ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Me who came from the star

    ลำดับตอนที่ #5 : Vol. 4 - Nice to meet you, girl (Edited)

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ค. 57


     

     

    Nice to meet you, girl

    Vol. 4

     

    ควรมีใครสักคนกระซิบบอกให้ผมรู้ถึงความจริงที่ว่า บนดาวโลกดวงนี้ ยังมีสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ยิ่งกว่ามนุษย์ที่ชื่อเวอกัสอยู่...

    มนุษย์ผู้หญิง

    แสงประกายวาบจากปลายกระบอกปืน เพียงเสี้ยววินาที ผมพลิกตัวหลบออกมาแต่ไม่ทันการณ์ ลำแสงเลเซอร์ยิงทะลุแขนซ้ายของผม รู้สึกปวดแสบปวดร้อนจนต้องหลุดร้องออกมา แผลไหม้เป็นวงกว้าง อีกนิดเดียวท่อนแขนบนกับล่างก็จะขาดหลุดออกจากกันแล้ว

    ให้ตาย, อยู่บนโลกนี้มาตั้งนาน แต่พลาดท่าครั้งแรกให้กับมนุษย์ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว คราวนี้ไม่มีหน้ากลับไปเดวาฮาลของจริงแล้ว

    ปืนเลเซอร์ต้องใช้เวลาชาร์จพลังงานสองวินาทีในการยิงครั้งต่อไป ผมใช้เสี้ยววินาทีนั้นเข้าไปประชิดตัวเธอด้วยความเร็วในระดับที่มนุษย์ไม่มีทางทำได้ มือขวาปัดอาวุธกระเด็นหลุดออกไปได้อย่างง่ายดาย หากบาดแผลที่แขนซ้ายก็ยิ่งกรีดร้องประท้วงความเจ็บ ผมได้แต่กัดฟัน พยายามฟื้นเซลล์ที่ถูกทำลายไปให้เร็วที่สุด

    หญิงสาวทรุดลงกับพื้น ถอยเข้าชิดกำแพง ไร้พิษสงตอบโต้ ผมเดินไปยังปืนที่ตกพื้นอยู่ เหยียบเข้าที่ปลายกระบอกกเพื่อดีดส่งมันขึ้นมาถือไว้ในมือ...เล็งกลับไปทางเธอ

    ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ ได้รับคำสั่งให้ลงมือ

     

     เยียนสายตาสั้น

    แม้ว่าผมจะยืนมองอยู่บนกิ่งไม้เหนือหัวพวกมันขึ้นไปไม่กี่เมตร แต่ก็ไม่มีตัวไหนสังเกตเห็น ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์อะไรดลใจให้เปลือกไม้หลุดลงไปด้านล่างอีกล่ะก็นะ

    เหล่าเยียนแหวกทางให้กลุ่มที่ยกกล่องโลหะนั้น มันเดินไปทางด้านหน้ากองทัพ เสียงเอะอะโวยวายพอจะกลบเสียงปีนไปตามต้นไม้ของผมได้ แผลบนแขนทำให้การเคลื่อนไหวค่อนข้างลำบาก มีสัตว์ชนิดหนึ่งบนโลกที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกันกับมนุษย์ สามาถปีนป่ายห้อยโหนไปตามต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว ใช่ ตอนนี้ผมรู้สึกอยากกลายร่างเลียนแบบสัตว์ตัวนั้น ถ้าไม่ติดว่าต้องใช้เวลาเข้าศึกษากายภาพของมันนานนับหลายเดือนถึงจะแปลงได้

    ระหว่างคิดอยากเป็นลิงอยู่นั้น พวกเยียนก็หยุดวางกล่องโลหะลง เสียงกู่ร้องแสดงความยินดีดังกึกก้อง ผมเองก็ไม่ผิดหวังที่ตามมา เจอหัวหน้าของมันแล้ว, ไม่มีลักษณะภายนอกใดๆ แตกต่างจากเยียนตัวอื่นเลย นอกจากดวงตากลมโตดวงเดียวที่อยู่กลางใบหน้า ผมหมายจะชักปืนเลเซอร์ออกมายิงไปที่เป้าหมาย หากเมื่อขยับมือ ดวงตาโตคู่นั้นพลันกลอกมาสบกับผม

    สงสัยจะปล่อยจิตสังหารรุนแรงเกินไป

    มันรู้ตัวแล้ว

    หัวหน้ารีบตะโกนออกมาและวิ่งถอยไปหลบหลังกล่องโลหะกล่องนั้นทันที มันฉลาด ไม่เหมือนเยียนตัวอื่นๆ

    ทันทีที่ได้รับสัญญาณ สายตาเยียนรอบบริเวณก็หันมามองทางผม พริบตาเดียวต้นไม้ที่ผมยืนอยู่ก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ผมรีบกระโดดป่ายไปอีกต้นที่อยู่ใกล้ๆ พวกมันดูทุ่มสุดตัวในการที่จะลากคอผมออกไปให้ได้

    เจ็บแผล มือที่คว้าจับกิ่งไม้ลื่นหลุดออก ผมร่วงลงไปด้านล่าง พวกมันฉวยโอกาสนี้ระดมพวกเข้ามาฟาดอาวุธใส่ผมไม่ยั้ง ขวานไม้นับสิบ ไม่สิ น่าจะมากกว่าสิบ ต่อให้ฟื้นสภาพเซลล์ได้เร็วแค่ไหนแต่ก็คงไม่ทันรักษาแผลได้ ความเจ็บปวดจากแผลเก่ายิ่งทำให้ผมไม่มีกำลังพอที่จะดิ้นให้หลุดออกจากวงล้อมนี้

    ถ้าช้ากว่านี้ต้องพลัดกับตัวหัวหน้าแน่ๆ มันคงไม่มีโอกาสแบนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว

    เลี่ยงไม่ได้แล้ว

    ผมรวบรวมกำลังฮึดสุดท้าย กระตุ้นให้หลั่งฮอร์โมนแปลงสภาพเซลล์ออกมา เรียกกล้ามเนื้อกลายร่างคืนสู่ร่างเดิมภายในเวลาเสี้ยววินาที การกลายร่างอย่างกะทันหันและกำลังบาดเจ็บสาหัสแบบนี้จะทำให้กล้ามเนื้อถูกใช้งานหนัก ทรมานใช่ย่อย ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ อย่าให้ทำแบบนี้อีกเลย

    ขนาดตัวที่ขยายใหญ่ขึ้นทำให้เหล่าเยียนแตกฮือออกด้วยความตกใจ ผมยันกายลุกขึ้น ฟาดแขนทุบพื้นจนพื้นดินบริเวณนั้นแตกเป็นเสี่ยง แรงกระแทกทำให้เยียนเสียหลักล้มลุกคลุกคลาน ผมรีบตั้งหลักปรับร่างกายให้ชินกับสภาพแวดล้อม บาดแผลในร่างมนุษย์จะถูกรักษาเมื่อกลายสภาพเป็นร่างนี้ แลกกับการที่ต้องสูญเสียพลังงานไปอย่างมาก

    ด้วยขนาดตัวที่แตกต่างกันเกือบห้าเท่าทำให้แค่วิ่งก็ฝ่าวงล้อมไปได้ ผมรีบตรงไปที่กล่องเหล็ก ตัวหัวหน้าไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว แต่มันคงไปไหนได้ไม่ไกล

    รวบรวมลมหายใจ ก่อนเปล่งเสียงร้องคำรามกึกก้อง ดังพอจะทำให้เยียนทุกตัวบริเวณโดยรอบชะงักการเคลื่อนไหวเพราะความมึนตึง ผมใช้ฝ่ามือใหญ่กวาดเหวี่ยงเยียนออกไปให้พ้นทาง (รู้สึกเหมือนกำลังกวาดพื้นยิ่งกว่าตอนใช้ต้นไม้เมื่อครู่นี้) แต่ต่อให้ขนาดตัวผมแตกต่างกว่ามากเท่าไหร่ ถ้าทั้งกองทัพนับพันพร้อมใจกันจู่โจมเข้ามาก็มีสิทธิ์ไม่รอด เวลาเหลือไม่มาก ต้องรีบหาหัวหน้าให้เจอ...

    คำรามออกมาอีกครั้ง สายตามองสำรวจโดยรอบ เยียนทุกตัวมุ่งหน้าวิ่งเข้ามาจู่โจมผม เพราะฉะนั้นตัวที่หันหลัง คือตัวที่กำลังวิ่งหนี...ประสาทสัมผัสของเซิร์กไวกับมนุษย์หลายเท่ามาก ผมสามารถแยกแยะความแตกต่างเพียงเล็กน้อยได้แค่กวาดตามองผ่านๆ ดังนั้น...

    ...เจอแล้ว - ง่ายดายเพียงนี้

    กระโดดรวดเดียวก็ไปถึง ผมใช้ฝ่ามือตะปบลงบนเยียนตัวหัวหน้า ยกขึ้นมาฉีกกระชากร่างเล็กออกเป็นสองส่วนต่อหน้ากองทัพทั้งกองทัพ เครื่องในสีแดงสดหลุดทะลักออกมาเป็นชิ้นๆ เลือดพุ่งกระเซ็นราวกับน้ำพุ ถ้าหากข้อมูลที่เวอกัสให้เป็นความจริง สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ก็คงเป็น...

    เยียนส์ เซอร์ไววัล เกม

    ข้อมูลถูกต้อง กองทัพพังทลาย เสียงกรีดร้องดังสั่นหวั่นไหว พวกเยียนพากันวิ่งหนีกลับไปทางเหนืออย่างอุตลุดไม่สนใจว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งมีชีวิตขี้ขลาดเมื่อไร้ผู้นำ ภารกิจจบสิ้นแล้ว – ง่ายดายเพียงนี้

    ผมยืนเฝ้ารอจนกระทั่งเยียนนับพันหายลับไปจากหมู่บ้านนี้ ทิ้งไว้เพียงความเสียหายตามทางเดิน ก่อนก้าวไปหากล่องโลหะที่ล็อคแน่นหนา มันขนาดใหญ่เกือบเท่าฝ่ามือของร่างเซิร์ก ผมหยิบกล่องนั้นขึ้นมาเหวี่ยงกระแทกพื้นด้วยแรงที่มี ไม่ต่างจากถูกยานบินขนาดย่อมพุ่งชน

    เหล็กหักบิดงอ ฝาเปิดออกพร้อมวัตถุจำนวนมากที่ไหลทะลักออกมา...หินแบบเดียวกันกับที่ผมเก็บได้ทว่าหลากหลายสีสัน เมื่อมารวมกันมากๆ แล้วดูคล้ายกับเพชรพลอย  คนในหมู่บ้านซ่อนสิ่งนี้เอาไว้ทำไม

    ผมพักหายใจสักครู่ก่อนค่อยๆ แปลงร่างสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง เมื่อทุกอย่างหดเล็กลงเรี่ยวแรงก็เหมือนถูกสูบหายออกไปหมด ขาทั้งสองข้างทรุดลงนั่งกับพื้น ดูเหมือนว่าสายรัดข้อมือจะถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับผม มันสามารถขยายยืดหดตามขนาดร่างกายได้ ดังนั้นเวลากลายร่างเป็นเซิร์กจึงไม่ได้เสียหายเหมือนกับเสื้อผ้า

    “เรียกผู้บัญชาการ” ผมเอ่ยกรอกลงไปในสายรัดข้อมือ “ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว”

    “รายงานสถานการณ์โดยรอบมา” เวอกัสตอบกลับมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน

    “มีชาวบ้านเสียชีวิตหนึ่งคน กำจัดหัวหน้าเรียบร้อย กองทัพเยียนล่าถอยกลับไปทางทิศเหนือ พบกล่องโลหะขนาดใหญ่ในหมู่บ้าน บรรจุวัตถุประหลาดจำนวนมาก ลักษณะเป็นหินทรงปิระมิดหลากสีสัน

    “ยานกำลังมุ่งหน้าไปรับ”

     

    ผมกลับเข้ามาในอาคารเพื่อคุ้ยหาชุดในห้องสักห้องมาสวม สักพักสัญญาณก็แจ้งเตือนว่ายานบินมาถึงแล้ว เร็วสมกับเป็นยานจากกองทัพ ทหารจำนวนหนึ่งกำลังเคลื่อนย้ายกล่องโลหะขึ้นไปบนยาน ด้านในห้องผู้โดยสารมีจอโฮโลแกรมที่สามารถใช้สื่อสารกับทางกองทัพได้ ผมนั่งลงบนเบาะ เปิดเครื่องมือติดต่อไปยังเวอกัส

    “ไอ้เวอติดสายอยู่อีกที่ เออ ตูสงสัยว่าทำไมมันไม่ยอมลากตูเข้าห้องแชทของหน่วยพิเศษวะ?” คนที่ปรากฎบนจอกลับเป็นแม่ทัพปริภูมิแทน บ่นใส่มาเป็นชุด “ว่าแต่มีคนตายด้วยเหรอ”

    “เพศหญิง อายุประมาณสามสิบปี พยายามขัดขวางการทำงานของผมเพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง”

    “ฆ่าทิ้งเลยเหรอวะ โหดไปมั้ย”

    “ผู้บัญชาการอนุญาต”

    “เออ ไอ้หินที่แกเจอ มันคือเครื่องรางเยียน ในตลาดมืดซื้อขายกันแพงมาก เพราะจะมีบางชิ้นที่สามารถใช้พลังแปลกๆ ได้” ปริภูมิเปลี่ยนเรื่อง ให้คำอธิบายเพิ่มเติม “หมู่บ้านนี้คงลักลอบขโมยเครื่องรางของมันไปขาย พอถึงเวลา พวกเยียนเลยจะมาเอาคืน”

    “ผมส่งชาวบ้านคนอื่นขึ้นยานบินตรงไปที่เมืองหลวงเขตสาม”

    “พอได้รับแจ้งจากเขตสามว่ามียานบินขนคนจากหมู่บ้านนั้นมาลงจอด ไอ้เวอก็สั่งกักตัวไว้หมดแล้ว คิดว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นกันทั้งหมู่บ้าน”

    ผมเงียบไปสักพัก ในหัวนึกถึงหญิงสาวคนนั้นที่ผมเพิ่งปลิดชีวิตเธอทิ้งไป ผมให้ความสำคัญกับชีวิตมนุษย์ นอกเสียจากจะพบว่าอีกฝ่ายจ้องจะเอาชีวิตของผมก่อน

    “หน้าแกดูเหนื่อยๆ ปะ? เสื้อสวยดีนี่ พักไปก่อนแล้วกัน กลับกองทัพมาค่อยให้ข้อมูลเพิ่มเติม” ชายหนุ่มว่า โบกมือเล็กน้อยก่อนจะดับจอลง ผมก้มมองเสื้อเชิร์ตสีขาวของตัวเอง รู้สึกง่วงขึ้นมา

    “รับทราบ” ...รู้ตัวอีกทีก็เผลอหลับสนิทไปจนถึงที่หมาย

     

      

    ............

     

    ผมตื่นขึ้นมาตอนตีห้าครึ่งเหมือนทุกๆ เช้า น่าประหลาดใจที่เมื่อกลับมายังฐานทัพ สิ่งเดียวที่พบกลับเป็นแพะ...แต่เป็นแพะธรรมดาๆ ไม่ใช่หน่วยพิเศษคนที่มีสามารถกลายร่างเป็นแพะได้ (ผมยังไม่เคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงของหน่วยพิเศษคนนั้นเลย)

    ถ้าไม่นับแพะที่ถูกส่งออกไปทำภารกิจล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อวาน ผมเป็นคนที่เสร็จภารกิจคนแรก ทางกองทัพกำลังทำการสอบปากคำคนในหมู่บ้านและได้ข้อมูลมาว่า ผู้หญิงคนที่ผมได้สังหารไปนั้นเป็นคนที่ริเริ่มความคิดลักขโมยเครื่องรางเยียนไปขาย เหตุเริ่มมาจากการที่เธอได้เครื่องรางมาโดยบังเอิญจากเยียนพลัดหลงฝูง และพบว่าตลาดมืดได้ให้ราคาสูงลิ่วจนเกินห้ามใจ

    หญิงสาวไม่ยอมหนีไปกับยานบินเพราะคงรู้ว่าจะต้องถูกควบคุมตัวเมื่อถึงที่หมาย คิดจะลอบหนีไปคนเดียวเงียบๆ แต่ดันมาเจอผมเสียก่อน จึงต้องแสร้งเล่นละครเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่รู้เดียงสาและสบโอกาสโจมตีผม

    เธอทำเกือบสำเร็จ โทษทัณฐ์ของเธอคือจำคุกตลอดชีวิต แต่ดูเหมือนว่าผมจะจัดการสำเร็จโทษเธอไปก่อนเรียบร้อยแล้ว

    ผมทำความสะอาดฐานทัพตามกิจวัตรประจำวัน ทานอาหารสำเร็จรูปรสชาติห่วยแตกก่อนออกไปทำงานที่กองทัพตอนแปดโมง เวอกัสยังคงวุ่นวายกับการจัดการภารกิจของคนอื่นๆ เขาจึงสั่งให้ผมไปช่วยปริภูมิสะสางงานเอกสารแทน

    สะสาง เป็นคำที่เหมาะสมมากจริงๆ จดหมายกว่าร้อยฉบับในเมลของปริภูมิแทบไม่เคยได้รับการเปิดอ่าน ผมต้องไล่เช็คและตอบกลับไปทีละฉบับ ตำแหน่งแม่ทัพนี่คงได้มาด้วยความสามารถในการต่อสู้ล้วนๆ

    ปริภูมิสามารถเปิดประตูมิติ เรียกอุปกรณ์ออกมาประกอบ อะไรก็ได้ โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที เป็นวิทยาการแปลกประหลาดที่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนเดียวที่ทำได้ แม้แต่เดวาฮาลที่มีภูมิปัญญาพัฒนาไปไกลกว่าโลกหลายสิบเท่าแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรเช่นนี้ได้

    ไม่รู้ว่าตอนนี้คนอื่นจะเป็นยังไงบ้าง แต่คนที่ห่วงที่สุดก็คงหนีไม่พ้นรีน่า เด็กสาวที่ไม่ใช่มนุษย์, ผมพยายามติดต่อหาเธอแต่ทำไม่สำเร็จจึงได้แต่ส่งข้อความไปแทน เธอดูเหมือนจะเป็นเพื่อนคนแรกของผม ถ้าไม่นับเพื่อนมนุษย์คนนั้นที่ขาดการติดต่อไปตั้งแต่ตอนยานบินเสีย

    ผมกับเขาติดต่อกันในรูปแบบของจดหมาย ส่งผ่านสัญญาณคลื่น พูดคุยกันอยู่ได้ไม่นานก็ทำให้รู้สึกสนใจในโลกมนุษย์ขึ้นมาจนอยากจะลองไปดูสักครั้ง ผมจึงเข้าศึกษาวิธีแปลงสภาพเซลล์เลียนแบบมนุษย์

    แต่เหลือเชื่อ ผมไม่รู้แม้กระทั่งชื่อจริงๆ ของเขา และทุกอย่างที่สามารถใช้ติดต่อกับเขาได้อยู่ในยานที่เสียไป จะได้พบกันอีกครั้งก็คงต้องเป็นตอนที่ยานซ่อมเสร็จแล้ว

    ระหว่างเซ็นรับเอกสารที่เพิ่งถูกส่งมาใหม่ อยู่ๆ แสงไฟสีแดงก็กะพริบขึ้นมาจากสายรัดข้อมือ เสียงแจ้งเตือนดังลั่น มันเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน...จากมิคัง ผมตัดสินใจละทิ้งจากสิ่งที่ทำอยู่ วิ่งตรงไปที่ห้องของเวอกัสทันที

    “อูริออส? ไม่ใช่ทันทามูเหรอคะ?”

    เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงของมิคังดังลอดออกมา เหนือโต๊ะของเวอกัสมีจอโฮโลแกรมนับสิบฉายอยู่ และจอที่ใหญ่ที่สุด...เป็นภาพโครงเส้นโดยคร่าวของสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายเต่า มีเกร็ดแข็งหุ้มทั้งตัว อัตราส่วนด้านข้างชี้ให้เห็นถึงขนาดตัวที่แท้จริงของมัน...สูงกว่าเก้าร้อยฟุต

    “อูริออสเป็นชื่อที่ชาวเมโทรโปลิสตั้ง ส่วนทันทามูเป็นชื่อเรียกเฉพาะของชนเผ่าฟรอสต์วอร์ลคเกอร์” เวอกัสตอบ นิ้วเรียวยังคงไม่หยุดรัวลงบนแป้นพิมพ์

    “แล้วคุณจะให้ฉันทำอะไรต่อคะ” มิคังเอ่ยถามกลับมา สัญญาณเสียงขาดๆ หายๆ คล้ายถูกรบกวน

    รออยู่ตรงนั้นก่อน เดี๋ยวผมจะส่งยานบินไปรับคุณและทีมกลับมาที่ชายแดน แล้วก็...เตรียมรอรับคำสั่งต่อไปด้วยพูดจบเขาก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยกมือแนบไปที่หลังใบหูเพื่อเปิดเครื่องมือสื่อสาร “ปริภูมิ ไปเจอกันที่สถานีวาร์ปด่วนเลย...เกิดเรื่องยุ่งยากที่ชายแดนน้ำแข็งน่ะสิวะ...ขนาดไหนน่ะเหรอ? ขนาดที่ถ้ามัวโอ้เอ้ เมืองที่ชายแดนหายราบเป็นหน้ากลองแน่”

    เวอกัสเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ ดึงจอโฮโลแกรมจอใหม่ขึ้นมา “เรียกพลเอกมอร์แกน จัดทัพระดับเจ็ด สั่งให้เดินทางไปที่พิกัด 767, 343 ศัตรูคืออูริออส คำสั่งนี้ด่วนที่สุด” พูดจบเขาก็ผละตัวออกจากโต๊ะ ดวงตาสีมรกตหันมาสบกับผม “ไม่ต้องให้ฉันอธิบายซ้ำ นายรีบขับเรย์ไวเปอร์ 442 ล่วงหน้าไปช่วยมิคังออกมาซะ”

    “...รับทราบ”

    พักได้ไม่ทันหายเหนื่อยเรื่องยุ่งยากก็มาอีกแล้ว...หรือว่าผมควรจะขอขึ้นเงินเดือน

     

     

    ............

     
    (เหตุการณ์นี้ในฝั่งของมิคัง - http://my.dek-d.com/poomming/writer/viewlongc.php?id=1153886&chapter=9)
     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×