ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปมรักรัก รอยอดีต book I รอยอดีต

    ลำดับตอนที่ #5 : ครั้งหนึ่งที่ซานโตรินี

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 64


    5

    ครั้งหนึ่ง .. ที่ซานโตรินี

    การที่นิโคลาโยส วาลลาซสามีของอนาสเตเซียกล้านอกใจภรรยาอย่างออกหน้าออกตาแบบนั้นสร้างความหงุดหงิดและขุ่นเคืองใจให้กับกฤชมากกว่าที่คิด

    ชายหนุ่มขับรถออกจากคลับแห่งนั้นด้วยความหงุดหงิด อารมณ์พลุ่งพล่านเกินกว่าจะกลับโรงแรมไปนอนได้ กฤชตัดสินใจขับรถเลยรีสอร์ทค่อนข้างหรูและดีที่สุดบนเกาะปาโรสซึ่งเขาพักอยู่ที่เนาซ่าเลยขึ้นไปจนเกือบเหนือสุดของเกาะ โค้งด้านหน้าจะมีถนนส่วนตัวที่แยกออกจากถนนสายหลักขึ้นไปตามเนินเขา สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ทรงพุ่มสลับกับไร่องุ่นเตี้ย ๆ โดยไม่มีบ้านเรือนอื่นเลย รถแล่นไปได้ไม่นานถนนก็มาสุดลงที่วงเวียนหน้าบ้านสีขาวหลังใหญ่รูปทรงผสมผสานระหว่างตัวบ้านทรงกล่องสี่เหลี่ยมสีขาวกับหลังคาโดมทรงกลมสีฟ้าสดตั้งอยู่บนหน้าผาริมทะเลทางเหนือสุดของเกาะ บ้านหลังนั้นอยู่สุดถนนส่วนตัวและไม่มีทางวิ่งต่อ หน้าบ้านประดับประดาด้วยไม้ดอกสีสดใสไล่ตั้งแต่สีฟ้าของดอกไลแล็กไปจนถึงสีม่วงน้ำเงินของดอกบลูฮาวาย ไฟสป็อทไลท์ส่องสว่างจากผืนหญ้าขึ้นไปยังตัวบ้าน แลดูเป็นสีขาวสว่างตัดกับผืนฟ้ามืดมิดยามราตรี

    กฤชจอดรถมองบ้านหลังใหญ่ตรงหน้าอย่างงุนงง อะไรหนอดลจิตดลใจให้เขาขับรถมาที่นี่ ที่ซึ่งเป็นเรือนหอของอนาสเตเซียและสามีของเธอ ที่ ๆ เธอแต่งงานและมีลูกกับนายนิโคลาโยส วาลลาซหนึ่งคนเมื่อห้าปีก่อน

    ชายหนุ่มถอนหายใจ รำลึกความหลังครั้งที่เขากับอนาสเตเซียเป็นเพื่อนเล่นกัน สมัยเด็กเขาเป็นนักเรียนโรงเรียนประจำในเอเธนส์ ทุกปีเมื่อปิดภาคฤดูร้อนเขากับมารดาจะมาพักกับอแนสซ่าและคิโรสที่บ้านพักตากอากาศของทั้งคู่บนเกาะแอนติปาโรสเป็นเวลาสองเดือนเต็ม ทำให้สนิทสนมคุ้นเคยกับอนาสเตเซียและเป็นเพื่อนเล่นถูกใจกันตั้งแต่เด็ก

    ทั้งคู่ทำทุกอย่างร่วมกันอย่างสนุกสนานใช้เวลาตลอดช่วงวันหยุดปิดเทอมอย่างเต็มที่ ทั้งขี่ม้า เล่นเรือ ว่ายน้ำ ตกปลา ยิงธนู ปีนหน้าผา รวมถึงเที่ยวเล่นไปในที่ต่าง ๆ ทั้งบนเกาะ และเกาะอื่นใกล้เคียงอย่างปาโรส และนักซอส ที่ ๆ ทั้งคู่ขี่จักรยานเล่นในไร่องุ่น ไปเล่นซนตามเหมืองหินอ่อน ขี่ม้าเล่นไปตามหน้าผาริมทะเล และยังล่องเรือใบไปตามเกาะแก่งต่าง ๆ ด้วยกัน อนาสเตเซียเป็นเพื่อนเล่นที่รู้ใจที่สุดของเขา ในขณะที่เขาก็เป็นเพื่อนเล่นที่ถูกใจที่สุดของเธอ

    กฤชจำได้ว่ามีอยู่สองปีหลังจากที่อลาสเตอร์ บิดาของเขาเสียชีวิตไป แองเจลลิก้ามารดาได้พาเขาไปใช้วันหยุดพักผ่อนกับญาติทางฝ่ายเธอที่ริมินี่ในอิตาลีแทน เนื่องจากอแนสซ่าก็พาอนาสเตเซียไปเที่ยวพักผ่อนช่วงฤดูร้อนที่แคว้นนอร์มังดีทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศสโดยไม่ได้อยู่ในกรีซเช่นกัน

    ทั้งเขาและอนาสเตเซียไม่มีโอกาสเจอกันร่วมสามปี เมื่อกฤชได้มีโอกาสกลับมาพบอนาสเตเซียอีกครั้งในฤดูร้อนปีถัดไป อนาสเตเซียได้เติบโตขึ้นอย่างสวยงาม จากเด็กหญิงตัวผอมแขนขายาวเก้งก้างถักผมเปีย กลายเป็นเด็กสาววัยแรกแย้มที่ส่อเค้าความสวยอวบอิ่มมีน้ำมีนวลและน่าปรารถนาเหลือเกิน

    ปีนั้นถือเป็นฤดูร้อนที่พิเศษสุดสำหรับเขา เนื่องจากทั้งครอบครัวเขาและอนาสเตเซียตัดสินใจมาพักผ่อนพร้อมกับสตีลียานอสและครอบครัวของเนสเตอร์ที่บ้านพักตากอากาศของครอบครัวอนาโตลาคิสบนเกาะซานโตรินี

    เมื่อทุกครอบครัวมาอยู่ร่วมกันจึงเหมือนมีงานเลี้ยงย่อม ๆ ทุกวัน แม้คิโรสกับเนสเตอร์จะต้องบินกลับไปเอเธนส์บ่อย ๆ เพื่อประชุมธุรกิจนัดสำคัญ แต่ส่วนใหญ่ครอบครัวทั้งหมดจะอยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตา สร้างความทรงจำดี ๆ และอบอุ่นให้กับสมาชิกทุกคนในครอบครัวอย่างมากมายจนวันสุดท้ายทีเดียว

    กฤชยิ้มขมขื่นเมื่อหวนคิดถึงวันสุดท้ายก่อนวันหยุดฤดูร้อนปีนั้นจะจบสิ้นลง เขากับอนาสเตเซียต่างก็แอบเสียใจไม่อยากให้วันนั้นต้องมาถึง ซึ่งทั้งคู่คงต้องคอยจนถึงปิดเทอมฤดูร้อนอีกปีจึงจะได้อยู่ด้วยกันอีก วันนั้นเธอและเขาจึงใช้เวลาด้วยกันสองต่อสองจนเย็นค่ำ ขณะที่อเล็กซิสลูกสาวของอาเนสเตอร์แยกไปเที่ยวสั่งลากับกลุ่มเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักของเธอ

    อนาสเตเซียชวนเขาไปขี่ม้าและปิกนิกกันในไร่องุ่นซึ่งอยู่ในอาณาเขตพื้นที่ของครอบครัวอนาโตลาคิส หลังอาหารทั้งคู่เดินเล่นไปในไร่องุ่น พร้อมเก็บเกี่ยวผลองุ่นสดฉ่ำแต่ค่อนข้างฝาดกิน พูดคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้อย่างเพลิดเพลินโดยไม่ทันสังเกตถึงเวลาที่ผ่านไป

    กฤชรู้สึกตัวอีกทีมองเห็นท้องฟ้าที่บอกเวลาย่างเข้าสนธยาก็รู้สึกแปลกใจ

    พระอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยต่ำเตรียมจะลับขอบฟ้า ทอแสงสีส้มแสดเป็นรัศมีสวยงามตัดกับท้องฟ้าที่เริ่มโรยตัวเป็นสีคล้ำเข้มด้วยความมืดที่เข้าปกคลุม แสงสุดท้ายของอาทิตย์อัสดงสาดทอมายังไร่องุ่นซึ่งอุดมสมบูรณ์และกว้างใหญ่นั้นเป็นฉากหลังที่น่าตะลึงและงดงามโรแมนติค แสงตะวันอันอบอุ่นฉาบทอร่างของอนาสเตเซีย ขับให้ร่างบางนั้นดูเป็นประกายราวกับภาพฝัน

    เธอหันมายิ้มชักชวนเขาให้ชิมองุ่นพวงที่เธอชิมอยู่บ้าง ดวงตากลมโตสีฟ้าใสเหมือนสีท้องฟ้าไร้เมฆหมอก แก้มเนียนเรื่อสีชมพูสุกปลั่ง ริมฝีปากอิ่มและฉ่ำชื้นไปด้วยน้ำองุ่นที่เจ้าตัวเพิ่งกินเข้าไป กฤชเหม่อมองสาวน้อยวัยแรกแย้มนั้นอย่างตกตะลึง กลิ่นอายของดินและผลองุ่นสุกงอมผสานเข้ากับบรรยากาศที่งดงามโรแมนติกและเด็กหญิงแสนงามบริสุทธิ์ตรงหน้า สะกดชายหนุ่มวัยรุ่นไว้ราวกับต้องมนตร์

    อนาสเตเซียสบสายตาคมที่มองเธอด้วยแววตื่นตะลึงและก็เขินอายจนหน้าแดงเรื่อ หากแต่ดวงตากลมโตนั้นก็ไม่อาจถอนสายตาจากดวงตาคมกริบของกฤชได้

    ท่ามกลางตะวันยอแสงกลางไร่องุ่นแบบตั้งเถาไม้สูงให้ต้นพันเกี่ยวไม้ขึ้นไปซึ่งเวลานั้นเปลี่ยวไร้ผู้คน เด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีที่กำลังรุ่มร้อนด้วยเลือดหนุ่มกับเด็กสาวสิบห้าวัยแรกแย้มที่น่ารักน่าพิศวาส

    ชั่วนาทีนั้นทั้งสองราวกับต้องมนตร์สะกด อนาสเตเซียไม่ใช่แค่เด็กหญิงที่วิ่งเล่นซุกซนกับเขาอีกต่อไป และเขาก็ไม่ใช่แต่เพียงเพื่อนเล่นถูกใจของเธอเช่นกัน บางอย่างที่ลึกซึ้งค่อย ๆ ก่อตัวและผลิบานในห้วงลึกของจิตใจที่ยังบริสุทธิ์สะอาดของวัยแรกรุ่น

    กฤชสืบเท้าเข้าหาอนาสเตเซียอย่างรวดเร็ว ยึดร่างเธอไว้ และก้มลงจุมพิตริมฝีปากอิ่มนั้นอย่างดุเดือดและลุ่มหลงด้วยอารมณ์ทั้งรักทั้งใคร่ปะปนกัน เด็กสาวตกใจ และพยายามดิ้นรนเพื่อผลักตัวเขาออก

    กฤชรู้ตัวว่าเผลอรุนแรงด้วยพลังหนุ่มวัยรุ่นและความอ่อนหัด

    แต่เขาไม่ปล่อยเธอตามแรงผลักนั้น หากเพียงเปลี่ยนจุมพิตนั้นให้นิ่มนวล อ่อนหวาน และใจเย็นขึ้น

    มันได้ผล มันเรียกร้องการตอบสนองจากเธอได้ในที่สุด

    เขาเผยอยิ้ม เมื่อรับรู้ถึงการตอบสนองจากริมฝีปากอ่อนนุ่มที่ไร้ประสบการณ์นั้น

    จุมพิตนั้นแม้จะอ่อนหัด แต่ก็หวานล้ำและดื่มด่ำเต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งรักที่เอ่อล้นซึ่งมาพร้อมความปรารถนาที่ถาโถมรุนแรง

    อนาสเตเซียคือจูบแรกของเขา และเขาก็รู้ดีว่าเขาก็เป็นจูบแรกของเธอ

    ความใกล้ชิดสนิทสนมและรู้ใจกันในวัยเด็กได้ถูกบ่มเพาะด้วยความคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันนานถึงสามปี เมื่อต่างกลับมาเจอกันในยามที่ทั้งคู่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ด้วยรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนแปลงและเริ่มเป็นหนุ่มเป็นสาว ความรู้สึกที่ชอบกันฉันเพื่อนหรือญาติได้พัฒนาเบ่งบานขึ้นเป็นความรักวัยเยาว์ที่อ่อนหวาน บริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยอารมณ์ใคร่ 

    เลือดหนุ่มวัยรุ่นพลุ่งพล่านทำให้จุมพิตนั้นทวีความเรียกร้องมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อรู้สึกได้ว่าเด็กหญิงตรงหน้าไม่ได้ต่อต้านก็เริ่มรุกรานเธอหนักขึ้น

    เขาเปลื้องเสื้อผ้าและชั้นในของเธอออกอย่างรวดเร็ว อาศัยความรโหฐานของสถานที่ผลักเธอลงกับผืนดินกลางไร่องุ่น

    ตะวันยอแสงจนเหลือเพียงแสงสุดท้ายขณะที่เลือดในกายของเด็กวัยรุ่นทั้งคู่ไม่ได้มอดดับลงตามแสงตะวัน เขาเปลื้องผ้าเธอออกจนหมด และใช้ทั้งมือและสายตาสำรวจเรือนกายอวบอิ่มน่าตะลึงหลงของเธอแทบทุกตารางนิ้วท่ามกลางแสงสลัวของดวงอาทิตย์อัสดง

    อนาสเตเซียนอนนิ่ง ร่างอวบอิ่มนั้นสั่นเทิ้มด้วยความเขินอาย และสั่นเสียว เธอรู้สึกถึงอารมณ์แปลกประหลาดอย่างอธิบายไม่ถูก

    เธอทอดกายเปลือยเปล่า ปล่อยให้ญาติผู้พี่ล่วงล้ำสำรวจเรือนร่างของเธออย่างอิสระโดยไม่คิดปกป้อง ราวกับเธอเองก็ถวิลหาให้เขาทำเช่นนั้นกับเธอเช่นกัน

    มือของกฤชสำรวจจากเนินสล้างอวบตึง ที่ดูจะอวบใหญ่เกินวัยของเด็กสาว มือของเขาคลึงเคล้นเล่นและขยำเบา ๆ ด้วยอารมณ์ใคร่และอยากรู้ นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้หยอกล้อบดบี้อยู่กับจงอยถันทั้งคู่ ก่อนจะใช้ปากดูดกลืนสลับกันอย่างหิวกระหาย รู้สึกถึงร่างที่แอ่นรับสัมผัสของเขาอย่างเร่าร้อน เต็มใจ

    เขาค่อย ๆ เลื่อนมือลงลูบไล้เอวบาง หน้าท้องแบนราบ ต่อลงมายังโค้งสะโพกลม และบั้นท้ายหนั่นแน่น

    เด็กสาวลืมตากลมสีฟ้าใส มองการกระทำของเขาอย่างยินยอมและใคร่รู้ เธอนอนนิ่งปล่อยให้เขาสำรวจเรือนร่างเธออย่างอิสระ

    เขาเริ่มใช้มือลูบไล้ต้นขายาวเรียวทว่าอวบอิ่ม ไซร้เข้าไปยังต้นขาด้านใน สำรวจเนินเนื้ออวบอิ่มลี้ลับของเธอ

    นิ้วเรียวของเขาสัมผัสตุ่มไตลี้ลับนั้นเบา ๆ ประหลาดใจกับเสียงหายใจแรงของเด็กสาว เขาทดลองใช้นิ้วสอดเข้าไปในโพรงถ้ำเปียกชุ่มของเธออย่างอยากรู้ และได้รับเสียงครวญครางและร่างกายที่บิดเร่าเป็นการตอบสนอง

    ชายหนุ่มถอนใจแรง เขาเตรียมปลดเข็มขัดกางเกง แต่แล้ว..

    แสงไฟซึ่งสาดสว่างพร้อมกับเสียงล้อรถบดมาตามถนนในระยะไกลเรียกสติที่กำลังเพริดของทั้งคู่

    เขานั่งงงอยู่ครู่ ก่อนจะรีบดึงตัวเด็กสาวให้ลุกขึ้นนั่ง ส่งเสื้อผ้าให้สวม ก่อนที่รถคันนั้นจะมาถึง

    อแนสซ่าขับรถมาพร้อมกับแองเจลิก้ามารดาของเขา ทั้งคู่มองท่าทีกะเร้อกะรังของอนาสเตเซียสลับกับใบหน้าซึ่งยังแดงก่ำของกฤช และดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่าง แองเจลิก้ามีสีหน้าอบอุ่นอ่อนโยนให้เหมือนเคย ขณะที่อแนสซ่ามีใบหน้าเงียบขรึมและแววตาที่บอกถึงอาการตกใจและหวั่นกลัวเด่นชัด

    มารดาของทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ กฤชบอกเพียงว่าทั้งคู่เดินเล่นและคุยกันในไร่จนลืมเวลาและกำลังจะกลับเท่านั้น แต่สายตาของผู้ใหญ่ทั้งสองดูจะไม่คิดแบบนั้น

    แองเจลิก้าพาเขากลับเอเธนส์ในวันรุ่งขึ้น ขณะที่อนาสเตเซียและครอบครัวจะกลับหลังจากพวกเขาหนึ่งวัน

     

    กลิ่นหอมของดอกส้มโชยมากระทบโสตประสาท กฤชระบายลมหายใจยาว ขณะรำพึงความหลังที่วาบหวามใจ เขายกนิ้วขึ้นแตะไล้ริมฝีปากตัวเอง ราวกับว่ารอยจุมพิตของอนาสเตเซียคราวนั้นยังประทับตรึงอยู่บนริมฝีปากเขาจนทุกวันนี้

    ภาพเด็กสาวที่น่ารักน่าปรารถนาผู้นั้นตามหลอกหลอนเขาทั้งในยามหลับและยามตื่น เธอเป็นผู้หญิงที่น่าปรารถนาเหลือเกิน เต็มไปเลือดเนื้อ เร่าร้อน บอบบางทว่ามีสัดส่วนอวบอัด

    แม้บัดนี้อนาสเตเซียจะดูเย็นชา มีท่าทีนิ่งขรึม เป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว แต่เขายังจำได้ดีถึงเด็กสาวผู้เร่าร้อนเต็มไปด้วยเลือดเนื้อที่นอนเปลือยเปล่าทอดกายอยู่ตรงหน้าเขากลางไร่องุ่นในค่ำวันนั้น

    น่าเสียดายที่ความรักของทั้งคู่ต้องสะดุดหยุดลง กฤชคิดอย่างอาวรณ์เมื่อย้อนคิดถึงโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในอดีตที่แปรเปลี่ยนเส้นทางรักของเขากับอนาสเตเซียไปตลอดกาล

    ใช่ หลังจากแยกจากเธอวันนั้น เขานึกไม่ถึงเลยว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับเธออย่างสาหัส เนื่องจากเขายังเป็นนักเรียนโรงเรียนประจำ จึงไม่อาจหยุดเรียนมาเยี่ยมเยียนเธอในระหว่างเปิดภาคเรียนอยู่ได้ นอกจากที่มาร่วมพิธีศพของอแนสซ่าผู้เป็นอาของเขาด้วย

    หากแต่อนาสเตเซียไม่ได้มาร่วมทั้งพิธีศพและพิธีฝังของอแนสซ่ากับจูเลียน น้องชายที่ไม่เคยมีโอกาสถือกำเนิดมาดูโลกของเธอ

    เด็กสาวอยู่ในอาการโคม่านานถึงสองสัปดาห์และต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลต่ออีกร่วมเดือน เธอยังมีอาการช็อคและซึมเศร้าต่อจากนั้นอีกนานเป็นเดือน จนต้องเข้ารับการรักษาที่สถานบำบัดผู้ป่วยทางจิตบนเกาะซีโรส ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีเธอไม่เคยยอมพบเขา ไม่ว่าเขาจะเพียรไปเยี่ยมเยียนเธอบ่อยเพียงใดก็ตามในช่วงปิดภาคเรียนซึ่งขณะนั้นเขาเพิ่งเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีอยู่ที่อ็อกฟอร์ด

    หลังจากที่เธอฟื้นฟูจิตใจจนออกจากสถานบำบัดได้ เธอก็เลือกไปเรียนต่อที่สวิสเซอร์แลนด์ เรียกได้ว่ากฤชแทบไม่ได้พบหน้าหรือพูดคุยกับเธออีกเลย นับแต่เย็นวันที่ทั้งคู่มีประสบการณ์แห่งความรักและความใคร่ร่วมกันที่เกือบจะถึงขั้นสุดยอดในครั้งนั้น

    กว่าชายหนุ่มจะมีโอกาสได้กลับมาพบอนาสเตเซียอีกครั้งก็เป็นการมาร่วมพิธีแต่งงานของเธอกับนิโคลาโยส

    ถึงตอนนั้นเขาก็พอจะทำใจได้แล้วกับความรักครั้งแรกที่ไม่อาจพัฒนาต่อไปเป็นความรักที่จีรังยั่งยืนได้ หากแต่ในใจยังไม่อาจยินดีกับเธอได้อย่างเต็มหัวใจ โดยเฉพาะเมื่อเขารู้สึกถึงสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับนิโคลาโยส วาลลาซสามีรูปหล่อปานเทพบุตรที่อายุมากกว่าเธอถึงสิบสองปี

    เสียงนกทะเลร้องดังฉุดความคิดคำนึงของกฤชให้หวนกลับมาสู่ปัจจุบัน เขาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาตีสี่

    ใช่! เขาคาดการณ์ไม่ผิดเกี่ยวกับความไม่น่าไว้วางใจของนิโคลาโยส พ่อสามีรูปหล่อของอนาสเตเซียคงจะไปคั่วอยู่กับแม่สาวผมแดงคนนั้น และคงไม่กลับมาบ้านแน่ในคืนนี้

    ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก มองดูบ้านสีขาวอีกครั้ง ก่อนจะขับรถออกจากถนนสายนั้นกลับไปยังโรงแรมที่พักของตัวเอง

     

    นิโคลาโยส วาลลาซรู้สึกเพลิดเพลินไปกับเกมส์สตั๊ดโป๊กเกอร์ตรงหน้าขึ้นอย่างมากหลังจากที่เสียไปค่อนข้างหนักเมื่อสักสองชั่วโมงก่อน

    คาริสซ่า รอสซี่ แม่นางแบบสาวผมแดงร่างสูงโปร่งชะลูดในชุดสีดำนั่นช่วยให้โชคของเขาดีขึ้นแท้ ๆ หล่อนเข้ามากระซิบบอกไต๋ของนักเล่นชาวอเมริกันผมสีน้ำตาลซึ่งเพื่อนของหล่อนเคยคั่วอยู่

    คาริสซ่าทำหน้าที่เป็นสายสืบให้เขาในเกมส์พนัน เธอและเพื่อนในวงนางแบบรู้จักกับพวกเศรษฐีใหญ่มือหนักค่อนข้างเยอะทั้งในยุโรปและในอเมริกา เขาคอยให้เธอสืบหาไต๋หรือวิธีบลัฟในการเล่นของพวกขาประจำมือหนักที่เล่นโป๊กเกอร์เก่ง จะมีสายสืบที่ไหนดีไปกว่าพวกนางแบบระดับอินเตอร์ที่มักเคยเป็นคู่ควงของเศรษฐีพวกนี้

    เมื่อจบเกมส์ตอนตีสามครึ่ง นิโคลาโยสกลับเป็นฝ่ายมีชัยด้วยเบี้ยพนันที่มากถึงสามแสนยูโร น่าเสียดายที่เขาเพิ่งรู้จักกับคาริสซ่าผู้ยอมเป็นนกต่อให้เขาได้ไม่นาน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะต้องร่ำรวยจากการพนันได้มากกว่านี้เป็นแน่

    ชายหนุ่มลุกจากโต๊ะอย่างอารมณ์ดี เขาเดินผ่านเจอโรมที่นั่งสังเกตการณ์ดูจนจบเกมส์ ตรงไปยังคาริสซ่าซึ่งนั่งยิ้มอย่างเป็นต่อคอยอยู่ที่บาร์เครื่องดื่ม

    ทั้งคู่สั่งเครื่องดื่มมาชนแก้วกัน นางแบบผมแดงกระซิบบางอย่างริมหูหนุ่มใหญ่รูปสวยที่ทำให้เขาตอบสนองเธอด้วยจุมพิตดื่มด่ำนานหลายวินาที ก่อนทั้งคู่จะควงกันลุกออกจากห้องไป

    เจอโรมเดินตามออกไปเห็นทั้งคู่ก้าวขึ้นรถเฟอร์รารี่เปิดประทุนสีแดงของนิโคลาโยสที่พนักงานขับมาจอดไว้ให้ที่หน้าประตูทางเข้าก่อนจะแล่นออกไปด้วยความเร็ว

    เจอโรมส่งบัตรฝากรถของเขาให้พนักงานและเมื่อรถสปอร์ตอัลฟ่าโรมิโอสีตะกั่วของเขามาถึง เขาก็รีบขับตามออกไป

    รถของนิโคลาโยสวิ่งออกจากเนาซ่าแต่แทนที่จะขับย้อนขึ้นไปทางเหนือสุดของเกาะซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านเขากับอนาสเตเซีย รถสปอร์ตแรงม้าสูงสีแดงคันนั้นกลับวิ่งย้อนกลับมาตามถนนหลักสายแคบ ๆ มุ่งไปยังปาริเกีย เมืองริมทะเลทางฝั่งตะวันตกของเกาะปาโรส ซึ่งเป็นเมืองหลวงขนาดเล็กของเกาะปาโรส

    ด้วยความอยากรู้เจอโรมขับรถตามมาจนเห็นเฟอร์รารี่วิ่งตรงเข้าลานจอดรถของตึกอพาร์ทเมนท์หรูสี่ชั้นใจกลางเมืองเล็กขนาดเล็ก

    เขาเข้าใจทันทีว่านิโคลาโยสคงมาสำเริงสำราญกับแม่สาวผมแดงผู้นั้นที่อพาร์ทเมนท์ส่วนตัวนี้เป็นแน่

     

    นิโคลาโยสปาดเข้าจอดในที่จอดรถประจำอย่างรวดเร็วพร้อมกับเบรกเสียงดังเอี๊ยดอย่างตั้งใจ

    คาริสซ่า รอสซี่ นางแบบสาวลูกครึ่งอิตาลี่หัวเราะร่าอย่างถูกอกถูกใจพร้อมกับตบแก้มชายหนุ่มเบา ๆ เป็นการหยอกล้ออย่างเอ็นดู 

    ทั้งคู่เดินลงจากรถตรงไปยังลิฟท์ส่วนตัวสำหรับเจ้าของและแขกของห้องชุดแบบเพนท์เฮ้าส์ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ตลอดสองชั้นบนสุดของอพาร์ทเมนท์ขนาดสี่ชั้นขนาดเล็ก

    ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะก้าวเข้าไปในลิฟท์ซึ่งจัดไว้ส่วนตัวสำหรับเจ้าของห้องชุดแบบเพนท์เฮาส์ ร่างของนางแบบสาวก็ถูกยกจนตัวลอยและโยนเหวี่ยงไปที่มุมด้านหนึ่ง ขณะที่นิโคลาโยสถูกตีด้วยของแข็งที่ด้านหลังท้ายทอยอย่างแรงจนล้มคว่ำลง

    เขาพยายามหันกลับมามองผู้ที่ดักทำร้ายทั้งที่ยังลุกไม่ขึ้น ภาพของชายร่างใหญ่กล้ามโตท่าทางเหมือนนักเลงในชุดกางเกงยีนกับเสื้อยืดสีดำทับด้วยแจ็กเก็ตหนังสองคนสร้างความตื่นตกใจให้กับเขา

    ชายคนหนึ่งก้มลงคว้าคอเสื้อเขาขึ้นมาและชกเข้าตรง ๆ ที่ใบหน้าคมสวยจนร่างกระเด็นไปกระแทกประตูลิฟท์

    ชายอีกคนเดินเข้าไปคว้าร่างของคาริสซ่าขึ้นมาจิกผมสีแดงของเธอจนหน้าหงาย ส่วนอีกคนเดินตรงเข้าไปหานิโคลาโยสพร้อมกับเอาเท้าในรองเท้าหนังส้นตันหนายันอกเขาไว้ไม่ให้ลุกขึ้นมานั่งได้

    “แกสองคนกล้ามากที่กล้ามาล้วงตับฉัน”

    เสียงพูดที่เรียบเฉยแต่แฝงกังวานอำมหิตและเลือดเย็นพอที่จะทำให้เลือดในกายของสองหนุ่มสาวเย็บเฉียบและรู้สึกเสียววาบไปทั่วสันหลัง

    ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบห้าปีหน้าตาแบบชาวอิตาลีในชุดสูทหน้าร้อนเนื้อบางสีขาวที่ก้าวเข้ามาทีหลังนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นหัวหน้าของนักเลงทั้งสอง

    ดวงตาสีเขียวของคาริสซ่าเบิกโตด้วยความหวาดหวั่นเมื่อเห็นหน้า ขณะที่นิโคลาโยสก็ตกใจกลัวไม่แพ้กันเมื่อนึกออกว่าเคยเล่นเหลี่ยมกับหุ้นส่วนเก่าผู้นี้ที่ไหน

    “ไม่เอาน่าคาร์ลอส ฉันล้วงตับแกที่ไหนล่ะ”

    นิโคลาโยสกล่าวแย้งอย่างใจดีสู้เสือ เขาจำได้ว่าเคยเล่นโป๊กเกอร์ชนะนายคาร์ลอส เฟอร์ราติผู้นี้ด้วยความช่วยเหลือของคาริสซ่าที่มิลานเมื่อเดือนก่อน

    สมุนของคาร์ลอสเตะเสยที่ใบหน้าของเขาทันทีเป็นการลงโทษที่บังอาจเถียงเจ้านายของมัน

    “ฉันเข้าใจผิดงั้นหรือ”

    ชายที่นิโคลาโยสเรียกว่าคาร์ลอสถาม

    “แกจะบอกว่าแกไม่ได้ใช้นังนี่ช่วยบอกแกเรื่องวิธีการเล่นของฉันงั้นหรือ”

    เมื่อนิโคลาโยสไม่กล้าตอบ คาร์ลอส เฟอร์ราติก็กล่าวต่อ

    “ฉันให้คนตามดูแกมาหลายครั้งจนจับไต๋แกได้หมดแล้ว แกคอยให้แม่ผมแดงนี่สืบวิธีเล่นพวกมือดี ๆ เพื่อให้แกเป็นต่อ” เขาอธิบาย

    “รู้ไหมนิค ฉันว่าวิธีของแกมันไม่เลว แต่แกคิดผิดที่กล้าคิดมาเล่นแผนนี้กับฉัน”

    พูดจบเขาก็ส่งสัญญาณให้ลูกน้องซ้อมนิโคลาโยสอีก

    “พอเถอะ ๆ พอแล้ว คาร์ลอส” นิโคลาโยสร้องออกมา

    “เห็นแก่ที่เราเป็นเพื่อนเก่ากัน ถือว่าฉันขอโทษแล้วกันที่ไปล่วงเกินแก แกจะให้ฉันทำยังไง”

    “ทำยังไงหรือ” คาร์ลอสเอ่ยย้อนสีหน้าเรียบเฉย

    “แกต้องจ่ายฉันเป็นสองเท่าของเงินที่แกชนะในคืนนั้น”

    “สองเท่าหรือ” นิโคลาโยสโอด

    “แล้วฉันจะจำได้ยังไงว่าคืนนั้นฉันชนะไปเท่าไหร่”

    ฝ่าเท้าใหญ่โตของลูกสมุนมาเฟียกระทืบบนลิ้นปี่เขาอย่างแรงและมีท่าว่าจะกระทืบซ้ำอีกหลายครั้งหากคาร์ลอสยกมือห้ามไว้

    มาเฟียวัยกลาคนเดินเข้ามาก้มลงมองใบหน้าหล่อเหลาซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยรอยช้ำและเลือดกลบปาก

    “แกจำไม่ได้แต่ฉันจำได้ คืนนั้นแกกวาดเงินไปจากบ่อนที่มิลานกว่าสองแสนยูโร ด้วยความช่วยเหลือของแม่นี่”

    คาร์ลอสเท้าความก่อนแถลงอย่างใจเย็น

    “ซึ่งแปลว่าแกต้องจ่ายคืนให้ฉันสี่แสนยูโร”

    “สี่แสนยูโร แกจะบ้าไปแล้วหรือคาร์ลอส ฉันจะไปหาเงินเยอะแยะขนาดนั้นมาจากไหน”

    “นั่นมันปัญหาของแกไม่ใช่หรือนิคกี้ แต่ก็ไม่น่าจะยากอะไรนี่ ได้ยินว่าเมียแกกำลังจะรับมรดกตั้งมากมายมหาศาล ทำไมแกไม่ไปขอเมียล่ะ” คาร์ลอสแนะพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน

    “แกต้องการเงินเมื่อไหร่” นิโคลาโยสกล่าวตัดบท รู้สึกชังสีหน้าหยามหยันของเจ้ามาเฟียผู้นี้เต็มทน

    “ฉันเห็นแก่เราที่เป็นเพื่อนเก่ากัน ฉันให้เวลาแกหนึ่งเดือน” คาร์ลอสกล่าวเหมือนใจดี

    “แต่นิคกี้ ฉันขอเตือนแกไว้ก่อนนะว่า อย่าได้คิดเบี้ยว ไม่เช่นนั้นหน้าหล่อ ๆ ของแกอาจจะต้องเสียโฉมแบบที่หมอศัลยกรรมช่วยอะไรไม่ได้แน่ ๆ ”

    มาเฟียเฟอร์ราติพูดพลางส่งสัญญาณให้ลูกน้องถอดนาฬิกาหรูที่ข้อมือนิโคลาโยสออก พร้อมกับส่งขวดเล็ก ๆ ขวดหนึ่งให้

    เมื่อรับมามันก็เทของเหลวในขวดราดลงบนนาฬิกาหรูมูลค่าร่วมหมื่นยูโรนั้น น้ำกรดกัดนาฬิกาจนแปรสภาพไปอย่างรวดเร็ว

    นิโคลาโยสตาเบิกโพลงด้วยความหวาดหวั่นมากกว่าความเสียดายนาฬิกา น้ำกรดที่ราดลงมานั้นห่างจากมือเขาไม่กี่คืบ

    คาร์ลอส เฟอร์ราติหันมาแสยะยิ้มให้อย่างเลือดเย็น

    “หวังว่าแกคงไม่คิดว่าฉันล้อแกเล่นนะนิค และนี่เป็นแค่ขั้นเบาะ ๆ เท่านั้น แกรู้จักฉันดี น่าจะรู้นี่ว่าฉันจัดการกับคนที่ทำให้ฉันไม่สบายใจอย่างไรบ้าง”

    คาร์ลอสทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงแหบเบา จากนั้นก็พยักหน้าให้สมุนร่างยักษ์สองนายปล่อยตัวคนทั้งคู่ ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินจากไป ทิ้งให้นิโคลาโยสกับคาริสซ่านั่งตัวสั่นเทาด้วยความตกใจปนเคืองแค้นอยู่ที่บริเวณหน้าลิฟท์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×