ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปมรักรัก รอยอดีต book I รอยอดีต

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 พิธีฝังศพบนเกาะแอนติปาโรส

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ค. 64


    2

    พิธีฝังศพบนเกาะแอนติปาโรส

     

    อาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน 2008

     

    อาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน 2008 ณ สุสานส่วนตัวตระกูลคิริยาคอสบนเกาะแอนติปาโรส

    มีเหล่าญาติ เพื่อนฝูง คู่ค้า หุ้นส่วนทางธุรกิจที่สนิทสนมใกล้ชิดมาร่วมในพิธีฝังศพของนายคิโรส คิริยาคอส อภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของกรีซอย่างล้นหลาม

    การตายที่ยังดูมีเงื่อนงำระหว่างอุบัติเหตุหรือฆาตรกรรมโดยที่ทางสำนักงานอัยการสรุปไปแล้ว่าคืออุบัติเหตุ แต่ดูเหมือนใครบางคนจะยังไม่ยอมปักใจเชื่อ

    กฤชคิดขณะนั่งอยู่ข้างมารดากับสามีใหม่ของเธอ ส่วนปู่ของเขาและพ่อบ้านนั่งอยู่ติดกันอีกด้าน ทั้งหมดกำลังฟังนักบวชนำสวดสั้น ๆ ราวห้านาที ก่อนที่จะหย่อนโลงศพลงไปฝังในหลุมที่ขุดเตรียมไว้ พิธีฝังศพของนายคิโรส คิริยาคอสผู้เสียชีวิตไปเมื่อเกือบสองเดือนก่อนจากอุบัติเหตุรถยนต์  ซึ่งการฝังศพนี้ตามธรรมเนียมกรีกออโธด็อกซ์จะจัดขึ้นหลังพิธีศพของผู้ตาย โดยจะจัดอาทิตย์แรกที่ครบกำหนดการตายราวสี่สิบวัน

    นักสืบสองนายจากฝ่ายสืบสวนกลางของกรมตำรวจมาปรากฏตัวอยู่ที่พิธีนี้ด้วย คาดว่าทั้งคู่คงจะมาสืบเบาะแสคดีการหายตัวเกือบเป็นสาปสูญของลีย่า ซิยอนดิส คิริยาคอส ภริยาของคิโรส คิริยาคอสผู้ตาย

    คิโรสเป็นอภิมหาเศรษฐีผู้กุมเส้นทางการเดินเรือโดยสารและขนส่งสินค้าเกือบทั้งหมดของประเทศกรีซรวมถึงเส้นทางบรรทุกน้ำมันระหว่างประเทศ ลีย่าเพิ่งหายตัวไปได้สองวันโดยไร้ร่องรอยหลังจากสามีของเธอเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำจากอุบัติเหตุรถยนต์เสียการควบคุมเมื่อสี่สิบวันก่อน

    กฤชสงสัยว่านายตำรวจทั้งสองมาร่วมพิธีด้วยต้องการมาสังเกตการณ์เพื่อประกอบการพิจารณาคดีและมองหาผู้ต้องสงสัยหรือต้องการมาไว้อาลัยผู้ตายอย่างจริงจัง แองเจลิก้าผู้เป็นมารดาของเขากระซิบให้ฟังว่า หนึ่งในนายตำรวจสองนายนั้นเคยเป็นนายตำรวจหนุ่มที่ทำคดีลักพาตัวอดีตภรรยาและลูกสาวของคิโรสเมื่อสิบสองปีก่อน ปัจจุบันด้วยวัยสามสิบเจ็ดปีทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่น่าเกรงขามขึ้นมาก และได้ยินว่าเขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงสารวัตรแล้ว ทั้งสองยืนร่วมพิธีอยู่ห่าง ๆ และลอบมองอากัปกิริยาของทุกคนและความเป็นไปในงานอย่างพินิจพิเคราะห์

    สายตาของกฤชเวียนกลับมายังร่างสูงระหงที่ยืนฟังนักบวชนำสวดอย่างนิ่งสงบ เธอสวมชุดสูทกระโปรงสีดำแบบเรียบแต่หรู ผมสีทองถูกรวบตึงเป็นมวยกล้วยหอมซ่อนอยู่ใต้หมวกสีดำ ไหล่ของเธอลู่ลงด้วยอาการโศกเศร้า ที่เจ้าตัวพยายามจะไม่แสดงออก

    อนาสเตเซียผู้เงียบขรึมและไม่สังคมกับใคร เธอปิดตัวเองอยู่เงียบ ๆ ราวกับแม่ชี ใบหน้าที่เคยสวยน่ารัก สดใสเหมือนตุ๊กตา บัดนี้กลับดูเคร่งขรึม ริมฝีปากปิดสนิทโดยแทบไม่เคยเห็นรอยยิ้ม และดวงตาที่ภายนอกดูประหนึ่งเย็นชา ว่างเปล่า ทว่ากลับแฝงแววเศร้าล้ำลึกอย่างไม่อาจซ่อนเร้นไว้ได้สนิท

    ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะเป็นคนเดียวกับอนาสเตเซียผู้ร่าเริงที่เป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็กของเขา บุคลิกที่เปลี่ยนไปจนกลายเป็นคนเงียบขรึมราวกับรูปปั้นหินนั้น สร้างความประหลาดใจ ห่วงใยระคนขมขื่นให้กับกฤชมาโดยตลอด

    อนาสเตเซีย คิริยาคอสหรือที่เขาและคนที่คุ้นเคยใกล้ชิดกับเธอต่างเรียกสั้น ๆ ว่าอัณญ่า เธอมีอะไรที่ทำให้ต้องโศกเศร้า และเก็บตัว ไม่กล้าเข้าสังคมกับใคร ๆ อย่างนั้นหรือ อนาสเตเซียผู้ตลอดมาเป็นทายาทคนเดียวของกองมรดกหลายพันล้านเหรียญของตระกูลคิริยาคอส บุคลิกภาพที่เก็บตัวและแววตาโศกเศร้า ไม่อยากสุงสิงกับใครของเธอเป็นปริศนาที่เขาไขไม่ออกจนเดี๋ยวนี้

    กฤชลอบมองไปที่นิโคลาโยส วาลลาซ สามีตามกฎหมายของอนาสเตเซีย นิโคลาโยสถือเป็นปริศนาชิ้นที่สองซึ่งคาใจกฤช เขาไม่เคยเชื่อได้อย่างเต็มหัวใจเลยว่าหนุ่มรูปหล่อเจ้าเสน่ห์ผู้ชื่นชอบการตะลุยราตรี และการพนันโลดโผนต่าง ๆ อย่างนิโคลาโยสจะมาตกหลุมรักหญิงสาวผู้ดูนิ่งขรึมเยือกเย็นจนแทบไม่เคยแสดงความรู้สึก ที่แม้จะมีความสวยงามตามธรรมชาติ แต่ก็ไร้ความสนุกสนานและเย็นยะเยือกอย่างอนาสเตเซีย

    เสียงกดชัดเตอร์ดังรัวเป็นระยะของนักข่าวและช่างภาพกลุ่มใหญ่ที่แห่แหนกันมายืนอออยู่ด้านหลังพิธีศพแทรกเข้ามาในความคิดคำนึงของกฤช ชายหนุ่มหันกลับไปมองเห็นนักข่าวยืนรอคอยที่จะทำข่าวและสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องทั้งตำรวจและคนใกล้ชิดของผู้ตาย กฤชรู้ดีว่าคนที่น่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญสุดของนักข่าวพวกนี้คงไม่พ้น อนาสเตเซีย เนื่องจากตอนนี้เธอกลายเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่ติดอันดับรวยที่สุดในโลกไปแล้วจากการเสียชีวิตของคิโรส

    ไม่เพียงแต่นักข่าว อนาสเตเซียยังน่าจะต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งของพวกนักสืบจากกรมตำรวจด้วย เนื่องจากเธอคือผู้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการตายของคิโรสทั้งมรดกและทรัพย์สินอีกมหาศาล

    ถ้าหากเป็นการตายจากการเจ็บป่วยปกติคงไม่มีใครสงสัยอะไร แต่การตายที่ผิดธรรมชาติของคิโรส พร้อม ๆ กับการหายตัวไปอย่างลึกลับของลีย่า คิริยาคอส มารดาเลี้ยงที่กำลังตั้งครรภ์ทายาทชายของคิโรสได้เจ็ดเดือน ย่อมสร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้กับตำรวจและคนอื่น ๆ อย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อรถสปอร์ตบีเอ็มดับบลิวสีดำเปิดประทุนสุดหรูคันที่เกิดเหตุยางล้อระเบิดและพลิกคว่ำจนตกหน้าผาไปนั้นเป็นรถของอนาสเตเซีย

    “สวัสดีครับ” เสียงเอ่ยทักทายมาจากทางด้านหลังของกฤชในขณะที่เขากำลังเดินห่างจากรถที่มารับคณะของปู่และมารดากลับไปยังบ้านของคิโรสก่อน เพื่อจะต่อเครื่องบินน้ำกลับไปยังเอเธนส์ต่อไป ทั้งหมดลากลับไปหลังจากโยนดอกกุหลาบหนึ่งดอกไปบนโลงศพที่อยู่ในหลุมและไว้อาลัยเสร็จ กฤชยังรั้งท้ายอยู่ด้วยความหวังบางอย่าง และเขายังไม่คิดจะกลับเอเธนส์ตอนนี้ เขาตั้งใจจะอยู่ที่เกาะปาโรสต่อสักสองสามวัน

    “คิริโยสคริสตอฟ อลาสเตอร์ อนาโตลาคิสใช่ไหมครับ”

    กฤชหันกลับมามอง ผู้ที่มาทักเขาเป็นนายตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวนสองนายที่เขาเห็นในพิธีนั่นเอง

    “ครับ มีอะไรให้ผมช่วยหรือ”

    “ผมสารวัตรดราโก้ ลาซารอส ส่วนนี่ผู้ช่วยผมผู้หมวดไอวาน อลองโซ่ จากแผนกสอบสวนคดีพิเศษ ฝ่ายสอบสวนกลาง” ชายวัยปลายสามสิบรูปร่างสูงใหญ่ใส่สูทนอกเครื่องแบบกล่าวแนะนำตนเองพร้อมทั้งคู่หูของเขาซึ่งเป็นชายวัยอ่อนเยาว์กว่ากันไม่มาก ร่างสูงใหญ่แต่ค่อนข้างท้วมในชุดสูทสีเทาแบบเดียวกัน ทั้งคู่แสดงตราตำรวจให้กฤชดู

    “สวัสดีครับ” กฤชกล่าวพร้อมจับมือทักทาย

    “ผมมีเรื่องอยากสอบถามคุณสักหน่อย ดูเหมือนคุณจะเป็นคนสุดท้ายที่ผมยังไม่มีโอกาสสอบปากคำนับแต่เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น” สารวัตรเกริ่นขณะที่จับมือกับกฤช

    กฤชยิ้มรับ ใช่! เขาบินมาจากเอเธนส์เพื่อมาร่วมพิธีศพของคิโรสในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากที่ทางตำรวจชันสูตรศพจนเสร็จสิ้น และสรุปผลการชันสูตรไปแล้วว่าเป็นการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ จากนั้นเขาก็บินไปประชุมธุรกิจที่นิวยอร์คเป็นเวลากว่าสามสัปดาห์ และเพิ่งกลับมาที่เอเธนส์ได้เพียงสองวัน

    “ครับ ผมเพิ่งกลับมาจากการประชุมธุรกิจที่ต่างประเทศ เสร็จแล้วก็บินมาร่วมพิธีฝังศพเมื่อเช้านี้เอง ไม่เคยทราบว่าทางตำรวจต้องการสอบปากคำผมด้วย”

    “ไม่เชิงสอบปากคำหรอกครับ อยากจะบอกว่าเป็นการพูดคุยสอบถามข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการสืบคดีการเสียชีวิตของคิริโยสคิโรสมากกว่าครับ”

    “ผมเข้าใจว่าคดีคุณอาคิโรสทางอัยการสรุปแล้วเสียอีกว่าเป็นอุบัติเหตุ” กฤชเลิกคิ้วถาม

    “ครับ” สารวัตรรับอย่างอ้ำอึ้งเล็กน้อย เขากระแอมในคอก่อนจะพูดต่อ “อัยการสรุปไปจากหลักฐานและพยานแวดล้อม แต่…”

    “แต่คุณไม่คิดอย่างนั้น” กฤชดักคอ

    “คุณเองก็คงคิดเหมือนผมว่ามันบังเอิญมากเกินไป” สารวัตรลาซารอสยอมรับ “การตายของคุณคิโรสเพียงคนเดียวอาจคิดว่าเป็นอุบัติเหตุได้ แต่การหายตัวไปของคุณลีย่าหลังจากที่สามีเพิ่งเสียชีวิตไป มันน่าสงสัยไม่น้อย”

    สารวัตรมองหน้ากฤชอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะพูดต่อ

    “ดังนั้นทางฝ่ายสอบสวนกลางจึงตัดสินใจรื้อคดีขึ้นมาใหม่ เราจำเป็นต้องมองสองคดีนี้ประกอบกัน และมองจากทุกแง่มุมความเป็นไปได้”

    “ครับ ผมเข้าใจ” กฤชรับ “และมีอะไรให้ผมช่วยหรือครับ”

    “ทราบว่าคุณเป็นญาติของผู้ตาย ผมพอจะถามได้ไหมครับว่าคุณสนิทสนมใกล้ชิดกับครอบครัวนี้แค่ไหน” สารวัตรถาม

    “จะว่าญาติก็ได้ครับ คุณอาอแนสซ่า อดีตภรรยาของคุณอาคิโรส เป็นน้องสาวของพ่อบุญธรรมผม ซึ่งก็คือ อลาสเตอร์ อนาโตลาคิส พ่อผมเสียชีวิตไปตอนที่ผมอายุสิบสอง อาอแนสซ่ากับอาคิโรสเคยอาสารับผมมาดูแลบ้างเป็นบางครั้งช่วงปิดเทอมหรือวันสุดสัปดาห์ เพื่อเป็นเพื่อนเล่นของอนาสเตเซีย”

    กฤชอธิบายเรื่อย ๆ เขาหยุดนิดหนึ่งเพื่อทบทวนความหลังก่อนจะเล่าต่อ

    “ผมคุ้นเคยกับพวกท่านเท่าที่หลานคนหนึ่งจะคุ้นเคย จนอาอแนสซ่าเสียชีวิตไป อาคิโรสเองก็ไม่เหลือใคร เพราะอนาสเตเซียเองก็ห่างเหินกับท่านนับแต่คุณแม่ตาย ท่านจึงมาสนิทสนมกับผมแทน แต่ก็เฉพาะช่วงปิดเทอม เพราะตามปกติผมจะอยู่โรงเรียนประจำ หรือไม่ก็อยู่กับคุณปู่และคุณแม่ของผมที่เอเธนส์” กฤชเล่าพร้อมกับเดินนำนายตำรวจทั้งสองออกมาจากกลุ่มฝูงชนที่คับคั่งในพิธี

    “คุณเข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัวอนาโตลาคิสตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” สารวัตรถามต่อ

    กฤชเหลือบสายตามองสารวัตรหนุ่มใหญ่นิดหนึ่ง

    “ผมถูกอุปการะจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ประเทศไทยตั้งแต่อายุสามขวบ ก็ร่วมยี่สิบเจ็ดปีแล้วครับ”

    “โดยครอบครัวอนาโตลาคิสสินะครับ ผู้ชายวัยเจ็ดสิบกว่ากับผู้หญิงวัยห้าสิบกว่าที่มากับผู้ชายวัยเดียวกันอีกสองคนซึ่งกลับไปก่อนนั่น คงเป็นคุณปู่กับคุณแม่ของคุณและคณะของพวกเขาสินะครับ” สารวัตรถาม

    “ครับ”

    “คุณสนิทสนมคุ้นเคยกับคุณนายวาลลาซดีหรือเปล่าครับ”

    “เราเคยเป็นเพื่อนเล่นกันตอนเด็ก ๆ ก็เฉพาะช่วงปิดเทอมนั่นล่ะ ตอนหลังจากที่อาอแนสซ่าเสียไป อนาสเตเซียก็เก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร เธอออกจากบ้านไปนานหลายปี… ไป.. ผมไม่ค่อยได้เจอเธอเท่าไหร่หลังจากนั้น เพราะเธอตีตัวออกห่างทุกคนและไม่ยอมพบเจอใคร คิดว่าคงจะห่างกันไปตอนช่วงนั้นล่ะครับ”

    “เธอออกจากบ้านไปไหนหรือครับ” สารวัตรถามขึ้น เมื่อเห็นกฤชเงียบไปจึงยิงคำถามใหม่

    “ผมทราบว่าเธอเข้ารับการบำบัดทางจิตที่สถานพักฟื้นผู้ป่วยทางจิตบนเกาะซีโรสอยู่นานหนึ่งปี ไม่ทราบว่าคุณทราบเรื่องนี้รึเปล่าครับ”

    คำถามที่โพล่งขึ้นมาในเรื่องที่ควรจะรู้กันเฉพาะภายในครอบครัวแบบนั้นสร้างทั้งความแปลกใจและไม่พอใจให้กับกฤช

    “ที่จริงสารวัตรน่าจะไปถามอนาสเตเซียเองดีกว่านะครับ” กฤชว่าด้วยน้ำเสียงที่ตึงขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าความไม่พอใจจะไม่ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าคมสันแบบผู้มีเชื้อสายผสมชาวตะวันออกไกลของเขาเลยก็ตาม

    “ผมไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ในสถานะที่ควรพูดพาดพิงถึงคนอื่นในเรื่องที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้ดีกระจ่างแจ้งสักเท่าไหร่”

    “โอเค งั้นผมขอถามเฉพาะเรื่องที่คิดว่าคุณรู้แน่แล้วกันครับ” ดราโก้ ลาซารอสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่วงท่าที่ใจเย็น “คุณปู่คุณมีลูกหลานคนอื่น ๆ อยู่อีกหรือเปล่า”

    “ถ้าสารวัตรอยากรู้ว่าปู่ผมมีทายาทที่ไหนบ้าง ผมคงจะตอบได้ว่าตอนนี้ก็เหลือแต่ผมซึ่งเป็นทายาทคนเดียวของคุณพ่อ พ่อเป็นลูกคนโต อาอแนสซ่าเป็นคนที่สองท่านมีอนาสเตเซียเป็นลูกสาวคนเดียว” กฤชกล่าว เขาหยุดคิดนิดหนึ่งก็ตัดสินใจพูดต่อมาว่า “จริง ๆ นอกจากพ่อและอาอแนสซ่าแล้ว คุณปู่ท่านมีลูกชายคนเล็กอีกคนคืออาเนสเตอร์”

    “ลูกชายที่ตัดพ่อตัดลูกกับสิงห์เฒ่าสตีลียานอส อนาโตลาคิสคนนั้นน่ะเอง” ผู้หมวดอลองโซ่ผู้ยืนฟังการสนทนาอยู่เงียบ ๆ ออกอุทานมาอย่างตื่นเต้นจนสารวัตรลาซารอสหันไปชำเลืองมองอย่างตำหนิ

    “ขอโทษครับ ผมเคยได้ยินคนพูดถึงนานแล้ว ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องจริง เลยตื่นเต้นไปหน่อย” ไอวาน อลองโซ่กล่าวแก้ หลบสายตาสารวัตรที่แม้จะอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปีแต่มีตำแหน่งสูงกว่าและเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง

    “ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าครับคุณอาคุณคนนี้” สารวัตรลาซารอสถามต่อ

    “ผมไม่ทราบครับ ท่านไม่ติดต่อใครที่บ้านนี่เลยนับแต่พาครอบครัวย้ายออกไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว” กฤชพูดแล้วหยุดคิด คิ้วขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่าง “จะว่าไปคุณอาเนสเตอร์ทะเลาะกับคุณปู่ และย้ายครอบครัวออกไป ในช่วงเวลาไม่นานหลังจากที่อาอแนสซ่าเสียชีวิตก็ว่าได้”

    “ท่านมีลูกชายลูกสาวบ้างหรือเปล่าครับ”                                                       

    “ตอนนั้นเหลือลูกสาวอยู่คนครับ ชื่ออเล็กซิส” กฤชทบทวนความจำในครั้งอดีต “จะว่าไปตอนนั้นใคร ๆ ก็ยังว่าเลยว่าอเล็กซิสกับอนาสเตเซียหน้าตาเหมือนกันยังกับฝาแฝด ต่างกันเพียงสีตาสีผมและบุคลิกนิสัยใจคอเท่านั้น”

    “คุณไม่ได้ข่าวใด ๆ เลยจากครอบครัวอาคุณหรือครับ” สารวัตรถามอีก

    “ไม่ครับ ผมทราบเพียงว่าท่านย้ายครอบครัวออกจากกรีซไปนานแล้ว ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านมีลูกคนอื่น ๆ เพิ่มอีกหรือเปล่า มันตั้งแต่เมื่อสิบสองปีที่แล้วครับ”

    “คุณแม่ของคุณล่ะครับ ท่านสบายดีหรือเปล่า”

    กฤชเหลือบมองสารวัตรดราโก้ ลาซารอสอย่างประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าแม่ของเขาเกี่ยวอะไรด้วย

    “สบายดีครับ เมื่อกี้คุณก็เห็นแม่ผมที่ในงานพร้อมกับสามีใหม่และคุณปู่ผมไม่ใช่หรือครับ” กฤชย้อนก่อนระบายลมหายใจ และอธิบายเพิ่ม “แม่แต่งงานใหม่ และย้ายไปอยู่กอร์ฟูตั้งแต่ห้าปีก่อนครับ ไม่ทราบว่าที่สารวัตรถามถึงครอบครัวผม โดยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีคุณอาคิโรสหรือคุณลีย่าเลยนี่ มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”

    สารวัตรอึ้งไปครู่ก่อนจะตัดสินใจอธิบายถึงข้อสงสัยส่วนหนึ่งของตนเองที่มีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    “ผมรู้สึกว่ามีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นในตระกูลคิริยาคอสมากเกินไป และมันอาจเกี่ยวโยงไปถึงตระกูลของคุณได้ด้วย เนื่องจากทั้งสองตระกูลเป็นตระกูลใหญ่ในยุโรป และยังเกี่ยวดองเป็นญาติกันโดยมีมาดามวาลลาซเป็นตัวเชื่อม ผมก็ยังไม่เข้าใจหรอกว่าทั้งหมดนี่มันคืออะไร แต่ที่ผมอยากบอกคุณตอนนี้ก็คือ ระวังตัวคุณและคนในครอบครัวให้มากไว้ก่อนดีกว่าครับ ผมไม่อยากเห็นโศกนาฏกรรมใด ๆ เกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะในครอบครัวเดิมซ้ำกันหลายคราวอย่างนี้”

    “สารวัตรสงสัยอะไรจากการหายตัวไปของลีย่าหรือครับ” กฤชเป็นฝ่ายถามบ้าง

    “คุณคงทราบอยู่แล้วว่าเธอตั้งท้องลูกชาย” ดราโก้ตอบ “และนั่นจะทำให้เธอมีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของตระกูลคิริยาคอสผ่านทางลูกชายของเธอ ถึงแม้ว่าตัวเธอเองจะเซ็นสัญญาไม่มีสิทธิ์และส่วนเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของตระกูลเลยก็ตาม แต่ตราบใดที่เธอมีทายาทที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เธอย่อมมีสิทธิ์ในการปกครองทายาทคนนั้น โดยเฉพาะเมื่อพ่อของเด็กไม่มีชีวิตอยู่แล้วด้วย”

    “สารวัตรคิดว่าที่เธอหายไปนี่เป็นการฆาตกรรมอำพรางหรือครับ” กฤชถามคิ้วขมวดเล็กน้อย

    “มันมีความเป็นไปได้เท่านั้นล่ะครับ ผมยังไม่กล้าสรุปอะไรในขณะที่ยังไม่มีหลักฐาน”

    “สารวัตรสงสัยทายาทงั้นหรือ”

    “ผมสงสัยทุกคนไว้ก่อนครับ ไม่ใช่เฉพาะทายาท อาจเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นศัตรูเก่าหรืออะไรก็ตามที่เราอาจมองข้ามไป” ลาซารอสถอนใจ “แต่ก็ใช่ครับ ประเด็นทายาทและมรดกดูจะเป็นประเด็นที่มีน้ำหนักมากที่สุดแล้วในตอนนี้ เมื่อไม่มีมาดามคิริยาคอสและลูกชายของเธอ ทรัพย์สินของตระกูลทั้งหมดก็ตกอยู่ที่คุณอนาสเตเซียเพียงคนเดียว”

    กฤชนิ่ง ความเคลือบแคลงสงสัยต่าง ๆ แล่นผ่านเข้าไปในสมองของเขาอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มกล่าวคำอำลากับนายตำรวจทั้งสองนายไปแล้ว แต่ยังคงยืนนิ่งเฝ้ามองอนาสเตเซียและนิโคลาโยสพร้อมด้วยจูเลี่ยน บุตรชายวัยสี่ขวบของพวกเขาเดินออกจากบริเวณสุสานไปพร้อมกับซอนญ่าพี่เลี้ยงของจูเลียน

    สารวัตรลาซารอสและผู้หมวดอลองโซ่พยายามตามไปดักหน้า หากแต่กลุ่มนักข่าวต่างพากันวิ่งตามไปรุมล้อมคนทั้งห้าไว้พร้อมเปิดเครื่องอัดเสียงเพื่อที่จะบันทึกคำสนทนาของคนทั้งคู่กับตำรวจสายสืบ

    “คุณนายวาลลาซ คุณคิดอย่างไรที่แม่เลี้ยงของคุณหายตัวไป” เสียงนักข่าวจากสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ที่พากันรัวคำถามใส่อนาสเตเซียดังมาให้ได้ยินประสานกับเสียงกดชัตเตอร์เป็นระยะค่อนข้างรัวเร็ว

    “คุณทราบไหมว่าแม่เลี้ยงของคุณตั้งท้องลูกชาย”

    “คุณทราบไหมว่ารถคุณมีปัญหาตอนพ่อคุณเอาไปขับ”

    บอดี้การ์ดร่างใหญ่ในชุดสูทสากลสีดำสวมแว่นตาดำสี่นายรีบเดินออกมากันครอบครัววาลลาซออกไปจากวงล้อมนักข่าวและช่างภาพ ตรงไปที่รถลีมูซีนคันยาวสีดำที่แล่นมาจอดรออยู่ก่อนแล้ว นิโคลาโยสยื่นนามบัตรให้สารวัตรลาซารอส เพื่อให้ติดต่อกลับมาหาเขาและภรรยาในภายหลังเนื่องจากตอนนี้มีนักข่าวรุมล้อมมากมายเกินกว่าจะทำการสนทนาใด ๆ ได้สะดวก จากนั้นก็พาครอบครัวขึ้นรถคันหรูจากไป

    เสียงนักข่าวดังเอะอะในขณะที่ยังแย่งกันถ่ายภาพครอบครัวนั้นแทบจะทุกฝีก้าว มีเสียงกล้องทำงานดังแชะ ๆ ไปตลอดทางไล่หลังคนทั้งสาม กฤชส่ายหน้าและรีบฉวยโอกาสที่นักข่าวพุ่งความสนใจไปที่ครอบครัววาลลาซ เดินเลี่ยงไปขึ้นรถสีดำของคิโรสซึ่งมีคนขับรถจอดคอยอยู่อีกฟากถนนพร้อมกับอาคิลพ่อบ้านอย่างรวดเร็ว

     

    สารวัตรลาซารอสเดินนำผู้หมวดอลองโซ่กลับไปที่รถของตนซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากบริเวณสุสาน 

    ตลอดระยะเวลาสี่สิบวันที่ผ่านมา เขาได้เริ่มทำการสอบปากคำคนใกล้ชิดและผู้เกี่ยวข้องกับผู้ตาย ซึ่งรวมถึง อนาสเตเซียและสามีของเธอ เพื่อหาเบาะแสและเงื่อนงำต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่การพิจารณารูปคดี รวมถึงอาจช่วยในการตามหาร่องรอยของลีย่า คิริยาคอสหญิงท้องแก่ที่หายสาปสูญไปอย่างน่าสงสารผู้นั้น แม้ว่าตอนนี้สำหรับคดีของคิโรสทางอัยการจะลงความเห็นไปแล้วว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่เขากลับไม่เชื่ออย่างนั้น มันมีอะไรแปลก ๆ อยู่ และเขาก็อยากจะสาวให้พบว่าคืออะไร มันต้องมีอะไรในกอไผ่และไม่ว่ามันจะเป็นอะไร เขาก็ตั้งใจว่าจะต้องสืบให้รู้ให้ได้

    มีข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งที่เขารวบรวมได้จากการสอบปากคำคนอื่น ๆ ที่ทำงานใกล้ชิดกับครอบครัวนี้ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับเขาค่อนข้างมาก ความจริงที่ว่าอนาสเตเซีย วาลลาสไม่ค่อยสนิทสนมและค่อนข้างห่างเหินกับบิดาผู้เพิ่งล่วงลับของเธอพอสมควร คนเก่าคนแก่ในบ้านต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่าคิโรสนั้นใกล้ชิดกับหลานชายอดีตภรรยา คือนายคริสตอฟมากกว่าบุตรสาวของตัวเองมากนับจากที่เธอมีอาการทางประสาทหลังการตายที่น่าเศร้าและน่าเวทนาของอแนสซ่าบนเกาะนักซอสเมื่อสิบสองปีก่อน

    ที่สำคัญจากปากคำของคนรับใช้และพ่อบ้าน เธอเพิ่งมีปากเสียงกับบิดาของเธออย่างรุนแรงไม่กี่วันก่อนที่บิดาเธอจะเสียชีวิต และมารดาเลี้ยงของเธอยังมาหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากนั้นเพียงไม่ถึงสองเดือน

    นายตำรวจทั้งสองยังคงนั่งอยู่ในรถเพื่อซุ่มสังเกตผู้คนที่ทยอยเดินออกมาจากพิธีศพหลังจากที่ทำการฝังและกลบดินจนเสร็จสิ้นแล้ว จนกระทั่งทั่วบริเวณสุสานว่างเปล่าและกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ดราโก้จึงเรียกให้ไอวานผู้ช่วยของเขาสตาร์ทรถขับกลับโรงแรมที่พวกเขามาพักชั่วคราวเพื่อมาสืบสวนคดีบนเกาะปาโรสนี่

    “สารวัตรคุยกับนายคริสตอฟนั่นนานจัง มีอะไรน่าสงสัยเกี่ยวกับนายลูกบุญธรรมผู้แสนโชคดีนี่หรือครับ”

    “ไม่มี ฉันคุยกับเขาเพราะต้องการข้อมูลรอบด้าน ให้มองเห็นภาพใหญ่ของเรื่องทั้งหมดเท่านั้น” สารวัตรตอบ

    “แปลว่านายอนาโตลาคิสไม่เกี่ยวข้องงั้นหรือครับ” ผู้หมวดถามต่อ

    “มันยากที่จะลากเขาเข้ามาเกี่ยว เท่าที่ฉันเห็น เขาไม่มีแรงจูงใจ” ดราโก้พูดหลังจากหยุดคิดอยู่ชั่วขณะ

    “ทำไมครับ เขาใกล้ชิดกับนายคิโรสนี่มากกว่าลูกสาวแท้ ๆ ซะอีก บางทีเขาอาจหวังจะได้อะไรมากกว่านี้ก็ได้ และพอรู้ว่าเมียนายคิโรสกำลังจะมีทายาทให้ เลยคิดกำจัดไงครับ”

    “กำจัดโดยที่ยังไม่รู้น่ะหรือว่าคิโรสจะทิ้งอะไรไว้ให้” สารวัตรสวนกลับ “ให้ตายเถอะไอวานนี่นายจบจากโรงเรียนตำรวจมาได้ยังไงกัน จะบอกให้นะนายคงไม่สงสัยแบบนี้ถ้านายรู้ว่านายคริสตอฟ อนาโตลาคิสผู้นี้ได้รับและกำลังจะได้รับอะไรเพิ่มอีกบ้างจากทางตระกูลอนาโตลาคิสที่อุปการะเขามาน่ะ”

    “ได้อะไรหรือครับ”

    “เท่าที่รู้เขาได้รับมรดกจากพ่อที่ตายไปเป็นหุ้นส่วนในธุรกิจก่อสร้างและปิโตรเคมีของตระกูลเขาซึ่งมีหุ้นส่วนกับรัฐบาลอยู่สามเปอร์เซ็นต์ นี่ยังไม่รวมหุ้นส่วนในธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวเขาเองอีกนะ เพียงเท่าที่เขามีตอนนี้ต่อให้เขาใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายไปอีกสามชาติก็ยังไม่หมด นั่นยังไม่รวมถึงความจริงที่ว่าตาเฒ่าอนาโตลาคิสยังไม่ตายและยังไม่ได้แบ่งทรัพย์สมบัติและหุ้นในส่วนของตนให้ใคร แล้วรู้ไหมตาเฒ่านั่นมีทายาทเหลืออยู่ที่ใช้นามสกุลอนาโตลาคิสอยู่เท่าที่รู้นี่ก็แค่สองคน คือตัวเขากับอาเนสเตอร์ของเขา ส่วนอเล็กซิสลูกสาวนั่นแต่งงานเปลี่ยนนามสกุลไปหรือยังก็ไม่มีใครรู้ เท่าที่เห็นปู่ของเขาเหลือหลานในสายเลือดที่เห็นเป็นตัวเป็นตนอยู่คนเดียวก็คือมาดามวาลลาซคนนั้น”

    “วาว” หมวดอลองโซ่ผิวปากหวิว พลางกลอกตา “มันก็น่าประทับใจอยู่หรอกนะครับสารวัตร แต่สารวัตรอย่าลืมสิครับว่าทรัพย์สมบัติของอนาโตลาคิสแม้จะมากแต่ก็แบ่งหลายส่วน และเมื่อเทียบแล้วก็ยังไม่เท่ากับของตระกูลคิริยาคอสไม่ใช่หรือครับ”

    “ใช่” สารวัตรรับ “แต่ก็ไม่ได้กระจอกงอกง่อยขนาดที่ว่าจะเป็นแรงจูงใจให้คนซึ่งเป็นทายาท และไม่มีประวัติหนี้สินหรือเล่นการพนันจะต้องอยากได้สมบัติของตระกูลอื่นถึงขั้นต้องฆ่าคนตายเพื่อแย่งชิงหรอกนะ”

    ผู้หมวดหนุ่มนิ่งคิดก่อนจะตอบออกมาพร้อมด้วยชื่อผู้ต้องสงสัยรายใหม่ของเขา

    “ถ้างั้นมาดามวาลลาซนี่ก็เป็นคนที่น่าสงสัยที่สุดสิครับสารวัตร”

    สารวัตรเหลือบมองหน้าคนพูดพลางส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจในนิสัยชอบทึกทักและด่วนสรุป เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนตัดสินใจตอบ

    “ภาพที่ออกมามันดูเหมือนอย่างนั้น เมื่อไม่มีทายาทเพศชายของคุณคิโรสที่ใช้นามสกุลคิริยาคอสอยู่ เธอก็จะเป็นทายาทเพียงคนเดียวของเขา และเราไม่ได้พูดถึงทรัพย์สินแค่ล้านสองล้าน แต่เป็นทรัพย์สินมูลค่าหลายพันล้านยูโร มันมากเกินพอที่จะเป็นมูลเหตุจูงใจสำหรับการฆาตกรรม”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×