คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Vol. 13 - Dream A Little Dream
Dream a Little Dream
Vol. 13
เซิร์กสามารถฝัน
หากน้อยครั้งจนดูเป็นเรื่องแปลกประหลาด ความคิด จิตสำนึก อารมณ์ที่เกิดขึ้นนอกเหนืออำนาจการสั่งการของสมอง ซ่อนตัวอยู่ในหุบเหวลึกและเปิดเผยออกมายามไร้เปลือกของสติสัมปชัญญะ ร่างเซิร์กไม่จำเป็นต้องพักผ่อนถี่เท่ามนุษย์ และการพักผ่อนแต่ละครั้งจะมีลักษณะคล้ายกับการจำศีล ดังนั้น ความฝันจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อยครั้งมาก
แต่ช่วงหลังมานี้ ผมฝันบ่อยขึ้น แม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิต
ผมก็ยังฝันเห็นใบหน้าปริภูมิ เขายื่นมือเข้ามา ฉุดดึงร่างของผมที่ลอยเคว้งอยู่ใต้น้ำลึก
เป็นฝันที่ให้สัมผัสคล้ายกับเรื่องจริง
แต่มันไม่มีทางเป็นจริง...ในเมื่อเขาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว
............
แสงสว่างวาบเข้าสู่สายตา
ผมควรตายไปแล้ว นี่คือโลกหลังความตาย? ไม่ เรื่องพรรค์นั้นไม่มีอยู่จริง หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าชวนให้รู้สึกประหลาดใจจนเผลอคิดออกมาได้เช่นนั้น
เสียงนาฬิกาปลุกดังหนวกหู “...หุบปาก” ผมป้อนคำสั่งที่ไม่เคยใช้มาก่อน แต่ปรากฎว่ามันยอมเงียบลงอย่างเชื่อฟัง ฝืนดวงตาพร่ามองแสงสว่างนั้นอีกครั้งก่อนจะทดลองเคลื่อนไหวร่างกาย เริ่มจากปลายนิ้วซ้าย...มันขยับได้? ผมตัดสินใจสั่งการให้ร่างกายตนเองฝืนลุกขึ้นมานั่ง นี่ยังคงเป็นร่างมนุษย์
ผมยังไม่ตาย
ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดูก็พบความแตกต่าง แขนซ้ายท่อนล่างที่เคยหายไปถูกทดแทนด้วยโลหะที่ประกอบขึ้นมาเป็นลักษณะของแขนเทียม มันต่อเชื่อมเข้ากับเส้นประสาทบนร่างกายจนสามารถขยับได้ราวกับเป็นแขนของผมจริงๆ เพียงแค่ไร้ความรู้สึกเมื่อสัมผัสกับสิ่งใด
เมื่อลองสังเกตดูวิธีการประกอบสร้างแล้วพลันคุ้นเคยจนน่าใจหาย เป็นไปไม่ได้ เจ้าของวิธีการประกอบแบบนี้ตายไปเป็นสัปดาห์แล้ว ร่างที่ถูกเปลวไฟสลายจนกลายเป็นเพียงเถ้าไม่มีทางลับมาสร้างแขนเทียมให้ผมได้อย่างแน่นอน
ผมกวาดตามองรอบกายเป็นลำดับต่อมา ที่นี่คือห้องนอนในฐานทัพของผม ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิมไม่ต่างจากวันที่ออกเดินทางไปปฏิบัติภารกิจ ผมรีบหันไปมองนาฬิกาบนฝาผนัง
6.25 am
25 may
ผ่านไปเกือบสิบสามชั่วโมงนับจากตอนที่ผมจมอยู่ใต้น้ำ คงมีใครมาช่วยผมเอาไว้ก่อนที่จะหมดสติ แต่ไม่น่าเป็นไปได้ ไม่มีทหารคนใดรอดชีวิตอยู่ในเวลานั้น ส่วนกำลังเสริมก็ยังไม่ถูกส่งมาเลยด้วยซ้ำ ใครจะโผล่มาในที่แบบนั้นได้?
บางทีอาจจะเป็นหน่วยพิเศษ ผมยกแขนซ้ายขึ้นมาเตรียมติดต่อผ่านสายรัดข้อมือด้วยความเคยชิน แต่ก็พบว่ามันไม่มีอยู่บนแขนแล้ว
ตัดสินใจก้าวออกจากเตียง รู้สึกปวดแปลบเมื่อขยับกล้ามเนื้อ ผมมองตัวเองในกระจก ชุดเสื้อยืดแขนสั้นเผยให้เห็นรอยแผลเป็นชัดเจนบนลำคอรวมถึงร่องรอยแผลอื่นๆ ตามร่างกาย มันไม่ได้หายไปอย่างที่ควรจะเป็น เห็นได้ชัดว่าขีดความสามารถในการซ่อมแซมเซลล์ของร่างผมกำลังลดต่ำลง
น่าจะอยู่ได้อีกไม่เกินครึ่งเดือน
ผมเดินไปยังประตูเตรียมออกสู่ด้านนอก หากไม่ทันจะยกมือขึ้นกดปุ่ม เสียงร้องเตือนก็ดังขึ้นพร้อมเลื่อนประตูเปิดออกเองโดยอัตโนมัติ ร่างร่างหนึ่งปรากฎอยู่เบื้องหน้า เขาก้าวเท้าเข้ามา
เป็นไปไม่ได้
“คิดว่านาฬิกาจะปลุกไม่ตื่นแล้ว”
ร่างสูงเจ้าของดวงตาสีเขียว เรือนผมสีเงิน โครงหน้าเยาว์วัยติดทะเล้นและริมฝีปากที่คาบบุหรี่ไว้อยู่ตลอดเวลา
ผมแน่ใจว่าร่างที่นอนอยู่ในกองไฟนั้นคือร่างตรงหน้า
เขาตายไปแล้ว
“ก็เข้าใจอยู่ว่าดีใจอะนะ แต่ขอร้องว่าอย่าเข้ามาต่อยฉันอีกคนแล้วกัน” ฝ่ามือใหญ่ตบลงบนไหล่ของผม น้ำหนักของมันยังคงเดิมไม่ผิดเพี้ยน รู้สึกได้ว่าร่างทั้งร่างถูกสาปให้แข็งทื่อ ไม่อาจขยับเขยื้อนหรือแม้แต่สั่งการให้สมองผลิตความคิดใดๆ ออกมาได้
ก็เขาตายไปแล้ว
“พอดีเวทที่ใช้ฆ่าฉันมันมีช่องว่างอะไรบางอย่างอยู่ เลยมีคนช่วยฉันเอาไว้ได้ ไว้อธิบายละเอียดๆ ทีเดียวอีกที” เสียงพูดนั้นเหมือนไหลผ่านหู หรือว่านี่จะเป็นโลกหลังความตายจริงๆ ผมแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ฝันไปเหมือนตอนนั้น เขาเป็นมนุษย์ ไม่สามารถตายแล้วแปลงกลับเป็นเซิร์กได้อย่างผม และเขาก็ตายไปเกือบสัปดาห์แล้ว “เฮ้ย ช็อคนานไปแล้ว เมากัมมันตภาพรังสีเหรอ”
เขาจับไหล่ของผมทั้งสองข้าง ย่อเข่าเล็กน้อยและก้มตัวลงมาจนศีรษะอยู่ในระดับเดียวกัน
“ฉันกลับมาแล้ว เข้าใจรึยัง?”
คำพูดนั้นไหลซึมเข้ามาในสมอง ผมพยายามปรับเปลี่ยนข้อมูลที่มีอยู่เพื่อรับรู้และเข้าใจมันเสียใหม่ ปริภูมิยังไม่ตาย...เขาไม่ได้นอนทอดกายอยู่ใต้ฝาโลงสีดำนั่นอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าผม กายเนื้อที่สัมผัสอยู่ยังอบอวลไปด้วยไอชีวิต ดวงตาสีเขียวเป็นประกายเจิดจ้าคล้ายยืนยันในคำพูด ผมได้กลิ่นบุหรี่ที่คุ้นเคย
ภาพที่เห็นใต้ผืนน้ำนั้นไม่ใช่เพียงความฝัน แขนเทียมนี้ก็คงเป็นฝีมือของเขาเช่นกัน
ภายในอกพลันอุ่นวาบ หัวใจเต้นลิงโลดผิดปกติ - อาจจะเรียกอาการนี้ได้ว่าดีใจ ผมผงกหัวรับเล็กน้อยเมื่อต้องยอมจำนนต่อหลักฐาน จดจ้องใบหน้าของเขาไม่วางสายตา รู้สึกคล้ายมีคำพูดนับร้อยจุกแน่นอยู่ในริมฝีปาก หากมันกลับขยับเอ่ยไปได้แค่คำว่า “เข้าใจแล้วครับ”
ปริภูมิผละตัวออกไป ขยี้หัวผมครั้งหนึ่งก่อนหยิบอะไรบางอย่างจากประตูมิติ โยนส่งมาให้
“สร้างใหม่ให้แล้ว อย่าทำหายอีก” สายรัดข้อมือ...ผมสวมมันเข้ากับแขนเทียมของตน ระบบทำการสแกนชิพที่ฝังอยู่ใต้แผ่นโลหะแล้วจัดการล็อคสายรัดเข้ากับข้อมือผมถาวร
“ขอบคุณครับ” มีข้อความใหม่แจ้งเตือนขึ้นมา มันถูกส่งมาตั้งแต่ตอนสี่โมงเย็น เวอกัสเป็นผู้นัดประชุมในครั้งนี้ ระบุเวลาไว้ว่าหกโมงครึ่ง ผมรีบเช็คสถานะของหน่วยพิเศษคนอื่นๆ แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเมื่อพบว่าทุกคนยังปลอดภัยดี
จะว่าไป ผมแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับสงครามที่ผ่านมาทั้งวันเลย ใครเป็นฝ่ายชนะ หรือยังหาข้อตัดสินไม่ได้ แล้วเหตุใดแม่ทัพอย่างปริภูมิถึงมายืนอยู่ตรงนี้ ผมสังเกตเห็นว่าบนแก้มซ้ายของเขามีรอยม่วงช้ำเหมือนโดนชกอยู่ด้วย
“เออ ไปห้องประชุมก่อนเหอะ คนอื่นรออยู่” ชายหนุ่มคงเห็นคำถามลอยอยู่เต็มหน้า จึงตัดบทเดินออกจากประตูไปก่อน ผมตั้งสติ สาวเท้าวิ่งตามเขาออกไปอย่างรีบร้อน สายตายังคงไม่ละออกจากแผ่นหลังตรงหน้า
ราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปอีกครั้ง
ร่างสูงตรงมาที่ห้องประชุม เปิดประตูเข้าไปพร้อมส่งเสียงทักทาย ทุกคนภายในห้องหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว มิคังลุกออกจากเก้าอี้เป็นคนแรก เธอตรงเข้ามาโอบกอดตัวของผม “ดีใจที่ได้เจอเธออีก เอริคุง”
ผมตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ รู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้าเธอผละกอดออกมามองหน้าผม ดวงตาสีฟ้าเต็มตื้นไปด้วยความยินดี ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกร่างอีกร่างหนึ่งพุ่งเข้ามากอดจากด้านข้าง
“เอเลี่ยน! คิดว่าจะตายซะแล้ว” เด็กสาวพูดปนเสียงสะอื้น ผมยังคงไม่เปลี่ยนท่าทางหรือแม้แต่สีหน้า ในขณะที่มิคังคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ยกมือลูบหัวปลอบรีน่าแทนผมที่ทำอะไรไม่ถูก
“ฮ็อตจริงนะ” ปริภูมิผิวปาก เอนตัวนั่งข้างบุคคลที่หายหน้าไปนานพอกัน ร่างกายของเวอกัสดูโทรมลงไปมากยิ่งกว่าครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันในงานศพของปริภูมิ -เว้นแต่เพียงดวงตาสีเขียวคู่นั้นในเวลานี้มันกำลังเปล่งประกายแววสดใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและถ้ามองไม่ผิด...ผมเห็นเขายิ้มนิดๆ
“หน่วยพิเศษของเมโทรโปลิสเป็นคณะซอมบี้หรือไงวะ ทำไมตายแล้วฟื้นกันได้” เรเว่นสบถออกมา ชายหนุ่มมีบาดแผลตามลำตัวเล็กน้อย ในขณะที่โกสต์ไม่มีแม้แต่รอยเปื้อนบนเสื้อ เขายกกาแฟขึ้นจิบด้วยท่าทางสบายอารมณ์เหมือนเคย
“นี่ลุงว่าหนูเป็นซอมบี้เหรอ?” คาร์เดียที่นั่งอยู่ข้างๆ หันไปโต้ตอบเสียงเขียว เรียกเสียงหัวเราะจากมิคังและรีน่า ไม่คาดคิดว่าจะได้กลับมาเจอบรรยากาศเดิมๆ แบบนี้อีกครั้งหนึ่ง เหมือนเมื่อตอนที่สงครามยังไม่เกิด...เหมือนเมื่อตอนที่ปริภูมิยังไม่ตาย
“แล้ว...สรุปว่าคุณปริภูมิฟื้นกลับมาได้ยังไงเหรอคะ” รีน่าถามขึ้นหลังกลับมานั่งที่ของตน ผมจึงตามไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างอยู่ระหว่างเธอกับเวอกัส
“ก็...ง่วงเลยไปนอนเล่นในโลงมา” ชายหนุ่มแสร้งหาววอด แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสายตาคาดโทษของเวอกัสก็ต้องรีบเปลี่ยนคำพูด “เอ้า เล่าก็เล่า ยาวหน่อยนะหนูๆ เอาหมอนมาเตรียมนอนได้เลย”
ไม่คิดว่าโกสต์จะลุกออกจากเก้าอี้ หยิบผ้าห่มกับหมอนออกมาจากกระเป๋าแล้วทิ้งตัวลงไปนอนกับพื้นจริงๆ
“หลังฉันตายไปแล้ว หน่วยแพทย์ที่เอาร่างของฉันไปชันสูตรรู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากล เพราะหาสาเหตุอะไรไม่ได้เลย จึงตัดสินใจจะเก็บศพของฉันไปทำการทดลองก่อน แน่นอนว่าเป็นการปฏิบัติอย่างลับๆ” ปริภูมิเริ่มต้นอธิบาย ทุกคนจดจ่ออยู่กับทุกประโยคของเขา “ก่อนฉันจะถูกนำเข้าพิธีเผาชำระวิญญาณ เขาสลับศพของฉันกับร่างเทียมที่ก็อปปี้เอาไว้ ตรวจสอบไปประมาณสองวันถึงพบว่าร่างของฉันยังไม่ตาย เพียงแต่มันมีเวทอะไรบางอย่างไหลเวียนอยู่ ทำให้ร่างกายหยุดทำงานทุกส่วนพร้อมๆ กันเท่านั้น”
“พอรู้สาเหตุแล้ว เขาเลยเอาผลึกอูริออสที่สลายเวทได้มาสร้างเป็นกล่อง และเอาร่างของฉันใส่ลงไปนอน ปรากฏว่ามันสามารถสลายเวทที่หยุดการทำงานของร่างกายฉันได้”
“เท่ากับว่า ถ้าเขาไม่สลับศพของเซนเซย์ก่อน เซนเซย์ก็จะถูกเผาทั้งเป็นงั้นเหรอคะ” คาร์เดียถามขึ้นมา เซนเซย์ที่ว่านั่นคงหมายถึงปริภูมิ ผมไม่แน่ใจว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร
“ตามหลักแล้ว – ฉันก็ตายไปแล้วนั่นแหละ วิญญาณหลุดออกมาจากร่างแบบนั้นแล้วนี่นะ เพียงแต่ใครจะไปคิดว่ามันเป็นฝีมือของเวทมนตร์ แล้วผลึกอูริออสนั่นดันสามารถสลายมันทิ้งได้ ถือว่าโชคดีที่มีคนสะกิดใจ”
คาร์เดียหยิบผลึกสีขาวสดใสขึ้นมาถือเอาไว้ - นั่นคือผลึกอูริออสที่ว่า มิคังได้มาจากการที่ไปสู้กับอูริออสในภารกิจที่แล้วและเธอคงมอบมันให้คาร์เดีย
“ราคาคงสูงลิ่วเสียยิ่งกว่าเพชร” เรเว่นมองผลึกในมือของเด็กสาวตาเป็นมัน
“ก็แสดงว่าตื่นขึ้นมาตั้งแต่วันก่อนแล้วน่ะสิคะ” มิคังเอ่ยขึ้นมาบ้าง “ทำไมถึงปิดบังไม่บอกใคร”
“ถ้าบอกเวอกัส เชสเซอร์ก็คงรู้ทันว่าฉันยังไม่ตาย...ป่านนี้คงยังจับมันไม่ได้” ชายหนุ่มไหวไหล่ “เอ้อ สรุปผลสงครามวันนี้หน่อยดิเวอกัส”
“อืม” คนถูกเรียกขานรับ ป้องปากไอออกมาเล็กน้อย เสียงของเขาแหบพร่า “เตาปฏิกรณ์ที่เอเลี่ยนไปป้องกันไว้ ทำให้ฉันสามารถใช้วาร์ปจับตัวเชสเซอร์ไว้ได้ ทัพหลักของแฟนตาเซียจึงต้องถอนกำลังถอยกลับไปก่อน”
เชสเซอร์...ผู้นำทัพของแฟนตาเซีย ในฐานข้อมูลที่อ่านมาว่ากันว่าเขามีพลังเวทเทียบเคียงกับคำว่าไร้ขีดจำกัด คาดไม่ถึงว่าเมโทรโปลิสจะใช้เทคโนโลยีวาร์ปจัดการกับตัวอะไรแบบนั้นได้
“ส่วนสมรภูมิทางน้ำ เพราะคาร์เดียป้องกันเสาส่งสัญญาณที่ท่าเรือสวิตช์เอาไว้ได้ จึงสามารถบัญชาการยานบินบนชั้นบรรยากาศให้ยิงถล่มกองเรือของแฟนตาเซียจนต้องถอยทัพกลับไปเช่นกัน แต่เสียดายที่มิคังไปขวางการสร้างบาเรียที่ท่าเรือฝั่งแฟนตาเซียไม่ทัน เราเลยใช้โอกาสนั้นบุกพวกมันต่อไม่ได้”
“เสารับสัญญาณวาร์ปที่เรเว่นกับโกสต์ป้องกันไว้ทำให้การส่งเสบียงไม่ขาดตอน และนำกำลังไปหนุนกองทัพของโครวได้ทันเวลา รีน่าถูกเปลี่ยนภารกิจกะทันหันให้ไปเป็นกำลังหนุนในกองทัพนั้นแทน”
เวอกัสเว้นช่วงเล็กน้อย เขายกมือบังปากก่อนไอออกมาอีกชุด ถึงอย่างนั้นก็ยังฝืนเค้นเสียงแหบแห้งพูดต่อให้จบ “พอสรุปผลจากสมรภูมิทั้งหมด ตอนนี้เมโทรโปลิสกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ”
“ทำงานกันดีเกินคาดแฮะ” ปริภูมิเอ่ยปากชม “แบบนี้ต้องมีปาร์ตี้แล้วล่ะ”
“งานเลี้ยงต้อนรับคุณปริภูมิกลับมา และฉลองที่ทุกคนกลับมาได้อย่างปลอดภัย” รีน่าสมทบด้วยรอยยิ้มสดใส เธอคงดีใจที่ได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้งไม่ต่างกัน
“ไปพักผ่อนกันให้เต็มที่ก่อน” เวอกัสขัดขึ้น หากน้ำเสียงของเขาไม่ได้ฟังดูไม่เป็นมิตรอย่างเคย “ยังมีภารกิจอื่นๆ รออยู่”
เรเว่นถอนหายใจจนได้ยินชัดทั่วทั้งห้อง พร้อมกับโกสต์ที่ผุดลุกขึ้นมาจากพื้น “ฟัคไลฟ์ ไอควิท!” ...ตะโกนอะไรบางอย่างแล้ววิ่งออกนอกห้องประชุมไปเสียอย่างนั้น
“ไอ้เชี่ยแพะ” ปริภูมิสบถไล่หลัง เมื่อเขาเริ่มหัวเราะ บรรยากาศในห้องจึงคลายความตึงเครียดลงและกลับมาครื้นเครง ทุกคนหันมาพูดคุยถามไถ่ซึ่งกันและกัน
หากไม่นานแสงสีแดงจากสายรัดข้อมือของเวอกัสและปริภูมิก็กะพริบขึ้นมา เป็นสัญญาณของเหตุฉุกเฉิน ทั้งคู่ก้มลงเปิดอ่านข้อความครู่หนึ่งก่อนปริภูมิจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “แสงสีม่วงส่องขึ้นมาอีกแล้ว”
“วันนี้แยกย้ายได้ พวกฉันขอตัวก่อน” เวอกัสปิดการประชุมอย่างรวบรัด ลุกออกจากเก้าอี้แล้วสาวเท้าเดินไปที่ประตูทันที ทว่ามิคังก็รีบลุกตามไปคว้าแขนของชายหนุ่มเอาไว้
“แล้วคุณหายไปไหนมาทั้งอาทิตย์ คุณเวอกัส”
“ผมไม่จำเป็นต้องตอบคุณ” เขาปลดมือของหญิงสาวก่อนก้าวเดินออกนอกประตูไป ในขณะที่ปริภูมิหยุดเอ่ยบอกกับทุกคน
“เดี๋ยวจะย้ายฐานทัพไปที่เขตศูนย์เพื่อความปลอดภัยนะ อย่าเพิ่งออกไปด้านนอกกันล่ะ” กล่าวจบเขาก็หันมาทางผม “เอเลี่ยน มาที่คอนโทรลรูม”
ได้ยินดังนั้นจึงต้องรีบลุกขึ้นเดินตามชายหนุ่มไปยังห้องคอนโทรล ระหว่างนั้นจึงเอ่ยปากถามออกไป “เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ก็ตามที่บอก ลำแสงสีม่วงมันส่องออกมาอีกแล้ว ที่เทือกเขาพัมพ์กินส์ที่เดิม” รู้สึกว่ามันจะหายไปได้ระยะหนึ่งหลังจากรีน่าเดินทางไปตรวจสอบในภารกิจแรก ปริภูมิยกแขนสแกนชิพ เดินเข้าไปในคอนโทรลรูม เขาเปิดระบบปฏิบัติการให้ฐานทัพปรับรูปแบบเป็นยานบิน ระบุเลขพิกัดไว้ที่เขตศูนย์และใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ “ฝากแกดูแลระบบไว้ด้วยแล้วกัน”
“แล้วคุณจะไปไหน”
“ไปสั่งสอนไอ้ขี้เก๊กตาเดียวนั่นสักหน่อย” ปริภูมิจุดบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาสูบ โบกมือเล็กน้อยก่อนหันหลังเดินตรงออกไปจากห้อง ไอ้ขี้เก๊กตาเดียวที่ว่า...เขาหมายถึงเชสเซอร์ ผู้นำสูงสุดของแฟนตาเซีย และอาจจะเป็นผู้ที่เคยสังหารปริภูมิมาแล้วครั้งหนึ่ง
หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เขาคงไม่โชคดีขนาดที่จะฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีกรอบ อย่างน้อยถ้าผมไปด้วยก็อาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง - คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจฝ่าฝืนคำสั่ง สาวเท้าวิ่งตามชายหนุ่มออกไปทันที
“เอ้า ตามมาทำไม” เขาหันหน้ากลับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังไล่หลัง
“ผมขออนุญาตไปด้วย”
“จะไปก็ไป แต่ใครจะดูแลระบบตอนบินอยู่”
“โกสต์สามารถทำได้ครับ”
“ฝากชีวิตหน่วยพิเศษทั้งหน่วยไว้กับไอ้แพะน่ะนะ” ปริภูมิหัวเราะออกมาก่อนจะเหลียวตัวเดินต่อ ผมก้าวตามหลังเขาออกไปด้านนอกฐานทัพ “เฮ้ย! แพะ ฝากขับยานด้วยนะ” ชายหนุ่มตะโกนบอกแพะที่ยืนเล็มใบไม้อยู่บนสนามหญ้า หัวเราะออกมาเสียงดังอีกรอบ
นั่นน่าจะไม่ใช่โกสต์ เป็นแค่แพะธรรมดาที่เป็นสัตว์เลี้ยงของโกสต์ - ผมคงต้องส่งข้อความไปบอกเขาอีกรอบหนึ่ง - เวอกัสนั่งรออยู่ในยานบิน เขาเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นผมแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร สั่งการนักบินให้ออกเดินทางทันที
ยานรูปทรงปราดเปรียวเคลื่อนตัวยกสูงขึ้นจากพื้นก่อนออกตัวทะยานด้วยความเร็วสูง มุ่งหน้าตรงไปยังเขตหนึ่ง สถานที่ตั้งของลานคุมขังเชสเซอร์
............
ความคิดเห็น