คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Vol. 3 - Alien vs. Minions (Edited)
Alien vs. Minions
Vol. 3
เหล่าเยียนแห่กันเข้ามารุมทึ้งหมายจะโค่นต้นไม้ต้นนั้นให้ล้มลง ผมกระโดดออกไปที่กิ่งไม้ใกล้ๆ ดูทีท่าว่าคงต้องปะทะด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว
แรงสั่นเบาๆ จากสายรัดข้อมือแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า ผมสะบัดมือเล็กน้อยเพื่อเรียกดู เป็นข้อความจากเวอกัส ‘ฉันเห็นพิกัดของนายแล้ว ถัดออกไปจากบริเวณนั้นไม่กี่ไมล์ ทางทิศใต้ มีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ตรงเชิงเขา หาทางช่วยชาวบ้านให้ได้ด้วย’
สกัดทัพ แล้วก็ช่วยชาวบ้านด้วย? ผมคนเดียว? ล้อเล่น?
“มีกำลังเสริมไหมครับ” ผมพูดกรอกลงไปในสายรัดข้อมือ ระบบจะทำการแปลงเสียงเป็นข้อความโดยอัติโนมัติ เพียงไม่กี่วินาทีอีกฝั่งก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
‘ศัตรูแค่นั้น เป็นถึงเซิร์ก ไม่มีปัญญาจัดการรึไง?’
...
ผมเกลียดมนุษย์
พวกเยียนมีขนาดลำตัวหนาป้อม แต่ดูจากกล้ามเนื้อแล้วน่าจะมีพละกำลังอยู่ไม่น้อย ปืนเสียเปรียบเมื่ออยู่ท่ามกลางวงล้อมศัตรูจำนวนมาก ระเบิดอยากเก็บไว้ในเวลาจวนตัวจริงๆ จะหลีกเลี่ยงการปะทะคงทำได้ไม่ยาก แต่ตามคำสั่ง ไม่ควรปล่อยให้มันเดินทัพออกไปไกลมากกว่านี้ เท่าที่คาดการณ์จากความเร็วการเคลื่อนทัพของมันแล้ว คงจะไปถึงหมู่บ้านนั้นอีกไม่กี่ขั่วโมง
ตัดสินใจกระโดดไต่ไปตามกิ่งไม้ มุ่งหน้าออกไปยังทุ่งราบที่อยู่ไม่ไกล พวกเยียนไม่ลงเลที่จะพากันไล่ตามผมมา เสียงร้องตะเบ็งเซ็งแซ่คล้ายจะส่งสารให้จับตัวผมไว้ ผมปีนออกมาจนถึงทุ่งกว้างก่อนโรยตัวลงจากต้นไม้ ใช้เท้าเตะกวาดเยียนบริเวณนั้นไปให้พ้นทาง มือคว้าเข้าที่ลำต้นไม้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางครึ่งเมตร ก่อนออกแรงถอนรากโคนต้นมันออกมารวดเดียว
อีกประการที่ค้นพบ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในร่างมนุษย์ แต่สมรรถภาพร่างกายของผมกลับมากผิดปกติเมื่อเทียบกับคนทั่วไป สองอาทิตย์ก่อนพวกทหารเพิ่งจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นผมยกยานบินขนาดเล็กได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว
พวกมันเริ่มประชิดวงเข้ามาและเปิดฉากโจมตีโดยไม่รีรอ ผมเหวี่ยงต้นไม้ลงในแนวนอน ขนาดกิ่งก้านแตกแขนงใหญ่พอจะกันทางได้อยู่หมัด ใช้แทนไม้กวาดขนาดยักษ์ปัดพวกมันไปรอบๆ ให้พ้นทาง (เกือบจะใกล้เคียงกับการกวาดพื้นถ้าไม่มีเสียงร้องดังระงมไปทั่ว) อย่างน้อยก็พอถ่วงเวลาไม่ให้มันขยายอาณาเขตไปได้ไกลกว่านี้สักพัก
มีบางตัวหลุดรอดเข้ามาได้ ขวานไม้ของมันก็ทำอะไรผมไม่ได้มากเท่าไหร่ - ผมรู้สึกเจ็บปวดเหมือนมนุษย์ทั่วไป เพียงแต่สภาพเซลล์สามารถรักษาตัวเองได้อย่างรวดเร็วจนแทบไม่มีรอยแผลใดๆ ปรากฎออกมาให้เห็น
ว่าแล้วก็นึกแค้นอยู่ในใจ เวอกัสคิดอะไรอยู่ ถึงไม่ยอมบอกว่าจะต้องมาเจอกองทัพจำนวนมากขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นคงใส่ชุดเกราะกับพกอาวุธที่ใช้ทำลายในวงกว้างมาด้วยแล้ว อันที่จริง, ผมน่าจะเอะใจได้ตั้งแต่แรกว่าเขาเป็นมนุษย์นิสัยเสียที่ชอบกลั่นแกล้งคนอื่นมากแค่ไหน
กะปริมาณจากสายตา ผนวกกับเสียงสั่นสะเทือนของพื้นดิน รวมๆ แล้วน่าจะมีไม่ต่ำกว่าพันตัว ระเบิดมีอานุภาพทำลายล้างในระยะครึ่งไมล์ ไม่เพียงพอสสำหรับกองทัพจำนวนนี้แน่ๆ สิ่งที่ผมต้องทำคือต้องหาตัวหัวหน้าของมันให้ได้
จะหายังไง?
มีลักษณะเด่นอื่นนอกจากตาข้างเดียวไหม ไม่มีเลยหรือ เวอกัสแกล้งอะไรผมอีกหรือเปล่า
ไม่น่าเชื่อว่าเผ่าพันธุ์เซิร์กอันทรงปัญญากำลังจนปัญญากับอะไรแบบนี้ เดวาฮาลคงไม่ต้อนรับผมกลับไปเป็นแน่
เริ่มตึงมือแล้ว ผมมองหาจุดที่จะสามารถใช้กันหลัง มีแค่ต้นไม้ใหญ่ตรงนั้น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างไม่ต่ำกว่าหนึ่งเมตร ผมพยายามย้ายตัวเองไปที่จุดนั้นอย่างรวดเร็ว ถ้าจวนตัวจริงๆ ก็ต้องหาหนทางให้ชาวบ้านละแวกนั้นอพยพหนีไปให้ได้
คำนวณระยะ ‘ไม่กี่ไมล์’ ที่เวอกัสบอก ถ้าผมรามือจากตรงนี้ เท้าวิ่งของผมน่าจะไปถึงได้ภายในไม่กี่นาที ถึงอย่างนั้น กองทัพนี้ก็คงตามไปถึงหมู่บ้านก่อนจะทันอพยพได้หมดอยู่ดี
ไอ้ผู้บัญชาการนั่นก็ไม่คิดจะให้ยืมมือเลยด้วย ถ้าผมถ่วงเวลาสกัดทัพตรงนี้ไว้ แล้วมีทหารไปแจ้งบอกคนในหมู่บ้านด้วย อะไรๆ ก็คงจะง่ายขึ้น
เวอกัสคิดอะไร? เอาชีวิตคนเหล่านี้มาทดสอบผมอยู่หรือไง?
คงต้องเดิมพัน
ผมตัดสินใจละมือจากการต่อสู้อันเสียเวลา ออกเท้าวิ่งไปทางทิศตะวันออก ยอดเยี่ยม พวกมันหลงกลเคลื่อนทัพตามผมมาอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับฝูงสุนัขไล่ต้อนเหยื่อ ผมวิ่งไปจนถึงดงป่า ปีนขึ้นต้นไม้ กระโดดไปตามแต่ละต้นอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าเพียงไม่นานก็สามารถสลัดการไล่ตามของมันพ้น อย่างน้อยก็ทำให้กองทัพจำนวนหนึ่งหลุดออกนอกเส้นทางไปหมู่บ้านนั้นแล้ว
ผมมุ่งหน้ากลับไปทางทิศใต้ สัญญาณตรวจพบหมู่บ้านแล้ว มันอยู่ไม่ไกลจากทิศทางที่เหล่าเยียนกำลังมุ่งหน้าไปจริงๆ ด้วย ถ้าหากผมไม่สกัดทัพมันไว้เมื่อครู่นี้, ไม่ต้องรอเกินสิบนาที มันคงมาถึงที่นี่แล้ว
จากข้อมูล เขตที่สามของประเทศนี้เป็นเขตที่ผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย เป็นเขตที่เงียบสงบและห่างไกลจากสงคราม มีหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งเป็นหย่อมๆ ท่ามกลางภูเขาป่าไม้ บ้างก็มีเทคโนโลยีเหนือล้ำ บ้างหมู่บ้านก็อยู่กันอย่างไม่อาศัยพลังงานไฟฟ้า จัดว่าเป็นเขตที่มีความแตกต่างด้านระดับประชากรมากที่สุด
และหมู่บ้านตรงหน้า แม้จะเรียกว่า ‘หมู่บ้าน’ แต่ก็มีเพียงอาคารขนาด ‘มหึมา’ สองอาคาร ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน คั่นด้วยแม่น้ำสายเล็ก ผู้คนอาศัยร่วมกันในตึก ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้สิ่งก่อสร้างทันสมัยใหญ่โต ผมเดินเข้าไปในอาคารรูปทรงสวยงามอาคารหนึ่ง ผู้คนในหมู่บ้านกำลังรวมตัวกันอยู่ที่ล็อบบี้ ดูท่าว่าคงจะรู้สึกถึงความผิดปกติเช่นกัน
เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นผู้มาเยือนในเครื่องแบบกองทัพก็ต่างมีท่าทีลนลาน คนในหมู่บ้านส่วนมากอยู่ในวัยกลางคน ชายผมยาวในชุดสีขาวคนหนึ่งเป็นตัวแทนเดินออกมาหาผม
“คุณถูกส่งมาจากกองทัพใช่หรือไม่”
“ใช่ครับ พวกคุณต้องรีบอพยพหนีจากพื้นที่นี้ ตอนนี้”
“พวกเยียนจริงๆ ด้วย” คนในกลุ่มส่งเสียงฮือฮา “ฉันบอกแล้ว”
“พวกคุณรู้จักเยียน?” ผมถามเมื่อเห็นอาการของคนเหล่านั้น
“เราเคยเจอพวกมันในป่าเป็นบางครั้ง แต่เมื่อครู่นี้เราได้ยินเสียงกู่ร้องของพวกมันดังอยู่ใกล้ๆ” ชายหนุ่มตอบ เหงื่อไหลซึมออกมาจากขมับและไรผม “มันไม่เคยเข้ามาใกล้หมู่บ้านเรามากขนาดนี้”
“เยียนนับพันกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ พวกคุณต้องรีบอพยพหนีจากที่นี่”
“เราปล่อยให้เยียนทำลายอาคารนี้ไม่ได้ กองทัพไม่ได้มาช่วยกำจัดพวกมันหรอกหรือ”
“เราไม่มีเวลามากพอ ผมถูกส่งมาแจ้งให้พวกคุณอพยพออกไปจากที่นี่” ผมไม่ถนัดการพูดจาหว่านล้อมใคร ถ้าหากในวินาทีสุดท้ายพวกเขายังไม่ยอมไป ผมก็คงต้องยอมชักปืนขึ้นมาใช้อย่างช่วยไม่ได้
“ทำไมกองทัพถึงไม่ส่งกำลังเข้ามากำจัดเยียน เหตุใดจึงส่งเด็กอย่างคุณมาแค่คนเดียว เราเชื่อถือคุณได้มากแค่ไหน” หญิงสาวคนหนึ่งก้าวเข้ามาร่วมสมทบ กวาดมองรูปลักษณ์ภายนอกของผมที่ไม่ต่างอะไรจากเด็กมนุษย์อายุไม่เกินยี่สิบปี
“ผมมาจากหน่วยพิเศษ รับคำสั่งจากผู้บัญชาการเวอกัสโดยตรง” จบประโยคชี้แจง ชาวบ้านทุกคนแทบจะเปลี่ยนสีหน้าโดยทันที สายตาแสดงออกถึงความยำเกรงและหวาดหวั่นต่อชื่อของผู้บัญชาการ โดยเฉพาะหญิงคนนั้น ใบหน้าของเธอถอดสีจนดูคล้ายจะล้มทั้งยืนได้
“แต่ว่า...” ชายผมยาวอึกอัก ทั้งที่กลัวใจแทบขาดขนาดนั้นแต่ยังต่อต้าน? อาจจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลจนทำให้พวกเขาเลือกที่จะไม่ออกไปจากที่นี่
ผมกวาดตามองไปรอบๆ ทั่วอาคาร ไม่มีอะไรผิดปกติ เป็นแค่ความหรูหราฟุ่มเฟือยธรรมดา เสียงเตือนจากข้อมือดังขึ้นฉุดความสนใจ จุดสีแดงกะพริบถี่ เหล่าเยียนกระชั้นใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจชักปืนขึ้นมา ลั่นไกยิงลำแสงทะลุพื้นกลายเป็นหลุมกว้าง
“ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ ได้รับคำสั่งให้ลงมือ”
บอกแล้วว่าผมเกลียดการพูดคุยกับมนุษย์
ผมเปิดสัญญาณเตือนภัยฉุกเฉิน เรียกทุกคนมารวมตัวกันที่ชั้นล่าง ก่อนโยกย้ายคนเกือบร้อยคนขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าของอาคาร ที่ชายหนุ่ม (คาดว่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน) แจ้งว่ามียานบินจอดอยู่ ลำขนาดกลาง มีไว้สำหรับขนย้ายคนจำนวนมาก ขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติ
ทัศนียภาพกว้างไกลพอจะเห็นการเคลื่อนไหวของกองทัพเยียนที่กำลังมุ่งหน้ามาตามถนน ชาวบ้านแตกตื่น เมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้จึงต้องยอมขึ้นไปบนยานบิน ผมตั้งคำสั่งให้เดินทางไปยังเมืองหลวงของเขตสาม และล็อคระบบเอาไว้ไม่ให้ใครปรับเปลี่ยนเส้นทาง
ได้เวลากลับไปสู้
ผมกระโดดลงจากดาดฟ้าลงไประเบียงด้วยความสูงห้าชั้น ก่อนจะกระโดดลงสู่พื้นด้านล่างอีกทอด เยียนมุ่งหน้ามาตามถนนที่เชื่อมกับป่าทางทิศเหนือ มันดูคล้ายกับว่าตั้งใจจะมาที่หมู่บ้านนี้
เวอกัสสั่งให้ผมสกัดมันไว้ก่อนจะถึงหมู่บ้าน ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ผมคงจะสรรหาทุกวิถีทางเพื่อทำตามคำสั่งของเขาโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ในตอนนี้ผมกลับรู้สึกเอะใจถึงความผิดปกติอะไรบางอย่าง
เยียนที่อยู่ๆ ก็ออกเคลื่อนไหวบุกรุกมาถึงที่นี่ การที่เวอกัสส่งผมคนเดียวมาเผชิญหน้ากับกองทัพนับพัน ทั้งที่รู้ว่าชีวิตของคนในหมู่บ้านกำลังอยู่ในอันตราย และที่น่าสงสัยที่สุด...คือท่าทางของคนในหมู่บ้านนี้
ผมสังหรณ์ใจว่าภารกิจนี้คงมีอะไรมากกว่าการ ‘กำจัดกองทัพเยียน’ แล้ว
ช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจ ระหว่างสกัดทัพเอาไว้ให้ได้ตามคำสั่ง กับปล่อยให้เยียนเข้ามาในหมู่บ้านนี้
ในที่สุด ผมก็สะบัดข้อมือซ้าย ปากเอ่ยสั่งลงไปทันที
“ส่งข้อความถึงผู้บัญชาการสูงสุด...ผมขออนุญาตปฏิบัตินอกเหนือคำสั่ง” เพียงพริบตาเดียวที่ข้อความถูกสั่งไป แสงจากสายรัดข้อมือก็กะพริบแจ้งเตือนคำตอบรับจากผู้บัญชาการ
‘ฉันก็รอฟังคำนี้อยู่เหมือนกัน’
รับทราบคำสั่ง ผมย้อนกลับเข้าไปในอาคารหลังเดิม สังเกตการณ์จากกระจก พวกมันตั้งใจตรงมาที่นี่จริงๆ ด้วย ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ทางผ่านแล้ว, ถึงอย่างนั้น ถ้าเกิดพบว่ามันมาเพื่อทำลายอย่างเดียวไม่มีจุดประสงค์อื่น ผมก็ต้องรีบลงมือกำจัดพวกมันตามคำสั่งเดิมทันที
ตั้งแต่ลงมาที่โลกมนุษย์นี้ ผมแทบไม่เคยใช้ลางสังหรณ์ของตนเองมาก่อน การรับคำสั่ง และทำตามอย่างเดียว ทำให้ไม่สิ้นเปลืองพลังงานความคิด นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะดำเนินแผนการตามการตัดสินใจของตนเอง
เมื่อลองกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องก็พบว่ามีกล้องวงจรปิดติดอยู่หลายแห่ง ผมมุ่งหน้าเข้าที่โต๊ะเคาน์เตอร์ ตรวจหาคอนโทรลรูมที่จะสามารถรับภาพจากทุกห้องได้ ระบบถูกเขียนอย่างง่ายไม่ซับซ้อน ผมใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาทีในการถอดรหัสเข้าไป
คอนโทรลรูมอยู่ที่ชั้นสาม ผมเลือกขึ้นบันไดแทนที่จะใช้ลิฟต์ สายตาเหลือบเห็นว่าพวกเยียนพากันเข้ามาทางประตูหน้าแล้ว พวกมันไม่ได้ส่งเสียงโวยวายเหมือนตอนเคลื่อนทัพเมื่อครู่ ผมย่นจมูกเล็กน้อย กลิ่นสาบเยียนฉุนกึกรุนแรงเมื่ออยู่ในที่ปิดอากาศไม่ถ่ายเท กลิ่นการเผาไหม้ของเครื่องจักรยังน่าพิศมัยมากกว่าเป็นไหนๆ
ผมแฮ็คระบบแทนการสแกนด้วยชิพเพื่อเปิดประตู ภายในห้องคอนโทรลขนาดกว้างปรากฎหน้าจอเรียงกันหลายร้อยหน้าจอ ผมเรียกภาพจากล็อบบี้ขึ้นมาฉายที่จอใหญ่ เปิดระบบดักฟังเสียงแม้ว่าพวกเยียนจะสื่อสารกันด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจก็ตาม ฟังดูแล้วรากศัพท์ไม่ได้ซับซ้อนมากเท่าไหร่ ถ้าได้ลองมีเวลาสังเกตการณ์สักสองชั่วโมงอาจจะพอเข้าใจได้อยู่ แตกต่างจากภาษามนุษย์ ผมต้องใช้เวลาศึกษาอยู่นานหลายวันกว่าจะสื่อสารกันได้รู้เรื่อง
เยียนเข้ามาในอาคารแค่กลุ่มเล็กๆ ไม่ถึงร้อยตัว ส่วนกองทัพหยุดรออยู่ที่ด้านนอก พวกมันไม่มีทีท่าว่าจะทำลายข้าวของใดๆ ทำเพียงแยกกันเป็นห้ากลุ่ม เดินสำรวจคล้ายกับว่ากำลังเสาะหาอะไรบางอย่าง คิดไว้ไม่มีผิด ในอาคารนี้มีสิ่งที่มันต้องการอยู่ และพวกชาวบ้านจงใจหลบซ่อนเอาไว้
บางทีเวอกัสอาจจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้...เจ้าคนที่คาดเดาความคิดไม่ได้
สายตาจับการเคลื่อนไหวบางอย่างได้ที่จอภาพหนึ่ง ผมเหลือบขึ้นไปมอง ที่ชั้นสี่...มีหญิงคนหนึ่งเปิดประตูออกมาจากห้อง ทั้งที่มีการประกาศให้มารวมตัวกันและอพยพขึ้นยานบินไปหมดแล้ว?
ความจริงมันก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย การอพยพคนภายในไม่กี่นาทีย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแต่ผมไม่คิดว่าเธอจะออกจากห้องได้ประจวบพอเหมาะกับตอนที่เยียนเดินมาตามชั้นพอดี
อา...นอกเหนือหน้าที่
ผมกวาดตาเก็บภาพโดยรวมของตำแหน่งเยียนในอาคาร ชั้นสามหนึ่งกลุ่มบนทางเดินฝั่งซ้าย ชั้นสี่หนึ่งกลุ่มทางเดินฝั่งขวา สองกลุ่มกำลังขึ้นบันไดไปที่ชั้นห้า ส่วนอีกกลุ่มวนอยู่ที่ล๊อบบี้ชั้นล่าง ผมออกมจากห้องคอนโทรล ลิฟต์ที่อยู่ฝั่งขวาสามารถเลี่ยงกลุ่มบนชั้นสามได้ แต่ไม่พ้นปะกับกลุ่มที่อยู่ชั้นสี่แน่นอน
งานนี้คงต้องมีออกแรงกันบ้างแล้ว
ประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมกับกลิ่นเยียนที่โชยเข้ามา ผมชะโงกออกไปมองด้านนอก เยียนราวๆ สิบตัวเพิ่งเดินผ่านไป ผมสะบัดมีดพลาสม่าขึ้นมาถือไว้ สาวเท้าตามไปด้านหลังอย่างเงียบเชียบ ก่อนกระชากเยียนตัวที่เดินรั้งท้ายออกมาแทงไปที่ลำคอ มันสิ้นใจทันทีโดยไม่มีโอกาสได้เปล่งเสียงร้อง ผมไม่อยากใช้ปืน มันเสียงดังพอจะทำให้เยียนทางปีกซ้ายได้ยินแน่นอน
ผมจัดการเยียนอีกสองตัวด้วยวิธีเดียวกัน แต่ที่เหลือเดินเกาะกลุ่มกันใกล้เกินไป ทำให้ไม่อาจดึงมาฆ่าทีละตัวได้เหมือนเดิม เหลืออีกแค่เจ็ด ผมตัดสินใจเข้าไปจู่โจมโดยตรงทันที อาวุธและกำลังของเยียนแทบทำอะไรผมไม่ได้ ทุกอย่างจบลงอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาที
เยียนตัวหนึ่งถือหินสีเขียวรูปทรงปิระมิดอยู่ในมือแทนที่จะเป็นอาวุธ ขนาดของมันไม่ถึงครึ่งฝ่ามือมนุษย์ มีอักขระแปลกๆ บางอย่างสลักอยู่รอบด้าน ผมพลิกสำรวจดูก่อนตัดสินใจเก็บเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง ถอดถุงมือสีดำที่เลอะไปด้วยเลือดออกและหยิบคู่ใหม่ขึ้นมาสวมแทน
เมื่อเดินไปตามทางเดินอีกเล็กน้อย ผู้หญิงคนที่เห็นในกล้องก็เลี้ยวออกจากมุมมาประจัญหน้ากันพอดี ก่อนที่จะทันเปล่งเสียงร้องเพราะภาพศพของเยียนนับสิบตรงหน้า ผมก็รีบดันตัวเธอกลับไปทางเก่าเพื่อให้พ้นภาพนั้น เอามือปิดปากไว้ก่อนยกนิ้วชี้ขึ้นมาเป็นสัญญาณให้เงียบ สายตาของเธอหลุบมองชุดเครื่องแบบของผม เมื่อเห็นว่ามาจากกองทัพก็พลันลดอาการขัดขืนลง
ผมปล่อยมือออกจากปากของเธอ “เกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวระร่ำระลักถามมาทันที
“เยียนบุกอาคารนี้ คุณไม่ได้ยินเสียงสัญญาณเตือน?” เธออยู่ชุดกระโปรง กะจากสายตาอายุคงประมาณสามสิบปี
“ฉันทานยาเกินขนาด หลับสนิทเหมือนตาย ต่อให้อาคารถล่มก็คงไม่รู้สึกตัว” เพิ่มภาระให้ผมจนได้ “คนอื่นๆ หนีออกไปหมดแล้วเหรอคะ”
“ใช่ มากับผมก่อน” ผมหันหลังเดินกลับไปทางเดิม ยังไงก็ต้องกลับไปที่ห้องควบคุมก่อน หวังว่าจะไม่มีเยียนกลุ่มอื่นผ่านมาทางนี้แล้วรู้ตัว
เธอพยายามก้าวผ่านศพเยียนตามผมมาด้วยอาการหวาดกลัว เราขึ้นลิฟต์กลับไปที่ชั้นสาม ทางสะดวก รีบวิ่งกลับเข้าไปที่ห้องควบคุม ผมเรียกภาพจากล็อบบี้ขึ้นมาดูจอใหญ่อีกครั้ง พวกมันส่งกลุ่มเข้ามาเรื่อยๆ
“พอจะรู้ไหมว่ามันตามหาอะไรกันอยู่” ผมหันไปถาม ใบหน้าของหญิงสาวซีดเผือดเมื่อเห็นภาพทั้งหมด เธอไม่ตอบ หากสร้างคำถามใหม่ขี้นมาแทน
“เยอะขนาดนี้...เราจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง”
เวอกัสคงไม่ใจร้ายถึงขั้นให้ผมหาวิธีบินกลับไปที่ฐานทัพเอง อย่างน้อยก็คงจะส่งยานบินมารับกลับไปเหมือนตอนขามา...เพียงแต่ต้องทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงก่อน
“เดี๋ยวทางกองทัพจะส่งคนมารับ” ผมตอบไปให้เธอสบายใจ
พวกมันเดินหาไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน หญิงสาวก็สงบลงแล้ว แต่ก็ยังเดินวนไปมาไม่ยอมนั่งเก้าอี้ อาการที่แสดงออกถึงความวิตกกังวลของมนุษย์
“คุณมาที่นี่คนเดียวหรือ” ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ยถามออกมาอีก
“ครับ” ผมตอบห้วนๆ
“แล้วจะรับมือกับมันยังไง นั่งรอให้มันทำลายอาคารของเราเหรอ”
“ชัดเจนว่าพวกมันกำลังตามหาอะไรบางอย่างอยู่นะครับ”
“ที่นี่ก็เป็นแค่อาคารพักอาศัยธรรมดา จะมีอะไรที่พวกมันต้องการ” หญิงสาวตัดพ้อต่อว่า
“ผมเองก็อยากรู้เช่นกัน” ผมเรียกจอภาพจอหนึ่งขึ้นมา กลุ่มเยียนที่ชั้นห้าหยุดยืนอออยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่ง พวกมันพยายามพังเข้าไปด้านใน ขวานหินระดมฟันไปที่ประตูไม่ยั้ง แม้ว่าจะทำมาจากโลหะ แต่เมื่อถูกกระหน่ำซ้ำเข้าไปมากๆ มันก็เริ่มทรุดพัง ในมือของเยียนตัวหนึ่งมีวัตถุส่องแสงประหลาด เมื่อเพ่งมองก็พบว่ามันมีลักษณะคล้ายกับหินที่ผมเก็บมาได้
ประตูพังลง เยียนกลุ่มนั้นแห่เข้าไปด้านใน ดูเหมือนว่าคงจะตรวจพบสิ่งที่มันต้องการแล้ว
ในห้องไม่ได้ติดกล้องไว้ ผมเฝ้ารออยู่สักพักพวกมันก็กลับออกมาพร้อมกล่องเหล็กกล่องใหญ่ที่ต้องใช้กำลังเยียนถึงสี่ตัวในการแบก
การที่กองทัพทั้งกองทัพหยุดรอเพื่อกล่องกล่องนี้ บ่งบอกถึงความสำคัญของมันได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ใด มนุษย์ สัตว์ หรือแม้แต่เซิร์ก สิ่งใดเป็นสิ่งสำคัญ...ย่อมต้องนำไปให้ตัวที่เป็นหัวหน้า
เยียนแบกกล่องนั้นลงบันไดมาที่ชั้นล็อบบี้พลางป้องปากตะโกนกู่ร้องบอกพรรคพวกอื่นๆ ผมรอจนเยียนออกไปจากอาคารจนหมด ก่อนเตรียมตัวสะกดรอยตามกล่องนั้นไป บริเวณด้านนอกมีต้นไม้มากพอจะใช้พรางตัวได้
แล้วผู้หญิงคนนี้...?
สีหน้าของเธอยังคงไม่คลายความกังวล ริมฝีปากบางเอ่ยถามเสียงสั่นเครือ “คุณจะไปไหน”
“สะกดรอยตามพวกมันไปในกองทัพ คุณรออยู่ที่นี่ เดี๋ยวผมกลับมารับ”
“อย่าทิ้งฉันไว้ที่นี่คนเดียว ฉันกลัว” เธออ้อนวอน ดวงตาสีฟ้ามีน้ำตาคลอ “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ฉันทำอะไรไม่ได้เลย”
จริงอยู่ ผมคาดเดาไม่ได้ว่ากลุ่มเยียนจะมีโอกาสย้อนกลับมาที่นี่มีมากน้อยแค่ไหน เท่าที่สังเกตการณ์ ผู้คนในอาคารนี้อยู่กันในระบบหมู่บ้าน มีความไว้เนื้อเชื่อใจสูง จึงไม่จำเป็นต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา ประตูจึงทำจากอะลูมิเนียมอัลลอยด์ธรรมดา ถ้าเยียนจะบุกทำลายเข้ามาได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น
“ผมให้คุณไว้ป้องกันตัว” ผมยกปืนเลเซอร์ให้เธอ มีเก็บไว้ที่ตนเองอีกหนึ่งกระบอก “มันเป็นปืนเลเซอร์ คุณพอรู้พลังการทำลายของมันใช่ไหม ต่อให้เยียนเป็นสิบตัวก็ตายภายในนัดเดียว”
“ขอบคุณมากค่ะ” หญิงสาวรีบรับไปถือเอาไว้ เมื่อเห็นเธอท่าทางเบาใจแล้วผมจึงเหลียวหลังเดินไปที่ประตู เตรียมทำภารกิจตนเองต่อ ทันทีที่มือคว้าจับเข้าที่ลูกบิด สัญชาตญาณบางอย่างก็พลันกระตุกดึงให้ผมเหลียวหน้ากลับไปมอง
ภาพสุดท้ายที่เห็น คือภาพหญิงสาวที่กำลังยกปลายกระบอกปืนเล็งมาทางผม
เธอค่อยๆ กดปลายนิ้วลง ลั่นไกยิง
............
ความคิดเห็น