ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Me who came from the star

    ลำดับตอนที่ #10 : Vol. 9 - Nightmare [Erzsebet's Part]

    • อัปเดตล่าสุด 12 มิ.ย. 57


       
     *หมายเหตุ* บทนี้เป็นบทในมุมมองของสาวผมแดง "แอร์เชเบต" เป็นเนื้อเรื่องต่อจากตอนที่แล้วค่ะ
    เธอคือหน่วยพิเศษที่ได้รับภารกิจจาก "ผู้บัญชาการ" ของฝั่งแฟนตาเซีย ให้มาทำลายโรงไฟฟ้าของเมโทรโปลิส

    เนื้อหาในตอนคัดลอกมาจากลิ้ง 
    http://writer.dek-d.com/weepingwillow/writer/viewlongc.php?id=1152369&chapter=37

    หรือติดตามเรื่องราวของแอร์เชเบตได้ที่นี่


     














    Nightmare
    Vol. 9

     




                    แอร์เชเบตกรีดลงไปบนลำคอของชายหนุ่มตรงหน้าแล้วใช้มือรองเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากปากแผล พละกำลังมหาศาลเพียงนั้น พลังงานชีวิตแบบนั้น ได้รับการยืนยันว่าไม่อยู่ในขอบเขตความสามารถของสิ่งมีชีวิตบนโลกเดียวกันกับเธออย่างแน่นอนแล้ว

                    ตอนที่กระโดดขึ้นยานวิ่งตามเขาเข้าป่าโดยหมายเอาชีวิตของหน่วยพิเศษแห่งเมโทรโปลิสเพื่อป้องกันความวุ่นวายซึ่งจะตามมา เธอไม่ได้คาดหวังเลยสักนิดว่าจะได้แผลลึกถึงเพียงนี้บนสะโพกไปเป็นของฝาก ชัยภูมินี้เป็นของเธอแท้ๆ

                    เธอไม่มั่นใจว่าการใช้ริมฝีปากสูบเลือดจากสิ่งมีชีวิตเช่นนี้โดยตรงจะเป็นเรื่องดี และความอยากรู้อยากเห็นนั้นเป็นบาปของเธอ ความทรงจำแบบไหนกันที่สิ่งนี้มี ความรู้สึกนึกคิด หน่วยพิเศษของเมโทรโปลิส เธอรู้สึกจำเป็นที่จะต้องลิ้มรสทั้งหมดนั่น

                    เผื่อว่าผู้บังคับบัญชาของเธอต้องการอะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง

                    นึกเสียดายทหารหนุ่มเบื้องหลังอยู่บ้าง เขาตายไปแล้ว และความตายนั้นรสชาติไม่น่าอภิรมย์นัก

                    เก็บมีด รองเลือดนั้นไว้และยกมันขึ้นมาจรดริมฝีปาก เธอดื่มมันเข้าไปเพียงน้อย แล้วราวกับมีอะไรบางอย่างพุ่งผ่านจมูกขึ้นไปบนด้านหลังของสมอง หญิงสาวก้มลงสำลัก ลดแขนลงยันตัวไว้กับพื้นดิน ศีรษะถูกแผดเผาด้วยภาพที่เธอไม่เคยเห็น ความนึกคิดที่แปลออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ภาษาและความรู้สึกจากโลกใบอื่นมากเกินกว่าที่ร่างกายของเธอจะแบกรับไหว

                    แต่เธอเห็นมันอย่างเลาลาง วิถีชีวิตของชาวเมโทรโปลิสซึ่งถูกผูกติดไว้กับชิพบนกำไลข้อมือสีเงินนั่น หากไร้ซึ่งสิ่งนั้น ใครก็ไม่อาจทำการใดได้ทั้งสิ้น

                    สัตว์ร้ายในคัมภีร์ไบเบิลอาจสั่งให้มนุษย์ทำเครื่องหมายบนมือขวาและหน้าผาก[1] แต่จอมปีศาจซึ่งปกครองประเทศนี้ได้สั่งตีตรามนุษย์ทุกผู้ไว้บนแขนซ้าย

    เธอสงสัยว่าใครกันจะยอมให้ถูกพรากจากอิสระที่จะมีชีวิตโดยไม่ถูกล่ามโซ่ถึงเพียงนั้น?  แต่แล้วก็เพียงส่ายศีรษะ เธอคงไม่มีวันเข้าใจคนเมโทรโปลิส

    เธอไม่ต้องการนำร่างนี้กลับขึ้นไปบนยานเพื่อถ่วงน้ำหนัก

    หญิงสาวต้องการจะสงสารเขา แต่พบว่าตัวเองทำไม่ลง

    ยืดแขนซ้ายของร่างนั้นออก เธอสร้างใบเลื่อยคมกริบสีเลือดขึ้นมาจากแอ่งน้ำข้างตัว การจะทำให้คมได้ถึงเพียงนี้ต้องอาศัยความตั้งอกตั้งใจอย่างสูง แต่ตอนนี้เธอไม่ได้กำลังวิ่งไล่ วิ่งหนี หรือต่อสู้ดิ้นรนอีกต่อไปและให้มันตัดลงไปบนกึ่งกลางท่อนแขนส่วนล่างพอดี ก่อนจะใช้มีดของตนเฉือนเอาเสื้อสีดำของผู้เคยเป็นชายหนุ่มเพื่อใช้ห่อแขนส่วนที่หลุดออกจากร่างไว้ เธอเองก็ไม่ใคร่จะเห็นสิ่งที่อยู่ภายใต้เนื้อหนังเท่าไรนัก

    ถือท่อนแขนนั้นไว้ในมือ แอร์เชเบตหยิบแผนที่ขึ้นมาจากในกระเป๋ากางเกง ไม่แปลกใจเมื่อเห็นว่ามันไม่เปียก ฉีกขาด หรือบุบสลายใดๆ และเริ่มออกเดินกลับไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นึกเสียดายยานสองคันนั้นซึ่งถูกจอดไว้ที่ใดสักแห่งในป่าลึก

    ขอบคุณเลือดเจ็ดไพนต์ของทหารชาวเมโทรโปลิสผู้วายชนม์ในตัวเธอ นิ้วเท้าและกล้ามเนื้อของเธอไม่กรีดร้องด้วยความเหนื่อยอ่อนแต่อย่างใด

     

    แอร์เชเบตยกแขนนั้นขึ้นทาบข้อมือของมันลงบนแป้นสี่เหลี่ยมข้างประตูเหล็กหนาแน่นรัดกุมตรงหน้า

    ประตูยังคงนิ่งสนิท

    เธอขมวดคิ้ว ทิ้งเนื้อชิ้นโตลงบนพื้นอย่างไม่ไยดีแล้วออกตัววิ่งไปทางทิศตะวันออกของโรงไฟฟ้าโดยทันที พลางนึกตั้งจิตคุยกับผลึกให้ท้องฟ้าร่ำไห้ออกมาหนักอีกหน่อย ในเมื่อเธอไม่ต้องใช้สมาธิไล่กวดใครในเวลานี้

    การเริ่มคุยกับสิ่งไม่มีชีวิตถือเป็นอาการเริ่มแรกของความไม่ปกติ เสียงเล็กๆดังขึ้นเตือนในหู

    เม็ดฝนจากเบื้องบนบดบังวิสัยทัศน์การมองทั้งหมดในระยะเกินกว่าสิบเมตรของเธอไปหมดสิ้นตอนที่ชีวิตหนึ่งขับยานฝ่าสายฝนตรงเข้ามาหาเธอพร้อมกับปืนซึ่งวางไว้บนข้อมือข้างที่จับคันบังคับ สายตาสอดส่องหาผู้บุกรุกอย่างแน่วแน่ เมื่อทหารนายนั้นเห็นเธออย่างพร่ามัว เขาก็เริ่มยิงลำแสงบางอย่างใส่เธอไม่ยั้ง แอร์เชเบตกระโดดหลบแล้วกางม่านน้ำสีแดงไว้ด้านหลังขณะวิ่งอ้าวไปในทิศตรงกันข้าม ได้ยินเสียงตะโกนสู้ฟ้าและฝน ลำแสงแบบเดียวกันโหมฝ่าสายฝนเข้ามาทางเธอจากด้านหลังนับสิบ

    แม้จะยิงอย่างสะเปะสะปะ แต่มันก็พุ่งผ่านกำบังเข้ามาตัดผมและเฉี่ยวใบหู โดนน่องเธอเข้าข้างหนึ่งจนแสบลึก คิดผิดไปที่เข้าข้างตัวเองว่าจะหนีพ้น ปืนอะไรกันเจาะผ่านแรงดันขนาดนี้เข้ามาได้?

    หญิงสาวทรุดลงคางฟาดเข้ากับพื้น ม่านน้ำสลายลงและสาดเข้าใส่ตัวอย่างกับว่าเธอยังเปียกไม่พอ จมูกได้กลิ่นเหม็นไหม้เนื้อ เธอใช้แรงพลิกตัวนอนหงายแล้วสร้างม่านเลือดหนาหนักกว่าของเดิมขึ้นแล้วเพ่งสมาธิดันมันออกไปเบื้องหน้าสุดแรงเท่าที่จะทำได้

                    ลำแสงประหลาดรอบกายเหล่านั้นหยุดลง ทหารทั้งหมดคงล้มลงไปนอนกับพื้น เธอซื้อเวลาได้ไม่กี่วินาทีจึงไม่ลุกขึ้น กลับกลั้นหายใจเพื่อไม่ให้สำลักน้ำฝนวันสิ้นโลกรอบกาย สร้างกำแพงสีเลือดขนาดมโหฬารขึ้นมาอีกหนึ่ง

                    คราวนี้มีปลายแหลมยื่นออกมาจากทุกตารางนิ้ว

    เธอเองขี้คร้านจะต้องมีมนุษยธรรมและช่วยให้พวกเขาจากไปอย่างใช้เวลาแต่ดูมีศักดิ์ศรีและไม่เจ็บปวดแล้ว

    ยกสิ่งซึ่งดูเหมือนอุปกรณ์ทรมานขนาดใหญ่นับสิบเมตรให้สูงขึ้น เธอคาดคะเนระยะ แล้วทุ่มมันลงมาบนพื้นที่ตรงหน้าแม้จะแทบมองไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม ถอนใจและสำลักเอาน้ำฝนเข้าไป

    แอร์เชเบตลุกขึ้นและวิ่งกะเผลกสุดแรงไปทางป่าใกล้กับทางเข้าเตาปฏิกรณ์แม้ว่าจะยังคงไอสำลักฝนจนแสบไหม้อยู่ในลำคอ แต่ลำแสงเหล่านั้นหยุดลงไม่ฉายขึ้นรอบกายเธออีก

    -- แต่แล้วประตูอาคารก็เปิดออก ทหารภายในคงได้รับสัญญาณขอกำลังเสริม หรือการหยุดของสัญญาณชีพเพื่อนร่วมรบ หรืออะไรก็ตามที แล้วรี่แห่กันออกมานับสิบนาย

    หญิงสาวไม่หยุดคิดและถลาไปทางแสงนั้นหมายจะเข้าไปในอาคาร ดึงมือของตนขึ้นแล้วดันออกไปเบื้องหน้า สาดฝนสีเข้มทั้งหมดเท่าที่เธอสามารถทำได้เข้าไปภายในจนดูราวกับเกิดสายน้ำเชี่ยวกรากขึ้นในอากาศ

                    เหล่าทหารผู้ไม่ทันตั้งตัวล้มหงายลง บ้างสำลัก บ้างก็ดูสติแตกกับเลือดปริมาณมหาศาลรอบกาย

                    มีเพียงเธอที่เพียงเปียกฝน และไม่แปดเปื้อนสีชาดนั้นเลย

    เธอไม่ปล่อยให้พวกเขามีโอกาสลุกขึ้น และผลักกำแพงเลือดไปเบื้องหน้าให้ท้ายทอยของพวกเขาปะทะกับพื้นหรือผนังเหล็กตรงกลางอาคาร วิ่งไถลตามพื้นเข้าไป มือหนึ่งเสกกระสุนเหล็กความหนาแน่นไม่มากส่งๆออกไปทางเหล่ากองทหารผู้บาดเจ็บเบื้องหน้าโดยไม่ได้เล็ง  ก้มตัวลงต่ำพลางยกแขนอีกขวาขึ้นสร้างม่านน้ำกำบังให้ตัวเองโดยเพ่งสมาธิทั้งหมดไปสร้างความแข็งแกร่งให้มัน ปลอดภัยไว้จะเป็นการดีกว่า

    เลือดจากร่างกายของผู้วายชนม์เหล่านั้นคงจะสาดไปทั่วพื้นและผนังเหล็ก เพียงแต่ว่าในตอนนี้มันแทบจะถูกแยกออกจากเวทมนตร์ของเธอไม่ออก

    พยายามปัดทุกความคิดออกจากสมองและเร่งเดินหน้ามุ่งไปยังทิศตะวันตกเพื่ออ้อมผนังเหล็กของห้องทรงกลมขนาดมโหฬารซึ่งดูท่าเส้นผ่าศูนย์กลางจะมีขนาดเกือบหนึ่งกิโลเมตรเบื้องหน้า เธอเหลือบมองแผนผังของโรงไฟฟ้าบนผนังนิดหนึ่ง ลดม่านน้ำสีเข้มลงเป็นก้อนน้ำสีแดงเถือกขนาดประมาณสิบลิตรในมือขวาแล้วเลาะไปตามขอบของผนังทรงมนกลมกึ่งกลางอาคาร เท้าเปลี่ยนถ่ายของเหลวข้นคลั่กบนพื้นไปยังส่วนที่แห้งและสะอาดกว่า

     

                    เธอหันมองรอบกายเมื่อเพิ่งปามีดและลิ่มเลือดใส่ทหารไปอีกสองนาย ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป มือและกล้ามเนื้อยังคงคันยิบ บังคับให้ตนอยู่นิ่งไม่ได้

                    เธอมองตามผนังขึ้นไปพบกับคำคำหนึ่ง

                    ลิฟต์ - อาคารรักษาความปลอดภัยหน่วย 1

                แม้จะไม่รู้เลยว่าจะเกิดขึ้น หรือว่าเจ้าลิฟต์นี่คืออะไร เธอกดปุ่มหนึ่งข้างประตูเหล็กซึ่งร่างเหล่านั้นเคยเฝ้าไว้

    ครู่หนึ่งนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แล้วมันก็ส่งเสียงดังหึ่งต่ำ แสงไฟปรากฏขึ้นด้านบนประตูนั้นเผยให้เห็นตัว U และเปลี่ยนเป็นเลข 1 โดยเร็ว

                    พลันเสียงดังเล็กๆดังขึ้น หญิงสาวถอยหลังและโผเข้าไปซ่อนหลังตู้เหล็กขนาดใหญ่บางอย่างตรงกลางห้องซึ่งกำลังส่องแสง เต็มไปด้วยปุ่มกดและช่องเสียบสายไฟ มันส่งเสียงราวกับมีเครื่องจักรทำงานอยู่ภายในตอนที่ลิฟต์หยุดส่งเสียงหึ่งต่ำของมัน ประตูเปิดออก ทหารอีกห้านายเร่งฝีเท้าออกมาจากทางประตู ห่างจากเธอประมาณสิบเมตร-- พวกเขาชะงักเมื่อเห็นศพ

                    เธอหดศีรษะกลับเข้ามาหลังเหล็กหนา เหล่าทหารกำลังเข้ามาใกล้ เธอสัมผัสได้แต่ไม่หาญกล้าชะเง้อออกไปมอง ได้แต่หวังลมๆแล้งๆไม่ให้พวกเขามีอุปกรณ์ตรวจจับหาสิ่งมีชีวิต

    ในนี้ไม่มีน้ำ และเธอก็ไม่มีมีด

                    แอร์เชเบตใช้ฟันเขี้ยวเขี้ยวธรรมดาเช่นมนุษย์ปุถุชน ไม่ได้แหลมคมอะไรเลย กัดลงไปที่นิ้วโป้งแล้วหยดมันลงบนพื้นหยดหนึ่ง และราวกับมีชีวิต มันบิดและคลายตัวออกจนกลายเป็นแอ่งเลือดขนาดหย่อม

                    เป็นห้าลิตรซึ่งต้องใช้ให้คุ้ม อย่างน้อยมันก็ไม่บางเหมือนดั่งเลือดที่สร้างขึ้นจากน้ำ

                    หญิงสาวสูดหายใจ ผลักความคิดทั้งหมดออกไปจากสมอง แล้วหงายมือ ยกแอ่งนั้นขึ้นกดมันจนเป็นแผ่นกลมบาง และคมกริบ ดังกงจักรไร้ซี่

                   

                    เธอไว้ชีวิตไว้คนหนึ่ง เปลี่ยนแผ่นกลมนั้นเป็นก้อนแข็ง เสยเข้าที่ปลายคาง จมูก จนสีหน้าประหลาดใจนั้นหงายไปด้านหลังและทรุดตัวลงข้างพี่น้องร่วมรบ เธอเรียกให้มันวนเสยกลับเข้าไปใต้ร่างและกระทุ้งใส่กระดูกสันหลัง ร่างของทหารหญิงจึงนิ่งไปทั้งที่ยังคงหายใจ

                    เผื่อว่าการจะหยุดการทำงานของเตาปฏิกรณ์จะต้องพึ่งชิพซึ่งยังติดอยู่กับข้อมือของผู้มีชีพจรอยู่

                    หญิงสาวปรี่เข้าไปดึงมีดออกและนำผลึกของตนกลับมาจากข้างศพทหารหน้าประตูลิฟต์ สีแดงก่ำจากเวทมนตร์กระจายเต็มพื้นและผนัง

                เธอแตะลำคอของตนแล้วนับสิบห้าวินาที ชีพจรกำลังเต้นหนึ่งร้อยครั้งต่อนาที หัวใจบีบรัดตัวอย่างน่าอึดอัด แต่สารบางอย่างในร่างของเธอกำลังลดลง แผลบนสะโพก ท่อนขา และตามลำตัวเริ่มแสบขึ้นมาแล้ว กระนั้นแอร์เชเบตเองยังไม่มั่นใจเลยว่าจะไปให้ถึงห้องควบคุมได้อย่างไร

     คงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ไอ้เจ้าลิฟต์นี่

                    เธอฉุดกระชากเอาร่างของทหารหญิงซึ่งเป็นอัมพาตผ่านเข้าประตูไปยังห้องสี่เหลี่ยมเล็ก มองปุ่มสลักตัวเลขและตัวอักษรข้างประตูเหล็กแกร่งตรงหน้า

                    3

                    2

                    1

                    U

                    แอร์เชเบตยกข้อมือของทหารหญิงคนนั้นขึ้นจรดบนแผงสี่เหลี่ยมข้างประตูแล้วกดปุ่ม U ซึ่งเธอทึกทักเอาว่ามาจากคำว่าอันเดอร์กราวด์ (ใต้ดิน)

    ประตูปิดลงและทั้งห้องสั่นไหวเพียงน้อย มันกำลังร่วงลงด้วยความเร็วอันทำให้เธอสะดุ้งสุดตัว รู้สึกโหวงว่างในช่องท้อง ได้แต่หวังว่ามันจะไม่ตกลงชนกับใต้พื้นโลกหรือแย่กว่านั้น

     ประตูลิฟต์เปิดออก กะเผลกเข้าไปพบกับห้องว่างเปล่าซึ่งเต็มไปด้วยแผงควบคุม วงจร หน้าจอ พร้อมด้วยกระจกซึ่งคั่นกลางระหว่างห้องควบคุมและลูกไฟดวงยักษ์

                    กำแพงเหล็กหนาขนาดยักษ์ซึ่งเป็นรูปทรงกลมตรงกึ่งกลางอาคารคือกำแพงของเตาปฏิกรณ์ พลังงานอันดูไม่สิ้นสุดเบื้องหน้าเธอซึ่งถูกเก็บรักษาไว้เบื้องหลังกระจกนั้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณห้าร้อยเมตรและเปล่งแสงสีเหลืองสุกไสวดังดวงอาทิตย์เอง

    เพื่อที่จะมาถึงตรงนี้ ได้มาเห็นสิ่งนี้ แอร์เชเบตคำนวณในหัวอย่างรวดเร็วและประมาณได้ว่าเพิ่งจบชีวิตมนุษย์ไปราวสี่สิบนายในหนึ่งชั่วโมง

    เชสเซอร์คงสะกดเธอไว้ไม่ให้ทำตามใจตัวเองในเมืองของเขา โดยปล่อยให้ความรู้สึกนี้ออกมาโลดแล่นได้บ้างเมื่อเขาเองต้องการจะลองเคาะกระจกดูว่าสัตว์น่าพิศวงตัวน้อยหลังกระจกนั้นยังคงมีสัญชาตญาณสัตว์ป่าอยู่ไหม และมันทำอะไรได้บ้าง

    เขาคงรู้สึกรื่นเริงเป็นแน่เมื่อเห็นในสิ่งที่เธอทำวันนี้ -- หรือพูดให้ถูกคือ เขาคงภูมิใจ เมื่อเห็นว่าเหยื่อของเขากำลังกลายเป็นผู้ล่า

                    เธอส่ายศีรษะไล่ความคิดออกจากสมองพลางมองหาคู่มือหรือคำบอกใบ้เพื่อชะลอหรือหยุดการทำงานของสิ่งน่าพิศวงนี้

                    พลันก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นจนรู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนอย่างแผ่วเบาของผนังเหล็ก เ แอร์เชเบตผวาและถอยออกจากแผงควบคุม มันกำลังจะระเบิด

                    หากแต่เสียงนั้นใกล้เข้ามาจากทิศอื่น มันไม่ได้มาจากเตาปฏิกรณ์ เป็นเสียงฝีเท้าอันว่องไวและหนักอึ้งของสิ่งมีชีวิต มันมาจากทิศตะวันตก มาจากทางด้านบน

                    เธอกระตุกมือไปทางมีดตรงสะโพกเพื่อตั้งรับแต่ไม่ทันการ สัตว์ร้ายตัวสูงกว่าสามเมตรพุ่งผ่านซุ้มประตูเข้ามาโดยไม่สนใจว่าเหล็กแหลมบนหลังของมันจะทำลายโครงสร้างอาคารไปมากเท่าใด แล้วส่งเสียงคำรามใส่หญิงสาว

                    แอร์เชเบตตั้งตัวไม่ถูก ปล่อยมือออกจากปลอกมีด ถอยกรูดแล้วดึงเอาเก้าอี้ติดล้อมาไว้ข้างหน้าโดยไม่ทันคิด ราวกับว่าถ้าหากสัตว์ตัวนี้กระเหี้ยนกระหือรือหวังเอาชีวิตเธอเท่ากับหน้าตาที่มันแสดงออก เจ้าเก้าอี้บอบบางนี้คงจะช่วยยื้อชีวิตให้อย่างไรอย่างนั้น ฉับพลันกลิ่นหนึ่งในห้องกลับทำให้เธอลำคอตีบตัน หายใจไม่ออก รู้สึกถึงเหงื่อบนฝ่ามือ หลังลำคอ มันไหลหยดลงไปตามหลังทั้งที่อุณภูมิเย็นจัด

                    พลังชีวิตของสัตว์ประหลาดตัวนี้เป็นแบบเดียวกับที่รับรู้ได้จากชายหนุ่มผมสีขาวในป่า  กระนั้นเธอยังคงไม่เชื่อสายตาและความรู้สึกตัวเอง หากว่านี่คือร่างที่แท้จริงของชายหนุ่มหน้าตาเฉยเมยคนนั้น

                มันมีแขนครบทั้งสองข้าง และดูมีชีวิตมากทีเดียว

                    แต่ฉันปาด---

    ไม่ ไม่มีเวลาให้มาใช้ความคิดอะไรอีกแล้ว

                    หญิงสาวก้มลงแล้วพุ่งตัวหลบอุ้งมือของสัตว์นั้น เร่งฝีเท้ากลับออกไปทางกึ่งกลางห้อง

    ขาคู่แกร่งนั้นย่อลงกระโดดขึ้นเพียงทีเดียวก็มาร่อนลงอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว

    หญิงสาวล้มลงด้วยความตกใจ ยันตัวลุกขึ้นแล้วหันกลับ พยายามฝ่าแผงหน้าปัด แป้นพิมพ์ ตู้ เก้าอี้ โต๊ะไปทางประตูเพื่อออกจากห้อง แต่มันเพียงหันกลับมาและยืดเงื้อแขนขึ้นฟาดหน้าจอบนโต๊ะซึ่งเธอกำลังวิ่งผ่าน สิ่งนั้นลอยขึ้นกระแทกเข้าโหนกแก้มและขมับ ส่งให้เธอลอยไปชนกับกระจกหนาหลายนิ้วแล้วร่วงเอาศีรษะลงกระแทกกับแผงควบคุมหลัก

                    เธอยันตัวลุกขึ้นยืนตรงขอบหน้าต่างระหว่างแผงควบคุมและกระจก พยายามไถลลงไปเพื่อมุ่งกลับเข้าลิฟต์อีกครั้ง มันกระโดดข้ามห้องมาฝังเหล็กแหลมบนหลังมือเข้าตรงที่ศีรษะเธอเคยอยู่พอดี หญิงสาวโยกหลบแต่ไม่ทันการ เหล็กแหลมนั้นเกี่ยวเรือนผมของเธอไปจนหลังศีรษะชนเข้ากับกระจก

    ลมหายใจกลิ่นเหมือนอัลมอนด์ขมของมันถูกดันลึกเข้ามาในจมูกและลำคอ หลอดลมราวกับถูกอัดแน่นไว้ด้วยหมอน เธอพยายามอ้าปากสูดหาอากาศบริสุทธิ์

                    กระจกด้านหลังส่งเสียงดังและร้าวออกเพียงเล็กน้อย หญิงสาวออกแรงกระชากผมออกจากกรงเล็บเหล่านั้นก่อนจะหมดลม กระโดดลงบนพื้น เผ่นไปทางประตูลิฟต์ขณะหอบหายใจ  สัตว์ตัวนั้นดึงมือของมันออกและกระโดดข้ามกลุ่มเครื่องเรือนเครื่องมือลักษณะแปลกตาตามเธอมา

                    เธอกำลังจะถลาเข้าไปในลิฟต์ตอนที่มันโยนโต๊ะเหล็กทั้งตัวเข้าไปภายในและขวางกั้นเธอไว้ ทับร่างของทหารหญิงในนั้นจนแหลก               

                    รู้สึกได้ว่าเลือดกำลังไหลริน แต่สมองตื้อตัน มองเห็นแสงระยิบระยับยามกระพริบตา แอร์เชเบตบังคับแขนขาตนแทบไม่อยู่ มีเพียงมีดในมือเท่านั้นซึ่งเธอยึดเอาไว้ราวกับชีวิตจะหลุดลอยไปหากปล่อยมือ แอร์เชเบตเดินถอยหลังไปทางประตูที่มันบุกเข้ามาเมื่อมันหันเหความสนใจกลับมาทางเธอ

    จิ้มมีดลงไปบนนิ้วของตน เก็บเข้าฝัก หยดเลือดลงบนพื้นหนึ่งหยด 

                    เธอสร้างโล่ขนาดใหญ่แต่บางเฉียบขึ้นป้องกันทันทีที่เจ้าสัตว์นั่นค้อมตัวลงแล้วสะบัดเหล็กแหลมบนหลังของมันมาทางเธอราวกับเม่นยักษ์ซึ่งกำลังคลุ้มคลั่ง  เข็มเหล็กขนาดเล็กนับสิบปักคาไว้บนกำบัง บ้างร่วงลงกับพื้น

                    แต่เลือดเพียงห้าลิตรไม่พอรับมือกับเหล็กชิ้นหนา

    แท่งหนึ่งถูกลดความเร็วลงและหมุนคว้างผ่านโล่เข้ามาตีกับศีรษะของเธอจนซวนเซ ส่วนอีกแท่งพุ่งเฉียดผ่านขอบซ้ายเข้ามาปักลึกลงในไหล่ของเธอ

                    เกิดเสียงราวกับมีอะไรหัก แอร์เชเบตร้องเสียงหลง กระดูกไหล่ซ้ายถูกดันออกจากที่อันเหมาะอันควรของมันและตกห้อยลงข้างตัวในสภาพใช้การไม่ได้

                    เธอดันครึ่งหนึ่งของกำแพงเลือดนั้นกลับไปอย่างเร็วด้วยแขนขวา บังคับให้ของเหลวข้นสีแดงฉานนั้นอุดเข้าไปในดวงตา จมูก และปากอันน่าสะพรึงของมัน เจ้าสัตว์ร้ายดูเพียงแต่มีท่าทีรำคาญใจและเริ่มยืดตัว สะบัดร่างไล่สิ่งแปลกปลอมให้พ้นออกจากใบหน้าเท่านั้น

                    เธอโผเข้าหาประตูอันผุพังซึ่งซ่อนบันไดชุดหนึ่งเอาไว้ ปิดซากประตูแน่นอย่างสิ้นหวัง ใช้เลือดซึ่งเหลือจากโล่อีกครึ่งหนึ่งกันช่องนั้นเอาไว้และทำให้พวกมันแข็งตัวขึ้นเพื่อถ่วงเวลา สาวเท้าขึ้นบันไดไปทีละสองขั้น ชักมือทั้งสองขึ้นลงเพิ่มความเร็วดังเช่นเวลาวิ่งแข่งกับใครในที่ราบสูงโล่งกว้างเมื่อตอนเป็นเพียงเด็กตัวน้อย ส่งเสียงลอดไรฟันออกมาขณะดึงเหล็กแหลมออกจากไหล่

                    เสียงทุบประตูดังไล่หลังมา ทุกคนเคยฝันว่าถูกวิ่งไล่ เคยฝันเห็นปีศาจและสัตว์ทมิฬบางอย่างในจิตใต้สำนึก  นี่คือฝันร้ายทั้งหมดนั่นรวมกันเป็นสิ่งเดียว และมันกำลังเกิดขึ้นในชีวิตจริง

                    ประตูพังลงแล้ว หญิงสาวได้ยินเสียงฝีท้าของมันกระทบขั้นบันไดเหล็กมุ่งตรงขึ้นมา

                    เธอบีบเปิดแผลบนนิ้วชี้แล้วป้ายเลือดลงบนกำแพง หวังลองทำให้มันกลายเป็นหนาม หากแต่ยังคงใช้ไม่ได้ เธอเหนื่อยเกินไป วุ่นวายเกินไป ไม่มีสมาธิทำสิ่งพวกนี้อีกแล้ว

                    ตอนนี้เธอเป็นใครกัน? เธอจะเป็นตัวเองได้อย่างไรถ้าหากว่าไม่มีความคิดของตัวเองอยู่ในหัว?

                    เสียงคำรามของมันดังขึ้นข้างหลัง ส่งกลิ่นขมเบาบางที่คุ้นเคยให้หืนเข้าไปในลำคอ เธอสำลัก ภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัว ความเร็วตกลง ริมฝีปากแห้งผากจากการหอบหายใจ แข้งขากำลังร้องประท้วงขอการหยุดพัก

                    ไม่ใช่ตอนนี้

                    เสียงเหล็กกระทบกันใกล้เข้ามาทุกขณะ หญิงสาวพยายามครองสติแล้วหันหลังกลับไป เงื้อมือขวาโยนเหล็กแหลมซึ่งดึงออกจากไหล่ซ้ายของตนออก

    อย่างน้อยมันก็ปักเข้าในลูกตาซ้ายของสัตว์นั่นพอดี

                    เจ้าตัวนั้นผวาถอยลงไปนิดหนึ่ง ลำตัวใหญ่ยักษ์กระแทกเข้ากับโถงบันไดเล็กและแคบ มันร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดและคับแค้น ปล่อยลมหายใจกลิ่นหวานขมออกมาอีกครั้ง เธอยกแขนขึ้นปิดจมูกแล้วหันหลัง เร่งฝีเท้าสุดชีวิต

                    มันยังคงตามมาพร้อมกับเสียงขู่คำราม เหล็กแหลมบนมือฝังเข้าไปในผนังเพื่อช่วยในการยกตัวเร่งความเร็วขึ้นบันไดมา

                    แขนขวาคว้าช่องประตูซึ่งไร้ประตู เหนี่ยวร่างของตนขึ้นแล้วมุ่งกลับออกสู่ทางที่คุ้นเคย โถมตัวผ่านประตูลิฟต์และตู้เครื่องจักรอะไรสักอย่างไปเพื่อหาทางกลับออกสู่ภายนอกอาคาร

                    เธอได้ยินสัตว์ประหลาดสูงสามเมตรพังสิ่งกีดขวางอะไรบางอย่างเบื้องหลังตอนที่เธอกำลังจะออกสู่ห้องโถงทางเข้า ปราการสุดท้ายก่อนจะได้กลับสู่ที่ปลอดภัย ในสายฝน

                    ลืมไปสิ้นว่าทิ้งเลือดไว้ทั่วบริเวณนั้น เธอไม่ได้ไถลเท้าไปตามของเหลวซึ่งกำลังแข็งตัวอยู่บนพื้น แต่กลับเหยียบเกล็ดแข็งและแอ่งเลือดพวกนั้นเข้าไปเต็มเท้า

                    เธอหงายหลังลื่นล้มลงกับพื้น

                    แอร์ชเบเตพลิกตัวนอนหงายขึ้น ศอกขวายันตัวไว้กับพื้นพยายามลุก แต่เจ้าสัตว์นั้นตามมาทัน และไม่มีเวลาให้เธอได้ยืดขาออกวิ่งอีกแล้ว

                    ดวงตาเบิกกว้าง จับจ้องไปบนร่างใหญ่โตของมัน ป้ายเลือดบนนิ้วลงบนพื้น หากแต่หยดชีวิตสีแดงก่ำนั้นยังคงไม่กระดุกกระดิก

    หญิงสาวชักมีดออกมา มันเงื้อแขนแข็งแรงขึ้นหวังจะตะปบ

    ราวกับเข็มนาฬิกาถูกหมุนให้เดินช้าลง หญิงสาวถอนใจอยู่ภายในใจให้กับร่างกายซึ่งไม่อำนวยให้เธอมีสมาธิในขณะนี้ เตรียมพร้อมรับแรงกระแทกและกรงเล็บ สายตาจดจ่ออยู่บนใบหน้าของมัน

     หากเธอจะตายทั้งที่นอนอยู่บนพื้น ก็จะไม่ขอตายโดยดิ้นรนกระเสือกกระสนหาทางหนีอย่างเหยื่อที่ติดกับ

                    ขอโทษค่ะ ผู้การ

                เชส

     

     



    [1]

    และมันยังบังคับทุกคน ทั้งคนเล็กน้อยและคนใหญ่โต คนมั่งมีและคนยากจน เสรีชนและทาสให้รับเครื่องหมายไว้ที่มือขวาหรือที่หน้าผากของพวกเขาเพื่อไม่ให้ใครสามารถซื้อหรือขายได้ ถ้าหากไม่มีเครื่องหมายที่เป็นชื่อของสัตว์ร้าย หรือเป็นตัวเลขของชื่อมัน (วิวรณ์ 13:16-17)



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×