ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Me who came from the star

    ลำดับตอนที่ #3 : Vol. 2 - Why did you do that to me?

    • อัปเดตล่าสุด 29 มิ.ย. 57




    Why did you do that to me?

    Vol. 2

     

      

    หลังแจกแจงรายละเอียดยิบย่อยอื่นๆ เป็นที่เรียบร้อยเวอกัสก็จบการประชุม และอนุญาตให้ทุกคนกลับไปเก็บข้าวของส่วนตัวที่บ้าน เพื่อโยกย้ายมาพักอาศัยอยู่ที่กองทัพ แต่สำหรับผมที่อาศัยอยู่ในกองทัพอยู่แล้ว จึงทำเพียงเก็บของไปไว้ในที่ที่เตรียมให้เท่านั้น

    ผมยกแขนข้างซ้ายที่สวมสายรัดข้อมือไว้ขึ้นมา ให้เครื่องสแกนตรวจจับเพื่อเปิดประตูเข้าไปด้านใน สายรัดข้อมือนี้ทำจากโลหะชนิดอ่อน ยืดหยุ่นตามข้อมือของผู้สวม ทำงานโดยตรวจจับกับชิพที่ถูกฝังอยู่ในข้อมือด้านซ้าย

    ปริภูมิแจกสายรัดข้อมือนี้ให้หน่วยพิเศษทุกคนในระหว่างการประชุม อุปกรณ์นี้สามารถทำให้สมาชิกในทีมติดต่อสื่อสารกันได้ รู้พิกัดตำแหน่งของคนอื่นๆ มีปุ่มขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน รวมทั้งยังสามารถแจ้งสถานะเป็นหรือตายของสมาชิกทีมได้ด้วย

    ที่สำคัญ เมื่อสวมสิ่งนี้เข้ากับข้อมือ ระบบจะอ่านข้อมูลบนชิพแล้วจดจำเจ้าของโดยถาวร หากถูกถอดออก ระบบจะปิดโดยอัตโนมัติ และถ้าหากนำไปสวมเข้ากับข้อมือคนอื่น อุปกรณ์จะทำลายตัวเองทันที จึงเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะเอาวัตถุนี้ไปใช้แสวงหาผลประโยชน์อื่น

    มนุษย์โลกขี้หวาดระแวง

    ผมหิ้วกระเป๋าสัมภาระที่เพิ่งไปเก็บมาจากห้องพักทหารในกองทัพ เดินไปสุดทางเพื่อขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสอง ไล่อ่านป้ายหน้าประตูจนเจอกับชื่อตนเอง (หรือก็คือ ALIEN) ขนาบข้างด้วยห้องของแพะกับเรเว่น ยกแขนซ้ายส่องกับเครื่องสแกน ก้าวผ่านประตูบานหนาเข้าไปด้านใน

    ดูดีกว่าห้องพักเดิมที่ผมอาศัยอยู่หลายเท่าตัว ห้องกว้างขวางมีพื้นที่ให้ใช้สอยได้โดยไม่รู้สึกอึดอัด การออกแบบล้ำสมัย แต่บรรยากาศดูมืดทึมไปหน่อย ผมเปิดไฟจนครบทุกดวง แตะนิ้วเข้าที่ผนังห้อง ไทเทเนียมอัลลอยด์? อยากรู้จริงว่าคนออกแบบมันวางแผนอะไรอยู่ ถึงต้องประกอบฐานทัพด้วยวัสดุชนิดเดียวกับที่ใช้สร้างยานอวกาศ

    หลังเก็บข้าวของเสร็จ ผมตัดสินใจออกจากห้องไปสำรวจสถานที่อื่นๆ ในฐานทัพ ไม่มีใครอยู่ที่นี่ ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปเก็บของที่บ้านตามระยะเวลาที่กันหนด ยกเว้นแพะที่ถูกส่งไปทำภารกิจด่วนก่อน

    หากเมื่อมองผ่านระเบียงระหว่างชั้นลงไปที่ล๊อบบี้ กลับเห็นร่างของเด็กสาวคนหนึ่งเดินเล่นอยู่...รีน่ายังคงอยู่ที่นี่ เธอไม่ได้กลับไปที่บ้านเหมือนคนอื่นๆ

    ผมลงลิฟต์ไปที่ชั้นล๊อบบี้ รีน่าสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอื่นนอกจากตนเอง เธอเหลียวหน้ามามองผม ท่าทางไม่แน่ใจว่าควรจะทักทายผมก่อนดีหรือไม่

    “ไม่กลับบ้านเหรอ” จะว่าไป นี่ก็เป็นครั้งแรกบนโลกมนุษย์ที่ผมออกปากชวนคนอื่นคุยก่อน บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอ...ไม่ใช่มนุษย์เหมือนผมก็ได้ล่ะมั้ง?

    “อื้ม หนูหนีออกมาจากที่นั่นเองนี่นา กลับไปไม่ได้หรอก...” ผมพินิจมองเรือนผมสีน้ำเงินยาวประบ่าของเด็กสาว ดูอ่อนนุ่มราวกับเป็นเส้นผมของมนุษย์จริงๆ รวมถึงการแสดงออกทางสีหน้า ดวงตาสีแดงสดที่กำลังประกายแววเหงาหงอย ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นการสังคราะห์สร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีของมนุษย์ “...เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

    เสียงทักทำให้เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอจ้องหน้าเธอนานเกินไป ผมเสสายตามองไปทางอื่น “ไม่มีอะไร”

    “แล้วนายไม่กลับบ้านเหรอ”

    “กลับไปไม่ได้เหมือนกัน”

    “ทำไมล่ะ หนีออกมาเหมือนกันหรือเปล่า” ลักษณะที่เหมือนมนุษย์โลกอีกประการคือช่างสงสัย ไม่เคยมีวันใดที่มนุษย์โลกจะดำรงอยู่ได้โดยปราศจากคำถาม

    “เปล่า...พอดีมัน มีปัญหานิดหน่อย” หลายวันบนโลกมนุษย์ ผมสังเกตเวอกัสจนได้เรียนรู้ถึงวิธีการหลีกเลี่ยงคำถามที่ดูท่าว่าจะต้องเสียเวลาอธิบายยืดยาว แน่นอนว่ามันช่วยประหยัดพลังงานไปได้มากจริงๆ

    รีน่าเรียกผมว่าเอเลี่ยนแต่ดูท่าเธอจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมมาจากนอกโลก ถ้าไม่เลี่ยงการตอบคำถามตั้งแต่ตอนนี้ บางทีอาจจะต้องตอบยาวไปถึงคำถามที่ว่าเผ่าพันธุ์ของผมกินอะไรเป็นอาหารเลยก็ได้

    “เหรอ...ถ้างั้นขอให้ได้กลับบ้านเร็วๆ นะ” ในที่สุดเธอก็แย้มรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มไร้เดียงสาแสดงออกถึงความสนิทใจ

      

    ............


     

    บางที...นี่อาจจะเป็นสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าเพื่อนก็ได้?

    วันที่ 7 พฤษภาคม, เวลา 8.55 น.

    ผู้ส่ง: เวอกัส

    เนื้อหา: ประชุมด่วน เก้าโมง ที่ห้องประชุมในฐานทัพ

    ผมอ่านรายละเอียดบนหน้าจอโฮโลแกรมที่ฉายจากสายรัดข้อมือ นัดก่อนเวลาห้านาที... สมกับที่บอกว่าด่วน เวลานี้เป็นเวลาที่ผมกำลังเตรียมตัวออกจากฐานทัพไปทำงานที่ศูนย์บัญชาการ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่าวันนี้เป็นวันหยุด

    ไวเท่าความคิด ประตูรั้วด้านหน้าก็พลันเลื่อนเปิดออกพร้อมร่างของเจ้าของข้อความ เขามองหน้าผมเล็กน้อย ได้ข้อความแล้วใช่ไหม

    ครับ

    ชายหนุ่มเดินนำเข้าไปในห้องประชุม ย่อตัวนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนสอดชิพขนาดเล็กเข้าไป เคาะนิ้วบนกระจกเรียกให้หน้าจอโฮโลแกรมจำนวนหนึ่งขึ้นมาฉายตรงกลางโต๊ะกลม

     ผมนั่งถัดจากเวอกัส จังหวะเดียวกับที่มิคัง รีน่า และคาเดียเปิดประตูเข้ามาในห้อง ไม่มีเรเว่น ผมเดาว่าเขาโดด

    “ขอโทษที่ต้องเรียกมาด่วน” ชายหนุ่มกล่าวเมื่อทุกคนนั่งประจำที่ “ฉันมีภารกิจมาให้พวกเธอทำ”

    เวอกัสเลือกหน้าจอโฮโลแกรมหนึ่งขึ้นมาฉาย มันเป็นวิดีโอคลิปถ่ายให้เห็นลำแสงสีม่วงขนาดใหญ่ พุ่งตรงจากยอดเขาสู่ท้องฟ้า สภาพอากาศโดยรอบเลวร้าย มีทั้งพายุหิมะและดินโคลนถล่ม

    “ลำแสงประหลาดนี้เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนที่ยอดเขาพัมพ์กินส์ บริเวณชานเมืองเวสเทิร์นฟอร์ด ประชาชนตื่นตระหนกว่านี่อาจจะเป็นเวทต้องห้ามของทางฝ่ายแฟนตาเซีย อีกทั้งบริเวณเทือกเขายังปกคลุมไปด้วยพลังงานบางอย่างทำให้ไม่สามารถขับพาหนะทุกชนิดขึ้นไปได้ ฉันจึงอยากให้รีน่าไปตรวจสอบสาเหตุของลำแสงประหลาดนั่น”

    “หนูคนเดียวเหรอคะ?” รีน่าถามด้วยความตกใจเมื่อได้ยินชื่อตนเอง

    “ใช่ เธอคนเดียว” เวอกัสตอบ ปาดนิ้วเบาๆ บนกระจก บังคับให้หน้าต่างบนจอนั้นเลื่อนเข้าไปหารีน่า ก่อนมันจะไปฉายขึ้นบนจอโฮโลแกรมเหนือสายรัดข้อมือของเธอแทน

    ให้รีน่าไปทำภารกิจแบบนั้นคนเดียว? ชายคนนี้คิดอะไรอยู่ ถึงร่างกายเธอจะเป็นหุ่นยนต์ แต่ความคิดของเธอไม่ต่างอะไรกับเด็กผู้หญิงอายุสิบหกคนหนึ่ง เธอแทบไม่เคยจับอาวุธต่อสู้ด้วยซ้ำ

    “ขออนุญาตค่ะ” มิคังพลันแทรกขึ้นมาอย่างสุภาพ

    “เชิญครับ” เวอกัสรับคำ เบือนสายตาไปสบกับหญิงสาวที่มีท่าทีไม่ค่อยพอใจ

    “นี่คุณคิดจะส่งเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ไปปีนยอดเขาฝ่าพายุหิมะแบบนั้นคนเดียวหรือคะ?” ผมนึกขอบคุณเธอที่พูดแทนสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ตอนนี้

    “เข้าใจถูกแล้วครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม

    “ฉันขอคัดค้านค่ะ ฉันเกรงว่าภารกิจนี้จะหนักเกินไปสำหรับ...”

    “ผมว่าคุณคงจะลืมอะไรไปนะ” เวอกัสเอ่ยขัดเสียงเย็นทั้งที่มุมปากยังคงยกยิ้ม “หน้าที่ของคุณคือทำตามคำสั่ง ไม่ใช่คัดค้าน”

    จบประโยค หญิงสาวพลันผุดลุกขึ้นยืน ดวงตาสีฟ้าคมกริบประกายแววดุร้าย มือเรียวทาบไว้ที่ด้ามดาบคล้ายว่าจะชักออกมาฟันคอเวอกัสได้ทุกเมื่อ

    ด้วยหน้าที่ทำให้ผมต้องลุกขึ้นแตะปืนที่เหน็บเอวไว้ เตรียมป้องกันผู้บัญชาการเช่นกัน ถึงใจจริงจะรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของมิคังก็ตามที

    “ไม่เป็นไรค่ะคุณน้ามิคัง หนูจะทำภารกิจนี้ค่ะ” รีน่ารีบเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นบรรยากาศคุกกรุ่นในห้องประชุม พอได้ยินรีน่าพูดด้วยความมุ่งมั่นแบบนั้นผมก็คลายความกังวลลงไปได้นิดหน่อย มิคังเองก็ยอมปล่อยมือออกจากดาบและนั่งลง หากดวงตายังคงจ้องเขม็งมาที่ชายหนุ่ม 

    “ไม่ต้องสนใจคนอื่นหรอกครับ คุณเองก็มีภารกิจที่ต้องทำเช่นกัน” ผู้บัญชาการเอ่ยด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน นิ้วเคาะเปิดจอใหม่ขึ้นมา...ภาพผู้คนแต่งตัวลักษณะคล้ายชนเผ่าโบราณ กำลังพากันเดินอพยพอยู่กลางทุ่งหิมะ “ที่ชายแดนน้ำแข็งบริเวณเขตศูนย์ ใกล้กับเมืองมิดเวย์ มีชนเผ่านี้อาศัยอยู่และได้ติดต่อค้าขายกับประเทศเรามาเป็นเวลานาน เมื่อวานนี้ได้รับแจ้งมาว่า พวกเขากำลังอพยพหนีความหนาวเข้ามาในเมืองมิดเวย์ แต่สถานที่บริเวณนั้นแออัดไปด้วยผู้คนอยู่แล้ว จึงอยากให้ไปเจรจาเพื่อให้ชนเผ่าเดินทางไปยังสถานีอพยพที่ตั้งอยู่ในเขตสอง”

    เขาปาดนิ้วบนกระจกอีกครั้ง และผลักหน้าจอนั้นเข้าไปที่มิคัง “ผมมอบหมายภารกิจนี้ให้คุณ รายละเอียดอื่นๆ อยู่ในนั้นแล้ว”

    หญิงสาวไม่ได้ตอบรับ เวอกัสจึงเปิดหน้าจอภารกิจต่อไป เผยให้เห็นรูปวัตถุทรงกลมขนาดเล็กสีดำสนิท ผมทบทวนความทรงจำ สิ่งนี้น่าจะเรียกว่าไข่มุก

    “ไข่มุกที่เก็บได้จากหมู่บ้านเพิร์ลกลายเป็นสีดำสนิทเหมือนมีเวทมนตร์ชั่วร้ายเคลือบอยู่ ประชาชนที่นั่นบอกว่าอาจจะเป็นเกิดการเปลี่ยนแปลงใต้ทะเลลึก เครื่องจักรที่ใช้เก็บไข่มุกเหล่านั้นก็เหมือนถูกย้อมด้วยพลังอำนาจบางอย่างให้กลายเป็นสีดำสนิท แม้ว่าจะสามารถซ่อมแซมได้ แต่ดูเหมือนคราบสีดำจะไม่หายไป...” ชายหนุ่มผลักหน้าต่างบานนั้นไปยังเด็กสาวผมสีดำสนิทที่นั่งหาววอดๆ อยู่ “ฉันอยากให้คาร์เดียที่เกิดที่นั่นเป็นคนไปตรวจสอบหาสาเหตุ”

    “คะ?” ดูเหมือนเธอแทบไม่ได้ฟังที่เวอกัสพูดเมื่อครู่นี้เลยด้วยซ้ำ

    “ถึงจะเป็นงานง่ายๆ ไม่เร่งด่วน แต่ก็อย่าใช้เวลานานมากนักแล้วกัน” เวอกัสกำชับ คาร์เดียทำเพียงนิ่งเงียบ ความง่วงคงจะทำให้เธอขี้เกียจซักถามนู่นนี่ตามนิสัย 

    “สุดท้าย เจ้าเอเลี่ยน” คราวนี้ชายหนุ่มหันมาที่ผม “เคยดูการ์ตูนเรื่อง Despicable Me ไหม

    “...ไม่เคยครับ” เวอกัสไม่ได้เปิดหน้าจอภารกิจขึ้นมาเหมือนคนอื่นๆ แต่กลับเสิร์ชชื่อการ์ตูนเรื่องดังกล่าว เรียกรูปภาพหนึ่งขึ้นมาฉายแทน

    ตัวประหลาดสีเหลือง ร่างป้อมเตี้ยขาสั้น ดวงตาโตแปลกประหลาด หน้าตาดูโง่เง่าชอบกล แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม?

    “สิ่งที่นายต้องไปสู้ด้วย เหมือนกับไอ้ มิเนี่ยนพวกนี้เลยล่ะ”

      

    ............



    ฉากประชุมในมุมมิคัง - http://my.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1153886&chapter=6
    ฉากประชุมในมุมรีน่า - 
    http://writer.dek-d.com/envymusaki/writer/viewlongc.php?id=1153887&chapter=7

     

    ............


     

    ภารกิจที่หนึ่ง

    เมื่อสองวันก่อนเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ Farrest Town ตรวจพบกองทัพมอนสเตอร์ประหลาด กำลังขยายอาณาเขตเข้ามายังอาณาจักร จึงอยากให้หน่วยพิเศษ ‘ALIEN’ ออกไปทำการกำจัดกองทัพมอนสเตอร์นั้น

    ในการ์ตูนก็ออกจะดูไร้พิษภัย ทำไมถึงต้องไปกำจัดมันด้วยล่ะนั่น?

    ผมย้อนอ่านรายละเอียดภารกิจบนหน้าจอโฮโลแกรมที่ฉายจากสายรัดข้อมือ ยานบินส่งผมมาที่เนินเขาแห่งหนึ่งภายในเมือง Farrest Town เขตนี้เป็นเขตที่มีป่าไม้มากที่สุดในประเทศ บรรยากาศเงียบสงบเสียจนเหมือนเป็นคนละโลกกับในกองทัพ สิ่งก่อสร้างรูปทรงทันสมัยต่างตั้งกระจายห่างกันระยะหลายไมล์ เมื่อหันไปทางทิศใต้ก็เห็นโบสถ์ของรีน่าตั้งอยู่ไกลๆ บนเนินเขา เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมเพิ่งเดินทางมารับเธอไปจากที่นี่ พอนึกถึงอุปสรรคที่เธอต้องไปเผชิญแล้วก็อดจะเป็นห่วงขึ้นมาลึกๆ ไม่ได้

    ผมใช้วิธีเดินเท้าฝ่าแนวป่าไปตามแผนที่บนจอโฮโลแกรม ปุ่มสีแดงระบุว่ามันอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่สิบไมล์ หากเดินไปได้เพียงไม่กี่นาทีปลายเท้าก็เริ่มรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้นดิน บ่งบอกว่ากำลังมี กองทัพอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ไม่ไกลออกไป มาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ

    ผมหยุดนิ่งเพื่อสดับฟัง ปุ่มสีแดงกะพริบถี่ขึ้นเรื่อยๆ ...คาดว่าน่าจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่าพัน มันกำลังเคลื่อนที่มาทางทิศใต้...

    ไม่รู้ว่าจะมีจำนวนมากขนาดนี้...ผมตรวจเช็คอาวุธที่เหน็บอยู่หลังเข็มขัด ปืนเลเซอร์สองกระบอก ปืนพกหนึ่งกระบอก มีดพลาสม่า และระเบิดอีกสามลูก ดูจากหน้าตาโง่เง่าในหนังแล้วคิดว่าคงไม่มีพิษภัยอะไรมากจึงไม่ได้สวมเสื้อเกราะมาด้วย

    แรงสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ปุ่มสีแดงแทบจะกลายเป็นปุ่มเดียวกับตำแหน่งปัจจุบันของผม ถ้าหากไม่ออกไปจากเส้นทางนี้คงจะต้องปะทะเข้ากับพวกมันแน่ รอบด้านก็มีแค่ต้นไม้ ถอยออกไปก็เจอทุ่งราบ ผมตัดสินใจปีนขึ้นไปอยู่บนกิ่งไม้ อาศัยร่มเงาอำพรางตัว ปิดเสียงสัญญาณเตือนทุกชนิดของสายรัดข้อมือ เฝ้ารอเวลาให้พวกมันผ่านมาทางนี้

    เพียงอึดใจเดียว กองทัพมอนสเตอร์ก็ปรากฎกายขึ้นมา...ไม่เห็นเหมือนกับในรูปเลย!

    สิ่งมีชีวิตรูปร่างป้อมเตี้ย ผิวหนังสีเขียวตะปุ่มตะป่ำ หน้าตาอัปลักษณ์ ขาและลำตัวสั้น ในขณะที่ศีรษะและดวงตาใหญ่โตผิดสัดส่วน ท่าทางดุร้ายแตกต่างจากการ์ตูนที่เวอกัสเปิดให้ดูลิบลับ พวกมันพูดคุยสนทนาภาษาที่ผมไม่สามารถตีความออก ทยอยเดินเท้าผ่านดงไม้ออกไปยังทุ่งราบ

    สำรวจโดยคร่าว อาวุธของพวกมันมีเพียงแค่ขวานและท่อนไม้ น่าจะโจมตีอะไรไม่ได้มาก หากแต่จำนวนของมันมากพอจะถล่มเมืองขนาดกลางสักเมืองได้ คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเจอกับกองทัพใหญ่ขนาดนี้ อาวุธแค่นี้จะไปทำอะไรมันได้?

    ผมกดปุ่มบนสายรัดข้อมือเรียกหน้าจอโฮโลแกรมขึ้นมา จับภาพมอนสเตอร์ตรงหน้าก่อนส่งไปให้เวอกัส ไม่ถึงสิบวินาทีก็ได้รับข้อความตอบกลับมา

    เยียน (Yein) มอนสเตอร์แถบเหนือ อาศัยอยู่ตามเทือกเขา มีความสามารถในการสร้างเครื่องรางแปลกๆ พิสดาร ลักษณะการจู่โจมเป็นหมู่ หากหัวหน้าถูกจู่โจมเสียชีวิต พวกเยียนจะหนีกันอย่างไม่คิดชีวิต  ฆ่าหัวหน้ามันให้ได้และกำจัดสถานที่พิธีกรรมที่ใช้สร้างเครื่องรางซะ

    มันคนละรากเหง้ากับมิเนี่ยนเลยนะครับผู้บัญชาการ

    ตัวธรรมดามีสองตาแต่หัวหน้าจะมีตาเดียว ต้องหาหัวหน้าให้เจอภายในกองทัพนับพัน เพราะงั้น พยายามเข้านะ

    อ่านข้อความต่อมา...แล้วรู้สึกอยากจะสบถคำหยาบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาที่โลกมนุษย์...

    ทำไมไม่บอกแต่แรกล่ะโว้ย

    ผมปิดข้อความ พยายามคิดวิธีการจัดการพวกมันโดยประหยัดพลังงานที่สุด พลางขยับตัวหมายจะเปลี่ยนกิ่งไม้เพื่อให้มองเห็นทัศนียภาพมากขึ้น เผื่อจะฟลุ๊คเจอตัวหัวหน้าวิ่งผ่านมา 

    หากแต่สิ่งที่ไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

    เปลือกไม้หลุดร่วงลงไปด้านล่างจากแรงขยับตัว และดันไปตกใส่หัวเยียนตัวหนึ่งที่กำลังเดินผ่านไป...มันเงยหน้าขึ้นมามองด้านบน สบตากับผมพอดิบดี

    ...

    เอาล่ะ ต่อให้พูดว่า สวัสดีชาวโลก เรามาอย่างเป็นมิตรตอนนี้...ก็คงช่วยอะไรไม่ได้แล้วสินะ?

     

     

     

    ............

     

     







     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×