจ่ายให้ทหารทุกนายก็สามารถป้องกันมันเอาไว้ได้

     

    แม้ว่าเสียงของสงครามจะดังกึกก้องถึงเพียงไหน แต่เชสเซอร์ก็มองเห็นถึงการป้องกันของฝ่าย Metropolis แน่นอนว่านี่เป็นรูปแบบการป้องกันที่รัดกุมที่สุดเท่าที่เชสเซอร์จะนึกได้

     

    แต่ตรงนี้แหละที่ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าเวอกัสไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะหากว่าเวอกัสกำลังต่อกรกับเขาอยู่ การวางแนวป้องกันตรงหน้าจะต้องเป็นไปในรูปแบบที่เขาคาดไม่ถึงแน่นอน

     

    ยังไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไรต่อ กองทัพสีดำทมิฬแนวหน้าของฝ่าย Metropolis ก็ปรากฏสู่สายตา

     

    โฮ่หน่วยทะลวงฟันงั้นเหรอเชสเซอร์เอ่ยขึ้นเบาๆ  หลังจากที่ได้เห็นหน่วยทะลวงฟันอันเลื่องชื่อของฝ่าย Metropolis มนุษย์เหล่านั้นเหมือนถูกสร้างมาเพื่อเบิกทางและทำลายเพียงเท่านั้น น้อยครั้งที่จะได้เอาออกมาใช้ เพราะทหารราบส่วนใหญ่ของ Metropolis มักจะมีอาวุธเป็นปืนเสียมากกว่า

     

    หน่วยทะลวงฟันใช้ดาบพลาสม่าเข้าต่อสู้ในสนามรบ คนเหล่านี้ถูกฝึกมาอย่างเข้มงวดเพราะหากใช้ดาบผิดวิธีอาจจะเป็นการทำร้ายตัวองและฝ่ายเดียวกันได้

     

    เชสเซอร์โบกมือส่งกองทัพนักรบมังกรให้ออกจู่โจมทันที นักรบที่อยู่บนหลังไวเวิร์นหลายพันตัวบินขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงกระพือปีกดังกระหึ่มไปทั่วอานาบริเวณ เมื่อกองทัพนักรบมังกรบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ทางฝ่าย Metropolis ก็ปรากฏยานรบบินขึ้นมาเช่นเดียวกัน

     

    ถือเป็นการตัดสินใจที่เร็วเกินคาด กองทัพของ Fantasia กำลังจะทำการเข้าประชิดกับหน่วยทหารราบแห่ง Metropolis แต่การเคลื่อนที่ของกองทัพนักรบมังกรไวกว่า เสียงกระพือดังกระหึ่มไม่ขาดสาย แน่นอนว่าจะเข้าถล่มแนวหน้าในไม่ช้า นายหทารยศ Harbringer ผู้นำทัพเหล่าไวเวิร์นบินนำหน้าเหล่าทหารในสังกัด สร้างความฮึกเหิมให้กับกองทัพอย่างยิ่ง

     

    แต่ทันใดนั้นไวเวิร์นทั้งหลายต่างก็ตื่นตระหนก หลังจากที่มีสัตว์ประหลาดสีดำตัวหนึ่งพุ่งขึ้นมาโจมตีจากพื้นดิน การโจมตีที่รุนแรงและเด็ดขาดนั้นทำให้แม้กระทั่งผู้นำทัพไวเวิร์นที่อยู่บนหลังยังไม่ทันได้ตอบโต้

     

    ครึ่งคนครึ่งอีกาตัวสำดำสนิทกระพือปีกข่มขวัญเหล่าไวเวิร์นทั้งหลายเอาไว้ กรงเล็บจิกเข้าไปที่หัวของไวเวิร์นตัวหนึ่งจนสิ้นลม แม้ว่ามันจะแบกรับน้ำหนักของไวเวิร์นตัวหนึ่งเอาไว้แต่ดูไม่มีทีท่าลำบากในการรักษาระดับการบินแต่อย่างใด

     

    เสียงคำร้ามของอีกาแสบแก้วหูดังกึกก้อง กลบเสียงกลองและเสียงกระพือปีกไปสิ้น หรือแม้แต่เสียงของยานบินที่เคลื่อนที่มาถึงแล้ว

     

    การโจมตีที่ไม่คาดฝันทำให้ทัพนักรบมังกรชะงักไปชั่ววูบ การถ่วงเวลาแม้เพียงเล็กน้อยทำให้อำนาจการโจมตีของฝ่าย Fantasia ลดลงไปอย่างมาก กองยานบินของฝ่าย Metropolis เข้าสู่สมรภูมิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยไม่ต้องรอคำสั่งใดๆ สงครามน่านฟ้าก็ได้เปิดฉากขึ้นทันที

     

    โครวเหวี่ยงไวเวิร์นที่ตัวเองเพิ่งปลิดชีพไปโยนเข้าใส่ไวเวิร์นอีกตัวจนเสียหลัก ก่อนที่เขาจะร่อนลงมาสุ่พื้นดิน

     

    เชสเซอร์รู้ได้ทันทีว่านั่นคือแม่ทัพคนใหม่แห่ง Metropolis

     

    โครวเมื่อลงมาถึงพื้นก็กลับร่างเป็นคนธรรมดาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะมองตรงไปที่ซุ้มบัญชาการบนหลังของสัตว์อสูรยักษ์ที่อยู่ห่างไกลออกไป เขารู้ดีว่าเชสเซอร์กำลังจับจ้องเขาอยู่เช่นกัน

    แม้ว่าระยะทางระหว่างทั้งสองจะห่างไกลกันพอสมควร แต่ดวงตาสีแดงสดของเชสเซอร์ก็สามารถมองเห็นได้ถึงแผนการอันน่ารังเกียจในหัวของโครว

     

    เวอกัสรู้ดีว่าเชสเซอร์อยากฆ่าเขาด้วยมือของตัวเองจนตัวสั่น ซึ่งแน่นอนว่าเขาย่อมไม่รอรับความตายที่หลีกหนีไม่ได้อยู่แล้ว การปกป้องเตาปฏิกรณ์การวาร์ปสำคัญก็จริง หากไม่มีใครมาหยุดเชสเซอร์ไว้เทคโนโลยีการวาร์ปอาจจะใช้ไม่ได้อีกตลอดกาล และแม้เวอกัสจะขึ้นมาบัญชาการรบด้วยตนเอง ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเชสเซอร์จะต้องพ่ายแพ้

     

    แต่ถ้าหากจะล่อให้เชสเซอร์ออกไปไกลจากเตาปฏิกรณ์ล่ะก็เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว

     

    แดเนียลย่อมได้รับคำสั่งให้ฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าอยู่แล้ว การที่เวอกัสอยู่ในสนามรบและกำลังเผชิญหน้ากับแดเนียลจึงเป็นเรื่องที่เชสเซอร์ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเป็นที่สุด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นความต้องการในตัวของเชสเซอร์คงไม่มีวันถูกชดเชยอย่างแน่นอน

     

    เชสเซอร์ต้องเลือกว่าจะทำเพื่อประเทศ Fantasia โดยการทำลายเตาปฏิกรณ์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก หรือเลือกที่จะเดินทางลงไปทางใต้เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง

     

    ภาพในหัวของโครวประดังเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งเชสเซอร์เห็นถึงแววตาของเวอกัส แววตาที่วาวโรจน์อยู่นั่นไม่ใช่สายตาของคนที่ไม่ยอมแพ้ แต่เป็นของคนที่พร้อมจะตายอยู่ทุกเมื่อต่างหาก! เขามั่นใจเกินร้อยว่าเวอกัสที่กำลังนำทัพอยู่จะต้องวางแผนการให้ตนเองเสียชีวิตอย่างสมเกียรติภายใต้เงื้อมมือของแดเนียลอย่างแน่นอน

     

    ไม่ว่าเขาจะสั่งแดเนียลว่าอะไรก็ตาม หากเวอกัสต้องการจะตายด้วยน้ำมือของแดเนียล เขาย่อมมีข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้อย่างแน่นอน

     

    บัดซบ…” เชสเซอร์ปลดปล่อยความเกรี้ยวโกรธออกมาเป็นพลังกดดันเสียจนสัตว์อสูรรอบๆ แตกตื่น เชสเซอร์หายใจเข้าลึกๆ เพื่อสะกดอารมณ์ของตนไว้ก่อนจะออกคำสั่งให้รองแม่ทัพ

     

    เรียกตัวคาลกับซาฟาร์มาหน่อย

     

    ………………………………………………………………….

     

    โครวขยับท่าทางเพื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายหลังจากบินขึ้นไปโจมตีไวเวิร์นบนท้องฟ้า  เขาร่อนลงที่แนวหน้าของกองทัพ สงครามบนฟากฟ้าเปิดฉากก่อนเสมอขณะที่กองทัพทางฝ่าย Fantasia ด้านหน้ายังคงกำลังเร่งทัพเพื่อเข้ามาโจมตี

     

    ขบวนทัพของฝ่าย Fantasia ดูค่อนข้างยุ่งเหยิง แต่แน่นอนว่าเขารู้ถึงความน่ากลัวของมันดี ความไม่มีแบบแผนเป็นจุดเด่นของ Fantasia และเขาจะไม่มีวันประมาทมันอย่างเด็ดขาด

     

    โครวชื่นชอบการบัญชาการระหว่างสู้รบอย่างมาก เขาเชื่อว่าการเข้ามาบัญชาการทัพในแนวหน้าขณะต่อสู้ไปด้วย ทำให้เขาสามารถมองเห็นได้ถึงจุดอ่อนในสงครามและสามารถป้องกันมันได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งยังคอยสั่งทัพสนับสนุนให้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วทันใจทุกๆ ครั้งที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลง

     

    กองทัพฝ่ายแฟนตาเซียกำลังใกล้เข้ามา โครวเดินนำหน้าเหล่าหน่วยทะลวงฟัน ก่อนจะโบกมือเล็กน้อยเพื่อให้หน่วยยิงสนับสนุนเข้าประจำที่

     

    ทันทีที่ถึงระยะยิงเสียงปืนนัดแรกก็ดังขึ้นทันทีโดยไม่ต้องรอให้โครวออกคำสั่ง พร้อมๆ กับแนวหน้าของฝ่าย Fantasia ที่ดูเหมือนจะใช้พลังเวทมนตร์อะไรบางอย่างเพิ่มความเร็วจนพุ่งเข้ามาในระยะประชิด

     

    โครวล้วงอาวุธคู่ใจที่เป็นมีดสั้นขึ้นมาทันที เขาตัดสินใจเรียกปีกในร่างอีกาออกมใช้ แต่ยังคงความเป็นมนุษย์ในส่วนอื่นๆ เอาไว้  แนวหน้าของ Fantasia แม้จะรวดเร็วด้วยอำนาจเวทมนตร์ แต่การตอบสนองของพวกเขาเหล่านั้นยังสู้กับโครวไม่ได้ มีดสั้นปาดเข้าไปที่คอหอยของเหยื่อรายแรก โครวไม่รอช้าเขาพุ่งพร้อมกับพลิกตัวกลางอากาศก่อนจะสะบัดมีดออกไปด้านหน้า มีดปักเข้าที่หัวของศัตรูอีกคนก่อนที่เขาจะพุ่งทะยานไปกระชากมีดออกตามด้วยม้วนตัวกลางอากาศเพื่อฟันเข้าไปคอของทหารอีกนาย

     

    ชั่วพริบตาเดียวโครวฆ่าทหารของ Fantasia ไปสามนายโดยที่พวกเขายังไม่ได้ทันตอบโต้ เรียกได้ว่าต่อให้มีพลังเวทมนตร์เปี่ยมล้นแค่ไหนแต่ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ โครวใช้ปีกพยุงเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนแปลงท่าทางของตนเองเมื่อต้องพุ่งตัวไปมาในอากาศ การโจมตีของเขายากจะคาดเดาได้ ขณะที่โครวโจมตี เขาก็ได้บัญชาการทัพไปด้วย

     

    หน่วยปืนใหญ่ที่อยู่ด้านหลังเริ่มระดมยิงไม่ขาดสาย แนวหน้าของสงครามกลายเป็นสุสานของฝ่าย Fantasia ด้วยระยะหวังผลได้แบบนี้ บาเรียเวทมนตร์ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่นัก

     

    แต่ยังไม่ทันที่โครวจะได้ดีใจ  แนวหน้าของฝ่าย Fantasia ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เหล่าทหารแหวกออกเปิดทางให้ทัพสัตว์อสูรเกราะหนาวิ่งฝ่าเข้ามา ด้านหน้านำโดยชายหนุ่มสองคนบนหลังม้าสีขาวดำคู่หนึ่ง  

     

    คาล และ ซาฟาร์

     

    แฝดนรกปรากฏตัวแล้ว โครวได้ยินกิตติศัพท์ของสองพี่น้องคู่นี้มาบ้าง ว่ากันว่าถ้าพวกเขาร่วมมือกัน แม้แต่ฝีมือระดับปริภูมิก็ยังต้องหวั่นเกรง ดูท่าการปรากฏตัวของคาลและซาฟาร์จะเรียกขวัญกำลังใจของทหารฝ่านนั้นอย่างมาก เสียงตะโกนเรียกชื่อแฝดนรกดังไม่ขาดสาย  และดูเหมือนพลังอำนาจการบุกทำลายที่ขาดหายไปเมื่อสักครู่จะกลับมาอีกครั้ง

     

    เห็นทีว่าจะต้องฆ่าสองคนนี้ก่อน

     

    รวดเร็วเท่าความคิด โครวเปลี่ยนร่างเป็นอีกาขนาดยักษ์ทันที  เมื่อเห็นดังนั้นคาลกับซาฟาร์ก็แสยะยิ้ม ทั้งคู่หันมามองหน้ากันเล็กน้อย

     

    วันนี้ฉันอยากกินนกย่างคาลพูดขึ้นระหว่างเร่งความเร็วของม้าสีดำทมิฬไปด้วย เขาหยิบกระบี่คู่ที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋ามิติออกมาอย่างรวดเร็ว

     

    ดาบทั้งสองมีสีฟ้ากับสีแดง ถูกตีขึ้นมาจากแร่ธาตุธรรมชาติดูเหมือนว่าจะมีพลังแห่งธาตุครอบคลุมอยู่ตลอดเวลา ส่วนซาฟาร์ก็ไม่น้อยหน้า เขาหยิบง้าวที่ยาวกว่าตัวของเขาเกือบครึ่งเมตรออกมาจากกระเป๋ามิติเช่นเดียวกัน ง้าวสีเขียวมีลายสลักเป็นรูปเทพมังกรโบราณลักษณะคล้ายงูพันตามด้ามจับ  มีพลังธาตุลมหมุนวนอยู่รอบๆ

     

    เนื้ออีกาไม่อร่อยหรอกน่าซาฟาร์ตอบกลับ เขาเร่งความเร็วตามคาลอย่างทันท่วงที ม้าของทั้งคู่แปลกประหลาดเหมือนคนทั้งสอง แม้ว่ามันจะเป็นสีขาวและดำแต่ม้าทั้งสองนี้เป็นแฝดกัน

     

    โครวได้ยินเสียงบทสนทนาตั้งแต่ระยะไกลก็อดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เขาพุ่งตัวเข้าไปหาคาลกับซาฟาร์ด้วยความรวดเร็วเกินกว่าใครจะตามทัน ลมกรรโชกพัดเอาม้าทั้งสองตัวต้องยกขาคู่หน้าด้วยความตกใจ

     

    แต่ร่างของแฝดนรกทั้งสองได้หายไปจากหลังม้าแล้ว

     

    ซ้ายหนึ่ง ขวาหนึ่ง คาลกับซาฟาร์กระโดดขึ้นจากหลังมาพร้อมกับลอยตัวอยู่กลางอากาศ โครวแหงนหน้ามองตามพร้อมกับส่งเสียงร้องแหลมบาดหู สมรภูมิทางอากาศเป็นของเขาตลอดกาล

     

    โครวไม่รอช้า พุ่งเข้าหาคาลก่อนทันที กรงเล็บที่แหลมคมล๊อคตรงเข้าสู่เป้าหมาย

     

    แต่ก่อนจะถึงตัวคาลโครวก็ได้ยินเสียงหนึ่งเรียกความสนใจไปเสียก่อน

     

    โดน!!ซาฟาร์ตะโกนเสียงดังกึกก้อง

     

    ง้าวใหญ่ยักษ์ฟาดมาด้วยกำลังสูงสุด โครวแปลกใจที่ซาฟาร์เปลี่ยนทิศทางกลางอากาศได้เหมือนเขา แต่เมื่อเขาสังเกตุเห็นถึงพลังธาตุลมที่แฝงอยู่ในง้าวนั้นแล้วเขาก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่  การพลิกตัวหลบสำหรับโครวไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลย อย่างที่บอกไปแล้วว่าสมรภูมิกลางอากาศเป็นของเขาอย่างแน่นอน

     

    ฉึก..

     

    ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจากด้านข้าง ง้าวของซาฟาร์พลาดเป้าหมายเพราะง้าวที่ใหญ่ขนาดนั้นย่อมตามคามเร็วของเขาไม่ทัน แต่ไม่ใช่กระบี่คู่ของคาลที่เจ้าตัวเพิ่งรอดพ้นจากกรงเล็บของโครวไปหมาดๆ

     

    ก็บอกแล้วไงว่าโดนคาลยิ้มย่อง ก่อนจะโดนโครวเอาปีกสะบัดตบคาลกระเด็นออกไป คาลไม่มีทางเลือกนอกจากถอนกระบี่คู่ที่ปักเข้าไปในกล้ามเนื้อของโครวออกมาป้องกันเอาไว้ เพราะเป็นการสะบัดอย่างกระทันหัน ทำให้พลังในการโจมตีมีไม่เยอะมากพอจะทำให้คาลบาดเจ็บ

     

    ร่างของคาลถูกพัดออกไป แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์  คาลสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะตะโกนเสียงดังกึกก้อง

     

    โดน!!!

     

    โครวหันหัวกลับไปหาซาฟาร์ที่อยู่อีกข้างทันที ด้วยความระแวงเขาเริ่มรู้แล้วว่าการตะโกนแบบนี้เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายโจมตีเขาจากด้านหลัง แต่ซาฟาร์ไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกต่อไปแล้ว หลังจากที่ซาฟาร์ฟันง้าวพลาดเป้าหมาย เขาก็ทิ้งร่างลงตามแรงโน้มถ่วงพร้อมกับควบคุมธาตุลมในอาวุธให้เคลื่อนตัวไปด้านหนัาเล็กน้อย

     

    บัดนี้ซาฟาร์เคลื่อนที่มาอยู่ด้านหลังของคาลพอดิบพอดีเหมือนวางแผนกันเอาไว้แต่แรก คาลงอตัวก่อนจะถีบเข้าไปที่ง้าวของซาฟาร์เต็มแรง ธาตุลมหนุนส่งเสริมให้คาลพุ่งกลับไปหาโครวด้วยความเร็วยากจะหยั่งถึง

     

    กระบี่สีแดงเฉือนเข้าที่ไหล่ของโครวไปเล็กน้อย แม้บาดแผลจะไม่ลึกมาก แต่โครวกลับรู้สึกแสบร้อนอย่างรุนแรง

     

    ฉันเป็นคนตะโกนบอกแท้ๆ นายหันไปมองทางไหนกัน หืม?”  คาลพูดเยาะเย้ย

     

    โครวสติขาดผึง เขาเร่งสัญชาติญาณดิบของสัตว์ออกมาจนสูงสุด ร่างกายของเขาพุ่งเป็นเงาสีดำตรงเข้าหาคาลทันที

     

    โดน!!คาลตะโกนก้องอีกครั้ง แต่ครั้งนี้โครวไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว หากเขาฆ่าคาลที่อยู่ตรงหน้าได้ก่อน อานุภาพของแฝดนรกก็จะไม่มีเหลืออีกต่อไป

     

    แต่ทันใดนั้นเสืยงง้าวที่กรีดกับสายลมก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของโครว หลังจากที่คาลดีดตัวกระโดดออกไป ซาฟาร์ก็เขวี้ยงง้าวตามออกมาในทันที แม้ว่าโครวจะรวดเร็วสักเพียงไหน แต่ง้าวที่ถูกเร่งด้วยธาตุลมย่อมพุ่งมาเร็วยิ่งกว่า  โครวจำเป็นต้องโยกตัวหลับง้าวนั่นทันที ความเร็วของเขาตกลงไปบ้าง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาตั้งใจเปลี่ยนเป้าหมาย โครวยังคงพุ่งตรงไปที่คาล

     

    จนกระทั่งเขาสังเกตุเห็นว่า คาลไม่มีกระบี่อยู่ในมือแล้ว

     

    คาลที่ปราศจากอาวุธ เอื้อมมือไปรับง้าวที่พุ่งตรงเข้ามาอย่างเหมาะเจาะ ก่อนจะหยิบขึ้นมาป้องกันกรงเล็บของโครวอย่างทันท่วงที นี่แสดงว่าซาฟาร์ตั้งใจโยนง้าวให้คาลตั้งแต่แรก ไม่ใช่เพื่อโจมตีเขา เพราะคาลรู้ดีว่าลำพังแค่กระบี่สองเล่มไม่สามารถต้านรับการโจมตีอันหนักหน่วงขนาดฆ่าไวเวิร์นในทีเดียวได้อย่างแน่นอน

     

    แล้วกระบี่ของคาลหายไปไหน?

     

    คำตอบนั้นตามมาด้วยเสียงกระบี่ที่แทงลึกเข้ามาที่แผ่นหลังของโครว

     

    กระบี่อยู่ในมือของซาฟาร์  เขาพุ่งขึ้นมารับกระบี่ที่คาลทิ้งมาให้ในจังหวะที่เขาปาง้าวขึ้นไปพร้อมๆ กัน

     

    ก็บอกแล้วว่าโดนซาฟาร์แสยะยิ้ม ก่อนจะกดกระบี่ลึกเข้าไปอีก

     

    โครวกรีดร้องลั่น  เขาตัดสินใจบิดตัวอย่างรวดเร็วเพื่อดีดกระบี่ออก พร้อมกับออกแรงถีบคาลให้กระเด็นออกไป โครวร่อนลงไปที่พื้นก่อนจะพยายามใช้เทคโนโลยีรักษาบาลแผลอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อของเขาเริ่มสมานตัว แต่อาการบาดเจ็บจากพลังธาตุนั้นไม่ได้ทุเลาลงเท่าไหร่เลย

     

    โครวสังเกตไปที่สถานการณ์รอบตัว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กินเวลาไม่ถึงห้านาที แต่โฉมหน้าของสงครามได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว พลปืนใหญ่ที่ระดมยิงเข้าใส่แนวหน้าของ Fantasia ยังไม่หยุดยิงก็จริง แต่เหล่าสัตว์อสูรเกราะเหล็กได้เข้ามาต้านรับเอาแรงระเบิดทั้งหมดเอาไว้ พวกมันวิ่งเข้ามาถึงทัพหน้าเป็นรูปขบวนหน้ากระดาน พร้อมกับมีโล่เหล็กขนาดยักษ์ติดมาด้วย บนโล่มีอักขระบางอย่างที่สมารถลดทอนแรงระเบิดจนไม่มีเหลือ

     

    สิ่งที่โครวแปลกใจไม่ใช่เรื่องที่สัตว์อสูรเข้ามาสู่แนวหน้า แต่เขากำลังงุนงงว่าใครเป็นคนสั่งการแปรขบวนทัพให้สัตว์อสูรเหล่านี้ขณะที่เขากำลังสู้กับคาลและซาฟาร์อยู่

     

    แต่ไม่นานเขาก็คิดได้คาลกับซาฟาร์ ถนัดเหมือนกันกับเขา นั่นคือการบัญชาการรบในแนวหน้าเช่นเดียวกัน กระแสจิตที่ถูกส่งต่อไปยังรองแม่ทัพและภาษามือที่ใช้สั่งการทหารราบ ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มสู้ ในขณะที่โครวไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เพราะแค่รับมือกับแฝดนรกก็ตึงมือสุดๆ แล้ว

     

    รวดเร็วเท่าความคิด คาลกับ ซาฟาร์ที่โดนสะบัดออก ก็ทิ้งตัวลงมาตามแรงโน้มถ่วงจากสองข้าง ซ้ายหนึ่ง ขวาหนึ่ง ทั้งคู่โยนอาวุธคืนให้กันกลางอากาศอีกครั้ง ก่อนจะตะโกนเสียงดังกึกก้องพร้อมๆ กัน

     

    โดน!!

     

    ตวัดซ้ายป่ายขวาอันยอดเยี่ยม

     

    แล้ววันนั้นโครวก็เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงได้ฉายาว่าแฝดนรก

     

    แต่อย่างน้อยโครวก็ยังพอมีโชคอยู่บ้าง เพราะเวอกัสคาดการณ์ไม่ผิด

     

    เชสเซอร์ได้จากไปจากสนามรบนี้แล้ว

     

    ………………………………………………………………….

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×