คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Vol. 1 - Just like The Avengers
Just like The Avengers
Vol. 1
โลกมนุษย์
ผมถูกทหารควบคุมตัวไปที่ห้องห้องหนึ่งที่ดูคล้ายจะเป็นห้องขัง ทหารนำเสื้อผ้าง่ายๆ มาให้สวมและลงท้ายไว้ว่าให้รอถึงพรุ่งนี้ตอนเช้า ประตูเหล็กบานหนาปิดลงพร้อมเสียงเริ่มการทำงานของระบบนิรภัย ภายในห้องสี่เหลี่ยมจตุรัสสีขาวหมดจด มีเพียงเตียงแข็งๆ หนึ่งเตียงและห้องน้ำขนาดเล็ก
ผมเริ่มต้นใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์เป็นวันแรก เริ่มจากการสวมเสื้อผ้า และนอนลงบนเตียง รอเวลาจนถึงตอนเช้าตามคำสั่ง
ก่อนจะมาที่นี่ ผมได้ศึกษาเกี่ยวกับโลกมนุษย์มามากพอสมควร ตั้งแต่ลักษณะทางกายภาพ อุปนิสัย วัฒนธรรม ประเทศ การแบ่งชนชั้น ไปจนถึงอาหารการกิน
โลกมนุษย์ในตอนนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วอำนาจหลักๆ คือเมโทรโปลิสและแฟนตาเซีย อารยธรรมของทั้งสองฝั่งมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมโทรโปลิสฝักใฝ่ในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สิ่งก่อสร้างของเขาถูกพัฒนาล้ำสมัย ในขณะที่แฟนตาเซียคือเขตแดนของผู้เคารพนับถือธรรมชาติ ศรัทธาในอำนาจแห่งเวทมนตร์และความลึกลับ
ในตอนนี้ผมถูกขังตัวอยู่ในเมโทรโปลิส เซิร์กได้ทำการติตด่อกับมนุษย์ประเทศนี้ แลกเปลี่ยนวิทยาการของกันและกันมาได้หลายสิบปีแล้ว (แต่ปัจจุบันเดวาฮาลมีเทคโนโลยีล้ำไปไกลกว่าโลกมนุษย์มาก) และเนื่องจากเผ่าพันธุ์ของผมมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนรูปร่างได้ จึงมีเซิร์กจำนวนไม่น้อยเดินทางมาในคราบมนุษย์เพื่อศึกษาอารยธรรมบนโลก
ผมคือหนึ่งในนั้น และไม่อยากจะเชื่อ เซิร์กผู้ทรงปัญญาดันมาสะเพร่าหลงเชื่อคำพูดมนุษย์จนติดกับ ต้องกลายมาเป็นทาสรับใช้ให้กับพวกมัน - ไม่รู้ว่าตอนนี้หมอนั่นจะรู้เรื่องของผมหรือยัง บางที อาจจะนั่งหัวเราะอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ประตูเปิดออกหลังจากผ่านมาได้สักพัก น่าจะถึงเวลา ‘เช้า’ ของโลกนี้แล้ว ทหารสองนายเดินนำหน้าเข้ามาพร้อมอาวุธ ตามหลังด้วยปริภูมิ เขามองผมด้วยใบหน้าง่วงงุน โบกมือไล่ทหารออกไป “ต่อให้เป็นเซิร์ก ฉันก็จัดการได้สบาย”
ได้ยินแบบนี้แล้วอยากลองดูสักตั้ง จะได้รู้ว่าทำได้ตามที่พูดจริงหรือเปล่า
“ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย” เขาขยี้หัวสีเทายุ่งเหยิงของตน ไม่อยากจะบอกว่าช้าไปหนึ่งคืน “ฉันชื่อปริภูมิ เป็นแม่ทัพของเมโทรโปลิส ส่วนไอ้หัวทองเมื่อวานนั่นเป็นจอมพล ชื่อเวอกัส”
ดวงตาสีเขียวกวาดมองตัวผมหัวจรดเท้า เขาหยิบแท่งอะไรบางอย่างขึ้นมาคาบไว้บนริมฝีปากก่อนจุดไฟตรงปลาย...รู้สึกมันจะเรียกว่าบุหรี่ “นึกไงถึงแปลงร่างมาตัวแค่นี้? ตัวจริงออกจะใหญ่ขนาดนั้น”
“เพื่อไม่ให้เซลล์ทำงานหนักเกินไปครับ” เท่าที่พวกเราวิจัยกันมา ร่างกายมนุษย์ที่ความสูง 175 เซนติเมตร เป็นสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุดในการกลายร่าง
ชายหนุ่มหัวเราะให้คำตอบผมก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้อง พักหนึ่งเขาก็ชะโงกหน้ากลับมา “ยืนบื้อรออะไรอยู่วะ ตามมาดิเฮ้ย”
ปริภูมิยังดูอ่อนวัย ผิดกับขนาดของร่างกายและอำนาจที่มี ทหารรอบด้านต่างพากันหยุดทำความเคารพเมื่อเขาเดินผ่าน ไม่รู้ว่ามนุษย์มีระบบการคัดเลือกผู้นำกันอย่างไร แต่ผมไม่เห็นจะสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามของเขาเลยสักนิด
ร่างสูงเดินนำมาจนถึงห้องห้องหนึ่ง เขายกมือซ้ายขึ้นมาแนบเข้ากับเครื่องสแกน ปรากฎแสงสีเขียวก่อนบานประตูจะเปิดออก
“เดี๋ยวฉันจะฝังชิพแบบนี้ให้นาย จะได้เลิกเป็นต่างด้าว” ปริภูมิหงายแขนซ้ายให้ดู บริเวณข้อมือมีแผ่นสี่เหลี่ยมบางๆ ถูกฝังอยู่ใต้ผิวหนัง เราก้าวเข้าไปในห้องที่ดูคล้ายแลปผ่าตัด เขาให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้ ยกแขนซ้ายขึ้นมาพาดไว้บนโต๊ะ ผมนึกสงสัยว่าทำไมตำแหน่งแม่ทัพถึงต้องมาทำอะไรคล้ายช่างแบบนี้ด้วย
“ชาวเมโทรฯ ต้องฝังชิพนี้ตั้งแต่เกิดทุกคนเพื่อใช้ยืนยันตัวตน” ผมเห็นมือนั้นหยิบอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาจากอากาศ ราวกับเสกด้วย...เวทมนตร์? “แล้วคิดไงหนีมาเที่ยวถึงเมโทรฯ”
“มีมนุษย์ชวนมาเที่ยวครับ”
“โดนหลอกแล้วล่ะ” อาจจะจริง
เขาจัดการฝังชิพลงบนข้อมือผมอย่างคล่องแคล่วราวกับมันเป็นแค่งานฝีมือธรรมดา รู้ตัวอีกทีแผลก็ปิดสนิทโดยไม่เหลือร่องรอยผ่าตัดใดๆ – หรือแม้แต่ความเจ็บปวดเพียงสักนิด
“มันจะคอยแจ้งสถานะความเป็นอยู่ของคนนั้นๆ ว่าตายหรือเป็น แล้วก็ใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนซื้อขาย ถ้าไม่มีมันก็เท่ากับว่าอาศัยอยู่ในประเทศนี้อย่างผิดกฎหมาย” ปริภูมิอธิบายเพิ่มเติม อันที่จริงก่อนจะมาที่นี่ ผมศึกษาเรื่องพวกนี้จนพอรู้มาบ้างแล้ว เมโทรโปลิสมีการจัดการที่เป็นระบบระเบียบเช่นเดียวกับเดวาฮาล ต่างกันที่เซิร์กเข้มงวดกว่ามาก
“ต่อจากนี้ผมต้องทำอะไรบ้าง” ผมพลิกข้อมือไปมา ฝีมือดี ไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกปลอมอยู่ในร่างกายเลย
“ก็แค่ทำตามคำสั่งฉันกับเวอกัส” เขาตอบกลับมาอย่างง่ายดาย และเรื่องนั้นผมก็รู้อยู่แล้ว “แต่แกอยู่ที่นี่ในฐานะทหาร ถ้ามีสงคราม แกก็ต้องไปรบเหมือนกัน”
“สงครามกับแฟนตาเซีย?”
“อืม สังหรณ์ใจว่าอีกไม่นานคงต้องเกิด” ต้องรบอาณาจักรของผู้ใช้เวทมนตร์แบบนั้น? เดวาฮาลไม่เคยติดต่อกับแฟนตาเซีย เราจึงมีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติอย่าง ‘เวทมนตร์’ น้อยมาก
อีกอย่างก็คือ...ดาวของเราไม่เคยมีสงคราม เราเรียนรู้ระบบของสงครามจากการศึกษาดาวอื่นๆ
“หวังว่ามันจะไม่เกิดนั่นแหละ” ประโยคนั้นเขารำพึงกับตัวเอง ปริภูมิทิ้งบุหรี่ออกจากปาก หากมันก็หายวับไปก่อนจะร่วงถึงพื้น ชายหนุ่มหยิบมวนใหม่ขึ้นมาจุดสูบโดยไม่สนใจสายตาอันแสนฉงนของมนุษย์ต่างดาว
............
อย่างที่บอก กะพริบตาครั้งเดียวก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว
หลังจากเข้ามาในกองทัพ ผมถูกสองคนนั้นใช้งานสารพัดชนิดกะเอาให้เกินคุ้ม ตั้งแต่ควบคุมดูแลเครื่องจักร ยันใช้ให้ไปซื้อข้าวกลางวัน เพราะเทคโนโลยีบนโลกมนุษย์ค่อนข้างง่ายไม่ซับซ้อน ผมมองเพียบแวบเดียวก็เข้าใจหลักการการทำงานของมันโดยไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเรียนรู้ใดๆ
แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ยากจะเข้าใจ...
“อีกห้าร้อยที นับออกเสียงด้วย”
ปริภูมิออกคำสั่งหลังจากผมวิดพื้นครบสองพันครั้งหมาดๆ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ต้องมาทำอะไรที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใดแบบนี้ ทหารในกองอีกกว่าสิบคนยืนเรียงแถวอยู่ด้านหลังแม่ทัพ พวกเขาได้หยุดไปตั้งแต่ห้าร้อยครั้งรอบแรก
ชายหนุ่มนั่งเอกเขนกลงบนเก้าอี้ เอ่ยบอกให้ทหารคนอื่นๆ เลิกแถวและออกไปจากห้องซ้อมได้ จนกระทั่งผมนับถึงครั้งที่สองร้อยสามสิบสองเขาจึงตะโกนขึ้นมา
“เหนื่อยบ้างหรือยัง”
ผมหยุดแขน ยกตัวค้างอยู่อากาศก่อนเปล่งเสียงตอบกลับไป “ยังครับ”
“เหงื่อไม่ออกสักหยด นี่เซิร์กอึดแบบนี้ทุกตัวเลยหรือเปล่า”
“ไม่เข้าใจคำถามครับ”
“ลุกมานั่งตรงข้ามฉัน” ผมดีดตัวขึ้นตามคำสั่ง เดินตรงไปนั่งหน้าโต๊ะฝั่งตรงข้ามกับชายหนุ่ม เขายกแขนขวาขึ้นมาชันข้อศอกเอาไว้บนโต๊ะ “งัดข้อเป็นไหม”
ผมทำตามเขา ความยาวและขนาดของแขนต่างกันจนปริภูมิต้องงอข้อศอกเล็กน้อย เขาจับมือผมแล้วออกแรงงัดให้แขนพลิกไปแนบกับโต๊ะ “งัดให้แขนของฉันพลิกไปอีกฝั่งแบบนี้ให้ได้”
เมื่อทำตามคำสั่งก็พบแรงฝืนเล็กน้อย ปริภูมิเปิดประตูมิติก่อนเรียกวัตถุต่างๆ ลอยออกมาประกอบเสริมไว้ที่แขนข้างนั้นของตน ทวีแรงต้านให้มากขึ้นทำให้ผมต้องออกแรงเพิ่มขึ้นตาม
“ออกแรงมาให้สุดเลย” ชายหนุ่มสั่ง เร่งสร้างเครื่องมือมาประกอบแขนจนมันขยายขนาดขึ้นเป็นเท่าตัว ผมออกแรงจนสุดตามคำสั่ง จังหวะเดียวกับที่ปริภูมิติดวัตถุอะไรบางอย่างเข้าที่แขนข้างนั้น ผลักแขนของผมให้พลิกไปกระแทกกับโต๊ะอย่างรุนแรงจนมันหักโค่นลงไปคามือเราทั้งคู่
“แรงเยอะฉิบหาย” เขาสบถออกมา ขณะที่แขนเหล็กข้างนั้นค่อยๆ แยกชิ้นส่วนสลายออกจากกันแล้วลอยหายกลับเข้าไปในประตูมิติ นั่นคือความสามารถ ‘พิเศษ’ ของปริภูมิ ไม่มีใครในเมโทรโปลิสสามารถทำแบบนี้ได้เหมือนเขา
“แขนผอมๆ แบบนั้นใครจะไปคิดว่าแรงเยอะขนาดนี้ เอาแกไปเปิดบ่อนพนันงัดข้อดีกว่า รวยแน่”
“ผลาญเงินฟรีในกองทัพยังไม่พออีกรึไง” เสียงที่ดังขึ้นเรียกให้ปริภูมิผงะเล็กน้อย เมื่อเหลียวไปตามต้นเสียงก็พบเวอกัสยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง “อู้มาอยู่นี่ งานเสร็จยัง”
“ลงทุนเดินมาบ่นตูถึงที่เลยว่ะเดี๋ยวนี้” ปริภูมิบ่นอุบพลางหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วแวะพ่นควันใส่หน้าเวอกัสไปทีหนึ่ง
“แค่ทางผ่าน” ชายหนุ่มตอบเสียงห้วน ย่ำเท้าเดินหนีออกจากห้องไปอีกด้านหนึ่ง
“ผ่านมาบ่นสิไม่ว่า” ปริภูมิยังไม่วายโต้ไล่หลังประตูไป เขาเรียกอุปกรณ์ออกมาจากประตูมิติ พวกมันลอยเข้าไปซ่อมแซมและต่อเติมโต๊ะที่พังไปเมื่อครู่นี้ “พอจะรู้ข่าวแล้วใช่มั้ยว่าสนธิสัญญาสงบศึกกับแฟนตาเซียจบสิ้นไปแล้ว”
“รู้ครับ” เมื่อไม่กี่วันมานี้ ทั้งสองประเทศเพิ่งประกาศยุติสนธิสัญญาสงบศึกกันและกัน เนื่องด้วยแฟนตาเซียคัดค้านการสร้างเตาปฏิกรณ์ของเมโทรโปลิสด้วยเหตุผลว่า...กลัวมลพิษ
“ไอ้เวอกัสมันส่งรายชื่อพวกนี้มาให้ฉันไปสอดแนม เผื่อจะเอาเข้าหน่วยพิเศษ เตรียมรับมือกับสงคราม” ปริภูมิสอดชิพเข้าไปในโต๊ะที่เพิ่งประกอบสร้างใหม่ ภาพโฮโลแกรมพลันปรากฎขึ้นกลางอากาศ ระบุชื่อและประวัติของคนจำนวนหนึ่ง ผมกวาดตามองผ่านๆ... มีทั้งแพทย์เถื่อน หุ่นยนต์ เจ้าของร้านอาหาร นักเรียน ไปจนถึงแพะ...ทำไมมีแพะด้วย
“เพราะงั้น ฝากแกจัดการไปจีบพวกนี้มาด้วย ฉันขี้เกียจว่ะ”
โยนงานกันดื้อๆ
ได้แต่ด่าในใจ ไม่มีสิทธิ์เอ่ยปากโต้แย้งขัดข้อง ในเมื่อไอ้คนไม่ได้ความตรงหน้าดันเป็นถึงรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดของที่นี่ จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ เซิร์กเป็นเผ่าที่ให้ความสำคัญกับการรักษาคำสัญญา ผมมีหน้าที่เพียงทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดเท่านั้น
............
ฉากชวนรีน่า - http://writer.dek-d.com/envymusaki/writer/viewlongc.php?id=1153887&chapter=4
*หมายเหตุ: อ่านหรือไม่อ่านก็ได้ค่ะ*
............
ผมใช้เวลาสองวันในการออกตระเวนทั่วประเทศเพื่อสำรวจคนในรายชื่อ รายงานสถานการณ์ให้เวอกัสและปริภูมิรับทราบ ก่อนจะเริ่มตามเชิญคนที่ได้รับเลือกมาเข้ากองทัพ ไม่ใช่งานที่ง่ายเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ยากเกินมือ ผมปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้สมบูรณ์แบบไม่ขาดตกบกพร่องภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์
“ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์...รวมมาได้หมด” เวอกัสเปรยพลางขยับมือหมุนจอโฮโลแกรมทรงสี่เหลี่ยมขนาดยักษ์ ฉายภาพห้องประชุมที่มีผู้ถูกเลือกทั้งห้าคน จากห้าสถานที่ ต่างคนต่างสนทนาพูดคุยทำความรู้จักกัน “ถ้าไอ้ปริภูมิมันเป็นคนทำ คงปาไปครึ่งเดือน”
“ก็ดูเอ็งให้งานตูมาแต่ละอย่าง เมื่อวานเกือบจะไม่รอดอยู่แล้วเนี่ย” คนที่ถูกพาดพิงโผล่หน้าจากจอมอนิเตอร์มาตอบโต้ทันที ปริภูมิในวันนี้มีท่าทีเหนื่อยล้าผิดจากวันอื่นๆ ผมเดาว่าคงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเมื่อวาน
“เออ ไปฐานทัพหน่วยพิเศษกันเหอะ” เวอกัสหลีกเลี่ยงที่จะปะทะคารมด้วย เดินนำหน้าออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปที่ลิฟต์หลอดแก้ว ความจริง ถึงปริภูมิจะโยนงานมาให้ผม แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ละทิ้งความรับผิดชอบไปหมดเสียทีเดียว ก่อนหน้าจะลงมือทำภารกิจ ผมศึกษาข้อมูลบนประเทศนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ต้องอาศัยความคุ้นเคยสถานที่ และทักษะในการต่อสู้ของปริภูมิร่วมด้วยอยู่ดี
ประตูลิฟต์เปิดออกสู่ชั้นล่างสุด เราเดินออกไปจากศูนย์บัญชาการ ตรงขึ้นยานบินระยะใกล้ มุ่งหน้าไปยัง ‘ฐานทัพหน่วยพิเศษ’ ที่เวอกัสว่า เพียงสิบวินาทีจากศูนย์บัญชาการ ยานจอดปล่อยให้เราลงไปหน้ากำแพงรั้วสูงกว่าสามเมตร ด้านบนครอบด้วยกระจกใสลักษณะคล้ายโดม เวอกัสยกข้อมือทาบที่เครื่องสแกนหน้าประตูรั้วก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านใน
อาคารสองชั้นขนาดใหญ่โออ่า รูปร่างหรูหราทันสมัย ผนังบุด้วยเบริลเลียมคุณภาพดี รอบๆ เป็นสนามหญ้าที่แทบไม่เคยเห็นภายในเขตนี้ ตรวจสอบจากความใหม่ของวัตถุทำให้พอจะเดาได้ว่ามันเพิ่งถูกสร้างขึ้นไม่นาน
ล็อบบี้คล้ายกับห้องโถง พื้นยกระดับ กลางห้องเป็นที่โล่งมองเห็นหลังคากระจกและชั้นสอง ส่วนชั้นล่างแบ่งออกเป็นโซนห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องฝึกซ้อม และห้องประชุมหรือคอนโทรลรูม ลักษณะคล้ายกับบ้านพักขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน
ห้องประชุมอยู่ทางซ้ายมือ เมื่อเวอกัสเปิดประตูเข้าไป สายตาของผู้ที่ได้รับเลือกทั้งห้าก็พลันเหลียวมองมาเป็นจุดเดียว ทุกคนมีลักษณะพิเศษแตกต่างเฉพาะตัว เป็นหน่วยที่พิเศษสมชื่อ ผมไม่คาดคิดมาก่อนว่าบนโลกมนุษย์จะมีความแตกต่างทางชีวภาพมากขนาดนี้
รวมถึงไม่คาดคิดว่าจะมีแพะมานั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ด้วย...
ผมพยายามสะกดความสงสัย มองแพะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางแปลกๆ โลกใบนี้ช่างแปลกประหลาดนัก ผมไม่ได้เป็นคนพาแพะมาที่นี่ เขาเข้ามาในกองทัพโดยวิธีการอื่น รู้เพียงแค่ว่าเขาเป็นจารชนจากหน่วยข่าวกรองระดับประเทศผู้มีความสามารถเปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็นแพะได้...ทำไมถึงต้องเป็นแพะด้วย
เราสามคนเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ โต๊ะประชุมเป็นทรงกลมขนาดไม่ใหญ่มากเพื่อลดระยะห่างระหว่างผู้สนทนาและเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมได้เท่ากัน ผมกับปริภูมินั่งตรงข้ามกับเวอกัส ส่วนคน...ตัวที่นั่งอยู่ข้างผมคือแพะ เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ผู้บัญชาการสูงสุดจึงเริ่มเอ่ยเปิดการประชุม
“สวัสดี ผู้ถูกเลือกทั้งหลาย ขอบคุณที่ทุกคนมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้” ดวงตาสีมรตกวาดมองรอบโต๊ะ “ฉันชื่อเวอกัส เป็นคนออกคำสั่งให้เชิญพวกคุณมาที่นี่ เพื่อเป็นกำลังรับมือกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น”
“แล้วทำไมไม่ใช้กำลังทหารที่มีอยู่ล่ะคะ” เสียงใสๆ พลันเอ่ยขัดขึ้นมา ผมจำเธอได้ดี คาร์เดีย เด็กสาวผู้มีฝีมือการประดิษฐ์เทียบขั้นอัจฉริยะ ร่างกายของเธอถูกผ่าตัดดัดแปลงจนมีคุณลักษณะเหนือมนุษย์ เธอทำให้ผมปวดหัวกับความขี้สงสัยไปหมดทุกอย่าง กว่าจะพาเธอมาถึงกองทัพ ต้องถูกถามคำถามนับสิบๆ ซึ่งผมเลือกที่จะหยุดตอบตั้งแต่คำถามที่สาม
“เพราะพวกคุณทุกคนพิเศษกว่าคนอื่นๆ ในประเทศนี้ ฉันถึงต้องเรียกหน่วยนี้ว่า หน่วยพิเศษ”
“พิเศษกว่ายังไงคะ หนูเป็นแค่เด็กนักเรียนธรรมดานะคะ”
โดนเล่นงานเหมือนผมในวันนั้นไม่มีผิด หากเวอกัสกลับแสยะยิ้ม ตอบกลับไปเสียงเย็น “งั้นก็ออกไปซะ ที่นี่ไม่ต้อนรับคนธรรมดา”
คาร์เดียคงไม่คาดคิดว่าจะถูกตอกกลับไปเช่นนั้น เธอหันหน้าไปหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างคล้ายจะขอความช่วยเหลือ
“ถึงอย่างนั้น วิธีการเชิญเรามาที่นี่ของคุณ ก็ค่อนข้างจะเสียมารยาทไปหน่อยนะคะ” หญิงสาวกล่าวตำหนิเวอกัสกลับบ้าง เธอมีเรือนร่างสูงสง่า เค้าหน้าแสดงออกถึงความแข็งแกร่งและน่าเกรงขาม มิคัง นักรบที่ผันตัวมาเป็นเจ้าของร้านอาหาร ว่ากันว่าวิชาดาบของเธอเก่งกาจที่สุดในประเทศนี้
“เอ้อ ขอโทษแทนคนของเราด้วยแล้วกัน พอดีผมระบุไปว่า ด่วนที่สุด, ไม่ว่าวิธีการใดก็ตาม และอนุญาตให้ใช้กำลัง” เวอกัสตอบ ใบหน้าของเขายังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
ที่มิคังพูดเช่นนั้น เพราะวันที่ผมไปหาเธอดันเผลอใช้กำลังทำลายร้านของเธอจนเละเทะไปหมด โชคดีที่ปริภูมิมาห้ามศึกเอาไว้ทันก่อนที่จะมีอะไรเสียหายไปมากกว่านั้น
“เชิญกันรุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอ ดีนะที่ฉันเสนอตัวเองก่อน” ชายหนุ่มในชุดกาวน์แพทย์กลั้วหัวเราะพลางเอนตัวพิงเบาะด้วยท่าทางสบายๆ เขาคือเรเว่น แพทย์เถื่อนที่สามารถผสมยาสารพัดนึกได้ภายในเวลาเสี้ยววินาที อีกทั้งยังสามารถสรรหาสินค้าผิดกฎหมายได้ทุกอย่างเท่าที่ลูกค้าต้องการ ในวันแรกผมเริ่มโดยการไปสำรวจร้านของเขาที่อยู่ใต้ดินเมืองหลวง ไม่ทันได้ทำอะไร ชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขอเข้ากองทัพเองราวกับรู้ล่วงหน้า
“ละ...แล้วหน่วยนี้ต้องทำอะไรบ้างเหรอคะ” บุคคลที่อายุน้อยสุดในกลุ่มเอ่ยถามขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ...รีน่า หุ่นยนต์ที่เหมือนมนุษย์มากเสียจนผมเองยังเผลอคิดว่าเธอเป็นแค่เด็กสาวธรรมดา ท่าทางไร้เดียงสาขัดกับคุณสมบัติของเธอที่สามารถเปลี่ยนอวัยวะทุกส่วนในร่างกายให้กลายเป็นอาวุธสงครามได้
รีน่าทำงานอยู่ในโบสถ์และยังคงเข้าใจว่าตนเองเป็นมนุษย์ เธอตกลงตามผมมาที่กองทัพด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กๆ
“แค่ทำตามสิ่งที่ฉันบอก” เวอกัสตอบอย่างเรียบง่าย ปาดนิ้วลงบนกระจก ภาพสามมิติก็พลันปรากฎขึ้นมาตรงกลางโต๊ะ เป็นรูปร่างกายเต็มตัวของผู้ถูกเลือก ยืนหันหลังให้กันเป็นวงกลม “พวกคุณคือผู้ที่ทางกองทัพได้เลือกสรรมาอย่างดี ชื่อของพวกคุณจะไม่ถูกบันทึกหรือจดจำใดๆ ทั้งสิ้น จงจำเอาไว้ว่าพวกคุณไม่ได้ต่อสู้เพื่อเมโทรโปลิสหรือเพื่อตำแหน่งหน้าที่ของใคร"
เวอกัสเว้นช่วง มองไปยังภาพเบื้องหน้า กองกำลังที่ตนได้คัดสรรมาทั้งสิ้น หกคน...?
“จงสู้เพื่อตัวเอง”
และคนที่หกนั้น...ก็คือผม?
“ชัยชนะเท่านั้น...ที่จะมอบสิ่งที่พวกคุณต้องการ”
...งานเข้า
............
............
(ฉากคุยในมุมของรีน่า - http://writer.dek-d.com/envymusaki/writer/viewlongc.php?id=1153887&chapter=6)
ความคิดเห็น