คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : [Side story Vol.3.1] Funeral for a friend
[Side story Vol.3.1] Funeral for a friend
ลิลลี่ช่อหนึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของเชสเซอร์ นีวาร์หนึ่งในสมาชิกของหน่วยพิเศษและเจ้าของร้านขายดอกไม้ส่งมอบมาให้เขาเองกับมือ แน่นอนว่าดอกไม้ช่อนี้เขาไม่ได้ส่งมาให้ตัวเอง เขาเหลือบมองแดเนียลที่นั่งอยู่ด้านข้าง ท่าทางของแดเนียลยังนิ่งเงียบเหมือนเคย แต่เชสเซอร์สัมผัสได้ถึงท่าทางที่แปลกออกไป เมื่อปราศจากปริภูมิแดเนียลแลดูเหมือนไม่มีเป้าหมายในการเข้าร่วมสงคราม ที่ผ่านมาเชสเซอร์เก็บปริภูมิเอาไว้โดยไม่จำกัดทิ้งก็เพราะเหตุนี้ด้วยเช่นกัน เขารู้ดีว่าถ้าอีกฝ่ายเสียควีนไป เขาก็จะใช้การควีนของตัวเองได้ไม่มากนัก
แต่แดเนียลรับคำขอร้องของเชสเซอร์เอาไว้แล้ว ว่านี่จะเป็นสงครามครั้งสุดท้าย
จากที่เจ้าตัวนั่งเงียบๆ และไม่ค่อยพูดอะไรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คราครั้งนี้กลับยิ่งเงียบเข้าไปใหญ่ เสียงสายฝนที่อยู่ด้านนอกทำให้บรรยากาศในห้องอึมครึมขึ้นอีกขั้น เชสเซอร์ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
“วันนั้นนายได้เก็บวิญญาณปริภูมิไปรึเปล่า?” เชสเซอร์กล่าวขึ้น เขารู้ดีว่าจังหวะที่ปริภูมิล้มลง แดเนียลจ้องมองไปที่วิญญาณของปริภูมิด้วยอาการตกใจ
แดเนียลส่ายหัว
เชสเซอร์ไม่ถามต่อว่าทำไม เพราะเขารู้ดีว่าแดเนียลปรารถนาที่จะเกี่ยววิญญาณของปริภูมิออกมาด้วยตนเองมานานหลายปี แต่สิ่งที่แดเนียลเห็นตรงหน้าในวันนั้นกลับเกิดขึ้นด้วยฝีมือคนอื่น
“ฉันอยากให้ไอ้หมอนั่นได้ประกอบพิธีกรรมก่อน” แดเนียลพูดขึ้นช้าๆ เขาลุกขึ้นยืนเตรียมตัวที่จะเดินออกไปนอกห้อง “วันนี้เป็นวันฝังศพ”
เชสเซอร์ยิ้มเล็กน้อย เขารู้ดีว่าแดเนียลกำลังจะไปร่วมงานศพของปริภูมิ ซึ่งแน่นอนว่านั่นรวมไปถึงการเก็บวิญญาณเข้ามาร่วมอยู่ในเคียว วิญญาณที่ถูกแดเนียลเก็บเกี่ยวจะไม่ได้ไปสู่สุขคติ แต่จะร่ำร้องคร่ำครวญทุกทรมาณแสนสาหัสอยู่ในเคียวเล่มงามชิ้นนั้น จนกว่าแดเนียลจะปลดปล่อยดวงวิญญาณให้เป็นอิสระ
เชสเซอร์คิดว่าแดเนียลคงจะปลดปล่อยดวงวิญญาณของปริภูมิไปในทันที แม้ว่ายมทูตจะไร้หัวใจแต่แดเนียลเป็นผู้ให้เกียรติคู่ต่อสู้เสมอ การไปสู่สุขคติของวิญญาณมีได้หลากหลายวิธี บางครั้งอาจจะไม่ต้องพึ่งยมทูตก็ได้ เคยมีพิธีกรรมอันเก่าแก่ที่ใช้ไฟเป็นสื่อนำวิญญาณไปสู่สุขคติ… ซึ่งนั่นจะทำให้แดเนียลไม่จำเป็นต้องเข้าไปปลดปล่อยดวงวิญญาณด้วยตัวเอง
“ถ้านายจะไปร่วมงาน เอาดอกไม้นี่ไปด้วยล่ะกัน” เชสเซอร์พูดพลางยื่นช่อดอกไม้ที่จัดอย่างสวยงามให้ “ฝากเอาไปให้ถึงมือเวอกัสล่ะ”
แดเนียลรับช่อดอกไม้มาก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย เขาค่อยๆ เดินออกจากห้องไปก่อนจะหายไปในเงามืด
อันที่จริงช่วงเวลานี้เป็นเวลากลางวัน แต่ด้วยพายุที่เข้ามาเมื่อสามสี่วันก่อนทำให้ฟ้องฟ้ามืดครึ้มราวกับยามค่ำคืน เชสเซอร์เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง นี่ก็ผ่านมาได้สามวันแล้วนับจากวันที่ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ เชสเซอร์รู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่พายุพัดผ่านพ้นไปสงครามเต็มรูปแบบก็จะเริ่มต้นขึ้นทันที
สายฝนยามนี้ก็เหมือนการแสดงความเสียใจให้แก่แม่ทัพแห่ง Metropolis
‘เสียใจซะให้พอเวอกัส…เสียใจซะให้พอ….เพราะเมื่อพายุผ่านพ้นไปเมื่อไหร่….’
เชสเซอร์แสยะยิ้ม ก่อนกำลังจะคิดว่าครั้งหน้าเขาจะสั่งดอกไม้อะไรส่งไปให้กับ Metropolis ดี
เพราะครั้งหน้าคนที่ชื่นชอบดอกลิลลี่
ก็คงจะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว
…………………………………………………………………...
สายฝนแม้ว่าจะซาลงบ้างแล้วแต่ก็ยังคงกระหน่ำลงอย่างไม่ปราณี แต่น่าแปลกใจที่สายฝนครานี้ไม่ได้มาพร้อมกับลมพายุอย่างเคย ดูเหมือนว่าแม้กระทั่งท้องฟ้าก็ยังรับรู้ถึงความเสียใจของชาวเมือง Metropolis ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ความทุกข์ของชายผู้หนึ่ง
เวอกัสเดินนำหน้าขบวนแห่ศพ ประชาชนแห่งเมโทรโปลิสทุกคนต่างร่วมยืนไว้อาลัยตามทาง ทั้งหมดยืนเปิดช่องเป็นเส้นทางสู่สุสานที่ทำพิธี แม้ว่าฝนจะโปรยปรายลงมามากขนาดไหน แต่ประชาชนทั้งหลายก็ยังไม่ยอมกลับออกไป
ผมสีทองที่เคยงดงามบัดนี้เปียกปอนอย่างช่วยไม่ได้ ผมของเขาเลื่อนมาปรกหน้าจนไม่มีใครสังเกตุเห็นได้ถึงแววตาอันแสนเศร้า ตั้งแต่วันที่เวอกัสประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ… ก็ไม่มีใครเคยเห็นเวอกัสเปิดปากพูดอีกเลย เขามักหมกตัวอยู่ในห้องโดยใช้ข้ออ้างว่าเขาเตรียมตัวรับมือกับสงคราม
แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำสิ่งใดกันแน่
เวอกัสมองตรงไปด้านหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย เขาเดินอย่างเชื่องช้าแต่ยังคงรักษาไว้ซึ่งความสง่าผ่าเผย ไม่รีบร้อนราวกับมีความหวังให้คนที่อยู่ในโลงศพฟื้นขึ้นมาแล้วพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มอันแสนกวนว่า “ไอ้ควาย มึงโดนกูหลอกแล้ว!!” แต่ไม่ใช่เช่นนั้น โลงสีดำใบนั้นยังคงนิ่งสนิท เขาชำเลืองมองไปที่เอเลี่ยนซึ่งกำลังยกโลงศพเป็นคนแรก สีหน้าของเอเลี่ยนเรียบเฉยไร้ความรู้สึกเช่นเคย เพียงแต่นัยตาของเขาแสดงถึงความว่างเปล่าอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เวอกัสไม่พูดอะไร เขาหันกลับมาแล้วก้มหน้าเดินต่อไป
เส้นทางที่ยาวไกลได้นำเวอกัสมาอยู่ที่หน้าหลุมศพของปริภูมิ พิธีศพมีขึ้นอย่างเรียบง่ายเวอกัสคิดว่าหากปริภูมิมีชีวิตอยู่เจ้านั่นก็คงต้องการแบบนี้เช่นเดียวกัน บาทหลวงคลอเทียสเป็นผู้นำพิธีสวด เวอกัสได้ตกลงกับคลอเทียสแล้วว่าจะยังปิดเรื่องความสัมพันธ์ของเขาเอาไว้เป็นความลับไม่ให้รีน่ารู้
ระหว่างพิธีสวดเวอกัสรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาด เหมือนเขาเคยสัมผัสได้มาก่อน สายตาของเขาชำเลืองมองไปยังกลุ่มฝูงชนอย่างรวดเร็ว
แดเนียลยืนอยู่ตรงนั้นปะปนอยู่กับฝูงชน แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ตัวว่าแดเนียลยืนอยู่ตรงนั้น แต่เวอกัสรู้ เขาเคยเจอหน้าแดเนียลมาก่อน กลิ่นอายแห่งความตายของแดเนียลในวันนี้ดูเหมือนจะไม่รุนแรงมากนัก อาจจะเป็นเพราะสายฝนที่พัดเอากลิ่นดินขึ้นมากลบ หรืออาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวกำลังอยู่ในอารมณ์เศร้าเสียใจก็เป็นได้
แดเนียลเดินเข้ามายื่นดอกไม้ให้กับเวอกัส
“ของฝากจากเชสเซอร์” แดเนียลพูดประโยคนี้เบาราวเสียงกระซิบ
เวอกัสรับช่อดอกไม้มา ดอกลิลลี่ยังคงส่งกลิ่นหอมอยุ่แม้อยู่กลางสายฝน เวอกัสรู้ดีว่าเชสเซอร์ต้องการจะสื่ออะไร วันที่เวอกัสได้เข้าสังหารครอบครัวของลุงแซมเขาก็เป็นคนวางช่อดอกลิลลี่ไว้บนโต๊ะเอง เชสเซอร์คงมองเห็นเหตุการณ์นี้ผ่านสายตาของเขาในวันประกาศสงคราม
มีการ์ดใบเล็กๆ อยู่ในช่อดอกไม้ เวอกัสออกมาหยิบอ่านดู
“รุกฆาต” - ด้วยรักและคิดถึง เชสเซอร์
เวอกัสอ่านแล้วกำหมัดแน่น การ์ดที่อยู่ในมือถูกขยี้ตามแรงจนไม่เหหลือชิ้นดี การ์ดช่อดอกไม้ของนีวาร์แม้จะเป็นเล็กกระทัดรัดแต่ทำจากวัสดุที่แข็งอย่างไม่น่าเชื่อ การ์ดใบแข็งบาดมือของเวอกัสลึกจนเลือดไหล แต่ความเจ็บปวดที่เขาได้รับไม่ได้ทำให้เขาคลายแรงลง เขากลับออกแรงกำมากเข้าไปอีก
หยดเลือดค่อยๆ ไหลลงบนพื้นช้าๆ ผสมปนเข้ากับเม็ดฝนจนไม่เหลือร่องรอยใดๆ ทิ้งไว้
“นายมาเพื่อเก็บวิญญาณงั้นเหรอ?…” เวอกัสพูดขึ้นเบาๆ เสียงของเขาแหบแห้งเหมือนคนที่ไม่ได้เปิดปากพูดมาหลายวัน นัยตาสีเขียวแฝงไว้ด้วยความคั่งแค้นมองไปที่แดเนียล
แดเนียลสะดุ้งตัวเล็กน้อย ไม่รู้เพราะอะไรเขารู้สึกได้ถึงความน่ากลัวบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวของเวอกัส แต่ก็เพียงแต่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น
“ก็ไม่เชิง” แดเนียลบอก “มาปลดปล่อยวิญญาณน่ะ”
เวอกัสก้มหน้าลง ดวงตาของเขากลับมาเศร้าสร้อย
“...วิญญาณ...” เขาดูเหมือนต้องการจะถามอะไรบางอย่างแต่พูดไม่ออก เขารวบรวมสมาธิขึ้นมาใหม่ก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้ง “ วิญญาณของหมอนั่น...ดูมีความสุขรึเปล่า”
“อืม…” แดเนียลจ้องมองไปยังความว่างเปล่าเหนือโลงศพ เวอกัสรู้ดีว่าแดเนียลมองอะไรอยู่ “หมอนั่นบอกว่านี่ไม่ใช่ความผิดของนาย”
“....”
แล้วเวอกัสก็กำหมัดแน่นกว่าที่เคย...
สายฝนซาลงแล้ว ผู้คนที่อยู่รอบตัวของเวอกัสก็เช่นเดียวกัน เขายืนอยู่หน้าหลุมศพของปริภูมิหลายชั่วโมง นานพอจะสังเกตุเห็นว่าพระอาทิตย์ที่ไม่เคยได้ส่องแสงลาลับฟ้าไป
แดเนียลกลับไปแล้ว หลังจากที่เวอกัสขอร้องกับแดเนียลว่าเขาจะส่งร่างของปริภูมิเข้าพิธีกรรมชำระล้างด้วยไฟเพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณเอง แดเนียลไม่พูดอะไร เขาเดินจากไปอย่างเงียบเชียบและไร้คำร่ำลา เวอกัสก้มลงไปวางดอกลิลลี่ลงที่หน้าหลุม เขาไม่แน่ใจว่าวิญญาณของปริภูมิยังจะมองเห็นเขาอยุ่ไหม หรือว่าแดเนียลที่เดินจากไปจริงๆ แล้วได้เก็บวิญญาณของปริภูมิไปด้วยแล้ว
เวอกัสล้วงหยิบเอาบุหรี่ยี่ห้อสายฝนขึ้นมา อันที่จริงแล้วปริภูมิชอบบุหรี่ยี่ห้อเพลงไทยมากกว่า แต่ในสภาพอากาศไม่เป็นใจอย่างนี้เวอกัสก็คงมีตัวเลือกไม่มากนัก เวอกัสจุดบุหรี่ขึ้น เขาไม่ชอบสูบบุหรี่ แต่แน่นอนว่าเจ้าคนที่ทอดร่างอยู่ตรงหน้าเคยชวนเขาสูบอยู่บ้าง เวอกัสไม่ได้ปฏิเสธเมื่อปริภูมิชวน แม้บางครั้งจะเป็นการชวนที่น่ารำคาญมากๆ ก็ตามที
ในวันพรุ่งนี้ศพของปริภูมิจะถูกนำออกมาทำพิธีกรรมอีกครั้งเพียงแต่ครั้งนี้ร่างกายของแม่ทัพจะสูญสลายไปตลอดกาล
เวอกัสวางซองบุหรี่ที่เหลือไว้บนป้ายหลุมศพ ก่อนที่เขาจะเดินจากไป
และไม่หันหลังกลับมา
ยามเที่ยงตรงวันถัดมาไฟส่งวิญญาณได้ถูกจุดขึ้นอย่างเงียบเชียบ พิธีกรรมนี้ไม่ยอมให้ใครคนไหนเข้ามาก่อกวน เสียงบทสวดแปลกประหลาดดังขึ้นพร้อมๆ กับร่างของปริภูมิค่อยๆ สลายกลายเป็นผุ่นควันและเถ้าธุลี
ร่างที่หลับอยู่บนกองฟืนสงบนิ่งไม่สนใจต่อความร้อนที่สุมอยู่รอบกาย เวอกัสผู้โยนคบเพลิงจุดไฟในพิธีกำลังจ้องมองวาระสุดท้ายของปริภูมิ เสียงบทสวดกล่อมเขาจนหลงลืมไปว่าตนเองอยู่ที่ใดและมาที่นี่เพราะเหตุใด
คบเพลิงเพียงอันเดียวบ่งบอกถึงความรู้สึกที่มากมายหลากหลาย
เปลวเพลิงลุกโชติช่วงอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็ห้อมล้อมร่างไร้ชีวิตของปริภูมิจนหมดสิ้น
ลาแล้วตลอดกาล…
ปริภูมิ...
……………………………………………………………………
“เอ่อ ท่านจอมทัพไม่อนุญาติให้ใครเข้าพบน่ะครับ” นายทหารผู้หนึ่งกล่าวด้วยเสียงหวาดกลัว
คงเป็นเพราะบรรยากาศอันน่ากลัวของคนตรงหน้าทำให้เขาไม่กล้าพูดออกมาด้วยเสียงที่ดังมากนัก ทุกครั้งที่จ้องเข้าไปในนัยตาสีทองนั่นทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก
ชายหนุ่มผมสั้นสีดำสนิทอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารรัดกุมกำลังยืนอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องเวอกัส ร่างกายของเขาแข็งแกร่งมากจนสามารถมองเห็นได้แม้มันหลบซ่อนอยู่ในร่มผ้า โครงหน้าอันคมคายกำลังแสดงสีหน้าเด็ดเดี่ยว เขามาที่นี่ด้วยเหตุผลบางอย่าง และด้วยคำสั่งที่เขาปฏิเสธไม่ได้
เขาไม่สนใจว่าจอมทัพเวอกัสจะเป็นใคร เพราะสิ่งที่เขารับใช้มีเพียงเทสล่าผู้เดียวเท่านั้น
“ไปบอกเวอกัสซะว่าโครว(อีกา) มาหา” ชายหนุ่มที่ชื่อโครวเอ่ยเสียงเรียบ
ทหารหนุ่มไม่กล้าขัดคำสั่งเวอกัสแน่นอนอยู่แล้ว แต่การจะให้เผชิญหน้ากับตัวอันตรายตรงหน้าก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสไปหน่อย เขาจึงได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้จะทำอย่างไรดี
โครวเลิกคิ้วขึ้น เขาดูเหมือนไม่พอใจที่ทหารหนุ่มไม่ยอมทำตามคำสั่งของเขา
“งั้นฉันจะบุกเข้าไปเอง”
สิ้นเสียง ประตูที่ถูกทำขึ้นจากเหล็กกล้าหลายชั้นก็ถูกพังออก เสียงกัมปนาทดังพอจะเรียกสัญญาณบุกรุกให้ดังขึ้น อย่างรวดเร็วหน่วยรักษาการณ์ต่างก็กรูกันเข้ามาปิดล้อมทางออกของที่นี่ไว้ทันที
โครวไม่สนใจกับปืนหลายสิบกระบอกและเสียงตะโกนไล่หลังที่่ดังขึ้นเรื่อยๆ เขาเดินตรงเข้าไปในห้องทันที โดยข้ามร่างของทหารหนุ่มที่ตกใจจนสลบไสลไป
เมื่อเข้ามาเขาก็ต้องขมวดคิ้ว
ในห้องของเวอกัสเต็มไปด้วยกลิ่นบุหรี่ฉุนกึก มากพอจะทำให้โครวรู้ว่าคนที่อยู่ในนี้ต้องผ่านการสูบมาไม่น้อยกว่าสามซอง ห้องมีสภาพเละเทะข้าวของกระจัดกระจายไม่เป็นที่เป็นทาง ดูเหมือนว่าการที่โครวพังประตูเข้ามาจะไม่ได้เพิ่มความไม่น่าดูให้กับห้องนี้สักเท่าไหร่
บนโต๊ะของเวอกัสเต็มไปด้วยเอกสารต่างๆ มากมายรวมไปถึงยาเม็ดสีต่างๆ ละลานตากระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ โครวเดินเข้าไปหาจอมทัพโดยพยายามไม่สนใจเข็มฉีดยาที่ตกอยู่ที่พื้นด้านล่าง เขารู้ดีว่านั้นเป็นเข็มฉีดยาที่ไม่ได้ใช้ในทางการแพทย์หรือการทหาร…
เวอกัสนั่งอยู่ที่โต๊ะ ใบหน้าที่เคยงดงามต่างก็หมองคล้ำลงไปอย่างเห็นได้ชัด ขอบตาดำคล้ำคล้ายคนอดนอนมาหลายวัน ดวงตาที่เคยเขียวสดใสหม่นหมองลงจนแทบจะเป็นสีเดียวกับควันบุหรี่ เขาเงยหน้าขึ้นมามองอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญโดยไม่แสดงอาการตกใจแม้แต่น้อย
เหล่าทหารรักษาการณ์ที่เพิ่งมาถึงพุ่งตัวเข้ามาล้อมโครวเอาไว้อย่างรวดเร็ว ปืนหลายสิบกระบอกเล็งไปที่หัวของเขาอย่างมั่นคง
“เทสล่าส่งฉันมา” โครวพูดขึ้น
เวอกัสพ่นควันออกจากปอดจนหมด ก่อนจะยกมือขึ้นห้ามเหล่าหทารพร้อมกับโบกมือให้ออกไปด้านนอก เขากดปิดสัญญาณเตือนภัย แล้วสถานการณทั้งหมดก็กลับมาสู่ภาวะปรกติ
แต่เวอกัสก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยคำถามขึ้นมาด้วยซ้ำ ท่าทางอันเฉยเมยของเขาทำให้โครวเหลืออด
"ฉันมารับตำแหน่งแทนปริภูมิ" โครวพูดขึ้นทำลายความเงียบ น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความไม่พอใจ
‘นี่หรือจอมทัพปีศาจที่เขาร่ำลือกัน...เศษสวะชัดๆ’ โครวคิดในใจ สายตาของเขาจับจ้องไปที่เข็มฉีดยาบนพื้นและที่เขี่ยบุหรี่ที่เต็มไปด้วยก้นกรองมากมายจนล้นออกมาด้านนอก
เวอกัสไม่พูดอะไร แม้กระทั่งหันมามองหน้าโครวเขายังไม่ทำด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่ยื่นซิพบรรจุข้อมูลขนาดเล็กให้โครว
โครวส่ายหัวเล็กน้อย เขาไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ และเขาเพิ่งจะเพิ่มสถานที่แห่งนี้ลงไปในรายชื่อสถานที่ที่เขาจะไม่มาอีกครั้งเป็นอันขาดไปเมื่อสักครู่ โครวหยิบชิพมาเปิดดู ในนั้นมีจดหมายยืนยันตำแหน่งของเขาอยู่ภายใน พร้อมกับรายละเอียดสถานการณ์ทั้งหมดที่ Metropolis ต้องเผชิญ
โครวเปิดดูคร่าวๆ เขาไล่สายตาไปเห็นข้อมูลของสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย เขากดอ่านมันอย่างรวดเร็ว
โครวเป็นหนึ่งในหน่วยเอลฟซีไร่ขององกรณ์ลับ T.E.E.M.O เขามีความสามารถในการนำกองกำลังเป็นเลิศและมีความสามารถในการต่อกรกับศัตรูหมู่มาก เขาสามารถเปลี่ยนร่างเป็นอีกาได้เช่นเดียวโกสต์ที่แปลงร่างเป็นแพะได้ แต่พลังของเขานั้นออกจะแปลกประหลาดไปเสียหน่อย การแปลงรางของเขาจึงทำให้เขาอยู่ในร่างของครึ่งคนครึ่งอีกาขนาดมหึมา การสอดแนนสำหรับเขาจึงเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เขาจึงรับหน้าที่บุกตะลุยในแนวหน้าเสมอมา
หลังจากที่อ่านข้อมูลจบเขาก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย
"นายรู้ไดยังไงว่าอีกสองวันเชสจะบุกมา?"
เวอกัสหยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาจุดสูบ เขาอัดควันเข้าไปเต็มปอดก่อนจะพูดขึ้น เสียงนั้นแหบพร่าและเบาราวเสียงกระซิบ
“พายุลูกนี้จะอยู่อีกสองวัน…”
โครวรับฟังพลางไล่อ่านข้อมูลอย่างรวดเร็ว พายุที่ว่าจะนำพาอากาศอันเลวร้ายนี้ผ่านพ้นไปในอีกสองวัน ซึ่งอากาศในวันที่สามจะปลอดโปร่งอย่างไม่น่าเชื่อ โครวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจความคิดของเวอกัสแล้ว ก่อนจะเอ่ยถามถึงเรื่องต่อมา
“แล้วหน่วยพิเศษล่ะจะให้ทำยังไง?”
เวอกัสเหลือบมองโครวด้วยสายตาอันว่างเปล่า
“รายละเอียดทั้งหมดอยู่ในนั้นแล้ว…ต่อจากนี้ไปฉันเป็นคนให้นายสั่งการทั้งหมด”
“โฮ่...คิดจะสละตำแหน่งเหรอไง?” โครวแสยะยิ้ม
การที่ Metropolis ฝากความหวังไว้ที่ไอ้หมอนี่นับเป็นเรื่องผิดพลาดมหันแล้ว ดูจากสภาพของเวอกัสในตอนนี้ต่อให้โลกทั้งใบแตกสลายไปต่อหน้ามันยังไม่สนใจด้วยซ้ำ
ความเงียบเข้าครอบงำห้องอย่างรวดเร็ว เวอกัสไม่ตอบคำ เขาคว้าเม็ดยาสีประหลาดขึ้นมาสองสามเม็ดก่อนจะจับมันกลืนลงไปในทันที
โครวแสดงสีหน้าสมเพชถึงที่สุดก่อนจะเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
เวอกัสหลับตาเพื่อซึมซับฤทธิ์ของยาให้เต็มที่ เขาพยุงตัวเองลุกขึ้นช้าๆ พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาทำสิ่งที่พอจะทำได้ไปหมดแล้วเพื่อจะรับมือกับทางฝ่าย Fantasia เขารู้ดีว่าอีกไม่นานเชสเซอร์จะตรงดิ่งมาฆ่าเขา
สิ่งที่เขาพอทำได้ก็แค่ภาวนาต่อพระเจ้าที่เขาไม่เคยเชื่อ
ภาวนาให้มันจบเร็วขึ้นอีกนิดก็ยังดี….
………………………………………………………………………
เสียงสายฝนที่กระหน่ำลงมายังไม่สามารถกลบเสียงฝีเท้าของมอนสเตอร์หากหลายสายพันธุ์ที่กำลังเดินทัพไปประจำการยังหัวเมืองต่างๆ ได้
เชสเซอร์ออกนำทัพด้วยตัวเอง เขาเร่งการจัดกองกำลังให้เร็วขึ้นอีกหนึ่งวัน
ดวงตาสีแดงสดกำลังเปล่งประกายเหมือนเด็กที่ได้เล่นของเล่นจนพอใจ กองทัพกำลังเดินหน้าไปสู่หัวเมืองต่างๆ ที่อยู่ตามชายแดน เชสเซอร์เหม่อมองขึ้นไปบนฟ้า เขาควบคุมสภาพอากาศทั้งโลกไม่ได้ แน่นอนว่ามีเวทมนตร์บางบทที่สามารถทำเช่นนั้นได้ แต่การทำแบบนั้นจะก่อให้เกิดผลกระทบมากมายมหาศาลตามมา
แค่สองวัน...อีกแค่สองวันเท่านั้น เชสเซอร์กำลังนับถอยหลัง
เขารอช่วงเวลานี้มาหลายสิบปี หากเขาต้องรออีกสองวันมันก็คงไม่ทำให้เขาคลั่งตายสักเท่าไหร่ เหตุผลที่เขาจำเป็นต้องเร่งจัดทัพทั้งๆ ที่สภาพอากาศไม่อำนวยนั้นเป็นเพราะเขารู้ดีว่ามีบุคคลหนึ่งกำลังรอคอยเขาอยู่
คนผู้นั้นกำลังรอความตายที่เขาจะไปหยิบยื่นให้
‘อีกไม่นานเวอกัส อีกไม่นาน...’
สายฟ้าฟาดลงมาเผยให้เห็นใบหน้าที่กำลังแสยะยิ้มของเชสเซอร์ เสียงฟ้าผ่าครั้งนั้นดังกึกก้องราวกับเป็นระฆังบ่งบอกยุคใหม่ เหล่าฝูงสัตว์อสูรกรีดร้องตอบรับกับเสียงนั้นไม่ขาดสาย
สัตว์ประหลาดในตัวเขาก็ตื่นขึ้นแล้ว
และสิ่งที่พอจะหยุดความกระหายของเขาได้
คงมีเพียงความตายเท่านั้น….
………………………………………………………………………
[วีดีโอบันทึกภาพงานศพปริภูมิ]
http://www.youtube.com/watch?v=M_cKI_E-Z68
ความคิดเห็น