ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (EXO-KAISOO) Anterograde Tomorrow. -ฟิคแปล-

    ลำดับตอนที่ #4 : - Part II : Invisible Walls -

    • อัปเดตล่าสุด 3 ม.ค. 57


    PART II : INVISIBLE WALLS
     



    “ฉันชื่อจงอิน...ฉันเป็น



    “นักเขียน” คยองซูตอบให้เสร็จสรรพ



    จงอินถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินดังนั้น แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสมุดบันทึกที่เปิดค้างไว้อยู่บนโต๊ะของคยองซูก็เข้าใจ



    “นายอ่านสมุดนั่นแล้วสินะ” จงอินพูดขึ้นด้วยใบหน้าผิดหวังเล็กน้อย



    “อื้อ” คยองซูพยักหน้า



    วันนี้พวกเขาตัดสินใจมานั่งคุยกันที่ห้องของจงอิน ห้องโล่งๆที่เต็มไปด้วยกระดาษถูกขยำ กระป๋องเบียร์ และขี้บุหรี่ ผ้าปูเตียงยับยู่ยี่และยาเม็ดสีเหลืองกระจายอยู่เต็มโต๊ะ



    “นายไม่ค่อยชอบห้องของฉันเท่าไหร่ใช่ไหม?”



    “ก็มันไม่ค่อยมีสีสันเท่าไหร่เลย มีแต่ขาวๆดำๆ”



    “อ่ะ นี่” จงอินเรียกก่อนที่โพสอิทปึกสีเหลืองจะถูกโยนมาจนคยองซูรับแทบไม่ทัน



    “อะไรอ่ะ?”



    “นายอย่าบอกนะว่านายจำไม่ได้ว่าโพสอิทคืออะไร..”



    “บ้าดิ ฉันหมายถึงโยนมาทำไม”



    “นายเป็นคนบอกว่าห้องฉันขาดสีสันนี่ ตกแต่งให้หน่อย” จงอินพูดขึ้น



    “ใช้แรงงานชะมัด” คยองซูบ่นอุบอิบ



    “ฉันชอบเวลานายทำหน้าบึ้งจัง..” จงอินกล่าวก่อนจะยิ้มมุมปาก



    “เออๆ ทำให้ก็ได้ แล้วต่อไปเรียกฉันว่าพี่ด้วยล่ะ ฉันแก่กว่านายนะจงอิน”



    คยองซูดันเก้าอี้ชิดกำแพงก่อนจะขึ้นไปยืนไล่แปะโพสอิททีละใบๆ ปล่อยให้จงอินพึมพำคนเดียวไปเรื่อยๆ



    “พี่เคยเบื่อชีวิตประจำวันของพี่บ้างไหม?”



    “พี่เคยนั่งกินข้าวคนเดียวและพยายามจะจำไหม ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น?”



    “พี่เคยคิดบ้างไหมว่าการที่พี่คอยนั่งเย็บตุ๊กตาทุกวันมันไร้ความหมายสิ้นดี?”



    จงอินพูดต่อไปเรื่อยๆในขณะที่คยองซูแปะโพสอิทไปเรื่อยๆเช่นกัน เสียงทุ้มนุ่มของจงอินทำให้คยองซูยิ้มน้อยๆ ฟังเพลินจนไม่รู้จักเบื่อ...



    “ทำไมพี่ไม่ลองทำอะไรที่มันแตกต่างจากชีวิตประจำวันของพี่บ้างล่ะ?”




    ค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างเรียบง่าย...คยองซูตัดสินใจทำอะไรแตกต่างแบบที่จงอินพูด คยองซูตัดสินใจไม่ไปทำงานที่บาร์คืนนี้แต่กลับใช้เวลาอยู่กับจงอินแทน ร่างเล็กนอนขดอยู่บนโซฟาในห้องของจงอิน ในขณะที่ฟังจงอินพูดไปเรื่อยๆ



    เวลาดำเนินไปเรื่อยๆ...กำแพงห้องของจงอินกลายเป็นสีเหลืองนีออนเป็นที่เรียบร้อย จงอินนั่งจิบเบียร์อยู่บนโซฟาในขณะที่คยองซูร้องเพลงคลอเบาๆ



    ทั้งสองแลกเปลี่ยนบทสนทนาสั้นๆกันไม่รู้เบื่อ...



    “จงอิน นายเป็นคนดีนะ”



    “จงอิน ฉันชอบนายมากๆ”



    “คยองซู วันนี้พี่มีความสุขหรือเปล่า?”



    “คยองซู ผมอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้จัง”



    จงอินพึมพำถามเป็นคำถามสุดท้ายของค่ำคืนนี้ในขณะที่คยองซูปิดตาลงอย่างง่วงงุน



    “พรุ่งนี้พี่จะลืมผมไหม..?”



    --



    วันสุดท้ายของเดือนมิถุนายนช่างโหดร้ายจริงๆ...



    “ทุกคน...ทุกคนทิ้งฉันไปหมดแล้ว ทุกคนหายไปหมดแล้ว” คยองซูพูดขึ้น วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน รู้สึกเหมือนอากาศรอบๆตัวลดน้อยลงเรื่อยๆ ทุกส่วนของร่างกายกรีดร้องว่าเหนื่อยล้าจนขยับไม่ไหว



    จงอินได้แต่มองคยองซูเงียบๆ มองมือเล็กๆที่กำสมุดบันทึกไว้แน่น...



    “แบคฮยอน..เขา...ฉันพยายามจะตามหาเขา ในสมุดมันเขียนไว้ว่าขาดการติดต่อ ฉันอยากรู้ว่าแบคฮยอนหายไปไหนเพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทของฉัน เคยเป็น...” คยองซูเอ่ยก่อนจะเปิดสมุดบันทึกไปหน้าที่มี “บยอนแบคฮยอน” ค้างไว้...มันเป็นรูปของเด็กหนุ่มตัวเล็กๆคนหนึ่งซึ่งกำลังฉีกยิ้มอย่างร่าเริง



    “ฉันเลยลองโทรหาแม่ของแบคฮยอน...ฉันจำได้ว่าคุณน้าใจดีมาก เธอเคยบอกว่าเธอรักฉันเหมือนลูกแท้ๆ แต่พอฉันโทรไปวันนี้...เธอกลับทำเสียงเหมือนรำคาญฉัน เหมือนไม่อยากคุยกับฉันแล้ว”



    “ไม่หรอก...พี่อย่าคิดไปเองสิ” จงอินขัดขึ้น



    “คุณน้าตะคอกใส่ฉัน เธอบอกไม่ให้ฉันโทรมาอีก...จากนั้นเธอก็เริ่มร้องไห้และขอโทษฉัน เธอบอกว่าเธอรู้ว่าฉันจำอะไรไม่ได้แต่เธอเจ็บที่ฉันโทรไปย้ำ ย้ำความจริงที่ว่าแบคฮยอนตายแล้ว แบคฮยอนตายในอุบัติเหตุเดียวกับฉันเมื่อสี่ปีที่แล้ว แบคฮยอนตาย...แต่ฉันรอด”



    “พี่ฟังผมนะ...มันไม่ใช่ความผิดของพ



    “ฉันทำแบบนี้กี่ครั้งแล้ว จงอิน? กี่ครั้งแล้วที่ฉันโทรไปหาคุณน้าและย้ำเตือนความจริงที่ว่าแบคฮยอนตายแล้ว? ฉันกำลังทำอะไรอยู่? ทำไมไม่มีใคร...ทำไมฉันถึงไม่เขียนมันลงไป? ทำไมล่ะ?”



    จงอินไม่ตอบอะไร ร่างโปร่งขยับไปมาอย่างอึดอัด



    “นายรู้เรื่องนี้ใช่ไหม? นายรู้...แล้วทำไมนายไม่บอกฉัน? ทำไมนายไม่ห้ามฉันล่ะ จงอิน?” คยองซูตะโกนใส่หน้าจงอินด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา



    “ถึงผมบอกพี่ไป ผมเชื่อว่าพี่ก็คงจะไม่เขียนมันลงไปหรอก ใช่ไหมล่ะ? พี่ไม่อยากเขียนเพราะมันเป็นสิ่งที่พี่ไม่อยากจำ...” จงอินพูดก่อนจะดึงสมุดบันทึกออกมาจากมือของคยองซู



    คยองซูทำท่าจะเถียงแต่ก็เงียบไป...จงอินพูดถูก



    “พี่กลัวความเจ็บปวด...พี่กลัวที่จะต้องตื่นขึ้นมาเรียนรู้ความจริงที่ว่าแบคฮยอนไม่อยู่แล้ว พี่ไม่อยากตื่นมาร้องไห้คนเดียวทุกวัน นั่นเป็นสาเหตที่พี่ไม่เขียนมันลงไป ผมพูดถูกใช่ไหม?” จงอินเอื้อมมือไปกุมมือคยองซูไว้หลวมๆ



    “...”



    “มันไม่ใช่ความผิดของพี่... การปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวดมันไม่ผิดหรอกนะครับ”



    คยองซูกระชากมือออกมาจากการกอบกุมก่อนจะเขียนลงไปในสมุดบันทึก...



    แบคฮยอนตายสี่ปีที่แล้ว (31 มิถุนายน 2012)



    ลายมือที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและหมึกสีดำที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำตา



    เขาอาจจะต้องตื่นมาร้องไห้ทุกวันแบบที่จงอินพูดแต่เขามั่นใจว่าในทุกๆวันที่เขาตื่นมาร้องไห้เรื่องบยอนแบคฮยอน เขาจะมีจงอินอยู่ข้างๆ คอยปลอบเขาแบบนี้...



    --



    วันแรกของเดือนสิงหาคม...จงอินเดินเข้ามาในห้องของคยองซูพร้อมถุงอาหารเช้าสองถุง



    “พี่ให้กุญแจห้องกับผมเมื่อวาน” จงอินพูด



    “รู้แล้ว” คยองซูตอบก่อนจะชี้ไปที่โพสอิทใบหนึ่งบนกำแพง แต่ถึงไม่เขียนโพสอิท คยองซูก็เชื่อว่าเขาจะจำคนตรงหน้าได้เพราะทุกอย่างของจงอินมันคุ้นเคยเหลือเกิน



    “พี่รู้เยอะแค่ไหน?” จงอินถามในขณะที่จัดอาหารใส่จานอย่างคล่องแคล่ว



    “นายชื่อจงอิน นายเป็นเพื่อนบ้านของฉัน...นายเคยเต้นแต่ตอนนี้นายเป็นนักเขียน นายเป็นคนที่ยิ้มเศร้ามากๆและนายสูบบุหรี่จัดมากเพราะนายกำลังจะ...ตา



    คยองซูอ่านยังไม่ทันจบ สมุดบันทึกก็ถูกกระชากออกไปจากมือ จงอินฉีกหน้าสุดท้ายออกก่อนจะหยิบไฟแช็คขึ้นมาจุดไฟเผามัน คยองซูมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาวูบไหว



    “พี่ไม่ต้องรู้หรอก ผมเป็นหนึ่งในหน้าที่อีกไม่นานพี่ก็คงลืม...หน้าที่เต็มไปด้วยเลือดและคราบน้ำตา มันจะดีกว่าถ้าผมไม่ใช่ส่วนหนึ่งในความทรงจำของพี่”



    “แต่...”



    “ช่างมันเถอะ”



    พอจงอินกลับไป คยองซูก็ตัดสินใจเขียนหน้าเกี่ยวกับจงอินขึ้นมาใหม่ เขาเก็บกวาดเศษกระดาษที่ถูกเผาก่อนจะใส่ลงไปในโหลแก้ว ที่เขาทำแบบนั้นเพราะเขาไม่อยากลืมจงอิน เขาอยากจะจำจงอิน...เด็กผู้ชายที่ชอบทำเป็นเข้มแข็ง เด็กผู้ชายที่ชอบใส่หมวกแกปกลับหลัง เด็กผู้ชายที่ทำตัวเกินวัย เด็กผู้ชายแสนอ่อนโยนที่สร้างกำพงขึ้นมาปิดกั้นตัวเองจากสังคม คยองซูจะจำคนๆนี้...



    แม้ว่าครั้งนี้คยองซูจะไม่มีรูปจงอิน แต่เขาคิดว่าเขาคงไม่ต้องใช้มัน ทุกตัวอักษรที่เขียนลงไปสมบูรณ์แบบจนไม่ต้องมีรูปภาพใด คยองซูเชื่อว่าไม่ว่ายังไงเขาก็จำจงอินได้ จงอินที่ชอบเรียกเขาว่าพี่ จงอินที่ชอบจับคยองซูใส่หมวกคู่กัน



    ...แต่คยองซูเลือกที่จะไม่เขียนว่า จงอินกำลังจะตาย...



    --



    มีบางคราวที่คยองซูจำผู้ชายหน้าสุดท้ายในสมุดบันทึกของตัวเองไม่ได้ เพราะบางวันจงอินก็ดูเหมือนผู้ชายในสมุดแต่บางวันก็ดูเหมือนคนแปลกหน้า ในวันดีๆ...จงอินจะมีผิวสีแทนที่ดึงดูดสายตาของคนรอบข้าง ในวันแย่ๆ...จงอินจะดูอิดโรย ใต้ดวงตาคล้ำเสียจนน่ากลัว



    บางวันจงอินก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่นั่งห้อยขาอยู่ตรงระเบียงห้องข้างๆ บางวันจงอินก็ดูเหมือนชายหนุ่มขี้โรคที่ยืนพิงกำแพงสูบบุหรี่ด้วยแผ่นหลังโค้งงอ



    แม้คยองซูอาจจะจำจงอินไม่ได้ในบางครั้ง...แต่ทุกครั้งที่คยองซูเจอจงอิน เขาก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหัวใจมันบีบรัดจนเจ็บไปหมด มันเป็นความรู้สึกที่แม้แต่คยองซูเองก็ยังไม่เข้าใจ



    และแม้คยองซูจะไม่ได้บันทึกสิ่งนี่ลงในสมุด...แต่ทุกครั้งที่คยองซูสบตากับจงอิน คยองซูรู้สึกได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง



    ทุกครั้งที่สบตากัน ทุกครั้งที่จงอินมาที่ห้องและนอนดูดาวกับเขา ทุกครั้งที่มือทั้งสองสัมผัสกัน...มันคือความอบอุ่นที่คยองซูไม่เคยรู้สึก



    แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น ความรู้สึกของคนทั้งสองคนก็ยังคลุมเครือ คำว่า”รัก”ไม่เคยถูกเอ่ยออกมาเพราะทั้งสองคิดว่ามันชัดเจนเกินไป... อีกอย่าง ในบางวันจงอินก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าสำหรับคยองซูเท่านั้น คยองซูเลยตัดสินใจหยิบยื่นฐานะ”เพื่อน”ให้จงอินเท่านั้น...”เพื่อนคนพิเศษ”



    บางวันที่จงอินมาที่ห้องและถึงเวลากลับ...คยองซูอยากจะยื่นมือออกไปรั้งจงอินและบอกว่า “อย่าไป” แต่เอาเข้าจริงแล้วคยองซูกลับไม่กล้าทำ ทุกวันมันจะจบลงที่คำว่า “ราตรีสวัสดิ์”



    มันไม่มีอะไรโรแมนติกเลยระหว่างคนทั้งคู่ แต่มันกลับเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ เป็นความรู้สึกของคนสองคนที่อยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกสบายใจ ต่างผ่ายต่างเป็นเหมือนแสงไฟในชีวิตที่มืดมิดของกันและกัน



    --



    ร่างของคนทั้งสองคนกำลังเดินอ้อยอิ่งอยู่บนดาดฟ้าของซัมซุงทาวเวอร์ เจ็ดสิบสามชั้นจากพื้นดิน...สูงจนเห็นดาวระบิบระยับบนท้องฟ้า



    คยองซูนับเม็ดยาในกระปุกสีส้มของจงอินในขณะที่จงอินยืนสูบบุหรี่...



    “มันเป็นยังไงเหรอ?” คยองซูถาม



    “อะไร?” จงอินถามกลับงงๆ



    “เวลาถูกลืมน่ะ...”



    “...เหมือนตายทั้งเป็น เหมือนถูกลบออกไปโดยไม่เต็มใจ” จงอินตอบเบาๆหลังจากเงียบไปสักพัก



    “...”



    “แล้วมันเป็นยังไงเหรอ เวลาลืมใครสักคนน่ะ?”



    “เหมือนตายทั้งเป็นเหมือนกัน” คยองซูตอบในขณะแหงนมองท้องฟ้า



    “พี่รู้ไหม...ตอนที่ผมยังเป็นนักเต้นอยู่ ผมหลงรักผู้ชายคนนึงล่ะ เขาเป็นคนจีนชื่อลู่หาน...เขาดูแลผมอย่างดี อยู่เคียงข้างผมไม่เคยไปไหน เขาเป็นรักแรกของผมแต่แล้วผมก็ทำร้ายเขา บีบบังคับเขาจนเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ...” จงอินพูดขึ้น



    “...”



    “ส่วนโอเซฮุน บรรณาธิการของผมน่ะ...มันดูแลผมได้แย่มากๆ กดดันเอาต้นฉบับทุกวัน แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน...”



    “...”



    “วันหนึ่งมันบอกผมว่ามันกำลังคบคนจีนคนหนึ่งชื่อลู่หาน แล้วมันก็พาลู่หานมา...”



    “อา..”



    “พอเราเจอกัน...ลู่หานยังจำทุกรายละเอียดของผมได้ แปดปีผ่านไปแต่เขายังจำผมได้ และแม้ตอนนี้เขาจะรักกับเซฮุนอยู่ ทุกครั้งที่เขาหันมามองผม ผมเห็นความเจ็บปวดในดวงตาของเขา ทำไมรู้ไหม?... เพราะความทรงจำไง ความทรงจำระหว่างเราตามหลอกหลอนเขาทุกวัน...แม้แต่เซฮุนก็ไม่สามารถทำให้เขาลืมได้”



    “...”



    “ดีแล้วล่ะที่พี่จำผมไม่ได้ ผมจะได้ปกป้องพี่จากความทรงจำร้ายๆ...เมื่อไหร่ที่ผมทำร้ายพี่ พี่ก็จะไม่ต้องเจ็บเพราะการกระทำของผม ผมยอมถูกลืม ผมยอมรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นเพื่อให้พี่ลืมผม เพราะยังไงผมก็จะตายอยู่แล้ว...”



    แม้จงอินจะพูดแบบนั้น...แต่คยองซูรู้ว่าจงอินเฝ้าภาวนาอยู่ทุกวันว่าสักวันเขาจะจำจงอินได้ คยองซูรับรู้ได้จากมือใหญ่ของจงอินที่กำลังกุมมือของเขาอยู่...



    คยองซูตัดสินใจรั้งต้นคอของอีกคนลงมาจนปลายจมูกทั้งสองชิดกัน...กลิ่นบุหรี่อ่อนๆของจงอินกับกลิ่นลูกอมรสนมของเขาหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง...



    “รู้ไหมว่าทำไมนายถึงดูเหมือนแบกโลกทั้งใบอยู่ตลอดเวลา? เพราะนายชอบคิดว่านายไม่มีค่าพอให้ใครจดจำ เพราะนายชอบคิดว่าความทรงจำเป็นสิ่งไม่ดี แต่สำหรับฉัน ทุกความทรงจำมีค่านะจงอิน ถ้านายทำร้ายฉัน...ฉันจะได้เห็นอีกด้านหนึ่งของนาย ถ้านายเจ็บปวด...ฉันจะได้คอยอยู่ข้างๆนาย ฉันไม่สนใจหรอกว่าอีกแปดปีฉันจะเจ็บปวดเพราะนายหรือไม่...อาจเป็นเพราะฉันจำอะไรไม่ได้ล่ะมั้ง แต่สำหรับฉัน การที่เราเจ็บปวดเพราะรักใครสักคนน่ะ...มันคุ้มค่าออกนะ โดยเฉพาะถ้าคนๆนั้นเป็นคนที่ฉันรักมากๆ



    และแล้วมันก็เกิดขึ้น... จงอินเลื่อนหน้าเข้ามาก่อนจะประทับริมฝีปากลงมาจนคยองซูตั้งตัวไม่ทัน ความทรงจำมีค่าครั้งแรกระหว่างคนทั้งสอง จูบแรกรสหวานปนขมของรสบุหรี่



    แต่น่าแปลก...ที่คยองซูกลับเลือกที่จะไม่บันทึกมันลงในสมุด



    --



    “ผมเคยบอกพี่ว่าผมอยากเขียนเกี่ยวกับพี่...” จงอินพูด เม็ดทรายเสียดสีอยู่ใต้ร่างของคนทั้งสอง



    “...”



    “ความจริงผมไม่ได้อยากเขียนเกี่ยวกับพี่หรอก ผมแค่อยากรู้จักพี่ให้มากขึ้น...”



    “แต่ฉันเล่าเรื่องตัวเองให้นายฟังมาทั้งวันแล้วนะ อีกอย่างนายก็ฟังเรื่องเดิมๆของฉันมาตลอดสองเดือนแล้วนี่ มันมีเรื่องอะไรที่ฉัน



    คยองซูหยุดพูดไปดื้อๆเมื่อจงอินเอื้อมมือมาลูบต้นคอของเขาเบาๆ คยองซูมองจงอินอย่างแปลกใจแต่พอเห็นใบหน้านิ่งๆที่ขึ้นสีเล็กน้อยของจงอิน คยองซูก็ยิ้มกว้าง



    “พี่เล่าเรื่องของโดคยองซูที่อายุยี่สิบต่างหาก ผมไม่อยากรู้จักพี่สี่ปีที่แล้ว...ผมอยากรู้จักพี่ในตอนนี้ ผมอยากรู้ว่าตอนนี้พี่อยากกินอะไร? ตอนนี้พี่รู้สึกยังไง? ตอนนี่พี่คิดอะไรอยู่? พี่เป็นคนบ้าจี้หรือไม่



    “อื้อ”



    “?”



    “ฉันบ้าจี้” คยองซูพูดขึ้น



    “...”



    “มือนายที่จับต้นคอของฉันอยู่ก็ทำให้ฉันรู้สึกจั๊กจี้...แต่มันก็อุ่นดี” คยองซูพูด มือเล็กวางทาบลงบนมือใหญ่อีกที



    จงอินหัวเราะเบาๆจนกลายเป็นเสียงไอถี่ๆ



    “ฉันอยากรู้จักนายให้มากขึ้นเหมือนกัน วันนี้ฉันไม่อยากลืมนาย...” คยองซูเอ่ยเบาๆก่อนจะโอบรอบคอของจงอินไว้หลวมๆ



    มือเล็กไล้จากเปลือกตาของจงอินลงไปถึงสันจมูกโด่ง ไล้ผ่านลำคอลงไปถึงอกแกร่ง... อยากจะจดจำทุกรายละเอียดของผู้ชายที่ชื่อคิมจงอิน



    “พรุ่งนี้ฉันอยากเห็นนายเต้น” คยองซูพูดเสียงงัวเงีย ความง่วงจู่โจมจนทำให้ร่างเล็กต้องปิดเปลือกตาลงช้าๆ



    “ทำไมล่ะ?”



    “เพราะทุกครั้งที่นายพูดถึงการเต้น...นายดูมีความสุข ถ้านายได้เต้น นายคงจะมีความสุขกว่านี้ ฉันอยากเห็นนายมีความสุข..”



    “...”



    “แล้วก็...อย่าลืมพาฉันไปดูหิ่งห้อยด้วยนะจงอิน”



    วันต่อมา...คยองซูตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าสดใส ตามตัวยังมีร่องรอยของเม็ดทรายหลงเหลืออยู่ประปราย แม้จะจำอะไรไม่ได้...แต่วันนี้คยองซูรู้สึกดีจนอยากจะหัวเราะออกมา ใบหน้าใสแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา




    --

    “ผมมารับพี่” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าห้องเอ่ยขึ้นทันทีที่คยองซูเปิดประตูออกมา เขาบอกว่าเขาชื่อจงอิน แต่แม้ว่าชื่อมันจะคุ้นหูขนาดไหน...คยองซูก็จำไม่ได้ คยองซูขมวดคิ้วเล็กน้อย...เขาเพิ่งตื่นได้ไม่นานจึงยังไม่ได้เปิดสมุดบันทึกอ่าน



    “ให้นี่เป็นเครื่องเตือนความจำละกัน” จมูกโด่งฝังลงบนแก้มนุ่มของคยองซูก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็ว คยองซูเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ยังไม่ทันจะได้หันไปต่อว่าอีกคน เขาก็ถูกลากออกจากห้องซะแล้ว



    “เรากำลังจะไปไหนอ่ะ?เห้ย!“ คยองซูถามก่อนจะอุทานอย่างตกใจเมื่ออยู่ดีๆก็โดนโยนเข้ามานั่งแหมะอยู่ในรถเปิดประทุนคันหรู



    “ไปดูหิ่งห้อย” จงอินตอบก่อนจะไอเบาๆ



    “ที่ไหนอ่ะ? แถวนี้มีด้วยเหรอ?” คยองซูถามต่อแต่ได้เพียงความเงียบเป็นคำตอบ จงอินไม่ตอบแต่กลับเอื้อมมือไปเร่งเสียงวิทยุ รถคันหรูเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆผ่านตึกสูงและทุ่งหญ้า คยองซูที่เริ่มรู้สึกผ่อนคลายร้องเพลงคลอกับวิทยุเบาๆซึ่งเรียกร้อยยิ้มจากจงอินได้ไม่ยากเลย



    รถหยุดหน้าโกดังเก่าๆแห่งหนึ่ง...คยองซูหันไปมองหน้าจงอินด้วยความหวาดวิตก



    “ไหนบอกมาดูหิ่งห้อยไง..?”



    “พี่อย่าเพิ่งบ่นดิ..” จงอินขัดขึ้น มือใหญ่เอื้อมมาดึงมือของคยองซูให้เดินไปด้วยกัน นิ้วมือประสานเข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติ



    ทันทีที่เข้ามาถึงข้างใน คยองซูก็ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น... ภายในโกดังเก่าๆที่ควรจะมืดกลับมีหิ่งห้อยเป็นพันตัวบินว่อน



    จงอินขยับท่วงท่าสวยงามท่ามกลางแสงสว่างของหิ่งห้อยเหล่านั้น ทุกท่วงท่าพลิ้วไหวตั้งแต่ต้นคอไปจนถึงปลายนิ้ว สำหรับคยองซู...จงอินส่องสว่างยิ่งกว่าหิ่งห้อยพวกนี้เสียอีก



    รอบข้างไร้เสียงดนตรี มีเพียงเสียงหายใจเบาๆของคยองซูและเสียงหอบหายใจของจงอินเท่านั้น...



    จงอินกวักมือเรียกให้คยองซูเข้าไปหาก่อนจะไล้มือจากต้นคอเล็กลงไปจนถึงหน้าท้องบาง แค่สัมผัสบางเบาเพียงเท่านั้น...คยองซูก็แทบหยุดหายใจ หัวใจกำลังทำงานหนักเกินไปแล้ว...



    “ผมพาพี่มาดูหิ่งห้อยแล้วนะ...แล้วพี่ก็ได้เห็นผมมีความสุขแล้วด้วย” จงอินฉีกยิ้ม



    “นายพูดถึงอะไรน่ะ?” คยองซูถามก่อนจะหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นใบหน้าขึ้นสีของคิมจงอิน



    จงอินอึกอักก่อนจะไอถี่ๆเป็นคำตอบ มือเอื้อมไปกุมไว้ที่หน้าอกก่อนจะไอไม่หยุด ไหล่แกร่งห่อลงก่อนจะสั่นน้อยๆ...หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ



    ทุกอย่างนั้นอยู่ในสายตาของคยองซูแต่เขาก็ทำได้เพียงเก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ...



    จงอินเป็นอะไร?



    --



    ระยะห่างระหว่างคอนโดสุดหรูของจงอินกับบาร์ที่ทำงานของคยองซูคำนวณออกมาได้ 122 กิโลเมตร. ในระหว่างระยะทางนั้น...คยองซูเอื้อมมือไปกุมมือจงอินที่กำลังขับรถเป็นเหตุให้จงอินต้องหยุดรถข้างทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



    “นายเป็นอะไรรึเปล่า?”



    “พี่หมายความว่าไง?”



    “ก็ยาพวกนี้... Tessalon Perles, Phenergan, Codeine แล้วก็อันนี้อ่านว่าไงนะ? แล้วยังจะอาการไอบ่อยๆนั่นอีก...นายเป็นอะไร จงอิน?“



    “เปล่า..”



    “นายป่วยใช่ไหม?”



    ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบอันน่าอึดอัด คยองซูเห็นความสับสนลังเลในดวงตาของจงอิน ความรู้สึกผิดก็เอ่อขึ้นมากะทันหัน



    “จงอิน ถ้านายไม่อยากบอก



    “ปอดของผม..”



    ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้งตามมาด้วยเสียงสะอื้นเบาๆของคยองซู



    “เหลืออีก..ก..อีกกี่เดือน? กี่วัน“ คยองซูถามเสียงเบา



    “หมอบอกสองปี..” จงอินฝืนยิ้มก่อนจะจุดบุหรี่ขึ้นสูบ



    “...”



    “สองปีก๋ถือว่านานนะ...ผมว่า



    “หยุด..หยุดสูบบุหรี่เถอะนะ”



    จงอินแค่นหัวเราะเมื่อได้ยินดังนั้น



    “ถ้าผมสูบ...พี่จะทำไม? ยังไงผมก็จะตายอยู่แล้ว จะปีนึงหรือสองปีก็ไม่ต่างกัน อีกอย่าง...สำหรับพี่ ผมไม่เคยมีความหมายอยู่แล้วนี่ ในเมื่อพี่จำไม่ได้“ กำปั้นของคยองซูกระแทกเข้ากับใบหน้าคมทั้งๆที่จงอินยังไม่ทันจบ



    “ฉัน..” คยองซูพูดก่อนจะสั่นน้อยๆ



    “...”



    “ฉันจะทำแบบนี้ยังไงล่ะ..” คยองซูแย่งบุหรี่ออกมาจากมือจงอินก่อนจะยัดมันเข้าปาก ไฟของบุหรี่ที่ยังไม่ดับดีมอดไหม้อยู่ในช่องปากของคยองซู แต่แม้จะเจ็บแสบเพียงใด ใบหน้าของคยองซูก็ยังคงเรียบเฉย



    จงอินจ้องคยองซูตาไม่กระพริบในขณะที่คยองซูฝืนกลืนบุหรี่มวนนั้นลงคอ รสชาติขมๆของมันทำให้คยองซูอยากไอออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ในปากปวดแสบปวดร้อนจนพูดไม่ออก



    “ถ้าฉันเห็นนายสูบบุหรี่อีก ฉันก็จะทำแบบนี้อีก เออ! ยังไงฉันก็จำไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ว่าฉันจะตายวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็คงไม่ต่าง จริงไหม?” คยองซูเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก ลิ้นทั้งลิ้นปวดจนแทบไม่รู้สึก



    “พี่รู้ตัวไหมว่าพี่แม่ง..โคตรโง่เลย..” จงอินพูดขึ้น สายตายังคงไม่ละไปไหน



    คยองซูไม่ตอบอะไร...แต่เขาก็แอบเห็นด้วยกับจงอินหน่อยๆล่ะ...



    --



    “แปลกจัง นักเขียนคนนั้นไม่สูบบุหรี่แล้วอ่ะ” มินซอกพูดขึ้นในคืนหนึ่งหลังจากที่คยองซูขาดงานไปหลายวัน



    “...”



    “เมื่อก่อนนะ หมอนั่นสูบบุหรี่เป็นกล่องๆ...ไม่รู้ว่าทำไมถึงเลิกเนอะ”



    คยองซูไม่ได้ใส่ใจก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆบาร์ แต่ทันทีที่คยองซูสบตากับคนๆนึง...โลกของเขาก็หยุดหมุน



    ดนตรีเริ่มขึ้นก่อนที่เสียงร้องของมินซอกจะตามมาในโสตประสาทของคยองซู ความจริงแล้วมันถึงคิวที่คยองซูควรร้องได้แล้วแต่คยองซูกลับนิ่งเงียบจนมินซอกมองมาเป็นเชิงเตือน



    ชายหนุ่มนักเขียนที่มินซอกพูดถึงเลิกคิ้วมองเขาอย่างสงสัยก่อนจะยิ้มน้อยๆเหมือนให้กำลังใจอีกคนกลายๆ เพียงเท่านั้น...เพียงรอยยิ้มเดียว คยองซูก็เปล่งเสียงร้องออกมาอย่างง่ายดาย



    มันเป็นคืนเดือนกันยายนหรืออาจจะตุลาคม มันเป็นคืนที่คยองซูร้องเพลงได้ดีที่สุดเท่าที่เคยร้องมา มินซอกเอ่ยชมเขาก่อนจะแบ่งทิปให้เหมือนทุกๆวัน



    “ผมไม่มีร่ม...” ชายหนุ่มคนเดิมเดินตรงเข้ามาหาคยองซูก่อนจะเอ่ยขึ้น



    คยองซูมองออกไปนอกร้านที่ฝนยังคงตกไม่หยุดก่อนจะหันกลับมามองคนตรงหน้าเขางงๆ



    “นี่ เขาบอกว่าเขาไม่มีร่มน่ะ..” มินซอกสะกิดเรียก



    คยองซูยังคงกระพริบตาปริบๆอย่างงงๆ ชายหนุ่มคนดังกล่าวถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเกี่ยวคอของคยองซูและลากออกมานอกร้านด้วยกัน



    “มาเหอะน่า เดินกลับบ้านเป็นเพื่อนผมหน่อยสิพี่”



    ทันทีที่คำว่า “พี่” หลุดออกมาจากปากของอีกคน...คยองซูก็จำได้ทันที คนๆนี้คือผู้ชายบนหน้าสุดท้ายของสมุดบันทึกของคยองซู ผู้ชายที่เป็นทั้งนักเขียนทั้งนักเต้น เพื่อนบ้านคนพิเศษที่ชื่อ “คิมจงอิน”... แต่คยองซูจำบรรทัดสุดท้ายได้ บรรทัดสุดท้ายเขียนว่าจงอินไม่อยากถูกจดจำ เพราะฉะนั้นคยองซูก็คงต้องแกล้งจำไม่ได้สินะ



    “บ้านนายอยู่ไหนล่ะ” คยองซูแกล้งถาม



    “ผมรู้ว่าพี่รู้”



    “ฉันจะไปรู้ได้ไง?”



    “ผมอยู่ห้องเดียวกับพี่”



    “ไม่จริงอ่ะ”



    “จริงๆ”



    คยองซูฟึดฟัดเมื่อรู้ว่าตนโดนแกล้งในขณะที่จงอินยิ้มเจ้าเล่ห์ คยองซูจำใจต้องยอมอย่างเสียไม่ได้ในเมื่อเขาต้องแกล้งทำเป็นจำไม่ได้...



    ทั้งสองเดินเคียงข้างกันท่ามกลางสายฝนพรำ...มือของคนทั้งสองสัมผัสกันเบาๆก่อนที่นิ้วมือจะประสานเข้าหากันโดยอัตโนมัติ



    “ผมชอบพี่..” อยู่ๆจงอินก็ทำลายความเงียบขึ้นมา



    “น..นายพูดอะไรน่ะ?” คยองซูถามอย่างตกใจ



    “ผม..ขอจูบพี่นะ..” พอพูดจบ ริมฝีปากของคนทั้งสองก็สัมผัสกัน...ครั้งแล้วครั้งเล่า



    ไม่รู้ว่าบรรยากาศเป็นใจหรือเป็นอะไรกันแน่...แต่ทั้งสองไม่อยากให้เวลาผ่านไปเลย...



    --

     


    “ไม่เบื่อเหรอ? ใช้แค่สีเดียว?” จงอินถามขึ้นในขณะที่คยองซูวิ่งวุ่นพยายามทำความสะอาดห้องของตนเอง



    “ถ้าใช้หลายสีแล้วมันปวดหัวอ่ะ” คยองซูตอบก่อนจะวางผ้าห่มที่พับอย่างเรียบร้อยลงบนโซฟา



    “อืม...แต่ทุกอย่างมันเป็นสีเขียวหมดเลยอ่ะพี่..”



    “อ่า..สรุป..นายเป็นใครนะ?” คยองซูแกล้งถามอีกครั้ง แม้เขาจะอ่านหน้าสุดท้ายของสมุดบันทึกจนแทบจะท่องได้ก็เถอะ...



    “ผมเป็นนักเขียน..”



    “อ้าว ไม่ใช่นักเต้นหรอกเหรอ?”



    “เคยเต้นน่ะ” จงอินเอ่ยก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงข้างๆคยองซู



    “...”



    “ตอนเด็กๆ ผมเคยเรียนบัลเล่ต์”



    คยองซูถามจงอินว่าบัลเล่ต์มันเป็นยังไงเพราะเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน จงอินจึงตัดสินใจแสดงให้คยองซูดูโดยใช้ปลายนิ้ว



    “สมมติว่านี่เป็นหัวแล้วนี่เป็นปลายเท้า...หนึ่ง สอง สาม กระโดด!” จงอินเรียกมันว่าท่า Arabesque



    “เอามือของพี่มา..” จงอินจับมือคยองซูพลิกหงายอย่างถือวิสาสะ



    “ส่วนท่านี้เรียกว่า Fouette en Tourant” คยองซูหัวเราะเบาๆ สัมผัสปลายนิ้วของจงอินบนฝ่ามือเขาทิ้งร่องรอยความอบอุ่นเอาไว้จางๆ



    “อันนี้เรียกว่าท่า Sissonne...หนึ่ง สอง สา“ ทั้งสองชะงักเมื่อนิ้วของจงอินไต่ขึ้นไปถึงไหล่บางของคยองซู จงอินไล้นิ้วขึ้นไปเรื่อยๆจนถึง...ริมฝีปาก



    ริมฝีปากของทั้งสองเคลื่อนตัวเข้าหากัน รสจูบที่ทั้งร้อนแรงและหอมหวานทำให้คยองซูต้องยึดไหล่ของอีกคนไว้แน่น มือใหญ่ของจงอินช้อนเอวบางเข้ามาใกล้จนร่างของคนทั้งสองแนบชิดกัน...เป็นการกระทำที่ทำให้คยองซูหลุดออกจากภวังค์



    “อ..อื้อ..ไม่เอา” คยองซูผละออก ริมฝีปากเล็กแดงเจ่อจากกิจกรรมเมื่อครู่



    “ฉัน..ฉันไม่รู้จักนายด้วยซ้ำ ไม่ใช่สิ ฉัน..จ..จำไม่ได้“ คยองซูพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกักในขณะที่จงอินมองมาที่เขาด้วยสายตาอ่านยาก



    จงอินดึงข้อมือของอีกคนก่อนจะวางมือเล็กลงตรงตำแหน่งหัวใจของตนเอง คยองซูรู้สึกได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วกว่าปกติ



    “ฟังนะ..นี่คือหัวใจของผม ผมรักพี่” จงอินกระซิบเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมือของคยองซูไปที่ตำแหน่งหัวใจของคนตัวเล็กเอง หัวใจของคยองซู...ที่เต้นเร็วไม่ต่างกัน



    “หัวใจของพี่...ก็เต้นเป็นจังหวะเดียวกันใช่ไหม?” จงอินถาม



    สายตาของจงอินกำลังทำให้คยองซูหลอมละลาย และทันทีที่มือใหญ่ของจงอินเอื้อมมาแตะเบาๆที่แผ่นหลังบาง...บทรักร้อนแรงก็เริ่มขึ้น



    (NC CLICK)  





    “ผมไม่เคยบอกพี่ว่าผมชื่อจงอิน พี่จำได้ไง?” จงอินเอ่ยถามก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น



    “น..นายรู้อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ ว่าฉันเขียนหน้านึงเกี่ยวกับนายในสมุดบันทึกน่ะ?” คยองซูถามกลับเสียงอู้อี้ ใบหน้าเล็กซุกเข้ากับหมอนด้วยความเขินอาย



    “อืม..ผมรู้..” จงอินรับก่อนจะไอเบาๆ



    “...”



    “ผมมีกุญแจห้องพี่แถมผมยังมาที่นี่บ่อยๆ...จะไม่รู้ได้ไงล่ะ? แล้วพี่เขียนมันทำไม? ทั้งๆที่ผมห้ามแท้ๆ...”



    “แม้นายห้ามฉันก็จะเขียน...ฉันอยากจำคำว่าเราเอาไว้ ฉันอยากฉันแค่..ฉันแค่อยากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนาย ฉันอยากคุยกับนายทุกวัน คุยกันว่าเมื่อวานเราทำอะไรไปบ้าง...“



    จงอินไม่ได้พูดอะไรแต่เลือกที่จะฝังใบหน้าลงกับต้นคอขาวแทน



    “พรุ่งนี้พรุ่งนี้ ได้โปรด..อย่าให้ฉันลืมนายเลยนะจงอิน ฉันอยากจะจำให้ได้“



    “พี่ไม่ห้องห่วงหรอก...เดี๋ยวผมจะช่วยพี่จำเอง..”



    คนทั้งคู่ตัดสินใจออกมานั่งที่ระเบียงนอกห้อง ในมือทั้งสองมีแก้วชาร้อนๆอยู่คนละใบ...คยองซูแกว่งขาไปมาก่อนจะพยายามหาเรื่องคุย



    คืนนี้เขาจะไม่นอน เขาจะพยายามจดจำจงอินให้ได้นานที่สุด...



    แต่ในที่สุดความง่วงก็ชนะ...คยองซูเอนหัวไปพิงไหล่ของอีกคนก่อนจะหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน



    จงอินตัดสินใจจับอีกคนมาหนุนตักก่อนจะลูบกลุ่มผมนุ่มนั้นอย่างรักใคร่ เขาก็หวังเหมือนๆกับคยองซู หวังว่าสักวันคยองซูจะจำได้



    ...แต่ไม่ ทุกครั้งๆห้วงนิทราจะมาและช่วงชิงความทรงจำของคยองซูไป...


    [TBC].


    B B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×