ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปมรักรัก รอยอดีต book I รอยอดีต

    ลำดับตอนที่ #4 : เสียงก้องแห่งมโนสำนึก

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 64


    4

    เสียงก้องแห่งมโนสำนึก

    แม้สารวัตรลาซารอสจะกลับไปนานแล้วแต่คำพูดของเขายังคงก้องอยู่ในความคิดคำนึงของเธอ

    จริงหรือที่บิดาเธอยอมจ่ายค่าไถ่ให้กับโจรโฉดที่ลักพาตัวเธอกับแม่ไปในอดีต อนาสเตเซียคิดอย่างร้าวรานใจ เธอรำลึกถึงเหตุการณ์เย็นวันหนึ่งเมื่อสองเดือนก่อนที่เธอทุ่มเถียงกับคิโรสอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรกหลังจากที่เพิกเฉยหมางเมินบิดาและพยายามพูดคุยกับเขาเท่าที่จำเป็นมาตลอดสิบสองปีหลังการตายอย่างน่าเศร้าของอแนสซ่า

    อนาสเตเซียกำลังสติแตก โทรศัพท์ที่โทรมาเรียกร้องค่าไถ่ตัวจูเลี่ยนหลังจากที่เธอและคนทั้งบ้านเที่ยวตามหาตัวบุตรชายทันทีที่รู้ว่าเขาหายตัวไปจากย่านร้านค้าที่เธอและซอนญ่าพี่เลี้ยงของจูเลี่ยนพาเขาไปเดินเล่นซื้อของ โทรศัพท์นั้นโทรมาหลังจากจูเลี่ยนหายตัวไปนานถึงสี่ชั่วโมง ทั้งเธอและทุกคนในบ้านต่างเครียดกังวลอย่างหนัก

    คิโรสขับเรือเร็วของเขามาจากบ้านบนเกาะแอนติปาโรสเพียงลำพัง เพื่อมาพบเธอที่บ้านบนเกาะปาโรสและบอกให้เธอแจ้งความ ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่เห็นด้วย เขาคัดค้านที่เธอคิดจะจ่ายค่าไถ่เองเงียบ ๆ ตามข้อเรียกร้องของโจร โดยไม่คิดให้ตำรวจเข้ามาจัดการ

    “ฟังนะอัณญ่า ลูกต้องแจ้งความ เงินที่พวกมันเรียกร้องไม่ใช่น้อย ๆ แล้วลูกจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะคืนตัวจูเลี่ยนให้ลูก”

    คิโรสพยายามเตือนสติเธอ

    “พ่อห่วงแค่นี้หรือคะ พ่อห่วงเรื่องเงินค่าไถ่ที่ต้องเสียแค่หนึ่งล้านเหรียญ ทั้งที่พ่อมีอยู่มหาศาล”

    “มันไม่ใช่เรื่องเงิน แต่พ่อห่วงว่าถ้าลูกไม่ทำและไม่คิดให้รอบคอบ เท่ากับลูกทำให้จูเลี่ยนตกอยู่ในอันตราย ทำไมลูกไม่ฟังเหตุผลบ้าง ลูกไม่คิดหรือว่ามันจะฆ่าจูเลี่ยนเพื่อปิดปากทันทีหลังจากที่ได้เงินจากลูกไปแล้วน่ะ”

    “พ่อไม่ได้ฟังหรือคะ หนูบอกแล้วว่ามันขู่จะตัดแขนจูเลี่ยนถ้าเราแจ้งความ พ่อได้ยินไหมคะ ตัดแขน ลูกชายหนูเพิ่งสี่ขวบเองนะคะ”

    เสียงอนาสเตเซียดังขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยแรงอารมณ์ เธอหลับตาสะบัดศีรษะขับไล่ความมึนงงหลังจากเครียดจนแทบบ้ามาหลายชั่วโมง

    “พ่อไม่ต้องยุ่งกับการตัดสินใจของหนู นี่ลูกหนู หนูมีหน้าที่ต้องปกป้องเขา และหนูจะไม่ทอดทิ้งเขาเหมือนที่พ่อทำกับหนูกับแม่”

    “อัณญ่าลูกพูดอะไร”

    เสียงของคิโรสทั้งประหลาดใจและสะเทือนใจ

    “ลูกคิดว่าพ่อทอดทิ้งลูกกับแม่งั้นหรือ”

    อนาสเตเซียบังคับตัวเองไม่ให้อ่อนไหวไปกับน้ำเสียงที่บ่งบอกความร้าวรานใจของบิดา

    “แล้วพ่อคิดว่ายังไงล่ะคะ” เธอย้อนถาม

    “ถ้าพ่อจ่ายค่าไถ่ไป ตอนนี้แม่ก็คงยังอยู่กับเรา และน้องก็คงมีโอกาสได้มีชีวิตอยู่ ป่านนี้น้องคงจะอายุสิบสองแล้วถูกไหมคะ”

    “ลูกเข้าใจพ่อผิดแล้วอัณญ่า พ่อจ่ายค่าไถ่ นั่นล่ะความผิดพลาดที่พ่อทำ พ่อทำตามข้อเรียกร้องของพวกมันง่าย ๆ ไม่เชื่อคำแนะนำของตำรวจ พ่อไม่ได้ให้ตำรวจตามพ่อไปตอนที่จ่ายค่าไถ่ และพ่อก็ถูกพวกมันหักหลัง มันไม่ได้บอกที่ซ่อนจริง ๆ ของลูกและแม่ให้พ่อรู้ เพราะอย่างนี้พ่อจึงเตือนลูกให้คิดดี ๆ เรื่องค่าไถ่ของจูเลี่ยน”

    “หนูไม่เชื่อ” อนาสเตเซียพูดอย่างไร้เยื่อไย

    “หนูได้ยินกับหูนะคะพ่อ ไอ้โจรนั่นมันบอกเราว่าพ่อไม่ยอมจ่ายค่าไถ่ ก่อนที่จะปล่อยเราให้ตายในถ้ำนั้น”

    “พ่อรู้ไหมคะ” หญิงสาวพูดต่อหลังกลืนก้อนสะอื้นในลำคอ 

    “จนถึงตอนนั้น แม่ก็ยังบอกให้หนูอย่าคิดร้ายต่อพ่อ แล้วยังฝากให้หนูบอกพ่อว่าแม่รักพ่อแค่ไหน พ่อรู้ไหมคะ จนถึงตอนที่น้ำทะเลท่วมขึ้นมาถึงหัวเข่า แม่ยังคิดถึงพ่อในแง่ดี ทั้งที่พ่อไม่ยอมจ่ายค่าไถ่และปล่อยให้เราตาย”

    เสียงนั้นแทบเหมือนกรีดร้องด้วยความคลั่งแค้นเสียใจ

    คิโรสพยายามเดินมาโอบกอดลูกสาว แต่เธอสะบัดหนี

    “อัณญ่า ลูกจะเชื่อคำพูดของโจรที่ลักพาตัวลูก มากกว่าพ่อของลูกงั้นหรือ ทำไมลูกไม่เคยปริปากบอกพ่อ ว่าลูกเข้าใจพ่อผิดแบบนี้ เพราะอย่างนี้เองหรือที่ทำให้ลูกห่างเหิน เย็นชากับพ่อตลอดเวลาสิบกว่าปีมานี่”

    อนาสเตเซียยืนนิ่งหันหลังให้บิดาโดยไม่ตอบว่าอะไร เสียงของคิโรสสั่นเครืออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อยามที่เขาตัดพ้อลูกสาวคนเดียว

    “ตลอดมาพ่อไม่เคยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวคนเดียวของพ่อ วันนั้นเมื่อสิบสองปีก่อน พ่อไม่ได้สูญเสียแต่แม่ของลูกซึ่งเป็นดั่งดวงใจของพ่อ แต่พ่อ ..”

    เขาหยุดกลั้นสะอื้นที่จุกขึ้นมาที่ลำคอ น้ำตาของลูกผู้ชายที่เกิดจากความชอกช้ำใจเนื่องจากความคลางแคลงใจและความเย็นชาเหมือนเป็นคนอื่นของลูกสาวไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

    “พ่อได้สูญเสียลูกซึ่งเป็นดั่งแก้วตาของพ่อไปด้วยถึงสองคน โดยที่พ่อไม่เคยมีโอกาสรู้เลยว่าเพราะอะไร”

    คำพูดนั้นเศร้าเสียดแทงใจจนเกินกว่าอนาสเตเซียจะทนรับไหว เธอยืนนิ่งสะกดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะวิ่งเข้าไปซบอกและปลอบโยนบิดา หัวใจเธอราวกับถูกฉีกกระชากระหว่างความต้องการที่จะเชื่อคำพูดคิโรสกับความโกรธแค้นที่สะสมไว้นานมากจนเกินไป

    “พ่อไปเสียเถอะค่ะ ตอนนี้หนูไม่พร้อมจะรับฟังอะไรทั้งนั้น” 

    อนาสเตเซียเลือกที่จะเมินหน้าหนีจากใบหน้าโศกสลดของเขา 

    “หนูมีเรื่องของจูเลี่ยนที่ต้องจัดการ และหนูไม่ต้องการให้มันล่าช้ามากไปกว่านี้”

    คิโรสยืนนิ่งอยู่ครู่แล้วก็ยอมแพ้

    “ได้พ่อจะรอให้ลูกอารมณ์ดีกว่านี้ก่อน พ่อขอให้ลูกโชคดี ได้จูเลี่ยนกลับมาอย่างปลอดภัย และหากลูกต้องการความช่วยเหลืออะไร หรือยอมให้พ่อได้ช่วยอะไรลูก ก็ขอให้บอก พ่อจะคอยฟังข่าวอยู่ตลอดเวลา” 

    สิ้นคำกล่าวสุดท้ายนักธุรกิจใหญ่ผู้ประสบความสำเร็จมหาศาลด้วยตัวเองก็เดินจากไปด้วยฝีเท้าของชายชรา ในนาทีนั้นอนาสเตเซียรู้สึกสะเทือนใจอย่างรุนแรง บิดาผู้เป็นดั่งราชสีห์ที่ใคร ๆ ต่างยำเกรง บัดนี้กลับเดินคอตกจากไปอย่างน่าเวทนา

    แววตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าสะเทือนใจอย่างล้ำลึก จากคำพูดที่หักหาญของบุตรสาวเพียงคนเดียว ยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเธอทุกครั้งที่หวนคำนึง แต่เธอพยายามปัดมันทิ้ง ด้วยไม่ต้องการคิดถึงความเป็นไปได้ที่ว่าตัวเองจะเข้าใจผิด และหลงทำโทษบิดาทางจิตใจอย่างผิด ๆ มาตลอดหลายปี

    หรือว่าเธอจะเข้าใจผิดจริง ๆ ?

     

    กฤชเดินเข้าไปในคลับชั้นสูงของพวกผู้ดีมีเงินที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวบนเกาะปาโรส ตั้งอยู่ที่เนาซ่า

    เมืองที่เคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงบัดนี้ถูกปรับปรุงดัดแปลงให้ทันสมัยและหรูหราขึ้น และเป็นที่ตั้งของรีสอร์ท ระดับหรูและบ้านพักตากอากาศของพวกเศรษฐีและคนดังที่มีมาพักผ่อนเป็นครั้งคราวบนเกาะปาโรส แม้ความหรูหราของสถานที่ต่าง ๆ บนเกาะนี้จะเทียบไม่ได้กับซานโตรินีหรือมิโคนอส แต่เนาซ่าก็ถือว่าหรูที่สุดแล้วในเกาะที่ค่อนข้างใหญ่แต่ไม่ได้เด่นดังเป็นที่รู้จักมากมายในหมู่นักท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างปาโรส

    ตัวอาคารเป็นสีขาวทรงกล่องสี่เหลี่ยมทั้งหลังตัดกับน้ำทะเลสีน้ำเงินตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมที่พบเห็นได้ทั่วไปตามหมู่เกาะแถบนี้ คลับแห่งนี้มีความพิเศษที่การตกแต่งภายในที่ทันสมัยและหรูหราเข้ากันได้ดีกับรูปแบบสถาปัตยกรรมภายนอกซึ่งกลมกลืนกับอาคารอื่น ๆ ในย่านเดียวกัน

    ที่นี่เป็นคลับเฉพาะสมาชิก มีทั้งบาร์เครื่องดื่มห้องอาหารไนท์คลับโต๊ะสนุกเกอร์ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย ซาวน่า สตีม จากุซซี่ สปา และห้องพนัน แขกของที่นี่มีตั้งแต่ระดับเศรษฐี นักธุรกิจ และนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก ที่ต่างพากันมาดื่มและเล่นพนันในโต๊ะพนันที่มีวงเดิมพันสูงพอควร และมีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่าสามล้านยูโรต่อคืน

    สมาชิกทั้งหมดเป็นสุภาพบุรุษในชุดสูทฤดูร้อนแบบสบาย ๆ แต่เน้นเนื้อผ้าและการตัดเย็บที่ดูดีราคาแพง พวกเขามาพบปะพูดคุยสังสรรค์กับเพื่อนฝูงบ้างก็มาเจรจาธุรกิจ หากแต่ส่วนใหญ่จะชอบควงคู่มากับสาวสวยในชุดราตรีที่ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ชื่อดัง แข่งกันอวดทั้งความโก้หร่าน ทรวดทรง ความงาม กระเป๋า รองเท้า และที่ขาดไม่ได้คือเครื่องประดับเพชรพลอยวูบวาบ ช่วยเพิ่มสีสันและเสริมบารมีให้กับหนุ่มที่ควงคู่มาด้วยกัน

    สำหรับกฤชเขาไม่ได้ควงคู่ดารานางแบบหรือสาวสวยตระกูลดังที่ไหนเข้าไปเหมือนคนส่วนใหญ่ หากแต่มานัดพบเจอโรม ดามิลอสเพื่อนเก่าที่สนิทสนมรักใคร่กันมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนประจำในเอเธนส์

    หลังจบชั้นมัธยมกฤชได้ย้ายไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่ประเทศอังกฤษ ขณะที่เจอโรมเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัยในเอเธนส์ ทั้งคู่ยังพบปะกันช่วงปิดเทอมได้เดินทางท่องเที่ยวด้วยกันในประเทศต่าง ๆ ทั่วยุโรป และหลังจบการศึกษาต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันทำงานได้หนึ่งปี กฤชก็ตัดสินใจไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนเจอโรมนั้นเลือกไปที่เจเนวา สวิสเซอร์แลนด์ ทั้งคู่ไม่ได้พบปะกันมานานเกือบปี เนื่องจากกฤชได้ไปพำนักอยู่ที่เอเธนส์เป็นส่วนใหญ่ ส่วนเจอโรมซึ่งครอบครัวอยู่ที่นี่ก็เพิ่งจะมีโอกาสกลับมาพำนักอยู่ที่เกาะปาโรสอย่างถาวรเมื่อไม่นานนี้

    กฤชเดินเข้าไปในส่วนของบาร์เครื่องดื่มก็พบเจอโรมนั่งคอยอยู่ก่อนแล้วที่เคาน์เตอร์ ชายหนุ่มผิวสีแทนจากการกรำน้ำทะเลและกรำแดดมานาน ผมสีน้ำตาลและตาสีน้ำตาลแบบชาวเมดิเตอร์เรเนี่ยนส่วนใหญ่โบกมือทักทายกฤช ทั้งสองตรงเข้าจับมือแล้วดึงกันเข้ามากอดพร้อมกับตบหลังกันเบา ๆ สองสามทีเป็นการทักทายฉันเพื่อนเก่า

    “ไฮ้เจอฯ” กฤชเป็นฝ่ายทักขึ้นมาก่อน “นายบึ้กขึ้นมากเลยนี่ แอบเล่นเวทหรือเปล่าเพื่อน คิดจะบิ๊วกล้ามอวดสาวแถวนี้หรือไงกัน”

    ชายหนุ่มแซวเพื่อนที่ดูตัวหนาล่ำสันขึ้นมากต่างจากเมื่อก่อน

    “ไม่ได้หรอกเพื่อน ฉันทำธุรกิจเรือใบกับวินด์เซิร์ฟ ต้องใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวออกไปเดินชายทะเลบ่อย ๆ ไปแล่นเรือใบบ้าง วินด์เซิร์ฟบ้าง จะให้เอากล้ามฟีบ ๆ ไปอวดสาวๆ แถวชายหาดก็ขายขี้หน้าแย่สิ”

    เจอโรมกล่าวพร้อมกับชูสองแขนขึ้นทำท่าเบ่งกล้ามอวดกฤชทั้งที่ยังอยู่ในชุดสูทฤดูร้อน

    “แล้วนายล่ะคริส ดูหน้าซีด ๆ เหลือง ๆ นี่ทำงานหนักหรือว่าถูกพวกสาว ๆ ในเอเธนส์ใช้งานหนักกันแน่”

    “เฮ้ย พูดบ้าไปได้” กฤชหัวเราะกับความนัยแอบแฝงของเพื่อน “ฉันก็ทำงานสิวะ ฉันมันลูกจ้างปู่ฉันนะ ไม่ใช่เพลย์บอยเจ้าของธุรกิจอย่างนาย จะได้มีเวลาไปนั่งยกเวทบิ๊วหุ่นเพื่ออวดกล้ามให้สาว ๆ ดู”

    “ระวังนะเพื่อน ทำงานมาก ๆ  อกจะฟีบน้ำยาจะฝ่อ กว่าจะนึกอยากมีทายาทมีหวังต้องไปพึ่งสเปิร์มแบงค์*”

    เจอโรมพูดพร้อมกับเอามือตบหน้าอกกฤชอย่างดูแคลน และทำหน้าตาหยอกล้อประกอบ

    “อ้าว! ดูถูกกันนี่ ชมว่าตัวใหญ่ขึ้นหน่อย เลยมาเกทับกันเลยหรือ จะมากไปแล้ว มาประลองกำลังกันหน่อยสิ จะได้รู้ว่าใครแน่ที่ไร้น้ำยา” กฤชพูดท่าทางขึงขัง

    “ได้เลย รออยู่แล้ว” เจอโรมรับคำท้าทันที

    ทั้งคู่เดินถอยห่างออกจากกันสองเมตร หันหน้าเข้าหากันและเดินวนเป็นวงกลมรอบ ๆ อย่างดูเชิง สองหนุ่มก้มศีรษะลงเล็กน้อย สายตาจับจ้องคู่ต่อสู้เบื้องหน้าและทำท่าราวกับกระทิงหนุ่มที่เตรียมจะพุ่งเข้าชนเขากันเพื่ออวดสาว

    จากนั้นก็เดินเข้าหากัน ใช้มือทั้งสองจับบนไหล่คู่ต่อสู้ และพยายามดันฝ่ายตรงข้าม พร้อมกับก้มศีรษะเล็กน้อยประลองกำลังกันไปมาในท่านั้นอยู่พักหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นยืนตรงตบหลังไหล่กันหัวเราะลั่นอย่างไม่สนใจใคร ทำเอาคนอื่น ๆ ในบาร์ต่างส่ายศีรษะให้กับความเพี๊ยนของสองหนุ่ม

    “โอเค ๆ  ฉันเห็นแล้วว่านายยังพอมีน้ำยาเหลืออยู่”

    เจอโรมหัวเราะขณะที่คว้าแก้วเครื่องดื่มที่บาร์เทนเดอร์เพิ่งชงเสร็จวางไว้ขึ้นมาส่งให้กฤช พลางเอ่ยชวน

    “ทำไมนายไม่ไปร่อนชายหาดเหล่สาว ๆ กับฉันพรุ่งนี้ล่ะ ฉันจะเอาเรือใบออก เรามาแข่งกันดูหน่อยไหม”

    กฤชรับเครื่องดื่มแก้วนั้นมาจิบทำท่าครุ่นคิด

    “ไม่เลวว่ะ พรุ่งนี้ฉันว่าง”

    “โอเค อย่าลืมหาสาวมานั่งบนเรือสักคนล่ะ จะได้ชุ่มชื่น พอจะมีปัญญาหาทันไหม” เจอโรมกระเซ้าอีก

    “จะให้ยืมหรือไงล่ะ” กฤชเอาคืน

    “ได้เลย” เจอโรมกล่าวอย่างใจกว้างเต็มที่ “จะเอาสเป๊คแบบไหนล่ะ บอกมาเลย สาว ๆ ที่หาดเพียบ แต่นายต้องใช้ฝีมือจีบเองนะ”

    กฤชเหลือบมองอย่างดูแคลนพร้อมเบะปาก

    “นึกแล้วว่านายไม่มีทางใจดีจริง นึกว่าจะให้ยืมน้องสาวนาย”

    เจอโรมหัวเราะร่า “เมแกนน่ะหรือ เขาไปอิตาลี่แล้วโว้ย มีแฟนแล้วดูท่าคงจะหมั้นกันเร็ว ๆ นี้ด้วย”

    “อะไรวะ ไม่เจอแค่ไม่กี่ปี มีแฟนจะหมั้นแล้ว ทำเอาฉันรู้สึกแก่ไปเลย” กฤชพูดทำหน้าเบ้จน เจอโรมหัวเราะร่าด้วยความขบขัน

    ทั้งคู่คุยเล่นกันอยู่สักพักก็ชวนกันไปห้องอาหารที่จองไว้ล่วงหน้า หลังอาหารเจอโรมชวนกฤชให้ลองไปสำรวจห้องพนัน

    “ไปดูหน่อยไหม เผื่อมีอะไรน่าสนใจ”

    “นี่นายเล่นพนันแต่เมื่อไหร่วะ” กฤชถาม

    “ฉันเล่นบ้างนิดหน่อย พอแก้เซ็ง ไม่ได้ติดอะไร” พอเห็นกฤชมองหน้าอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ เจอโรมก็กล่าวเสริม “เชื่อเถอะน่า ฉันไม่บ้าหรอก น่าจะรู้ว่าฉันเค็ม ให้มาเล่นหนัก ๆ มันเสียดายตังค์ว่ะ เงินแทนที่จะเอาไปทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จู่ ๆ หายไปง่าย ๆ กลางวงไพ่ มันทำใจไม่ได้จริง ๆ ว่ะเพื่อน” เจอโรมพูดพร้อมเอามือกุมหัวใจและทำสีหน้าเจ็บปวดประหนึ่งว่าทำใจไม่ได้จริง ๆ

    กฤชยิ้มขำ “ดีแล้วเพื่อนที่นายเสียดายตังค์ ฉันก็เห็นจะไม่กล้าเล่นที่นี่เหมือนกัน แต่ละคนท่าจะเล่นกันหนัก ๆ ทั้งนั้น แต่จะไปทัศนศึกษาดูเล่น ๆ ก็ได้ ยังไงตอนนี้ฉันก็ไม่มีอะไรอื่นทำอยู่แล้ว”

    สองหนุ่มพากันเดินผ่านล็อบบี้ที่ติดกรอบกระจกบานใหญ่มีทางเดินกระจกเปิดออกไปสู่ระเบียงหินอ่อนกว้างที่จัดวางเก้าอี้นั่งเล่นและแกรนด์เปียโน มีฟลอร์เล็ก ๆ ตรงกลางให้แขกเต้นรำคลอเสียงเปียนโน เบื้องหน้าเป็นทะเลอีเจียนที่ดูเป็นสีดำในยามค่ำคืน แสงไฟจากเรือที่ลอยอยู่ในทะเลและจากเกาะอื่นที่อยู่ห่างกันพอเห็นลิบ ๆ นั้นดูราวกับแสงสะท้อนของอัญมณีบนผืนผ้าไหมสีกรมท่า และกลายเป็นฉากหลังที่งดงามน่าตะลึง

    ทั้งคู่เดินผ่านล็อบบี้ที่ตกแต่งงดงามนั้น ตรงไปยังห้องที่อยู่สุดมุมล็อบบี้ ซึ่งมีทางเดินหินอ่อนต่อไปยังประตูห้องการพนัน ห้องนี้ถูกจัดวางให้เป็นส่วนตัวและสงบสำหรับนักพนันมือหนักเท่านั้น

    ประตูไม้โอ๊คบานปิดสีน้ำตาลดำแบบบานคู่ขนาดใหญ่เปิดออกสู่ห้องเพดานสูงมีโคมไฟแก้วเจียรนัยดวงใหญ่สีน้ำตาลบรั่นดีแขวนอยู่กลางห้องซึ่งเป็นรูปทรงแปดเหลี่ยมล้อมรอบด้วยหน้าต่างกระจกยาวจากเพดานจรดพื้นมองเห็นทะเลและแสงสีจากบริเวณอื่นของเกาะได้เกือบรอบด้าน ภายในตกแต่งแบบโมเดินร์นวินเทจซึ่งผสมผสานความเก่าแก่แบบคลาสสิกเข้ากับความทันสมัยและเรียบง่ายได้อย่างลงตัว ห้องนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่แต่งตัวดีตามธรรมเนียมของคลับ มีโต๊ะสำหรับเล่นไพ่อยู่ประมาณสิบสองโต๊ะ

    แต่สถานที่เฉพาะสมาชิกอย่างที่นี่ไม่มีตู้สล็อตอย่างที่มักเห็นกันตามคาสิโน มีก็แต่โต๊ะพนันเดิมพันสูงให้เลือกเล่นตั้งแต่แบล็คแจ๊ค โป๊กเกอร์ บัคคาร่า และอีกหลากหลาย ทางด้านซ้ายของประตูเป็นบาร์เครื่องดื่มซึ่งยกพื้นหินอ่อนขึ้นไปสูงกว่าปกติหนึ่งขั้น สำหรับให้นักพนันมานั่งพักดื่มและพูดคุย หรือสำหรับคนที่มานั่งชมนั่งรอ สุดมุมห้องด้านซ้ายติดกับบาร์เครื่องดื่มเป็นยกพื้นหินอ่อนขึ้นไปประมาณสองขั้น ตั้งโต๊ะพิเศษที่จำกัดเงินเดิมพันขั้นต่ำที่สองพันยูโรและไม่จำกัดวงเงินขั้นสูงสุด

    กฤชเดินนำเจอโรมไปที่บาร์เครื่องดื่ม เขาสั่งแอ็บเปิ้ลมาตินี่มาดื่ม ส่วนเจอโรมเลือกสั่งวอดก้าเรดบูล ทั้งคู่เลือกนั่งที่เก้าอี้แบบสตูลทางด้านที่ต่อกับบริเวณที่กั้นไว้เป็นโต๊ะเดิมพันสูงสุดนั้น สองหนุ่มนั่งดื่มพลางชมการเล่นของโต๊ะมือหนักสุดนั้นอย่างสนใจ

    ที่โต๊ะนั้นกำลังเล่นสตั๊ดโป๊กเกอร์และมีผู้เล่นอยู่หกรายกับดีลเลอร์หนึ่งคน ผู้เล่นในโต๊ะมีทั้งชาวเอเชีย อาหรับ อเมริกาและยุโรป เบื้องหน้าแต่ละคนมีชิปวางอยู่ไม่ต่ำกว่าคนละสองหมื่นยูโร โดยชิปที่มากสุดดูจะตกไปอยู่เบื้องหน้าชายชาวอเมริกัน ซึ่งมีชิปมูลค่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนอยู่ตรงหน้า ชายผมดำสนิทดกหนาราวกับชาวตะวันออกแต่ผิวที่มือขาวจัดซึ่งนั่งอยู่ด้านที่หันหลังให้กฤชและเจอโรมดูจะมีชิปไม่น้อยไปกว่ากันมากนักคือราวห้าถึงแปดหมื่นยูโร

    เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วโมง ดูเหมือนโชคจะเริ่มเปลี่ยนมือ ชายผมดำที่มองด้านหลังคล้ายคนเอเซียหรือแขกขาวนั้นเริ่มมีชิปน้อยลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ชิปย้ายไปกองเพิ่มสูงอยู่ตรงหน้าชาวอเมริกันซึ่งดูจะยังคุมเกมส์ไว้ได้เป็นอย่างดี เงินหลายหมื่นยูโรที่เปลี่ยนมือกันอย่างรวดเร็ว ประกอบกับบรรยากาศการเล่นที่จริงจังและค่อนข้างตึงเครียดราวกับระเบิดเวลา สะกดให้กฤชและเจอโรมรวมทั้งผู้สังเกตการณ์รายอื่นต้องนั่งดูความเป็นไปบนโต๊ะนั้นอย่างจรดจ่อ

    หญิงสาวผมแดงร่างสูงโปร่งบางดั่งนางแบบสวมชุดราตรีสีดำผ่าอกและหลังอย่างน่าหวาดเสียวเดินลุกขึ้นจากโต๊ะที่เล่นแบล็คแจ็คมาที่โต๊ะสตั๊ดโป๊กเกอร์ซึ่งมีวงเงินเดิมพันสูงสุดนี้ เธอเยื้องย่างด้วยมาดของนางแบบบนรันเวย์ใหญ่ โฉบเข้ามาหาหนุ่มผิวขาวผมดำดกหนาที่นั่งหันหลังให้กฤช

    เจ้าหล่อนก้มลงกระซิบบางอย่างที่หูของเขา ไม่มีใครได้ยินว่าทั้งสองกระซิบกระซาบอะไร แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามมันก็ทำให้ชายคนนั้นอารมณ์ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาหันมาจุมพิตเธออย่างดูดดื่มก่อนที่หญิงสาวจะเดินจากมาหาอะไรดื่มรอที่บาร์ กฤชตัวชาเมื่อเห็นใบหน้าด้านข้างของหนุ่มผมดำที่ดูคมจนเกือบเป็นสวยผู้นั้น

    จมูกที่โด่งสวยยาวเรียวงุ้มตรงปลายคล้ายเหยี่ยวใบหน้ารูปไข่ดูแบบบางอย่างหนุ่มสำอาง ริมฝีปากเรียวบางเป็นสีชมพู ดวงตาคมใหญ่สีน้ำตาลอำพันล้อมกรอบด้วยแพขนตาที่ทั้งหนาทั้งยาวงอนสวย ผิวหน้าที่ขาวเนียนแก้มอมชมพูนิด ๆ มองโดยรวมราวกับพวกผู้ดีมีเงินสายเลือดอาหรับ

    นิโคลาโยส วาลลาซ สามีรูปสวยของอนาสเตเซีย เขามาทำอะไรที่โต๊ะพนันเดิมพันสูงขนาดนี้ แม้กฤชจะไม่คิดว่านิโคลาโยสจะยากจนข้นแค้น แต่ธุรกิจบาร์เหล้าและโรงแรมเล็ก ๆ ของเขาบนชายหาดฝั่งปิโซ่ ลิวาร์ดิซึ่งอยู่ใต้เลฟเคสลงไปบนเกาะปาโรสนั้น ไม่น่าจะทำเงินให้เขามากมายถึงขนาดที่จะมาร่วมวงเล่นในโต๊ะที่มีแต่เศรษฐีระดับประเทศได้ เว้นแต่เขาจะได้เงินมาจากอนาสเตเซีย

    กฤชจ้องมองอย่างไม่พอใจ สิ่งที่รบกวนใจเขายิ่งกว่าเรื่องการได้มาของเงิน คือพฤติกรรมนอกใจของเขา อนาสเตเซียรู้หรือเปล่าว่าสามีควงผู้หญิงอื่นมาที่คลับนี่อย่างออกหน้าออกตา และจุมพิตหล่อนอย่างดูดดื่มต่อหน้าธารกำนัลโดยไม่ยี่หระต่อแหวนแต่งงานที่ยังสวมอยู่ที่นิ้วแต่อย่างใด

    หมอนี่ไม่แคร์ที่จะรักษาหน้าเมียเลย แม้เขาจะเป็นเพียงเจ้าของธุรกิจเล็ก ๆ บนเกาะที่ยังไม่โด่งดังเรื่องการท่องเที่ยวมากนัก แต่เพราะความที่เขาเป็นสามีของทายาทอภิมหาเศรษฐีใหญ่แห่งกรีซ เขาจึงกลายเป็นที่รู้จักของคนมากขึ้นนับแต่วันที่เขาหมั้นและแต่งงานกับอนาสเตเซีย คิริยาคอส การปรากฏตัวและแสดงพฤติกรรมที่ส่อไปในทางชู้สาวกับหญิงอื่นในที่สาธารณะ โดยเฉพาะในวงสังคมที่ต้องรู้จักภรรยาเขาอยู่แล้วบนเกาะที่เป็นบ้านของอนาสเตเซียนั้น เป็นการกระทำที่หยามน้ำหน้าอย่างร้าย เขาสงสัยว่านิโคลาโยสจะกล้าทำเช่นนี้หรือไม่หากคิโรสยังมีชีวิตอยู่

    เจอโรมสังเกตเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปและดูดุดันของกฤช

    “มีอะไรหรือ” เขาทัก

    “เปล่าหรอก บังเอิญเจอคนที่ไม่คิดว่าจะเจอน่ะ”

    กฤชตอบเพื่อนเบา ๆ พร้อมกับผละลุกขึ้นจากสตูลที่นั่งอยู่อย่างค่อนข้างหัวเสีย เขาเดินนำเพื่อนออกมาอีกด้านหนึ่ง

    “ใครหรือ” เจอโรมสงสัย

    “ญาติน่ะ นิโคลาโยส วาลลาซ เขาเป็นสามีของอนาสเตเซีย ลูกพี่ลูกน้องฉัน”

    “คนไหนวะ”

    “คนผมดำ ที่ดูดปากอยู่กับแม่ผมแดงเมื่อกี้ไง”

    “อ๋อ นายหงุดหงิดที่เขานอกใจญาตินายงั้นสิ”

    เจอโรมถามหลังจากหันหน้ากลับไปมองใหม่

    “ก็ด้วย แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ฉันไม่ได้หงุดหงิด แต่ฉันข้องใจว่าเขามาเล่นในโต๊ะมือหนักขนาดนั้นได้ยังไงต่างหาก”

    “ก็นายว่าเขาเป็นสามีญาตินาย อนาสเตเซียที่นายว่านี่ใช่คุณหนูคนดังแห่งตระกูลคิริยาคอสหรือเปล่าล่ะ”

    “ใช่”

    “งั้นจะแปลกอะไร หล่อนเป็นทายาทคนเดียวของคิริยาคอส ทำไมสามีหล่อนจะไม่มีปัญญามาเล่นโต๊ะนี้”

    กฤชถอนใจ “นายไม่เข้าใจ พวกเขามีสัญญาก่อนแต่งงานที่อาคิโรสบังคับให้ทำ ฉันไม่รู้รายละเอียด แต่ก็รู้มากพอจะบอกได้ว่าหมอนั่นไม่มีทางมีปัญญามาเล่นโต๊ะแบบนี้ได้ด้วยตัวเอง ถ้าเข้าคลับนี้ หรือเล่นโต๊ะอื่นๆ น่ะอาจใช่ แต่ไม่ใช่โต๊ะที่ตั้งเงินเดิมพันขั้นต่ำสุดอยู่ที่สองพันยูโรแบบนั้น”

    พูดจบกฤชก็เดินนำไปที่ประตูทางออก

    “เฮ้ย! นายจะกลับเลยหรือ” เจอโรมเรียก สีหน้าดูงุนงง

    “ฮื่อ! ไม่อยากให้เจ้าวาลลาซเห็นน่ะ ว่าฉันเห็นมันเข้า”

    กฤชอธิบายพลางสายตาก็เหลือบกลับไปมองแม่สาวหุ่นบาง ผมแดง ร่างสูงชะลูดในชุดดำที่แสนล่อแหลมนั้นอย่างไม่ชอบใจ

    “ทำไมล่ะ ไม่เห็นเป็นไรเลย” เจอโรมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจความคิดวกวนของเพื่อน

    กฤชนิ่งคิดอยู่ครู่ บอกไม่ถูกว่าทำไมเขาถึงไม่เคยนึกชอบหน้านิโคลาโยสเลย

    “ไม่ดีกว่า มันแปลก ๆ น่ะ กลัวอดใจไม่ไหวเดินไปชกหน้ามัน”

    “เฮ่ย! บ้าน่า นี่นายเดือดร้อนแทนญาตินายถึงขนาดนั้นเลยหรือ” เจอโรมถาม

    “ใจเย็น ๆ เถอะ อยู่ต่ออีกนิดนะ ฉันยังไม่อยากกลับเลย”

    “นายก็อยู่ต่อสิ” กฤชแนะ “ดีเสียอีกจะได้ช่วยสังเกตการณ์ มีอะไรค่อยเล่าให้ฉันฟังพรุ่งนี้เช้า”

    เจอโรมหยุดคิดพร้อมหันกลับไปมองโต๊ะที่กำลังเล่นโป๊กเกอร์กันอย่างเคร่งเครียดนั้น เงินมากมายไหลเวียนเปลี่ยนมือกันในชั่วพริบตา มันสร้างความสนใจใคร่รู้ให้อยากอยู่คอยลุ้นมากพอควร

    “ก็ได้ งั้นเจอกันพรุ่งนี้เช้า” เจอโรมตกลง “นายพักที่ไหน ฉันจะไปกินมื้อเช้ากับนาย แล้วเราค่อยไปเล่นเรือกัน”

    “ได้เลยเพื่อน” กฤชตอบพร้อมกับบอกชื่อรีสอร์ทห้าดาวซึ่งตั้งอยู่แถบเนาซ่าไป มันไม่หรูนักเมื่อเทียบกับโรงแรมระดับเดียวกันในซานโตรินีหรือมิโคนอส แต่ก็ถือว่าดีที่สุดบนเกาะปาโรสแล้ว

    “ทำไมไม่ไปพักที่บ้านอาคิโรสของนายที่แอนติปาโรสล่ะ” เจอโรมสงสัยอีก

    “ขี้เกียจข้ามเรือมาหานายที่นี่ไง อีกอย่างมาแค่ไม่กี่วันด้วย อยู่โรงแรมสะดวกกว่า ไว้เจอกันพรุ่งนี้”

    “โอเค บาย” เจอโรมตอบรับ ใจจรดจ่อจะกลับไปเฝ้าดูโต๊ะพนันจนเกินกว่าจะสนใจโต้แย้งอะไรอีก

     

     

     

     

     

     

    *สเปิร์มแบงค์ ที่เก็บเชื้ออสุจิของผู้ชาย เพื่อเก็บไว้ผสมในกรณีที่มีผู้ที่ต้องการรับบริจาค

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×