ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปมรักรัก รอยอดีต book I รอยอดีต

    ลำดับตอนที่ #8 : เจ้าแคสซี่แห่งเกาะนักซอส

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 64


    8

    เจ้าแคสซี่แห่งเกาะนักซอส

     

    กฤชจ้องมองรูปนิ่งอยู่พักหนึ่งก็รวบภาพทั้งสองใบถือเก็บไว้ในมือ สายตาจับจ้องเธนอสอย่างเป็นงานเป็นการ

    “ฉันขอซื้อต่อได้ไหมเพื่อนสองภาพนี้” กฤชพูดขึ้น “นายลืมพวกรัสเซียไปเถอะ ไหน ๆ นายก็ไม่คิดจะทำคดีให้เขาแล้ว และพวกนั้นก็ไม่มีหลักฐานหรือพยานที่จะไปทำอะไรต่อได้ ฉันจะจ้างนายต่อเอง”

    เธนอสมองสบดวงตาคมฉายแววจริงจังของกฤชอย่างแปลกใจ พลางหันไปมองหน้าเจอโรมแบบไม่เข้าใจว่ากฤชเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมา

    “ทำไมวะ คริส มีอะไรหรือ” เจอโรมถามแทนญาติ

    กฤชนิ่ง เหลือบมองภาพในมืออีกครั้งแล้วจึงพูดขึ้น

    “นายบอกเองไม่ใช่หรือว่าคนในภาพหน้าเหมือนนายวาลลาซ”

    “ใช่ … แต่” เจอโรมรับ ทำท่าครุ่นคิดอย่างงุนงง “ตกลงนี่ใช่หมอนั่นจริงหรือ”

    เพื่อนของเขาร้องขึ้นมาอย่างตกอกตกใจ กฤชส่งสายตาปรามเพื่อนให้เลิกเอะอะ

    “อย่าเอะอะไป เจอฯ” เขาพูดกับเจอโรม แล้วหันไปพูดกับเธนอส “คืองี้นะ นายสองคน”

    “นี่ไม่ใช่แต่เพียงว่า อาจเป็นภาพของนิโคลาโยส วาลลาซ สามีของอนาสเตเซีย ซึ่งเป็นญาติกับฉันเท่านั้น” กฤชอธิบาย “แต่ผู้หญิงในภาพนี้ หน้าตาเหมือนแม่เลี้ยงของอนาสเตเซียซึ่งหายตัวไป และถ้านับญาติกันเขาก็ถือเป็นอาสะใภ้ฉัน”

    กฤชหยุดมองหน้าเพื่อนทั้งสองด้วยสายตาจริงจังอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ

    “นายคงรู้กันอยู่ว่าคิริยาคอสเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงและมีหน้ามีตาทางสังคม ถ้าปล่อยให้เรื่องอื้อฉาวซึ่งยังพิสูจน์ไม่ได้แบบนี้หลุดออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็ย่อมไม่ส่งผลดีต่อครอบครัวและผู้เกี่ยวข้อง ที่สำคัญคือความเชื่อถือของผู้ถือหุ้นในบริษัท”

    กฤชอธิบายยาว “ตอนนี้แค่ข่าวการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของอาคิโรสก็สร้างความระส่ำระสายให้กับธุรกิจของตระกูลคิริยาคอสพอสมควรแล้ว เพราะยังไม่มีการสรุปออกมาว่าใครจะมานั่งเป็นประธานแทนท่าน โชคดีที่บริษัทมีบอร์ดผู้บริหารที่เข้มแข็งอยู่ จนธุรกิจเกือบจะสามารถดำเนินอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่หากมีเรื่องเสื่อมเสียเข้ามา มันจะมีผลต่อสถานะของอนาสเตเซีย ซึ่งเป็นว่าที่ประธานแทนคุณพ่อของเธอ”

    “ได้ไหมเธนอส ฉันขอร้องนายล่ะ เก็บเรื่องพวกนี้ให้รู้กันแค่เราสามคน แค่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น ถ้าภาพนี้ใช่นายวาลลาซกับลีย่าจริง ฉันก็อยากหาทางจัดการแบบที่ส่งผลเสียต่อตระกูลและธุรกิจของคิริยาคอสให้น้อยที่สุด”

    เธนอสพูดไม่ออกไปครู่ ขณะที่เจอโรมนั่งอ้าปากหวออย่างตกใจ หลังจากนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งเธนอสก็พยักหน้า

    “ก็ได้ ฉันเข้าใจปัญหาของญาตินาย แม้จะไม่เข้าใจนักว่ามันเกี่ยวอะไรกับนาย”

    “ขอบใจมาก ฉันจะเซ็นเช็คให้นายเลย” กฤชพูดไม่สนใจคำเหน็บแนม พลางล้วงหยิบสมุดเช็คจากกระเป๋า

    สมุดเช็คของกฤชนั้นทางธนาคารสั่งพิมพ์ขึ้นสำหรับเขาโดยเฉพาะ บนเช็คทุกใบมีพิมพ์ชื่อเขาอยู่แล้วโดยไม่ต้องเขียนชื่อตัวเองและรายละเอียดอะไรให้ยุ่งยาก เพียงแต่ใส่จำนวนเงิน และเซ็นชื่อกำกับก็ใช้ได้

    ชายหนุ่มเซ็นชื่อโดยไม่ใส่ตัวเลขในเช็คใบนั้น แล้วยื่นให้เพื่อนนักสืบ

    “นี่นายสั่งจ่ายเช็คเปล่าให้ฉันเลยหรือ” เธนอสตกใจ ส่วนเจอโรมนั่งตาโตทำสีหน้าล้อเลียน

    กฤชไม่รู้ว่าเผลอแสดงความห่วงใยลึกซึ้งในตัวอนาสเตเซียหญิงสาวที่เขาชอบอ้างว่าเป็นเพียงญาติออกมาให้เจอโรมเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง

    เขาพยักหน้าแทนคำตอบให้กับเธนอส โดยไม่สนใจสีหน้าล้อเลียนของเจอโรม

    “ใช่ นายใส่ตัวเลขที่เหมาะสมได้เลย นี่ไม่ใช่แค่ค่ารูปสองใบนี่ กับค่าสินน้ำใจที่ขอให้นายลืมพวกรัสเซียนั่น แต่เป็นค่าจ้างล่วงหน้าด้วย เพราะฉันมีงานต้องการให้นายทำ” กฤชพูด

    “ว่ามาสิ เกิดมายังไม่เคยได้เลย เช็คเปล่าจากลูกชายบุญธรรมของตระกูลอนาโตลาคิสแบบนี้ ให้ทำอะไรก็จะรีบทำเลยเพื่อน”

    “ขอบใจ นายช่วยสืบประวัติสองคนนี้ให้ฉันหน่อย ขออย่างละเอียดเลยนะ และฉันอยากได้อะไรที่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม แต่ถ้าไม่มี แต่มีเรื่องอะไรที่ได้ยินใครพูดมาก็ขอให้เก็บเป็นข้อมูลเพื่อแจ้งให้ฉันรู้ในรายงานทั้งหมด เก็บชื่อและที่อยู่ที่ติดต่อได้ของแหล่งข่าวนายไว้ด้วย อย่าให้ตกหล่น”

    คราวนี้ทั้งเธนอสและเจอโรมมองหน้ากฤชอย่างสงสัยหนักกว่าเก่า

    “ทำไมล่ะ”

    “ถ้าเป็นพวกนายจะไม่อยากรู้หรือ ว่าหากเรื่องตลกทั้งหมดที่พูดมานั่นมีมูล และเกี่ยวข้องกับสองคนนั่นจริง แล้วสองคนนี้เข้ามาเกี่ยวข้องอะไรในตระกูลคิริยาคอส มีจุดประสงค์อะไร และซุกซ่อนอะไรไว้อีกบ้าง” กฤชย้อนถาม

     

    เฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวสีขาวขนาดหกที่นั่ง ถูกขับเคลื่อนออกมาจากโรงจอดซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวบ้านใหญ่ไปทางตะวันตกประมาณสองกิโลเมตร

    อิสวาน วิศวกรหนุ่มกระโดดลงจากเครื่องตรงตำแหน่งคนขับลงมาสมทบกับกลุ่มของอนาสเตเซีย หลังจากนำเครื่องออกมาจอดตรงลานโล่งด้านนอก

    ชายหนุ่มแอบมองนายสาวอย่างทึ่งปนเสียดาย

    อนาสเตเซียในวันนี้สวมชุดสีขาวทั้งชุด เริ่มจากกางเกงห้าส่วนสีขาวตัดเข้ารูปกระชับเรียวขาที่ทั้งยาวและเพรียว เสื้อเชิ้ตแขนสี่ส่วนเข้ารูปสีขาวอวดช่วงแขนที่ยาวเรียวและรูปร่างซึ่งเต็มไปด้วยสัดส่วนสวยงามผิดจากพวกนางแบบหุ่นบางจนเรียบแบนส่วนใหญ่

    เธอสวมแว่นกันแดดสีขาว กระเป๋าสะพายหนังพิมพ์โลโก้ลายจาง ๆ สีน้ำเงินเทาซีดคล้ายสียีนส์ และรองเท้าหนังลำลองสีเดียวกันแบบไม่มีส้น

    ผมสีทองถักเป็นเปียเดี่ยวหนาถูกคลุมไว้ด้วยผ้าคลุมศีรษะสีขาวลวดลายจาง ๆ สีน้ำเงินตัดกับสีเงินรับกับกระเป๋าสะพาย ชุดสีขาวแบบเรียบธรรมดา แต่ด้วยเนื้อผ้าและการตัดเย็บอย่างประณีต เมื่อมาอยู่บนตัวผู้ใส่ที่มีรูปร่างสวยสมบูรณ์อยู่เล้ว จึงส่งให้ร่างนั้นยิ่งดูสูงเพรียวสง่า และเย้ายวนชวนมอง

    เธอเป็นคนมีอะไรดีในตัวหลายอย่าง นอกจากรูปร่างสูงสง่าตามธรรมชาติโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งรองเท้าส้นสูงหรือส้นตึกอย่างที่ผู้หญิงส่วนใหญ่นิยมกัน เธอยังเป็นคนมีความสามารถรอบด้านอย่างที่พวกผู้ดีมีเงินในตระกูลใหญ่ของยุโรปมักจะมี

    เธอขี่ม้า ยิงปืน ปีนหน้าผา ฟันดาบ และรำกระบอง พูดได้ทั้งภาษากรีก อังกฤษ และฝรั่งเศส นอกจากนี้เธอยังขับได้ทั้งรถ มอเตอร์ไซด์ เรือ เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินน้ำและเครื่องบินขนาดเล็ก

    น่าเสียดายที่เธอเป็นคนเครียดขรึม เก็บตัว จนเหมือนจืดชืด และไม่สังคมกับใคร บุคลิกที่เรียบเฉยจนชวนขยาดของเธอ แม้จะดูน่าเกรงขาม แต่ก็ทำให้เธอขาดเสน่ห์ และดูไม่น่าสนใจไปอย่างน่าเสียดาย

    ทว่าเรือนร่างที่เต็มไปด้วยส่วนโค้งเว้างดงาม ยวนอารมณ์ กับใบหน้าสวยหวานดุจเทพธิดา ก็ทำให้หนุ่ม ๆ อดที่จะจ้องมองเธอไม่ได้

    บางครั้งเวลาอิสวานมองอนาสเตเซีย เขารู้สึกเหมือนตัวเองมองดูรูปแกะสลักหินอ่อนสีขาวเนื้อดี ที่ประติมากรแกะสลักไว้อย่างสวยงามสมบูรณ์แบบ

    แต่ไม่ว่าปฏิมากรณ์ผู้นั้นจะสรรสร้างเธอไว้ได้สวยน่าพิสมัยและเย้ายวนใจเพียงใด เธอก็ยังเป็นเพียงรูปแกะสลักหินอ่อนที่เย็นชืดยู่ดี ขาดชีวิตและไร้อารมณ์ และหลายครั้งที่ความเรียบเฉยของเธอ ถึงกับทำให้เขารู้สึกเย็นเยือก เหมือนมองดูรูปแกะสลักจากน้ำแข็งเลยทีเดียว

    ตลอดระยะเวลาหกปีที่อิสวานทำงานกับอนาสเตเซียที่บ้านหลังนี้ เขาแทบไม่เคยเห็นรอยยิ้มของเธอเลย และที่สำคัญ เขามีโอกาสพูดกับเธอไม่เกินสิบครั้ง และทุกครั้งจะเป็นเรื่องงาน

    คิดแล้วก็น่าเห็นใจนิโคลาโยสสามีของเธอ ผู้ที่ชื่นชอบความท้าทายและแสงสียามราตรี ไม่น่าแปลกที่เขาต้องแอบไปควงสาวสวยมีชีวิตชีวามีเสน่ห์เย้ายวนนอกบ้านอยู่เสมอ

    ผู้ชายมีเลือดเนื้อที่ไหนจะทนเมียที่เครียดขรึมราวกับแม่ชี แถมเยือกเย็นเป็นภูเขาน้ำแข็งแบบนี้ได้ ต่อให้สวยกว่านี้สิบเท่าก็เถอะ

    อนาสเตเซียพยักหน้าขอบใจอิสวานหลังจากที่เขาเอาเครื่องมาจอดให้เธอโดยไม่ได้ยิ้มและพูดอะไรอย่างที่เขาเดาไว้แต่แรก คำพูดแต่ละคำจากปากเธอคงแพงยิ่งกว่าทองคำเสียอีก ชายหนุ่มแอบค่อนขอดในใจ หญิงสาวหันไปพยักหน้าให้ซอนญ่านิดหนึ่งก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งประจำที่นั่งคนขับทางด้านซ้ายตรงส่วนหน้าของเครื่อง

    ซอนญ่ารีบอุ้มจูเลี่ยนตามขึ้นไปนั่งทางด้านหลัง โดยมีอิสวานช่วยอุ้มเจ้าดิโน่ เวสตี้สีขาวตัวน้อยขึ้นนั่งทางด้านหลังด้วย

    อนาสเตเซียหันมาพยักหน้าให้อิสวานปิดประตู หลังจากที่ทุกคนขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว เธอชอบขับเครื่องบิน รถ เรือ มอเตอร์ไซด์ และเฮลิคอปเตอร์เอง จึงไม่ต้องใช้บริการของอิสวาน

    ชายหนุ่มปิดประตูทั้งสี่ด้าน แล้วก็ยืนถอยออกมาห่าง ๆ ให้พ้นระยะของใบพัดเครื่อง

    อนาสเตเซียบังคับเครื่องขึ้นในแนวตั้งฉาก ใบพัดหมุนแรงขึ้นเรื่อยพาให้เครื่องบินขึ้นพ้นสนามหญ้ากว้างใหญ่ของเขตบ้าน และลอยลำอยู่เหนือผืนหญ้าที่อุดมด้วยต้นไม้ซึ่งปลูกไว้จนร่มครึ้ม ทาบกับทะเลสีน้ำเงินเบื้องล่าง หญิงสาวค่อย ๆ หักหัวเครื่องออกเพื่อมุ่งไปทางทิศตะวันออกสู่เกาะนักซอส

     

    นักซอสอยู่ทางฝั่งตะวันออกไม่ไกลจากปาโรสสักเท่าไหร่ ห่างกันเพียงชั่วระยะทะเลกั้นขวางไม่ถึงสิบสามกิโลเมตร

    อนาสเตเซียบินต่ำเพื่อให้จูเลี่ยนและเจ้าดิโน่ได้เพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ของทะเลและเกาะได้อย่างใกล้ชิด

    ในความคิดของอนาสเตเซีย เธอรู้สึกว่านักซอสนั้นมีรูปร่างคล้ายหัวใจที่บิดเบี้ยว หากมองจากมุมสูงบนท้องฟ้า เกาะนี้เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในเขตคลิคลาเดส และเป็นเกาะในตำนานกรีกโบราณที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ ๆ ธีซุส*ทอดทิ้งนางอริแอดเน่*เอาไว้

    เกาะนักซอสกับปาโรสนั้นเหมือนกันตรงที่ต่างก็อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณโดยเฉพาะต้นมะกอก ต้นส้ม มะนาวและไร่องุ่น

    หากแต่ปาโรสนั้นเล็กกว่า และมีขนาดใหญ่เป็นเพียงอันดับสามของเกาะในเขตคลิคลาเดสทั้งหมด ที่สำคัญปาโรสนั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องของเหมืองหินอ่อนสีขาวที่สวยงามมีราคาไม่แพ้หินอ่อนจากอิตาลี ทำให้หินอ่อนกลายเป็นอุตสาหกรรมหลักของปาโรสมาช้านาน แม้ว่าทุกวันนี้ปาโรสจะยังรักษาสภาพชีวิตของหมู่บ้านตามเนินเขา ไร่องุ่น และไร่มะกอกไว้อยู่บ้างก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่อุตสาหกรรมหลักของเกาะเท่ากับการส่งออกหินอ่อน

    ส่วนเกาะนักซอสนั้นยังคงเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวของไม้ทรงพุ่ม ทั้งพุ่มเตี้ยจนถึงพุ่มสูงอย่างต้นมะกอก ส้ม มะนาว และพวกกล้วยไม้ นอกจากนี้ยังมีพืชผลทางการเกษตรทั้งไร่องุ่นและไร่มะกอก มีหมู่บ้านตามเชิงเขาซึ่งยังอนุรักษ์สภาพไว้ให้เหมือนก่อน

    ตามชายทะเลก็เต็มไปด้วยหมู่บ้านชาวประมง แม้ทุกวันนี้หลายหาดจะแปรเปลี่ยนสภาพเป็นแหล่งท่องเที่ยวและที่พักของนักท่องเที่ยวไปมากแล้วก็ตาม

    เมื่อเฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือบริเวณตอนใต้ของเกาะ ภาพของเทือกเขาใหญ่ชื่อว่าเมาท์ซาส ซึ่งเป็นเขาที่สูงที่สุดในเขตคลิคลาเดสก็แลดูตระหง่านง้ำอยู่ทางด้านซ้ายของเครื่อง

    จูเลี่ยนตื่นเต้นกับวิวสองข้างทางที่เห็นอย่างมากซึ่งด้านหนึ่งเป็นภูเขาสีเขียวทะมึนตั้งตระหง่าน ส่วนอีกด้านเป็นทะเลสีฟ้าสวย น่าเสียดายที่เธอขับเฮลิคอปเตอร์เองจึงไม่อาจร่วมวงความตื่นเต้นดีใจของจูเลี่ยนได้มากนัก เนื่องจากเด็กชายนั่งอยู่ด้านหลัง และคุยกันลำบาก

    ด้านใต้ของเกาะนักซอสค่อนข้างเงียบ มีแหล่งท่องเที่ยวที่พลุกพล่านเพียงไม่กี่แห่ง และเป็นย่านอยู่อาศัยของคนพื้นเมืองที่อยู่ตามเขา ปลูกไร่องุ่น ไร่มะกอก และไร่ส้ม รวมถึงเพาะพันธุ์กล้วยไม้

    หญิงสาวค่อย ๆ ลดเพดานบินและลงจอดยังพื้นที่โล่งกว้างภายในไร่มะกอกตรงเชิงเขา ซึ่งเป็นผืนที่ดินในครอบครองของตาเฒ่าฟาริส คาคาราสและนาเดียภรรยาของเขา

    ตาเฒ่าฟาริสและนาเดียออกมายืนโบกมือคอยอยู่ตรงหน้าบ้าน อนาสเตเซียเลือกลงจอดบริเวณลานโล่งห่างจากรัศมีของตัวบ้านมาค่อนข้างไกล

    เมื่อใบพัดชะลอลงจนเกือบนิ่งสนิทฟาริสก็ขับรถจี๊ปเข้ามารับ

    อนาสเตเซียโผเข้าสู่อ้อมกอดของฟาริสอย่างยินดี ฟาริสตบหลังเธอเบา ๆ ก่อนจะหันมาคว้าตัวจูเลี่ยนขึ้นอุ้ม และพาอนาสเตเซียกับซอนญ่าซึ่งอุ้มเจ้าหมาน้อยดิโน่ไว้พาขึ้นรถจี๊ป ขับไปยังตัวบ้านที่ภรรยาของเขายืนคอยอยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

    “สวัสดีค่ะ” อนาสเตเซียกล่าวทันทีที่รถจอดตรงลานหน้าบ้าน เธอตรงเข้าสวมกอดนาเดีย ทั้งคู่หอมแก้มซ้ายขวากันตามธรรมเนียมแล้ว นาเดียก็หันมาทักทายซอนญ่าแบบเดียวกัน ก่อนหันมาหาจูเลี่ยน

    “ว่าไงพ่อหนุ่ม โตขึ้นเยอะเลย” หญิงชราทัก

    “เข้ามาในบ้านเถอะ เตรียมของว่างไว้แล้ว พาเจ้าดิโน่นั่นเข้ามาด้วยก็ได้” เธอกล่าวอย่างใจดี

    ทั้งหมดเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่นของบ้านปูนสลับไม้ทรงสี่เหลี่ยมทาสีขาว หลังคาทรงจั่วสีขาวเช่นกัน ต่างจากบ้านสไตล์ปกติที่เห็นกันทั่วไปในแถบคลิคาเดส ตัวบ้านดูเป็นแนวกึ่งวิลล่าตามสไตล์บ้านในฟาร์มของยุโรป

    บ้านหลังนี้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่พอเหมาะสำหรับอยู่สองคนกับสุนัขไม่กี่ตัว ฟาริสเพิ่งสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นภายหลัง ไม่ใช่บ้านหลังเดิมซึ่งอนาสเตเซียเคยไปเคาะประตูขอความช่วยเหลือไว้เมื่อสิบสองปีก่อน

    สองสามีภรรยากล่าวแสดงความเสียใจกับอนาสเตเซียเรื่องการสูญเสียบิดาของเธอ หญิงสาวยิ้มนิด ๆ พลางหลุบสายตาลงซ่อนความรู้สึกเศร้าและสับสนในดวงตาไว้ภายใต้แพขนตาดกหนา

    “พวกเขายังไม่พบแม่เลี้ยงหนูอีกหรือ”

    ฟาริสเอ่ยถามถึงลีย่าแทนเมื่อเห็นว่าคำพูดถึงคิโรสนั้นสร้างความกระทบกระเทือนใจให้กับอนาสเตเซียได้ง่ายดายเพียงใด

    “ยังค่ะ” อนาสเตเซียตอบ “น่าแปลกที่ยังไม่มีการติดต่ออะไรมา ทางตำรวจเลยสงสัยว่า..”

    หญิงสาวพูดแล้วหยุดไป ฟาริสพยักหน้าอย่างเข้าใจ

    “ตอนนี้ทางตำรวจเขาตรวจเช็คตามโรงพยาบาลและที่เก็บศพทุกแห่งด้วย เผื่อมีลักษณะรูปพรรณสัณฐานที่คล้ายคลึงก็จะเรียกเราให้ไปยืนยัน” อนาสเตเซียอธิบาย

    “แล้วทางบ้านล่ะ ช่วยกันหาด้วยหรือเปล่า”

    นาเดียถามขึ้น ทั้งเธอและฟาริสต่างเลิกถามอนาสเตเซียถึงนิโคลาโยส ด้วยเห็นว่าอนาสเตเซียอึดอัดที่จะพูดถึงและเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่นเสมอ สองสามีภรรยาเข้าใจว่าความสัมพันธ์ของ อนาสเตเซียกับสามีคงไม่ราบรื่นนัก จึงไม่อยากเซ้าซี้ให้กระทบกระเทือนจิตใจ

    “หาค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับ

    “หนูเปิดบัญชีพิเศษให้นิคกี้จัดการจ้างทีมค้นหาของเราเอง ทั้งทางบกและทางน้ำ และก็จ้างนักสืบเอกชนให้ช่วยหาด้วย”

    เจ้าดิโน่ซึ่งดมฟุดฟิด ๆ สำรวจไปทั่วห้องนั่งเล่นนั้น เริ่มหมุนตัวทำท่าแปลก ๆ ทำให้ทั้งหมดหยุดพูดคุยในเรื่องการหายตัวของลีย่า ส่วนซอนญ่ารีบลุกขึ้นเพื่อจูงเจ้าดิโน่ออกไปทำธุระนอกบ้าน

    เมื่อเสร็จธุระเจ้าดิโน่ สองสามีภรรยาชวนทุกคนดื่มกาแฟ นาเดียเดินเข้าไปในครัวโดยมีฟาริสตามเข้าไป ทั้งคู่ช่วยกันยกกาแฟ โกโก้ และของว่างต่าง ๆ สำหรับรับประทานร่วมกับเครื่องดื่มยามบ่าย

    จูเลียนตาโตมองขนมพื้นเมืองซึ่งมักจะทำด้วยถั่วมีรสหวานอร่อย นาเดียรีบตักขนมที่หนูน้อยหมายตาไว้ใส่จานพร้อมเนื้อแกะย่างกิโรซึ่งหั่นเป็นชิ้นเล็กพอคำส่งให้เด็กชายกินกับแป้งพิต้า

    นางส่งโกโก้ร้อนซึ่งชงไว้สำหรับหนูน้อยเป็นพิเศษให้ด้วย

    เจ้าดิโน่เดินมายืนสองขาเกาะโต๊ะทำจมูกยื่นจมูกยาวดมฟุดฟิด พร้อมส่งสายตาเว้าวอนอย่างน่าสงสาร ราวจะพูดว่า ‘หนูด้วย’

    อนาสเตเซียส่งเสียงดุเจ้าดิโน่เบา ๆ ในคอ ซอนญ่ารีบลุกขึ้นเอาสายจูงคล้องกับปลอกคอของเจ้าดิโน่อย่างรู้หน้าที่ ฟาริสรีบลุกตาม

    “พามาไว้ที่ครัวนี่ก็ได้ เจ้านี่คงจะหิว มากินขนมตรงนี้แล้วกัน” ผู้เฒ่าพูดพลางเดินนำเข้าไปในครัว

    ซอนญ่าผูกเจ้าดิโน่ไว้กับขอเกี่ยวข้างฝา ขณะที่ฟาริสรินน้ำใส่ชามและตักอาหารใส่จานวางไว้ให้เจ้าดิโน่

    “ใช้จานของแคสซี่ก่อนแล้วกัน” ตาเฒ่าว่าพลางยิ้มอย่างเอ็นดูเจ้าตัวเล็ก

    เมื่อเห็นว่าเจ้าดิโน่อยู่ดีแล้ว ฟาริสก็เดินนำซอนญ่ากลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น

    “แคสซี่ไปไหนซะแล้วล่ะคะ” อนาสเตเซียถามขึ้นด้วยดวงตากลมโตสีฟ้าใสล้อมกรอบด้วยแพขนตาสีทองเข้มที่ทั้งยาวและดกหนา

    ซอนญ่ามองอย่างแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายสาวของเธอจึงมักจะดูอบอุ่นและผ่อนคลายขึ้นเสมอเมื่ออยู่กับครอบครัวคาคาราส

    ทุกครั้งที่มาที่นี่อนาสเตเซียจะเหมือนกลับมาเป็นอีกคนที่มีบุคลิกสดใส แม้จะไม่มากมายจนชวนให้ตกใจ แต่ก็ยังดูมีความเป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อมากขึ้นกว่าปกติที่ดูไม่ต่างจากเทวรูปเทพเจ้าที่มีไว้บูชาตามวิหารศักดิ์สิทธิ์โบราณของกรีซ

    “อยู่ที่กระท่อมไม้ท้ายไร่” ฟาริสตอบ “เมื่อเช้าออกไปตรวจทางท้ายไร่ เจ้าแคสซี่ตามไป เลยทิ้งให้นอนเฝ้าอยู่ที่นั่น กับลูก ๆ อีกสองตัว”

    “ทำไมสองล่ะครับ ตอนนั้นมีสามนี่นา” เด็กชายจูเลี่ยนถามขึ้นด้วยเสียงใสน่าเอ็นดู

    ผู้ใหญ่ต่างมองและยิ้มขำแกมปลาบปลื้มในความช่างจดจำของหนูน้อย

    “มีคนมาขอซื้อไปตัวหนึ่งเมื่อสองเดือนก่อน” ฟาริสตอบ

    “ตัวผู้หรือตัวเมียครับ” จูเลี่ยนถามอีก เด็ก ๆ ดูจะให้ความสำคัญกับรายละเอียด และจดจำรายละเอียดทุกอย่างได้หมดจนบางครั้งก็ทำให้ผู้ใหญ่เก้อและประหลาดใจ

    “ตัวผู้จ้ะ” นาเดียเป็นฝ่ายตอบ

    “หางสั้นหางยาวครับ” จูเลี่ยนถามอีก คราวนี้เรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในห้อง

    อนาสเตเซียมองลูกชายคนเดียวอย่างแสนรัก แพขนตาสีทองเข้มงอนยาวหลุบต่ำซ่อนความภาคภูมิใจตามประสาแม่ซึ่งฉายชัดอยู่ในดวงตากลมใหญ่สีฟ้า จูเลี่ยนอุตส่าห์จำได้ถึงตอนที่ลูกหมาคอกนั้นเพิ่งเกิด ฟาริสเคยพาเธอกับจูเลี่ยนไปเยี่ยมดูลูกหมากับเจ้าแคสซี่แม่ของมัน

    ตอนนั้นจูเลี่ยนตื่นเต้นกับลูกหมาเล็ก ๆ ที่ยังไม่ลืมตาทั้งสามตัวนั้นมาก

    “ตัวผู้ตัวเมียครับ” นี่เป็นคำถามแรกของจูเลี่ยนเช่นกันในวันนั้นเมื่อกว่าสี่เดือนมาแล้ว

    “ผู้สอง เมียหนึ่งจ้ะ” นาเดียเป็นฝ่ายตอบ

    “แล้วแม่มันรู้ได้ไงครับว่าตัวไหนเป็นตัวไหน” เด็กน้อยถามอีก

    “แม่มันจำกลิ่นลูกได้ไงจ๊ะ” นาเดียว่า

    “จำยังไงครับ” เด็กน้อยยังไม่เลิกซัก

    “ก็ดมฟุดฟิด ๆ ที่ตัวลูกมันไงจ๊ะ แล้วเขาก็จะรู้ว่าตัวไหนเป็นตัวไหน” นาเดียอธิบายต่ออย่างอดทน

    “แล้วฟาริสกับนาเดียล่ะครับ เวลาจะดูว่าตัวไหนเป็นตัวไหน ต้องใช้จมูกดมฟุดฟิด ๆ ด้วยอ๊ะป่าว” คำถามของเด็กชายสร้างเสียงหัวเราะแบบเก้อเขินให้กับผู้ใหญ่ทั้งสี่คนในวันนั้น

    “ไม่ต้องหรอกจ้ะ ฉันสังเกตเอาจากรูปร่างลักษณะเขาก็รู้” นาเดียอธิบายอีก

    “สังเกตยังไง” จูเลี่ยนถามขึ้นพร้อมกับฟาริสซึ่งนึกรู้ถึงคำถามต่อไปของหนูน้อยอยู่แล้วเลยถามดักหน้าอย่างล้อเลียน เขาได้รับสายตาตำหนิแบบงง ๆ ของหนูน้อยเป็นรางวัล

    “ก็อย่างเช่น เจ้านี่ตัวเมียเราก็ดูที่ตรงใต้ท้องเขา เขาจะไม่มีจุ๊ดจู๋ถูกไหม ส่วนเจ้าสองตัวนี่ตัวผู้ เขาก็จะมีจุ๊ดจู๋” นาเดียแจกแจง

    “ผมก็มีจุ๊ดจู๋ ผมเป็นตัวผู้” จูเลี่ยนพูดขึ้นอย่างมีชัย

    “จ้ะ หนูเป็นเด็กผู้ชาย”

    “แล้วนาเดียรู้ได้ไง มีตัวผู้ตั้งสองตัว จะแยกออกยังไงคับว่าตัวไหนเป็นตัวไหน” จูเลี่ยนยังไม่ละความสนใจเรื่องนี้ไปง่าย ๆ

    “ดูนี่สิจ๊ะ เจ้านี่หางสั้นกว่าเจ้านี่นิดหนึ่งไงล่ะ หน้าก็ทู่กว่านิดหนึ่งด้วย หนูสังเกตดูดี ๆ สิ เห็นไหม” นางอธิบายพลางชี้ให้ดูตาม “ที่สำคัญเจ้าตัวหางสั้นนี่ที่ท้องเขามีปานด้วย”

    หนูน้อยทำท่าสำรวจอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยท่าทางเลียนแบบคุณหมอเวลาตรวจร่างกายของเขายามไม่สบาย เด็กชายจอมแก่แดดจับหางของลูกหมาที่เห็นว่าเป็นตัวผู้ทั้งสองตัวมาวัดเทียบความยาวกัน เสร็จแล้วก็เอามือน้อย ๆ จับใบหน้าของเจ้าสองตัวเบา ๆ ลูบ ๆ คลำ ๆ อยู่พักหนึ่ง

    “จริงด้วยครับ” เจ้านี่หน้าทู่กว่า หางก็สั้นกว่าด้วยล่ะ พูดจบจูเลี่ยนก็จับเจ้าตัวเล็กให้ยืนสองขาพลางก้มดูพุงจ้ำม่ำของมัน “โอ้โห มีปานจริง ๆ ด้วยครับ”

    เจ้าแคสซี่ที่นอนให้นมลูกอยู่ผงกหัวขึ้นมาเลียมือน้อย ๆ ของจูเลี่ยน เด็กชายหัวเราะเอามือลูบศีรษะมันอย่างชอบใจ

    ดีที่จูเลี่ยนเป็นเด็กอ่อนโยน เขาไม่เคยเล่นแรง ๆ กับสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะลูกสุนัข ซึ่งเป็นสิ่งที่อนาสเตเซียพยายามปลูกฝัง เธอเห็นคุณค่าของชีวิตทุกชีวิตเสมอ

    “หางสั้นจ้ะ” เสียงตอบของนาเดียดึงความคิดของอนาสเตเซียให้หวนกลับมายังปัจจุบัน

    “หน้าทู่ด้วย” ฟาริสเสริมพร้อมรอยยิ้มขำขัน

    “เดี๋ยวกินนี่เสร็จแล้วขอไปเยี่ยมเจ้าแคสซี่กับลูก ๆ ได้ไหมครับ” จูเลี่ยนขอพลางหันมามองมารดาอย่างวิงวอน

    อนาสเตเซียเหลือบมองหน้าเจ้าของบ้านทั้งสองก่อน เมื่อทั้งสองพยักยิ้มให้ก็พยักหน้าให้ลูกชาย

    “ได้สิ” ฟาริสว่า “หนูกินให้หมดก่อนนะ ไม่งั้นนาเดียจะเสียใจ เสร็จแล้วเราค่อยนั่งรถแทรคเตอร์ไปที่ท้ายไร่กัน”

    ฟาริสพูดถึงรถคันเล็ก ๆ ที่ใช้ยกของและทำงานในไร่ คันขนาดกะทัดรัด ประมาณเท่ารถบั๊กกี้หรือรถกอล์ฟ

    นาเดียลุกไปปล่อยเจ้าดิโน่กลับเข้ามาร่วมวงในห้องนั่งเล่น ทุกคนดื่มกาแฟพลางมองดูความซุกซนขี้อ้อน ฉลาด แสนรู้ของทั้งลูกสุนัขและลูกคน ซึ่งไร้เดียงสา และบริสุทธิ์อย่างเพลิดเพลิน

    หลังมื้อขนม ทั้งหมดก็พากันขึ้นนั่งบนรถแทร็คเตอร์เล็ก ๆ ของฟาริส ซอนญ่าเห็นที่นั่งไม่พอจึงขอตัวอยู่ช่วยเจ้าบ้านฝ่ายหญิงเก็บล้างถ้วยชาม ปล่อยให้อนาสเตเซียกับจูเลี่ยนและเจ้าดิโน่ไปเยี่ยมเจ้าแคสซี่กับฟาริสที่กระท่อมท้ายไร่

    กระท่อมหลังนั้นตั้งอยู่ที่ท้ายไร่ทางตอนใต้ของเกาะนักซอส บริเวณนั้นเป็นเชิงเขาซึ่งอยู่ติดกับชายทะเล สภาพของกระท่อมยังคงเหมือนเดิมเมื่อครั้งที่อนาสเตเซียเคยมาเคาะประตูเรียกขอความช่วยเหลือ หากแต่ดูเก่าแก่โทรมลงไปบ้างตามกาลเวลา แม้ว่าฟาริสจะคอยซ่อมบำรุงอยู่บ้างตามสภาพ

    อนาสเตเซียมองเลยจากกระท่อมหลังนั้นไปยังหน้าผาที่เว้าลึกเข้ามาตรงบริเวณเชิงเขา ต้นมะกอกต้นนั้นยังคงตั้งตระหง่านอยู่เหมือนเมื่อสิบสองปีก่อน

    หญิงสาวรู้สึกหนาวยะเยือกตลอดสันหลัง เมื่อคิดถึงความทรงจำเก่า ๆ อันแสนโหดร้าย ซึ่งเกิดขึ้น ณ ถ้ำริมหน้าผาติดกับทะเลนั้น

    ตราบจนทุกวันนี้อนาสเตเซียยังคงกลัวที่จะเดินไปที่แนวป่าละเมาะบริเวณนั้น หรือมองลงไปยังหน้าผาเตี้ย ๆ ซึ่งมีโพรงถ้ำลึกเข้าไปหน้าชายหาดเล็ก ๆ แคบ ๆ

    ความคลั่งของทะเลอย่างผิดปกติ ประกอบกับความน่ากลัวของลมพายุที่รุนแรงของฝนร้อยปีในคืนนั้น รวมถึงความตายอย่างน่าเวทนาของอแนสซ่า คิริยาคอสยังคงตามหลอกหลอนเธออยู่แทบทุกขณะจิต แม้ในยามหลับ

    เมื่อรถเข้าไปจอดใกล้ ๆ เสียงสุนัขในบ้านหลังนั้นก็เห่าดัง เจ้าดิโน่ซึ่งยังเด็กอยู่ และยังเห่าไม่เป็นได้แต่ยืนงุนงง

    เจ้าลูกสุนัขเวสตี้ตัวน้อยเริ่มกระสับกระส่ายก้าวถอยหน้าถอยหลังด้วยความกังวล

    ฟาริสก้าวลงจากรถไปเปิดประตูกระท่อมออก ร่างสีขาวขนปุยแข็งของเจ้าแคสซี่ก็พุ่งกระโจนออกมาจากกระท่อม มันกระโดดใส่ฟาริสเป็นเชิงทักทายหนึ่งทีก่อนจะพุ่งเข้าหาแขกที่มาเยือน

    เจ้าหมาน้อยวัยขวบเศษซึ่งเพิ่งตกลูกไปเมื่อสี่เดือนก่อนกลับมาสมบูรณ์แข็งแรง และขนดกหนาน่ารักเหมือนเดิมแล้ว มันวิ่งเข้ามาดมฟุดฟิด ๆ ที่ขาของจูเลี่ยน ยกสองขาหน้าทักทายอนาสเตเซีย และท้ายที่สุดก็ก้มลงดมเจ้าดิโน่ซึ่งอนาสเตเซียเพิ่งปล่อยลงจากอ้อมแขนให้ยืนตัวงอบนพื้นด้วยความกลัวเจ้าแคสซี่

    เจ้าดิโน่ยืนฉี่แตกด้วยความตกใจกลัวที่มีหมาตัวโตกว่ามากมาดมฟุดฟิดตามเนื้อตามตัว ส่วนเจ้าแคสซี่เมื่อดมสำรวจเจ้าดิโน่อยู่สักพักก็เริ่มเลียหน้าเลียตาให้อย่างรักใคร่เอ็นดู สร้างความประหลาดใจให้กับทั้งอนาสเตเซียและฟาริส

    ลูกหมาเล็ก ๆ ตัวไล่ ๆ กันกับเจ้าดิโน่เดินตามออกมาหลังจากที่แอบซุ่มยืนทิ้งระยะห่างจากแม่ของมันเพื่อรักษาระยะปลอดภัยไว้

    ทั้งหมดเข้ามาดมเจ้าดิโน่กันทีละตัว เจ้าดิโน่ที่กำลังถูกรุมรู้สึกประหม่ากลัวจนยอมนอนหงายท้องปล่อยให้ทั้งเจ้าแคสซี่และลูกหมาอีกสองตัวดมสำรวจจนพอใจ

    “จะเลี้ยงไว้เองหมดหรือคะ” อนาสเตเซียถามขึ้นขณะลูบหัวเจ้าแคสซี่เล่น

    “ไม่หรอก เลี้ยงเฉพาะเจ้าตัวผู้ไว้ชั่วคราว ตัวเมียนี่ต้องเอาไปให้เจ้าของที่เลี้ยงตัวพ่อเขาตามที่ตกลงกันไว้ก่อนจะเอามาผสม”

    ฟาริสตอบ

    จูเลี่ยนหลังจากที่ลูบ ๆ คลำ ๆ สังเกตสังกาสุนัขเวสต์ไฮแลนด์ไวท์เทอเรียหรือที่เรียกสั้น ๆ ว่าเวสต์ตี้ฝูงนั้นจนพอใจ ก็เริ่มจับคู่ตัวผู้สองตัวไว้ด้วยกัน และจับหางของตัวผู้สองตัวขึ้นมาวัด เด็กชายร้องออกมาอย่างยินดี

    “เจ้าดิโน่หางสั้นกว่า” เด็กน้อยพูดพลางขยับไปจับหน้าของสองตัววัดเทียบกันอีก “หน้าก็ทู่กว่าด้วย อืมแปลกจังครับแม่ เจ้าดิโน่มีปานที่พุงด้วยล่ะครับ”

    คำกล่าวทักโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ของจูเลี่ยนสร้างความแปลกใจให้กับอนาสเตเซีย หญิงสาวถามขึ้นอย่างฉงน

    “ฟาริส คุณบอกว่าคุณขายลูกหมาไปเมื่อไหร่นะคะ”

    “สองเดือนก่อนโน่น ตอนนั้นยังแค่สองเดือนเองฟันน้ำนมขึ้นไม่กี่ซี่ เพิ่งเริ่มให้กินอาหารเม็ด”

    “ขายให้ใครไปคะ” เธอถามอีก

    “ผู้ชาย หน้าตาหล่อเชียว อายุน่าจะประมาณสามสิบกว่า ๆ ยังหล่อเฟี้ยว ไม่น่าจะใช่คนแถวนี้ ไม่เคยเห็น”

    “แล้วเขารู้ได้ยังไงคะว่าที่นี่มีลูกหมาเกิดใหม่”

    “ตอนนั้นฉันติดป้ายประกาศไว้ที่รั้วด้านหน้าทางเข้ามาในไร่น่ะ แต่มีแค่สามตัว ขายตัวหนึ่ง ตัวหนึ่งต้องให้พ่อพันธุ์เขา ก็เลยตัดสินใจเหลือตัวหนึ่งไว้เป็นเพื่อนเจ้าแคสซี่ก่อน โตอีกหน่อยจะเอาไปยกให้หลานเอาไปเลี้ยงที่ไร่องุ่นของเขา”

    “ตอนนี้เจ้าตัวนั้นก็คงสี่เดือนแล้วสิคะ” หญิงสาวถามอีก

    “ใช่ เท่ากับเจ้าสองตัวนี่ เอ! เท่ากับเจ้าดิโน่ด้วยสิ” ชายชรากล่าวทักขึ้นมา “แปลกดีเหมือนกัน เจ้าแคสซี่ดูจะเอ็นดูเจ้าดิโน่นี่ดีเหลือเกิน เจ้าสองตัวนี่ก็ดูจะชอบเล่นกับมัน แบบนี้เห็นจะมาเล่นด้วยกันได้บ่อย ๆ หนูอย่าหายหน้าไปนานนะ เพราะถ้าห่างกันนานไปมันจะไม่ยอมเล่นด้วยกันแล้ว”

    ฟาริสกำชับ ไม่ทันสังเกตสีหน้าที่แปรเปลี่ยนและเต็มไปด้วยความคับข้องใจของอนาสเตเซีย

    “ถ้าเห็นรูปจะพอบอกได้ไหมคะว่าใครที่มาซื้อเจ้าตัวหางสั้นไปน่ะค่ะ”

    คำถามที่แทรกขึ้นมาอย่างไม่เกี่ยวข้องของหญิงสาวสร้างความประหลาดใจให้กับชายสูงวัย

    “ได้สิ มีอะไรหรืออัณญ่า”

    “ฟาริส คุณช่วยดูรูปนี้ทีสิคะ ว่าใช่คนเดียวกับที่มาขอซื้อลูกหมาหรือเปล่า” อนาสเตเซียขอพร้อมกับล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือมาคลิกเลือกรูปถ่ายคู่ระหว่างเธอกับนิโคลาโยสแล้วยื่นให้ฟาริสดู

    ตาเฒ่าล้วงหยิบแว่นสายตาในกระเป๋าขึ้นมาสวมไว้ก่อนจะรับรูปใบนั้นมาพิจารณา

    “ใช่ คนนี้ล่ะ หนูรู้จักเขาด้วยหรือ”

    อนาสเตเซียเงียบไปครู่ก่อนจะตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ เพียงว่า

    “ค่ะ นั่นล่ะนิคกี้ สามีของหนูเอง”

     

     

     

     

    *ธีซุสวีรบุรษกรีกในตำนานเทพกรนัมซึ่งได้อาศัยนางอริแอดเน่บุตรีท้าวไมนอส เจ้าผู้ครองนครบนเกาะครีต ให้ทรยศบิดาของตัวเอง เพื่อหาทางช่วยให้ธีซุสและพรรคพวกรอดตายและหนีออกจากเขาวงกตได้ ต่อมานางอริแอดเน่ลงเรือตามธีซุสออกจากเกาะครีตเพื่อกลับไปยังเอเธนส์ แต่ทั้งคู่ครองรักกันแต่เพียงบนเรือ เมื่อธีซุสและพวกขึ้นฝั่งที่เกาะนักซอสเพื่อพักผ่อน เช้ามืดวันรุ่งขึ้นธีซุสและพวกได้ทอดทิ้งนางอริแอดเน่ไว้แต่ลำพังบนเกาะคนเดียว โดยที่พวกตนออกเรือต่อไปยังเอเธนส์ ต่อมานางอริแอดเน่ผู้โศกเศร้า ได้มาพบรักใหม่กับเทพแบคคัสหรือโอดิซุส เทพเจ้าแห่งความสำราญและเทพแห่งเหล้าองุ่น และได้ครองรักกับเทพแบคคัสตราบจนสิ้นชีวิตของนาง 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×