คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Vol. 10 - I'm not a slave to a god that doesn't exist
I'm not a slave to a god that doesn't exist
Vol. 10
ความตายคืนชีวิตให้ผม
เป็นความรู้สึกที่แปลกแปร่ง รสชาติขมปร่า ฝาดลิ้นเหมือนเลือด เมื่อลืมตาขึ้นมา สีของท้องฟ้าเปลี่ยนไปแล้ว เวลาน่าจะผ่านไปราวสามสิบนาที
ความจริงแล้วในร่างมนุษย์นั้น ชีวิตของผมไม่ได้อยู่บนเส้นชีพจร หากมันอยู่ในต่อมบริเวณด้านล่างท้ายทอยระหว่างบ่าทั้งสองข้าง พูดอีกอย่างก็คือ การฆ่าผมให้ตายโดยแท้จริงจะต้องทำลายเข้าที่ต่อมนี้เท่านั้น
เพราะทันทีที่ร่างมนุษย์หยุดหายใจหรือชีพจรหยุดเต้น (มนุษเรียกว่าตาย) ต่อมประสาทส่วนนั้นจะจัดการกระตุ้นสภาพเซลล์ให้คืนกลับสู่ร่างเซิร์กโดยอัตโนมัติ แต่เนื่องจากไม่ได้พักผ่อนมานาน มันจึงต้องใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าจะสามารถฟื้นฟูสภาพกลับมาได้
ผมไม่เคย ‘ตาย’ มาก่อน ไม่คิดว่ามันจะได้ผล จินตนาการถึงร่างมนุษของตนที่นอนตายรอเวลาอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง สภาพน่าจะชวนอดสูไม่หยอก นอนจมกองเลือดอยู่ในป่านรกนั่น
กลิ่นเลือดยังคงฉุนกึกในจมูก ผมวิ่งมาถึงโรงไฟฟ้า ประตูเปิดอ้าค้างอยู่ ซากศพของทหารนับสิบเรียงรายไปตลอดทางเดินสีแดงฉาน ร่างเซิร์กสูงเกือบสามเมตร เทอะทะใหญ่โตกว่าสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ จะเดินตามทางเดินหรือเข้าออกประตูก็ลำบาก เหล็กตามกระดูกสันหลังขูดกับผนังไปตลอดทางน่ารำคาญ แผลจากร่างมนุษย์ยังทำให้เคลื่อนไหวได้ไม่สะดวกเท่าที่ควร
อีกทั้งการหายใจยังทำให้ปอดอึดอัด ปริมาณออกซิเจนบนดาวเดวาฮาลมีน้อยกว่าโลกเกือบร้อยเท่า พอหายใจเอาออกซิเจนเข้าไป ปอดจะทำปฏิกริยาทางเคมีและหายใจออกมาเป็นก๊าซไฮโดรเจนไซยาไนด์ แน่นอนว่ามันเป็นพิษต่อปอดมนุษย์ คงไม่มีใครปรารถนาจะเสวนากับผมในร่างนี้
ผมเจอร่างของสาวผมแดงในห้องคอนโทรล เธอกำลังเตรียมจะทำลายเตาปฏิกรณ์ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผมสกัดหญิงสาวเอาไว้ได้ พลิกบทเป็นผู้ล่าโดยสมบูรณ์
ร่างของเธอเหนื่อยอ่อนจากการต่อสู้มาเป็นเวลานาน อีกทั้งไม่มีสายฝนมรณะให้หยิบใช้เป็นาอาวุธ สาวผมแดงจึงทำได้แค่วิ่งหนี -หัวซุกหัวซุน- หมดคราบผู้ที่เคยสังหารผมไปแล้วครั้งหนึ่ง เธอแทบทำอะไรผมในร่างเซิร์กไม่ได้ อ้อ...จะมีก็เป็นแผลบนดวงตาด้านซ้ายที่ถูกปาเหล็กมาเสียบอย่างแม่นยำ พอจะทำให้เจ็บได้นิดหน่อย
แต่ก็น้อยกว่าการถูกปาดคอในร่างมนุษย์หลายเท่า
สาวผมแดงชาวแฟนตาเซีย
ร่างของเธอเสียหลักล้มลงท่ามกลางกองเลือดที่เคยใช้พวกมันฟาดฟันผมจนตาย ในวินาทีสุดท้ายหญิงสาวก็ยังชักมีดออกมาหันเข้าหาผม แม้ดวงตาสีดำคู่นั้นจะเหลือเพียงความสิ้นหวัง
ถึงเวลาปิดฉากอย่างแท้จริงแล้ว
ผมเงื้อมือขึ้น หากในวินาทีที่กรงเล็บเหล็กพุ่งตรงไปยังคอเหยื่อ ตาสีดำของเธอพลันประกายวาบเป็นสีแดงฉาน หยดเลือดบนแก้มของเธอลอยขึ้นมา เปลี่ยนรูปกลายเป็นเกราะเหล็กหนาตรึงกรงเล็บของผมหยุดค้างอยู่กลางอากาศ พริบตาสุดท้าย ผมเห็นริมฝีปากหญิงสาวฉีกออกมาจนคล้ายกับกำลังแสยะยิ้ม
แรงกดดันมหาศาลล้นปรี่ออกมาจากรอบทิศทาง เธอทำเพียงเอื้อมนิ้วมาแตะที่ปลายแหลมของกรงเล็บ ก่อนเลือดจำนวนมากจะพวยพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว หนาแน่นและรุนแรงจนสามารถซัดร่างของผมออกไปชนเข้ากับผนัง เสียงกระแทกดังสนั่นอื้ออึง หลังที่เต็มไปด้วยเหล็กแหลมของผมแทบถูกฝังเข้าไปในกำแพง
หญิงสาวชันตัวลุกขึ้นอย่างง่ายดาย เธอดึงแขนซ้ายผิดรูปของตน ขยับกร็อบให้ไหล่ที่หลุดออกจากเบ้ากลับเข้าที่ สีหน้านั้นดูราวกับไร้ความเจ็บปวด
“โดนเล่นไปเยอะเหมือนกันนะเนี่ย” พึมพำเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมามองผมก่อนจะยิ้มให้ “เซิร์ก? มาจากเดวาฮาลสินะ”
เสียงนั้นดังรอดออกมาจากปากของหญิงสาว แต่ดูราวกับว่าเธอไม่ใช่คนพูด
มันเต็มไปด้วยอำนาจและความน่าเกรงขาม
นั่นไม่ใช่เธอ
เพียงแค่นั้นก็สามารถสรุปได้โดยทันที
“ทำไมถึงมาช่วยเวอกัส?” เธอก้าวเท้าเข้ามาหยุดยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายของผมขยับไม่ได้ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกุมอยู่รอบลำคอ สัมผัสได้ว่าเธอสามารถปลิดชีพผมได้ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวยังต้องการสนทนากับผมอยู่
“พันธมิตร? ข้อแลกเปลี่ยน? ข้อต่อรอง?”
ดวงตาสีดำคู่นั้นจ้องมองมา มันคล้ายกับกำลังล้วงลึกเข้าไปในสมอง ริมฝีปากกรีดออกมาเป็นรอยยิ้มน่าขนลุกอีกครั้ง “เซิร์กผู้ทรงปัญญาเอ๋ย ฉันส่งนายกลับเดวาฮาลได้โดยไม่ต้องพึ่งยานพรรคนั้นด้วยซ้ำ”
ล่วงรู้แม้แต่คำตอบที่ซ้อนทับอยู่ใต้ความคิด
ไม่เคยสัมผัสถึงความหวาดกลัวขนาดนี้มาก่อนบนโลก แม้ในวินาทีที่คมมีดของเธอแตะลงบนลำคอก็ยังไม่เทียบเท่า ผมกำลังเผชิญหน้ากับตัวอะไรอยู่ ไม่เคยเจอสิ่งแบบนี้ในฐานข้อมูลของแฟนตาเซีย
“ฟังข้อเสนอของฝั่งฉันไหม” หญิงสาววาดมือลงไปด้านหลัง เรียกเลือดจากพื้นโดยรอบให้ไหลขึ้นมายังร่างของผม ก่อนมันจะแข็งตัวตรึงร่างกายทุกส่วนเอาไว้กับกำแพงเว้นไว้แค่ใบหน้า “แค่ทำลายเตาปฏิกรณ์นั้น แล้วฉันจะส่งนายกลับเดวาฮาล... ไม่ต้องห่วง ฉันให้ความสำคัญกับคำสัญญาไม่ต่างจากเซิร์ก”
เป็นคำถามที่แทบจะคล้ายเป็นการออกคำสั่ง
เชื่อได้มากน้อยแค่ไหน แต่การฝากคำสัญญาเอาไว้กับชายที่ตายไปแล้วอย่างเวอกัส...ก็เสี่ยงไม่แพ้กัน
“ตกลงหรือเปล่า”
ดูเหมือนการสนทนากับคนตรงหน้าจะไม่ใช่ปัญหา เธอสามารถล่วงรู้ความคิดของผมได้โดยไม่ต้องพูดออกมา คงไม่ฉลาดถ้าเลือกสู้กับตัวอะไรแบบนี้ แต่...ตามที่กล่าวเอาไว้ เซิร์กให้ความสำคัญกับคำสัญญา
ผมไม่ต้องการทรยศเมโทรโปลิส
“ทาสผู้ซื่อสัตย์” เธอฉีกรอยยิ้มกว้าง จิตสังหารกดทับลงมาบนร่างอย่างรุนแรง ในวินาทีนั้นผมรับรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะถูกฆ่าอย่างแน่นอน ผมรวบรวมกำลัง กระแทกตัวทำลายเกราะเลือดที่ยึดร่างออกจากกำแพงอย่างรวดเร็ว ยิ่งผ่านไปนานความแข็งแกร่งจะยิ่งลดลง
หญิงสาวถีบตัวหลบกรงเล็บของผม เค้นหยดเลือดออกมาจากปลายนิ้วชี้ก่อนจะทะลักเพิ่มปริมาณออกมาเป็นบ่อใหญ่ เธอวาดมือบังคับให้ของเหลวสีแดงไหลมาห่อหุ้มรอบร่างกายของตนเอง มืออีกข้างดึงเลือดจากพื้นขึ้นมาสร้างเป็นเกราะรับแรงกระแทกจากกรงเล็บของผม
“เวลาจะหมดแล้วแฮะ” เอ่ยก่อนที่เลือดจะไหลขึ้นมาเคลือบรอยยิ้มบนริมฝีปาก จมูก ดวงตา จรดทั่วทั้งใบหน้า ผมเข้าไปประชิดกับหุ่นเลือดอีกครั้ง ปล่อยหมัดพุ่งตรงใส่เธอออกไปหมายจะขยี้ให้เละในนัดเดียว แต่หญิงสาวกลับก้าวเท้าหลบได้อย่างง่ายดาย - ทั้งที่ร่างทั้งร่างถูกหุ้มไปด้วยเลือด
ผมมั่นใจว่าการเคลื่อนไหวของตนไม่ได้เชื่องช้า และคนตรงหน้าก็ไม่ได้เร็วไปกว่าผม แต่การขยับ กระโดด ก้าวหลบแต่ละครั้ง ดูราวกับว่าเธอสามารถอ่านทิศทางของผมออกทะลุปรุโปร่ง – ทั้งที่มองไม่เห็น
เกือบสิบวินาที เลือดที่หุ้มร่างก็ค่อยๆ คลายออกมาและไหลรวมไปที่มือขวา ทั่วทั้งร่างกายของเธอแม้แต่เสื้อผ้า...กลับมาสะอาดหมดจด ไม่มีบาดแผล ไม่มีรอยถลอก ไม่มีรอยฟกช้ำ ไม่ต่างจากตอนเจอกันครั้งแรก เห็นแล้วพาลทำให้น้ำลายเหนียวคอ
ราวกับเธอฟื้นคืนชีพได้ไม่ต่างกัน
บอลเลือดในมือขวาถูกแบ่งออกเป็นลูกเล็กๆ ก่อนมันจะกลายเป็นหอกยักษ์นับสิบ พุ่งตรงมายังผมด้วยความเร็วสูง ผมกระโดดหลบออกมาโดยมีเสียงผนังเหล็กถูกหอกแทงทะลุดังไล่หลัง
หลบไม่พ้น หอกหนึ่งเสียบปักเข้ามาที่ไหล อัดร่างเข้าไปกระแทกเข้ากับกำแพง เธอไม่รอให้ผมตั้งตัว หอกเลือดเก่าถูกดึงกลับจากผนังมาใช้แทงซ้ำ ผมกลิ้งตัวหลบระลอกการโจมตี ดึงแท่งเลือดที่ปักไหล่ออกก่อนเขวี้ยงมันกลับไปใส่หญิงสาว เธอยกมือขึ้นมา หยุดหอกเลือดไว้กลางอากาศและสลายมันให้กลายเป็นของเหลว
เลือดสีฟ้าทะลักออกมาจากบาดแผลบนไหล่ ตระหนักได้ถึงสถานการณ์ปัจจุบัน...เข้าใกล้ไม่ได้ โจมตีระยะไกลก็ไม่ได้
หญิงสาวดึงเลือดทั้งหมดในห้องให้ไหลไปกระจายทั่วทั้งทางเดิน ไม่มีทางหลบพ้น ผมรีบวิ่งกลับออกไปทางเก่า ออกมาให้พ้นจากห้องสีแดงฉาน คลื่นเลือดซัดไล่ตามหลังผมมา มันต้อนผมกลับไปตามทางเดิม ผ่านลิฟต์ที่พังด้วยฝีมือตนเองมาจนถึงขั้นบันไดลงไปชั้นใต้ดิน เธอคนเก่าไม่สามารถควบคุมเลือดได้ไกลขนาดนี้
เหลียวมองกลับไปก็พบว่าหญิงสาวก้าวเท้าตามคลื่นเลือดนั้นอยู่ด้านหลัง ผมสะบัดแท่งเหล็กบนหลังจู่โจมไปยังเป้าหมาย (รำคาญเวลามันเกี่ยวขูดกับเพดานระหว่างวิ่งหนีเต็มที) มือของเธอพลันดึงเลือดบนปลายเท้าขึ้นมาปัดแท่งเหล็กเหล่านั้นออก - โดยไม่ต้องทำเป็นเกราะแข็งด้วยซ้ำ
ปอดของผมเริ่มทำงานหนัก อากาศบนโลกมนุษย์เป็นพิษต่อร่างเซิร์กถ้าหากอยู่นานเกินไป ไฮโดรเจนไซยาไนด์ในเลือดเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ขั้นบันไดทรุดลงตามการก้าวเหยียบ ผมตะกายตนลงมาถึงชั้นล่างสุด หยิบบานประตูเหล็กบนพื้นเหวี่ยงมันขึ้นไปใส่ร่างของปิศาจ เลือดเกราะใหญ่ถูกสร้างขึ้นมากั้นเอาไว้ ดูดซับแรงกระแทกส่งคลื่นสะท้อนไปทั่ว มันทำอะไรเธอไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
นี่ผมถูกต้อนกลับลงมาถึงห้องคอนโทรลตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งที่ไม่กี่นาทีก่อนผมเพิ่งจัดการส่งเธอไปถึงทางออกแท้ๆ หญิงสาวตามมาอย่างไม่มีท่าทางว่าจะเหน็ดเหนื่อย ริมฝีปากนั้นยังคงเหยียดเป็นรอยยิ้มราวกับสนุกสนานกับเกมวิ่งไล่จับ
คลื่นเลือดทั้งหมดไหลพุ่งตรงเข้ามาหาผม มันแยกออกเป็นแท่งแหลมกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ผมกระโดดหลบให้หอกจำนวนหนึ่งเสียบเข้ากับกำแพง แต่กลับมีอีกระลอกหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านหน้า ไม่อยากจะเชื่อว่ามันแข็งพอจะทะลุร่างของเซิร์กเข้าไปปักทิ่มกับผนังด้านหลังได้
ผมถูกแท่งเลือดนับสิบเสียบตรึงแน่นอยู่กับกำแพงอีกครั้ง ความเจ็บทำให้เรี่ยวแรงหดหาย เริ่มหายใจไม่ออก ทุกอย่างกำลังมาถึงขีดจำกัดในขณะที่ร่างของหญิงตรงหน้าไร้ซึ่งรอยขีดข่วน ความกลัวกำลังควบแน่นอยู่ในจิต นาฬิกาชีวิตของผมถูกตั้งให้นับถอยหลังอย่างรวดเร็ว
ความตายยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว
และเป็นความตายอย่างแท้จริง
ในวินาทีที่หญิงสาวเงื้อมมือขึ้น ในวินาทีที่ผมไม่สามารถขยับร่างกายได้ หนทางสุดท้าย ผมรวบรวมสารเคมีบางอย่างที่อยู่ในร่าง อัดแน่นมันไว้ในปอดรวมเข้ากับแรงดัน แล้วอ้าปากปล่อยมันออกมาทันที คลื่นแสงสีฟ้าพุ่งตรงไปยังร่างของหญิงสาว มันเผาไหม้โมเลกุลอากาศจนส่งเสียงแตกดังเปรี๊ยะ ทุกอย่างที่อยู่โดยรอบกลายเป็นเพลิงลุกไหม้
ร่างของเธอถูกลำแสงซัดเข้าไปแหลกสลายต่อหน้าต่อตา แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นผมกลับเห็นว่าสิ่งที่ถูกเผาไม่ใช่เนื้อของมนุษย์ แต่เป็นเพียแค่...เลือด
คลื่นแสงสีฟ้าพุ่งผ่านไปกระทบเข้ากับกระจกที่กั้นระหว่างคอนโทรลรูมและเตาปฏิกรณ์ กระจกนาโนดูดซับรังสีที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในวิทยาการปัจจุบันละลายลงอย่างรวดเร็วและทะลุออกเป็นรู ลำแสงกระทบเข้ากับกำแพงเซฟตี้สุญญากาศรอบๆ เตาปฏิกรณ์ส่งเสียงสะท้อนดังก้องไปทั่วทั้งโรงไฟฟ้า วงแหวนแสงสีขาวกระจายวาบออกมา
กำแพงถูกทำลายลงไปแล้ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที ผมรีบปิดปากลงหยุดลำแสงนั้นก่อนที่จะกลายเป็นผู้เผาเตาปฏิกรณ์เสียเอง พลังงานนี้เกิดจากการรวบรวมสารเคมีที่สะสมอยู่ในร่างมาเร่งอนุภาคจนกลายเป็นเชื้อเพลิง เมื่อปล่อยออกไปแล้วมันต้องใช้เวลาสะสมใหม่อีกนาน
ผมหายใจไม่ออกแล้ว ทุกส่วนในร่างกายกำลังกรีดร้องอย่างทรมาน เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นชวนให้รู้สึกสิ้นหวัง หญิงสาวเดินออกมาจากมุมห้อง...ร่างที่แหลกสลายไปต่อหน้าต่อตาผมเป็นเพียงก้อนเลือดที่สร้างขึ้นมาหลอกเท่านั้น
“ขอบคุณที่ช่วยพังกำแพงนั่น แอร์เชเบตของฉันจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก” เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้มลึกบนริมฝีปาก “หมดเวลาแล้วล่ะ ขอตัว”
ฉับพลันบรรยากาศกดดันในห้องก็หายไปราวกับมีใครมายกตึกออกจากอก ผมรับรู้ได้ในทันทีว่าหญิงสาวตรงหน้ากลับมาเป็น ‘แอร์เชเบต’ คนเดิมแล้ว ผมถอนหายใจพรูพร้อมๆ กับเธอที่ทรุดล้มลงกับพื้น แท่งเลือดซึ่งเสียบตรึงร่างอยู่ก็คลายออกกลายเป็นของเหลว
หมดเวลาของเซิร์กเช่นเดียวกัน ผมกระตุ้นต่อมแปลงร่างกลับไปเป็นมนุษย์ก่อนจะขาดอากาศหายใจ รับรู้ถึงระดับเซลล์ว่ามันทำงานได้ไม่สมบูรณ์ ท่อนแขนด้านซ้ายส่วนล่างของผมหายไปรวมถึงสายรัดข้อมือ จะว่าไป กำไลนั่นหายไปตั้งแต่ตอนอยู่ในร่างเซิร์กแล้ว...
สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พยายามงอกแขนกลับมาแต่ไม่ได้ผล สายรัดข้อมือคงจะถูกตัดไปพร้อมกับแขนระหว่างที่ผมกำลังนอนอยู่
ร่างมนุษย์นี้ก็ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้วเหมือนกัน
ผมอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน โลกใบนี้ไม่ใช่ที่ของผม
มองไปยังกระจกและกำแพงเซฟตี้สุญญากาศที่ถูกทำลายไปด้วยฝีมือตนเอง กำแพงนั่นไม่ได้มีไว้กันรังสี มนุษย์สามารถพัฒนาให้พลังงานนิวเคลียร์สะอาดจนแทบไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพียงแต่มันมีเอาไว้ป้องกันผู้บุกรุก ถ้าหากห้องคอนโทรลถูกพังลง ระบบของกำแพงจะตั้งค่าอัตโนมัติให้ไม่มีใครสามารถปิดมันได้
ยกเว้นว่าถูกทำลายด้วยเชื้อเพลิงอันเข้มข้นของเซิร์ก
หญิงสาวตรงหน้าค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืน มือกุมขมับตนเอง ร่างกายของเธอไร้ซึ่งความบาดเจ็บใดๆ กลับกันกับผม บาดแผลที่ถูกทิ้งไว้ในร่างมนุษย์ยังคงหลงเหลืออยู่ ที่น่าหนักใจกว่าคืออาวุธของผมหลุดหายไปในป่านรกนั่นหมดแล้ว บนเข็มขัดมีเหลือเพียงแค่กับดักไฟฟ้า ที่ดูจะใช้การอะไรไม่ได้เมื่อพื้นย้อมไปด้วยเลือดแบบนี้
แล้วก็...หินเยียนสีเขียวสดใสไร้ประโยชน์ในกระเป๋าเสื้อ ที่ไม่รู้แม้แต่วิธีใช้งานมัน
เธอทรงตัวได้แล้ว ใบหน้าดูอิ่มเอมและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ริมฝีปากนั้นเหยียดยิ้ม “คุณน่าจะฟังเขานะ” สำเนียงการพูดของเธอเปลี่ยนไป ชวนให้รู้สึกดีขึ้นมามากโข
หญิงสาวเหยียบบนแอ่งเลือด ก่อนจะร่ายดึงพวกมันขึ้นมาก่อเป็นรูปร่าง ความรู้สึกดีเมื่อกี้หายไปแล้ว
ผมเพิ่งรอดตายมาได้ถึงสองครั้ง และนี่จะต้องหนีให้รอดเป็นครั้งที่สาม...
เอาล่ะ
ทุ่มแรง กำลังและร่างกายทั้งหมดที่เหลือ (แขนเพียงข้างเดียว) ออกวิ่งหลบลิ่มเลือดที่โจมตีเข้ามา ความรุนแรงน้อยลงกว่าเมื่อกี้แต่ถ้าโดนเข้าไปก็เจ็บหนักได้เหมือนกัน ผมม้วนตัวกลิ้งเข้าไปหลบหลังเคานเตอร์ควบคุม ทุกอย่างในห้องเละเทะ แผงวงจรถูกคลื่นเลือดซัดสาดจนพังไปหมด ผมพยายามมองหาอาวุธที่พอใช้ได้...ไม่มี หยิบจับอะไรขึ้นมาไม่ได้เลย
สายตาเหลือไปเห็นขาข้างหนึ่งโผล่พ้นประตูลิฟต์มา คงเป็นศพของทหาร แน่นอนว่าต้องมีอาวุธติดตัว แต่ลิฟต์นั่นอยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้องและหญิงสาวก็ขวางทางอยู่
เลือดหอกใหญ่พุ่งตรงเข้ามา ผมดึงเก้าอี้ที่ล้มอยู่ขึ้นมาเหวี่ยงปัดมันออก มือที่มีเหลือเพียงข้างเดียวทำให้หยิบจับอะไรไม่ถนัด ผมเหวี่ยงเก้าอี้ใส่หญิงสาว เร่งฝีเท้าวิ่งไปยังลิฟต์ตรงนั้น
รู้ว่าไร้ประโยชน์ แต่ว่าผมก็ใช้มือขวาหยิบหินเยียนนั่นออกมาจากกระเป๋า กำเอาไว้ในมือ ‘จินตนาการว่าตัวเองเป็นอากาศ’ เสียงของปริภูมิแว่วเข้ามาในหัว ถามจริง...จะไปคิดออกได้ยังไง
‘เป็นไง นั่งยานบินสนุกแบบนี้ไหม’
คำพูดอื่นพาลถูกดึงขึ้นมาเล่นซ้ำไปด้วย
เธอบังคับเลือดจากรอบห้องให้ลอยเข้ามา ฝนมันจนกลายเป็นเข็มนับพันเล่ม ผมเพ่งสมาธิไปยังสิ่งในกำมือ ไม่สามารถคิดถึงภาพอากาศได้ สิ่งเดียวผมที่เห็น...
เป็นภาพเหยี่ยวเพเรกวิน
ผมนึกถึงกลิ่นลมปนควันบุหรี่ ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่ม เสียงคลื่นซัด กลิ่นของโซเดียมคลอไรด์ มองเห็นภาพของเพเรกวินกำลังโผบินอยู่บนท้องฟ้า มันลู่ปีก และทิ้งตัวลงมาสู่พื้นดิน
หญิงสาวพลันหยุดเคลื่อนไหว เข็มเลือดที่เตรียมจู่โจมค้างนิ่งอยู่บนอากาศ ดวงตาของเธอเบิกกว้าง
ผมหยุดวิ่ง ก้มลงมองมือขวาของตน มันหายไปเช่นเดียวกับมือซ้าย ไม่ แม้แต่ปลายเท้าก็หายไปแล้ว เหลือเพียงรูปร่างของรองเท้าบนเลือดที่เหยียบอยู่
นึกอยากด่าปริภูมิด้วยคำที่เขาพูดประจำ ไอ้เวรปริภูมิ มันไม่ใช่ภาพของอากาศเลยสักนิด
แต่พอเข้าใจแล้ว
ผมเก็บหินเยียนไว้ในกระเป๋าเสื้อ ก้าวเดินไปยังลิฟต์ ไร้เสียงฝีเท้า หญิงสาวเหลียวหน้าไปรอบห้อง เธอมองไม่เห็นแม้ผมจะเดินอยู่ตรงหน้า ผมหยิบปืนเลเซอร์ที่แนบอยู่กับเข็มขัดของศพทหารในลิฟต์ขึ้นมา มันลอยอยู่กลางอากาศ ผมลองคิดถึงความรู้สึกเมื่อครู่อีกครั้ง ภาพปืนตรงหน้าก็ค่อยๆ หายไปเหลือเพียงสัมผัสบนมือขวา
เรียบร้อยแล้วหันหน้ากลับมา ยกปืนเล็งเป้าไปยังศีรษะของหญิงสาว แอร์เชเบต
............
ความคิดเห็น