ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Me who came from the star

    ลำดับตอนที่ #13 : Vol. 12 - You Promised

    • อัปเดตล่าสุด 18 มิ.ย. 57








    You promised

    Vol. 12

     

     

    ขอบคุณสำหรับความปั่นป่วน ขอบคุณสำหรับความพยายามในการเล่นกับช่องว่างในใจผม ผมไม่แปลกใจว่าทำไมเธอถึงล่วงรู้ไปได้ถึงขนาดนั้น

    เวอกัสก็ตายไปแล้วพอกันกับปริภูมิ ขนาดตอนยังมีสมรรถภาพทำงานอยู่ก็ปลิ้นปล้อนใส่ทุกคนขนาดนั้นยังจะไปเชื่ออะไรมันอีก?” พูดถูกเผงไม่มีคำไหนผิดเพี้ยนเลยแม่สาวผมแดง จอมหลอกใช้ ปลิ้นปล้อน แถมยังปากเสีย การที่สงครามในครั้งนี้เกิดขึ้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเพราะชายคนนั้น

    เวอกัสรักษาชีวิตเพื่อนตัวเอง กระทั่งจิตใจของตัวเองไว้ไม่ได้ ใครจะมารักษาประเทศของเขาไว้ได้นานแค่ไหน ก็คิดดูเอาเองแล้วกัน

    เธอกำลังพยายามกล่อมให้ผมยอมจำนนต่อเหตุผล เมโทรโปลิสกำลังจะพ่ายแพ้...ใช่ ความจริงเราแพ้ตั้งแต่วันที่ปริภูมิเสียชีวิตแล้ว ผมรู้ดี...

    เขานั่นแหละที่ฆ่าปริภูมิ เซิร์ก

    และผมก็ตระหนักถึงความจริงนี้ได้ดีที่สุด

    เวอกัสคือคนที่ทำให้ เพื่อนของผมเสียชีวิต ในวันนั้น...หากเขาตัดสินใจไม่เดินทางไปแฟนตาเซียพร้อมกับปริภูมิ เพื่อประกาศสงครามที่นั่น - ชายหนุ่มก็คงไม่ต้องตาย

    ช่วยฉันส่งเวอกัสให้ไปอยู่อย่างสงบสุขที เขาไม่เหมาะจะทรมานอยู่เช่นนี้อีกแล้ว

    ตกลง

    นั่นคือคำตอบหากผมไม่ใช่เซิร์ก เหตุผลเดียวที่ผมยังเคลื่อนไหวเพื่อเขาอยู่เพียงเพราะแค่ทำตามคำสัญญาที่ได้ให้เอาไว้ เผ่าพันธุ์ของผมยอมแม้ต้องสละชีวิตถ้าต้องผิดคำพูด เพราะฉะนั้น คำตอบจึงมีเพียงแค่หนึ่งเดียว...

    เสียใจด้วย

    ขานรับในใจ ก่อนโถมตัวเข้าไปโจมตีเธออีกครั้ง

    ปริภูมิจากไปแบบไม่มีวันหวนคืน ไม่มีประโยชน์ที่ผมจะเอาเขามาเป็นเหตุผลในการผิดคำพูด ต่อให้เธอจะยุยงให้ผมเกลียดเวอกัสได้สำเร็จมากเพียงใด แต่เธอก็ไม่อาจบังคับให้ผมทำตามคำสั่งใครนอกเหนือจากเขาได้

    แอร์เชเบตกำลังทำอะไรบางอย่าง เธอก่อเลือดขึ้นมา ปั้นมันให้มีรูปร่างเป็นมนุษย์...ที่ชื่อเวอกัส ก่อนจะใช้มีดเล่มนั้นตัดผ่านศีรษะของเวอกัสจนหลุดออกไป

    มันคือความจงใจ

    แม้จะเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็สร้างความรู้สึกชาวาบไปถึงปลายนิ้ว อยู่ๆ แขนซ้ายช่วงข้อมือก็พลันปวดหนึบทั้งที่มันหายไปแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดมาจากการสั่งการของร่างกาย...มันไหลออกมาจากจิตใจ

    ต้องยอมรับเลยว่าเธอทำให้ผมปั่นป่วนได้ไม่น้อยจริงๆ

    อุณหภูมิกำลังสูงขึ้นจากน้ำที่ลดน้อยลงไม่หยุด เตาปฏิกรณ์จำเป็นจะต้องใช้น้ำหล่อเลี้ยงเอาไว้เพื่อรักษาอุณหภูมิ ถ้ามันถูกดึงออกมาใช้สร้างเป็นเลือดเรื่อยๆ แบบนี้ เห็นที...คงจะระเบิดในอีกไม่นาน ผมควรต้องล้มเลิกการเล่นละเลงเลือดกับหญิงสาวเพื่อมองหาวิธีการรักษาเตาเอาไว้ให้ได้แทน

    เร็วเท่าความคิดเสียงสัญญาณเตือนภัยก็พลันดังไปทั่ว แสงไฟสีแดงฉานกะพริบถี่รอบเตาปฏิกรณ์ ความร้อนพวยพุ่งสูงจนเลือดระอุเป็นไอ

    กลายเป็นเธอที่ถ่วงเวลาผมจนสามารถทำลายเตาได้สำเร็จ

    ผมรีบกวาดตามองระบบกลไกรอบๆ ขณะที่หญิงสาวฉวยโอกาสดึงน้ำออกมาจากบ่อจนหมด แล้วใช้มันสาดใส่ลูกพลังงานปฏิกรณ์ตรงกลาง เลือดทั้งหมดพลันสลายออกเป็นไอราวกับต้องกับความร้อนสูงจัด

    ถ้าหากไม่มีปฏิสสารที่คอยเคลือบลูกพลังงานนั้นอยู่ ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าตอนนี้พวกผมจะมีสภาพยังไง - พลังงานที่อัดแน่นอยู่ในนั้นไม่ต่างไปจากดวงอาทิตย์ย่อส่วน – ทุกอย่างรอบด้านจะละลายลงในวินาทีนั้น

    และตอนนี้ แก่นกลางของมันกำลังร้อนจัดเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยง ปฏิสสารปริมาณเดิมไม่อาจจะทนรับพลังงานที่มากขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ได้...มีเวลาไม่ถึงห้านาทีสำหรับการปล่อยน้ำเย็นจัดกลับลงไปลดอุณหภูมิของเตา ก่อนปฏิสสารนั้นจะเอาไม่อยู่

    อยู่ในห้องนี้ต่อไปก็ทำอะไรไม่ได้ หญิงสาวไม่อาจทำอะไรได้แล้วเช่นกัน ผมหายตัวอีกครั้งก่อนวิ่งอ้อมข้ามไปอีกฝั่ง เท่าที่อ่านมาจากผัง มันเป็นห้องอีกห้องที่ใช้ควบคุมปฏิกริยาต่างๆ ของเตาปฏิรกณ์ แอร์เชเบตไม่ได้พยายามตามหาผม สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าสามารถทำให้หญิงสาวเข้าใจได้ว่าภารกิจของเธอสำเร็จลุล่วงแล้ว

    ผมใช้ไหล่กระแทกประตูเข้าไป โชคดีที่เรี่ยวแรงยังพอมีเหลืออยู่ เสียดายที่ไม่เหลือเวลาให้หาวิธีปิดไฟสีแดงและเสียงเตือนดังจัดอันน่าปวดประสาท ภายในห้องมีโต๊ะควบคุมเรียงเป็นแถว ระบบของที่นี่ไม่ซับซ้อนเมื่อเทียบกับเดวาฮาล แต่ไอร้อนที่มาขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เหงื่อชุ่มไปทั้งลำคอ มือที่เหลือเพียงข้างเดียวก็ทำอะไรไม่ถนัดนัก ถ้าปริภูมิอยู่ เขาคงใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาทีในการสร้างแขนเทียมมาต่อให้

    ผมเปิดจอเครื่องควบคุม ปัดนิ้วเลื่อนปุ่มทุกปุ่มเพื่อเรียกพลังงานสำรองที่มีทั้งหมดมาใช้ ระบบขึ้นว่าให้สแกนชิพบนข้อมือซ้าย....

    ให้ตาย, มันมีเหลืออยู่ให้สแกนที่ไหนเล่า!?

    ระบบป้องกันแน่นหนาจนไม่น่าจะเจาะระบบเข้าไปทัน ผมลองคำนวณเวลาแล้วตัดสินใจผละมือออกมา เปล่าประโยชน์ ไปเปิดเอาจากวาล์วโดยตรงเลยดีกว่า

    ผมวิ่งกลับออกไปยังเตาปฏิกรณ์ อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ จนตาเริ่มลาย ถ้าหากเป็นร่างกายของมนุษย์ทั่วไปคงจะหมดสติไปแล้ว ผมมองเห็นวาล์วอยู่ที่ริมผนังด้านล่างสุดของบ่อน้ำ ลึกลงไปด้วยความสูงประมาณตึกสามชั้น เมื่อตรงไปยังลิฟต์ก็พบว่าระบบควบคุมถูกความร้อนทำลายเสียหายหมดแล้ว

    ต้องกระโดดลงไปเท่านั้น และต้องยอมรับความจริงที่ว่า หากลงไปแล้ว ผมจะกลับขึ้นมาไม่ได้อีก

    นี่คงเป็นคำสั่งสุดท้ายที่ผมจะได้ทำเพื่อรักษาสัญญา

    ปกป้องเตาปฏิกรณ์

    สายรัดข้อมือน่าจะแจ้งเหตุเสียชีวิตของผมไปเมื่อชั่วโมงก่อนแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรายงานสถานการณ์ใดๆ เพิ่มเติมอีก ผมใช้มือขวาจับรั้ว เหวี่ยงตัวเองลงไปร่วงลงสู่ก้นบ่อ ขาทั้งคู่งอรับแรงกระแทกเข้ากับพื้นด้านล่าง กระดูกข้อต่อกรีดร้องออกมาอย่างรวดร้าว ผมทรุดตัวกลิ้งไปกับพื้นโลหะทนความร้อน ไม่เหลือเวลาให้ขอความเห็นใจจากใคร เหยียดขาถีบตัวลุกขึ้นวิ่งต่อไปยังวาล์วน้ำทันที

    มือที่เหลือเพียงข้างเดียวจับเข้าที่วงโลหะสีแดง ออกแรงทั้งหมดที่มีในการหมุนมันให้ทำงาน เสียงสัญญาณเตือนอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น น้ำกำลังจะไหลออกมาในสิบวินาทีนี้

    ทันเวลา ผมช่วยเตาไม่ให้ระเบิดได้...หากแต่ไม่ทันที่จะช่วยชีวิตตนเองเอาไว้ได้

    ผมนับถอยหลังในใจ ไม่นานนัก น้ำเย็นจัดก็พลันทะลักออกมาจากท่อระบายบนพื้น กระทบกับความร้อนบนโลหะเกิดเป็นไอสีขาวปกคลุมไปทั่ว มันเพิ่มปริมาณรวดเร็วจนรู้ตัวอีกทีก็ท่วมมาถึงเอวผมแล้ว ร่างกายคล้ายกับถูกแช่แข็ง มันชาจนไร้ความรู้สึก ไม่สามารถขยับอวัยวะส่วนใดได้เลย แต่ถึงต่อให้ยังขยับตัวได้ หรือว่ายพยุงตัวเองไว้บนผิวน้ำอย่างไร ในบ่อนี้ก็ไม่มีอะไรให้เกาะเกี่ยวปีนขึ้นไปบนบกได้อยู่ดี

    ความตายมาถึงแล้ว

    ในครั้งนี้ผมไม่สามารถแปลงกลับเป็นเซิร์กได้อีก พลังงานในร่างกายถูกใช้ไปจนหมดอย่างแท้จริง แทบจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของต่อมส่วนนั้นอีกต่อไปแล้ว

    น้ำเย็นจัดท่วมมิดใบหน้า อย่างไร้การดิ้นรน ปล่อยให้ความตายคืบคลานเข้ามาอย่างนิ่งสงบ อย่างน้อยผมก็สามารถรักษาคำพูดเอาไว้ได้จนถึงวินาทีสุดท้าย

    ในฐานะเซิร์ก นี่คือความตายที่สมเกียรติ

    ผมทอดทิ้งร่างกายของตนเพื่อพักผ่อนใต้ผืนน้ำ แสงสีแดงหายไปแล้ว ทุกอย่างถูกย้อมกลับมาเป็นกลับเป็นสีฟ้าสดใส ทอดมองภาพที่ค่อยๆ เลือนรางหายไปพร้อมอากาศหายใจ และหลับตาลง

    ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมนุษย์ พวกเขาจะมองเห็นภาพย้อนในอดีตของตน ผมสงสัยว่าตนเองถูกนับรวมเป็นมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่  

    เพราะภายใต้เปลือกตา มันกำลังฉายภาพแผ่นหลังของหญิงสาวที่เห็นทุกครั้งเมื่อเข้าไปในห้องครัว ชายหนุ่มหัวยุ่งใบหน้าง่วงงุนเดินลากรองเท้าแตะเข้ามา ริมฝีปากของผมกระตุกยิ้มเมื่อนึกถึงแพะปริศนาที่ชอบมาเล็มหญ้าในสนามตอนเช้า นึกถึงดวงตาสีอำพันประกายความใคร่รู่ของเด็กสาวผมสีดำ...และรอยยิ้มของหุ่นยนต์ตอนได้รับดอกอาซาเลีย

    ผมสงสัยว่าพวกเขาจะได้กลับไปที่แห่งนั้นอีกหรือเปล่า

    ผมสงสัยว่าจะมีใครได้เห็นดวงตาของเวอกัสอีกหรือเปล่า

    ผมสงสัยว่าใต้น้ำทะเลจะเย็นแบบนี้หรือเปล่า

    บางทีก็อยากกลับไปที่นั่นอีกสักครั้ง - หากว่ามีโอกาส

    แต่คงไม่มีอีกแล้ว

     

    ผมสงสัยว่าทำไมตนยังคงฝันถึงปริภูมิ

     

      

    ............

     

     





    อ่านบทนี้ในมุมมองของแอร์เชเบตที่นี่ 
    http://my.dek-d.com/annnnnnnabel/writer/viewlongc.php?id=1152369&chapter=40

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×