คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Prologue - Come into their labyrinth
Come into their labyrinth
Prologue
แปลก
คือสิ่งเดียวที่ผมสามารถจำกัดความได้ขณะย่ำไปตามทางเดิน ความเย็นเยียบเสียดแทงไปทั่วร่างกายเมื่อเท้าเปล่าสัมผัสกับพื้นโลหะเรียบแข็ง ข้อมือทั้งสองข้างของผมถูกพันธนาการด้วยเชือกเรืองแสง อะไรสักอย่างที่คล้ายจะเป็นอาวุธจ่ออยู่ที่แผ่นหลัง บังคับให้เดินตรงไปข้างหน้าอย่างดุดัน ถึงอย่างนั้น ผมก็ไร้ซึ่งการต่อต้าน ปล่อยให้การ ‘จับกุม’ ดำเนินไปตามความประสงค์ของเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย
ยานบินของผมถูกโจมตีกลางอากาศ สอยร่วงจูบพื้นดิน รู้ตัวอีกทีก็ถูกมนุษย์โลกพวกนี้ยืนล้อมวงพร้อมอาวุธครบมือ
ทางเดินยาว ทหารนับสิบล้อมหน้าล้อมหลังตลอดทางไม่ขาดตกบกพร่อง ผมเล่นตามบทบาทนักโทษอย่างตั้งใจ ไม่ปริปากเอ่ยอะไรออกมาแม้จะถูกซักถาม
มนุษย์, แปลก
ผมถูกนำเข้ามาในห้องกระจกทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส สะท้อนเห็นเงาของตนเองในร่างมนุษย์ เรือนผมสีขาวเฉดเดียวกับเม็ดสีผิว ดวงตาสีฟ้าใสดุจน้ำแข็ง ริมฝีปากเล็กเป็นรูปกระจับกอปรกับใบหน้าอ่อนเยาว์ทำให้ดูเหมือนเด็กผู้ชายธรรมดาๆ อายุไม่เกินยี่สิบปีมนุษย์ พินิจดูแล้วถือว่าผมแปลงร่างเลียนแบบมนุษย์ออกมาได้ดีใช่ย่อย ระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกายก็สมบูรณ์แบบ แต่ยังรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวกับอากาศหนาวในห้อง อยากจะกระชับผ้าบางๆ ที่คลุมร่างอยู่แต่ก็ขยับมือไม่ได้
พลันห้องกระจกทึบก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นโปร่งใสเผยให้เห็นสภาพภายนอก ผมอยู่ในห้องขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเครื่องมือจักรกลทันสมัย และกำลังตกเป็นเป้าสายตาจากมนุษย์ในชุดสีขาวสามคน คาดเดาว่าน่าจะเป็นนักวิจัย เบื้องหลังมีร่างของชายอีกคนในชุดคอปกแขนยาว มองแวบเดียวก็พอจะรู้ว่าชายคนนี้มีอะไรบางอย่างที่พิเศษเหนือคนอื่น ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง เรือนผมสีทองยาวระต้นคอ ใบหน้าคมสวยรับกับดวงตาสีเขียวประกายแววเฉลียวฉลาด รอยยิ้มบนริมฝีปากดูคล้ายกับเด็กที่เจอของเล่นใหม่
เขาก้าวเท้าเข้ามา กดปุ่มบนแผงที่ล้อมอยู่รอบตู้กระจก เสียงบรรยากาศภายนอกพลันสะท้อนเข้ามาด้านใน
“สวัสดี”
ผมสะดุ้งเล็กน้อย
“นายคือเซิร์ก มาจากดาวเดวาฮาลใช่ไหม”
ถูกต้อง เผ่าพันธุ์ของผมถูกเรียกว่าเซิร์ก และเดวาฮาลเป็นชื่อที่มนุษย์โลกเรียกดาวของผม ผมไม่แปลกใจที่จะมนุษย์รู้ มีแค่ไม่กี่แห่งในจักรวาลที่ติดต่อกับดาวโลก หนึ่งในนั้นคือเดวาฮาล ที่อยู่อาศัยของเซิร์ก ชนเผ่าเดียวที่สามารถปรับเปลี่ยนร่างกายของตนเลียนแบบมนุษย์ได้
ผมปล่อยให้ความเงียบตอบรับคำถาม ทำเพียงประสานสายตากลับ
“ฉันจำได้ว่าชาวเซิร์กสื่อสารกับเรารู้เรื่องนะ”
ผมฟังออก หากไม่คิดจะเปิดปากเปล่งเสียงออกมาให้มนุษย์พวกนี้ได้ยิน
ประตูเลื่อนเปิดออกพร้อมร่างของทหารอีกจำนวนหนึ่ง ตรงเข้ามารายงานสถานการณ์ให้หัวหน้าฟังอย่างเร่งรีบ “ผู้บัญชาการครับ ทำการค้นยานโดยละเอียดอีกรอบแล้ว ไม่มีพาสปอร์ต”
พาสปอร์ต? รู้สึกว่าจะต้องทำเรื่องขออนุญาตผ่านเข้ามาในประเทศที่เกาะลอยฟ้า แต่ว่าหมอนั่นบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำ ให้เจาะระบบผ่านเข้ามาได้เลย - ผมเชื่อเขาโดยสนิทใจ
เรื่องของเรื่อง ผมถูกมนุษย์โลกคนหนึ่งชวนให้มาเที่ยวที่นี่ แต่ดูเหมือนหมอนั่นจะระบุพิกัดให้ผมผิด ที่นี่ดูไม่คล้ายจะเป็นเมืองหลวงเลยแม้แต่น้อย มีแต่ทหาร ยานรบ หุ่นยนต์ ห่างไกลกับสิ่งที่หมอนั่นโม้คุยไว้หลายเท่านัก ผมคงจะหลงเข้ามาในอะไรสักอย่างที่คล้ายว่าจะเป็นศูนย์บัญชาการ
“สรุปคือลักลอบเข้ามา?” ชายคนนั้นปรายตามองมา ผมรู้สึกหนาวยะเยือก นึกอยากปริปากขอให้ช่วยปรับอุณหภูมิห้องแต่ก็ใช่เรื่อง
“ใช่ครับ สืบค้นในลิสต์พาหนะที่ขออนุญาตดูแล้ว ไม่มีรหัสของยานลำนี้จริงๆ”
“เข้าใจแล้ว พวกนายออกไปก่อน” ออกคำสั่ง ทหารแถวนั้นก็ถอยกลับออกไปทางเดิมอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงทหารที่เฝ้ารอบตู้กระจกไว้สี่คน มนุษย์ชุดขาวอีกสาม และผู้บัญชาการ
“เซิร์กฟังภาษาของเรารู้เรื่องไม่ใช่หรือ เวอกัส” นักวิจัยคนหนึ่งหันไปพูดกับผู้บัญชาการหนุ่ม
ผู้ซึ่งถูกเรียกว่า เวอกัส ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเล็กน้อย “ใช่ แต่ก็มีแค่ส่วนน้อยที่แตกฉานจนสื่อสารด้วยได้”
“บางทีหมอนี่อาจจะฟังไม่รู้เรื่อง”
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมหมอนี่ไม่คืนร่างแล้วขัดขืน? ถ้าคืนร่างจริง คงไม่ถูกจับมาได้ง่ายๆ”
“อย่างไรก็ตาม เราไม่ค่อยมีข้อมูลของมนุษย์จากดาวนี้มาก ระวังไว้ดีที่สุด”
ผมสอดสายตาส่องสำรวจไปรอบๆ ห้องขณะนั่งฟังเหล่ามนุษย์ด้านนอกถกเถียงกันเกี่ยวกับตัวเอง สิ่งก่อสร้างของมนุษย์ล้ำสมัยกว่าที่คิดไว้ แต่ก็ยังล้าหลังกว่าอาณาจักรของผมอยู่มาก
นับว่าเก่งที่พัฒนามาได้ถึงขนาดนี้ภายในเวลาไม่กี่ร้อยปี
“เอ้อ เจ้าเอเลี่ยน” เอเลี่ยนหมายถึงมนุษย์ต่างดาว ผมหันไปตามเสียงเรียก “อ้าว ก็ฟังออกนี่ ถ้าคุยด้วยรู้เรื่องแบบนี้ก็สบายหน่อย”
ลืมตัว
“ยานของนายโดนป้อมของที่นี่สอยร่วง เสียหายยับเยิน ถึงจะปล่อยนายไปยังไงก็ยังกลับดาวไม่ได้” หมอนี่พูดถูก ผมตระหนักเรื่องนี้ดีอยู่แก่ใจ อาจจะต้องใช้เวลาซ่อมนานอยู่ จะให้ผมขับยานของเจ้าพวกมนุษย์กลับก็ไม่ได้ ดูจากโครงสร้างแล้วน่ากลัวว่าจะไปไม่ถึงที่หมาย
“ถ้ายอมเชื่อฟังคำพูดดีๆ เราจะซ่อมยานให้ ไม่คิดตังค์”
ข้อเสนอน่าสนใจไม่ใช่เล่น
“สีหน้าแบบนี้หมายความว่าตกลงสินะ ถ้าอย่างนั้น คำสั่งแรก เปิดปากตอบคำถาม บอกชื่อตัวเองมา”
“พูดไม่ได้” ผมตอบตามคำสั่ง ผมออกเสียงชื่อตัวเองด้วยเสียงของมนุษย์ไม่ได้
“อ้าว นั่นก็พูดอยู่ไม่ใช่หรือไง” นักวืจัยคนหนึ่งหลุดขำออกมาพรืด
“เออ งั้นไม่เป็นไร พูดออกมาก็ดีแล้ว” เวอกัสยกยิ้มมุมปากดูคล้ายกำลังกลั้นขำ “ตอบว่ามาทำอะไรที่นี่”
“มาหาสหาย”
“สหายอยู่ที่ไหน”
“เขาระบุพิกัดให้มาที่นี่”
“ทำไมไม่ทำพาสปอร์ต”
“ไร้สาระ”
“อืม...” เวอกัสเกาท้ายทอย ดวงตาสีมรกตทอประกายระริกเหมือนคิดอะไรดีๆ ออก "บุกรุกถิ่นฐาน โทษจำคุกไม่ต่ำกว่าหกสิบปี”
หกสิบปีมนุษย์หรือ สำหรับเซิร์ก แค่กะพริบตาก็ผ่านไปแล้ว
“แต่สำหรับมนุษย์ดาวเดวาฮาลอย่างนาย ฉันมีข้อเสนอพิเศษ อยู่ใต้คำสั่งฉันเป็นเวลาสามเดือน ฉันจะปล่อยนายกลับดาวไปพร้อมยานของนาย”
ผมจะคืนร่างเดิมแล้วขัดขืนก็ได้ แต่พอลองคำนวณดูแล้วคงจะไม่คุ้ม พวกมันได้เปรียบมากกว่า ดิ้นรนไปก็เสียแรงเปล่า ข้อเสนอของเวอกัสเป็นอะไรที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มองโลกในแง่ดี อยู่ใต้คำสั่งของมนุษย์โลกแค่เดือนสองเดือน คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงเสียเท่าไหร่
“ตกลงไหม”
“ตกลง”
“ฉลาดมาก” เวอกัสเอ่ยชม พูดคุยกับชายชุดขาวข้างกายชั่วครู่หนึ่งก่อนหันกลับมาเอ่ยกับผม “คำสั่งแรก ลองคืนร่างเดิมแล้วบอกชื่อตัวเองมาให้ฟังหน่อย”
เปลืองพลังงานจริง แต่นี่เป็นคำสั่ง ตามข้อตกลงผมก็ต้องทำ
ผมลุกขึ้นยืน ก่อนจะค่อยๆ ควบคุมระดับการหลั่งของฮอร์โมน บังคับให้รูปร่างเปลี่ยนแปลงพร้อมกันทุกส่วน กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนผ้าที่คลุมร่างฉีกขาด ผิวสีขาวแปรสภาพกลายเป็นสีทองแดง เล็บงอกยาว กระดูกสันหลังงอกแทงทะลุผิวหนังออกมาเป็นแท่งโลหะ ผิวหน้าเปลี่ยนเป็นเหล็กกล้าปกคลุมทั้งกะโหลกศีรษะ เหลือเพียงปากที่อ้าเผยฟันแหลมคมงอกยาว ตู้กระจกที่เคยใหญ่กลายเป็นแคบลงถนัดตาเมื่อผมคืนร่างเดิม
“ความสามารถในการแปรสภาพเซลล์...เหลือเชื่อ” ได้ยินเสียงนักวิจัยคนหนึ่งเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง ผมพยายามปรับตัวให้คุ้นเคยกับสภาพอากาศ ลืมตามองไปรอบๆ สีที่รับรู้แตกต่างจากร่างมนุษย์อยู่เล็กน้อย สีฟ้าที่มนุษย์เห็น ผมเห็นเป็นสีเขียว
ผมอ้าปากส่งเสียงบอกชื่อของตัวเองออกไป แต่สำหรับมนุษย์โลกแล้วมันคงฟังดูเหมือนการคำรามมากกว่า สังเกตจากเหล่านักวิจัยที่พากันสะดุ้ง รวมถึงทหารก็รีบกำชับอาวุธ
“นั่นคือชื่อ?” เวอกัสยังคงมีท่าทีสงบ หากคนอื่นไม่ได้คิดเหมือนผู้บัญชาการ ประตูห้องเลื่อนเปิดขึ้นพร้อมร่างหนึ่งที่พุ่งตรงเข้ามา ฟาดวัตถุบางอย่างเข้าที่ตู้อย่างแรง กระจกร้าวแตกกระจายเป็นเสียง
ผมรีบกระโดดหลบออกมาจากพื้นที่ แทบไม่ทันตั้งตัวร่างนั้นก็พลันถลาเข้ามาจู่โจมต่ออย่างรวดเร็ว ผมกางง้างแขนขึ้น เตรียมพร้อมจะตอบโต้
”เฮ้ย ไอ้ปริภูมิ! เดี๋ยวก่อนสิวะ!”
“อะไรล่ะโว้ย!” คนที่ถูกเรียกว่าปริภูมิชะงักการโจมตี หยุดฝีเท้าและถีบตัวถอยออกไปตั้งหลักไม่ห่าง
“นั่นไม่ใช่ศัตรู”
"บอกอยู่ไม่ใช่เหรอว่าถ้าคืนร่างเมื่อไหร่ให้จัดการได้เลย"
“ก็คืนร่างแล้ว แต่ไม่ได้ต่อต้าน”
ไอ้บ้าพลังที่อยู่ๆ ก็โผล่มาเป็นเพียงชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ วัยยี่สิบต้นๆ ผมสีเทา ท่าทางแข็งแรง ดูแตกต่างจากทหารธรรมดาทั่วๆ ไปอย่างเห็นได้ชัด พูดให้ถูก, หมอนี่ไม่คล้ายจะเป็นคนในกองทัพด้วยซ้ำ
ผมยืนมองผู้บัญชาการยืนเถียงกับชายคนนั้น ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆ แปรสภาพกลับไปเป็นร่างมนุษย์ เหนื่อยโดยใช่เหตุจริงๆ แอบสิ้นหวังกับโลกมนุษย์ขึ้นมานิดๆ ด้วย
“อ้าวเฮ้ย หายไปแล้ว” พอรู้ตัวชายที่ชื่อปริภูมิก็หันมาทำหน้าเหวอ เห็นแล้วรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ตบให้กระเด็นไปสักทีเมื่อครู่นี้
“เมื่อกี้ฉันให้มันคืนร่างให้ดูเฉยๆ”
“แล้วทำไมไม่บอกก่อนวะ”
“มีเวลาให้บอกมั้ยล่ะ”
นักวิจัยต่างพากันส่ายหน้าให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากฝีมือปริภูมิ เครื่องจักรที่มีลักษณะคล้ายหุ่นมนุษย์โผล่ออกมาเก็บกวาดเศษกระจกที่แตกกระจายไปทั่ว ก่อนทหารคนหนึ่งจะนำเสื้อนอกมาให้ผมใช้คลุมร่างเอาไว้
ทั้งสองคนยืนคุยกันอีกสักพักก่อนที่ปริภูมิจะผละตัวก้าวมาหาผม ส่วนเวอกัสหันเดินออกไปจากห้อง เมื่อลองยืนเทียบกันใกล้ๆ แล้วร่างของเขาสูงมากจนผมต้องเงยหน้ามอง “เวอกัสให้แกมาเป็นเบ๊ฉันต่อจากนี้”
ผมไม่ได้ตอบรับคำพูดของเขา ไม่แม้แต่พยักหน้ารับ
“เฮ้ย เป็นทหาร พูดแล้วต้องตอบรับ รู้เรื่องมั้ยวะไอ้เลี่ยน?” ชายหนุ่มขึ้นเสียงดัง ตามข้อตกลงไม่ได้บอกเอาไว้ว่าผมต้องมารับใช้หมอนี่ด้วยนี่?
“...ครับ” คงเป็นจุดตกต่ำที่สุดของเผ่าพันธุ์เซิร์กที่ต้องมารับใช้มนุษย์พรรค์นี้
ตามข้อตกลง...สามเดือน แค่สามเดือนบนโลกมนุษย์ สำหรับเซิร์กที่มีอายุเทียบกันแล้วเป็นพันปี ระยะเวลาเท่านี้แค่กะพริบตาก็ผ่านไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม...ผมกลับรู้สึกว่ามันกำลังจะกลายเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดในชีวิต
............
ความคิดเห็น