คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Spice & The Prince
...เรื่องแรก
ออกแนวรักๆใคร่ๆ ซึ่งไม่เหมาะกับตัวผมเลยซักนิด อ่า..ลืมๆมันไปเถอะ
Spice & The Prince
เจ้าชายปากร้ายกับยัยซ่าพันธุ์แสบ!
ตุ๊บ! พลั่ก!
“แล้ว...ใครจะเป็นรายต่อไปดีล่ะ?” เด็กสาวพูดขณะยืนกอดอกบนกองซาก(ศพ) เหล่าขาโจ๋ที่พากันมาหาเรื่องกันตั้งแต่หัววัน พวกที่เหลือถอยกรูดไปยืนรวมกันอยู่ด้านหลัง เพียงแค่เธอปรายตามองก็แทบจะวิ่งหนี
“พะ...พวกเราขอโทษครับ!” ขอโทษเสร็จก็รีบโกย เลยดักคอมันไว้ก่อน
“ก่อนไปเอาศพเจ้าพวกนี้ไปด้วยสิ!”
ฟิ้ว~ ผ่านไปห้านาที
...ฉันก็แค่จะหาที่นั่งพักผ่อนเท่านั้นเองนะ แต่เจ้าพวกนี้ดันโผล่มากวนอารมณ์ซะได้...
นัตสึอากิ ยูมะ หญิงโฉดที่เพื่อนทั้งโรงเรียนพร้อมใจกันยกให้เป็นซือเจ้แห่งจังหวัดไซตามะ เนื่องจากใครมาท้าตีก็แพ้ราบหมดทุกราย
...เห็นโหดๆแบบนี้ก็เถอะ จริงๆแล้วรักสงบจะตาย...
“มีเรื่องทุกวันเลยนะเรา...ใกล้โดนไล่ออกแล้วนี่นะ?” เสียงกวนเส้นประสาทให้เต้นตุ๊บๆ ดังมาจากข้างหลัง และเมื่อหันกลับไปมองก็เป็นจริงอย่างที่คาดไว้
(ไอ้)คุณพี่ชายสุดที่รัก ยืนพิงต้นไม้อยู่ด้านหลัง
“ปากเสียชะมัด! เพราะพี่ยูจิได้เลื่อนขั้นเลยย้ายไปอยู่ที่โตเกียวไม่ใช่เรอะ!” หมอนี่คือ นัตสึอากิ ยูยะ พี่ชายคนรองที่อายุห่างจากเธอสองปี ส่วนพี่คนโตคือ นัตสึอากิ ยูจิ พี่ชายที่ทำหน้าที่แทนคุณพ่อคุณแม่ที่เสียไปของพวกเธอ ซึ่งตอนนี้ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าแผนก เลยต้องย้ายเข้าไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ในโตเกียว อันเป็นเหตุให้พวกเธอทั้งสองคนต้องย้ายตามไปเรียนอย่างช่วยไม่ได้ ยูยะน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะสอบเข้าม.โตเกียวได้ เรียนอีกเทอมเดียวก็เข้ามหาลัยแล้ว แต่กับเธอที่เพิ่งจะขึ้นม.ปลายปีหนึ่ง แถมเพิ่งเรียนได้แค่ครึ่งเทอม ต้องย้ายซะงั้น
“ก็แกเล่นมีเรื่องทุกวันเหมือนอำลาอาลัยนี่นา!”
“พวกมันมาหาเรื่องฉันก่อนต่างหากเล่า!”
“แล้วแกก็ไปตีกับมัน?”
“แล้วมันจบง่ายๆด้วยการคุยกันได้มั้ยล่ะ?” เถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ แน่นอน! เพราะงานนี้ฉันไม่ใช่คนผิด!
“ง่ะ...” จนในที่สุดเจ้าพี่บ้าก็ชะงัก เพราะมันหาเหตุผลมาเถียงต่อไม่ได้ ฮ่าๆๆ
แปะๆ
“มาเดินเล่นกันแถวนี้นี่เอง ข้าวเย็นเสร็จแล้วนะทั้งสองคน” และแล้วเสียงเรียกประกาศิตก็ดังขึ้น หยุดการทะเลาะกันของเธอกับตาพี่งี่เง่านี่ได้ชะงัด
“พี่ยูจิ?” นี่พี่อุตส่าห์เดินจากบ้านมาตามพวกเราถึงริมตลิ่งเลยหรอคะ?
“จริงสิ! กินข้าวเสร็จแล้วพี่มีเรื่องจะพูดกับทั้งคู่น่ะ รีบกลับบ้านกันเถอะ” เป็นคำพูดนิ่มๆที่ไม่ได้แฝงจิตสังหารเลยแม้แต่น้อย แต่ทั้งยูมะและยูยะต่างก็ทำตามไปโดยไม่ขัดข้อง
...พี่เหนื่อยมากเพราะพวกเรา...
ไม่เคยมีสักวันที่พี่จะให้เวลาพักกับตัวเอง เพราะต้องหาเงินส่งพวกเราเรียน และไม่มีเลยสักครั้งที่พี่จะบ่น ว่าเราสองคนเป็นตัวปัญหายุ่งยากให้พี่เหนื่อย
...เพราะเราเหลือกันอยู่แค่สามคนพี่น้องเท่านั้น...
แม้จะทะเลาะกับยูยะบ้างเป็นครั้งคราว แต่ความเห็นของเธอกับมันจะตรงกันเสมอถ้าเป็นเรื่องของพี่ยูจิ
...เพราะเราทั้งคู่รักพี่มากที่สุด...
“หา! เลื่อนวันย้ายไปเร็วขึ้นหรอ? ไหนพี่บอกว่าจะย้ายตอนจบเทอมไง!” เด็กสาวเพียงคนเดียวของครอบครัวสติแตกคนแรกทันทีที่พี่ยูจิบอก จะไม่ให้โวยได้ยังไงล่ะ ก็เพิ่งเรียนไปได้ไม่เท่าไหร่เองนะ ย้ายไปตอนนี้ก็กลางเทอมพอดี...แล้วเด็กที่ย้ายกันกลางเทอมส่วนใหญ่น่ะ...
พอไปถึงโรงเรียนใหม่จะไร้สถานะน่ะสิ!...(หมายเหตุ: สถานะในที่นี้หมายถึง การอยู่ในโรงเรียนด้วยความสงบเรียบร้อย ไร้การรังควาญจากเหล่าหัวโจกทั้งหลาย รวมไปถึงเจ้ๆจอมอิจฉาด้วย)
“แล้ว...ที่ว่าเร็วขึ้นนี่ย้ายมาเป็นเมื่อไหร่ล่ะครับ?” เป็นคำถามที่ดูมีสาระคำถามแรกที่หลุดออกจากปากพี่ชายจอมเพ้อเจ้อ ...อืม ค่อยดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย (ยูยะ: แล้วที่ผ่านมาแกเห็นฉันเป็นตัวอะไร?)
“มะรืนนี้น่ะ เก็บของให้เรียบร้อยซะนะ พรุ่งนี้ไปโรงเรียนก็บอกเพื่อนๆด้วย พี่คุยกับอาจารย์พวกเราให้แล้ว” เป็นเรื่องด่วนจริงๆสินะ ไม่งั้นพี่ยูจิคงไม่เร่งขนาดนี้ โอเค! ยอมก็ได้
“เข้าใจแล้วครับ/ค่ะ พี่ยูจิ”
“ขอโทษจริงๆนะยูมะ”
“มันไม่ใช่ความคิดพี่นี่ อีกอย่าง...ทางนั้นเค้าคงขาดคนจริงๆ ไม่งั้นคงไม่เร่งพี่ที่เพิ่งได้ตำแหน่งหรอก” ทั้งๆที่บริษัทออกจะใหญ่โต แต่คนในระดับแนวหน้ากลับมีไม่พอ ทำไมถึงรู้น่ะหรอ? ก็ดูจากการเร่งของทางบริษัทที่ไม่คิดจะให้พี่ยูจิพักหายใจก่อนเข้าไปเผชิญหน้ากับแรงกดดันขนาดใหญ่ในบริษัทแม่ยังไงล่ะ!
“ยังไงก็เถอะ พรุ่งนี้ก็ลาเพื่อนๆซะนะ” พวกมันไม่ใช่เพื่อนเธอ! เธอว่าเธอบอกพี่ชายหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าปัจจัยอะไรทำให้พี่ท่านคิดไปได้ว่าเหล่าผู้ชายในโรงเรียนทั้งหลายเป็นเพื่อนเธอ ส่วนเพื่อนผู้หญิง...อืม ขอแค่ไม่วิ่งหนีหรือหน้าซีดเป็นลมก็ถือว่าใช้ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นไปอย่างที่กล่าวมาข้างต้นทั้งนั้นแหละ!
-เช้าวันรุ่งขึ้น-
เป็นไปอย่างที่คาดไว้ ผู้หญิงกว่าครึ่งโรงเรียนร้องไห้ฟูมฟายเป็นวรรคเป็นเวรเมื่อทราบข่าวการย้ายโรงเรียนของยูยะ แต่กับเธอ... ไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่เธอจะย้ายโรงเรียนเลยแม้แต่คนเดียว
แน่นอน! ถือว่านี่อยู่ในการคาดเดา ไม่มีความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษหรอก
“ได้ข่าวว่าจะย้ายหรอ? นัตสึ” ไม่มีใครในโรงเรียนนี้เรียกยูมะด้วยชื่อต้นแม้แต่คนเดียว(เอาจริงๆคือไม่มีใครกล้าเรียก) แม้แต่ยูยะ เวลาเจอหน้ากันมันก็เรียกเธอว่านัตสึ และแม้ว่าทั้งโรงเรียนจะรู้เรื่องที่เธอเป็นพี่น้องกับมัน แต่ด้วยเลเวลความโหดกับสกิลความบ้าเลือด(ที่ไม่ได้ตั้งใจ) ทำให้เพื่อนๆถอยห่างออกไปจากเธอมากกว่ามันอยู่โข
“อืม...พร้อมยูยะแหละ...ไม่นึกว่าแกจะสนใจนะ ชินะ?”
“ใจหายเหมือนกันนะเนี่ย...แบบนี้เรื่องสนุกๆในโรงเรียนคงหายไปเยอะเลย” ใช่! คงไม่มีวีรกรรมไล่กระทืบพวกขาโจ๋ที่รวมตัวกันจีบหญิงหน้าประตูโรงเรียนตอนเช้า ไม่มีภาพการท้าดวลของผู้ชายหลายๆคนกับเธอหนึ่งคนอีกแล้ว...มันคือสิ่งที่พวกอาจารย์ยากได้กันหนักหนา ..สมใจอยากแล้วล่ะมั้ง...
แล้ววันที่ต้องย้ายโรงเรียนก็มาถึง...ไม่อยากนึกสภาพตอนเจอเพื่อนใหม่ครั้งแรกเลย ท่าจะแย่
“นัตสึอากิ ยูมะ จากจังหวัดไซตามะค่ะ” เลือกที่จะสงบเสงี่ยมเจียมตัวไว้ และตั้งใจจะไม่โต้ตอบไม่ว่าใครจะมาหาเรื่องก็ตาม ยังไงการทำตัวไม่เป็นปัญหาก็จะได้ไม่เป็นภาระให้กับพี่ยูจิด้วย
การเรียนวันแรกจะผ่านไปด้วยดี ถ้าฉันไม่เจอกับ...โทคิ เด็กหนุ่มมาดนิ่ง ผู้แสนจะเต็มไปด้วยความเย็นชา และที่สำคัญ...กวนโมโหซะจนอยากต่อยซักเปรี๊ยง!! ทำไมน่ะหรอ? ก็เพราะอีตานี่บอกว่าเธอขวางทางเดินเขาน่ะสิ! ที่อื่นมีทำไมไม่เดิน ทำไมต้องมาเดินผ่านโต๊ะเธอด้วยมิทราบ!
“เธอขัดขืนPrince ไม่ได้นะยูมะซัง...เดี๋ยวเดือดร้อนแน่!” เด็กสาวที่นั่งอยู่ด้านหน้าหันมากระซิบบอกด้วยความหวังดี เธอเองถ้าทนได้ก็จะทนอยู่หรอกนะ
แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด หลังจากทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาในวันแรก ตานั่นก็ส่งคนมารังควาญไม่หยุดหย่อน นี่ก็ปาเข้าไปสองอาทิตย์แล้ว แต่การกลั่นแกล้งกันแบบเด็กๆนี้ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเสียที
“ยูมะ..หน้าแกซีดๆนะ เป็นอะไรรึเปล่า?” ยูยะถามด้วยความเป็นห่วงน้อง เพราะสภาพเจ้าตัวเริ่มจะร่อแร่เต็มทนจากการพยายามทำตัวเป็นเด็กดี
“อือ...ไม่เป็นไรพอทน แต่ถ้าเจออีกดอกฉันจะไม่ทนแล้ว” สองพี่น้องมักคุยกันแบบลับๆไม่ให้พี่ชายคนโตรู้เสมอ เจ้าพี่งี่เง่านี่จึงรู้เรื่องทุกๆอย่างเกี่ยวกับตัวเธอและวีรกรรมที่โรงเรียน
“เจ้าชายนั่น...มันทั้งเย็นชาและเลือดเย็น ไอ้วิธีแกล้งแบบเด็กๆอย่างนี้ มันไม่ใช่ไสตล์ของเจ้านั่นเลยนะ?”
“ตั้งแต่เปิดเทอมมาฉันก็มีเรื่องกับหมอนั่นแค่คนเดียว...แอ๊บเด็กดีซะขนาดนี้จะไปมีศัตรูที่ไหนอีกล่ะ?” ที่พูดมามันก็น่าคิด แต่กับเด็กใหม่ที่ไม่เคยเผยนิสัยที่แท้จริงออกมาอย่างเธอจะไปสร้างศัตรูที่ไหนได้โดยไม่เจอหน้า?
“เอาเป็นว่าระวังตัวดีๆ คราวนี้มันคงเล่นแรงกว่าเดิมมาก..อย่าพลั้งมือ อีกล่ะ” เตือนๆไว้แต่ฟังดูเหมือนจะปรามตัวเธอเองมากกว่า ว่าอย่าพลั้งมือส่งใครเข้าโรงพยาบาลอีก
“ถ้ามัน...ไม่เล่นฉันก่อนล่ะก็นะ” แน่นอนว่าเธอไม่รับปาก เพราะถ้าฝ่ายนั้นเล่นรุนแรงมา การเอาตัวรอดทุกวิธีทางก็ถือเป็นเรื่องปกติของเธอ
สุดท้ายที่ทายไว้กับพี่ก็เป็นเรื่องจริง...สองวันถัดมาหลังเลิกเรียน พวกมันก็ยกกันมาทั้งขโยง
...จะมาเล่นบอลกันรึไงฟะ?...
“โดนเข้าไปสองอาทิตย์กว่าแล้วยังไม่ย้ายโรงเรียนอีก นับว่าใจกล้ามาก...แต่ถ้าต่อต้านPrinceแล้วยังไงก็ต้องตายสถานเดียว!!” ถามหน่อยเหอะ ไปต่อต้านมันตรงไหน? กะอีแค่เดินผ่านโต๊ะแล้วชนไหล่หน่อยเดียวเนี่ยนะถือว่าต่อต้าน ประสาท!!!
“ฉันจะไม่ทนแล้วนะ...ยูยะ” นั่นเป็นคำสุดท้ายที่ฉันได้เอ่ยก่อนที่เจ้าพวกหมาบ้าจะรุมกรูกันเข้ามาใส่ อย่าคิดว่าฉันจะเหมือนผู้หญิงทั่วๆไปที่เจอผู้ชายข่มขู่แล้วต้องหงอนะ!
ผ่านไปยี่สิบนาที ร่างเด็กหนุ่มมากมายก็กองอยู่เบื้องหน้าอดีตเจ้าแม่แห่งจังหวัดไซตามะอย่างยูมะ เรียงรายอย่างกับศพ เฮอะ! เล่นกับใครไม่เล่น!
“ฝีมือดีนี่นา...นึกว่าเป็นผู้หญิงที่ความอดทนสูงอย่างเดียวซะอีก” เสียงนุ่มของใครบางคนดังขึ้นเบื้องหลัง เมื่อเหลือบตาไปมองก็พบกับตัวต้นเหตุหัวหน้าของเจ้าพวกนี้
เจ้าชายงี่เง่า!!! โทคิ!!!
“จะตามมาดูว่าฉันตายมั้ยรึไง?...ลูกน้องนายนี่ก็กระจอกดีนะ” อดที่จะเหยียดยิ้มเล็กๆไม่ได้ เพราะเจ้าพวกนี้ฝีมือสู้ไม่ได้แม้แต่ขี้เล็บของหัวโจกแถวๆไซตามะเลย
“พวกนั้นไม่ใช่ลูกน้องฉัน...แล้วเธอก็แค่ซวยที่โดนพวกมันใช้เป็นหนูทดลอง หึ! แต่ก็แปลกดี หนูทดลองกลับกลายหมาล่าเนื้อไปซะได้!” รู้สึกได้ถึงน้ำเสียงจิกกัด แต่เด็กสาวก็ยักไหล่กลับอย่างไม่ใส่ใจ
“ถ้าไม่ใช่ลูกน้องนายแล้ว...หือ? พวกต่อต้านของจริง!?”
“ฉลาดดีนี่ เธอนี่เยี่ยมเลยแฮะ ต่างจากยัยพวกผู้หญิงที่วันๆเอาแต่กรี๊ดจริงๆ!” โอเค! หน้าตาหมอนี่ก็ดีอยู่หรอกนะ แต่ปากน่ะขอเหอะ! หมาไม่รับประทานเลยจริงๆ
“ก็แค่...ฉันไม่ใช่ผู้หญิงปกติ”
“ฮาคิโมโตะ โทคิ ยินดีที่ได้รู้จักนะ...หมาล่าเนื้อ” ฉายานี้มันน่าดีใจมั้ยเนี่ย?
“นัตสึอากิ ยูมะ...ยินดีเช่นกันนะ เจ้าชายจอมปลอม!” เขาอึ้งไปเล็กน้อยเพราะคงไม่คิดว่าเธอจะตอบกลับแบบแสบๆได้ ก็บอกแล้ว...ว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงปกติ หึๆ
เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างหนึ่งที่เธอมีเพื่อนคนแรกเป็นเจ้าชายจอมปลอมปากร้ายที่สาวๆหลงไหลกันเกือบค่อนโรงเรียน และจะไม่แปลกไปมากกว่านั้นถ้ามันไม่ทำตัวแปลกๆอย่างการหนีบเธอไปไหนมาไหนด้วย
“แกจะฆ่าฉันรึไงโทคิ! เล่นลากฉันไปไหนมาไหนด้วยเนี่ย!!”
“ฆ่าแกยังไง? ปกติก็หนังเหนียวตายยากอยู่แล้ว ผู้ชายยี่สิบกว่าคนก็เป็นศพเพราะแกมาแล้ว...กลัวไร?”
“กลัวโดนชะนีรุมตบ!!! แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริงฉันจะกลับมาเล่นงานแก!” หันไปแยกเขี้ยวใส่ แต่ก็ได้รับเสียงหัวเราะเยาะเย้ยกลับมาแทน ฮึ่ย! มันน่าตบกบาลซักทีสองที!!
ไม่น่าเชื่อว่าเวลาเพียงแค่สองอาทิตย์จะทำให้คนที่เคยไม่ชอบขี้หน้ากันสนิทกันได้ขนาดนี้ ณ ปัจจุบัน โทคิถือว่าเป็นที่สนิทที่สุดของเธอ ถึงขนาดที่ว่าเคยไปกินข้าวที่บ้าน พี่ยูจิและยูยะเองก็ยังรู้จักมัน และที่สำคัญ
มันรู้เรื่องที่เธอเคยเป็นเจ้าแม่ตอนอยู่ที่ไซตามะ!!!
“จะว่าไป...ทำไมมาโรงเรียนนี้แล้วแกไม่ออกลายล่ะ?” ถามแต่คำถามได้น่าเตะมาก สมฉายาเจ้าชายปากร้ายที่ตั้งให้จริงๆ ให้ตายเหอะ!
“ฉันไม่อยากสร้างภาระให้พี่ยูจิ...ถ้าเรียนจบที่นี่ได้อย่างไม่มีปัญหา พี่คงเบาใจ”
“งั้นทำไมตอนอยู่ที่โน่นไม่ทำแบบนั้นล่ะ?”
“นึกว่าไม่อยากทำรึไง? ฉันเป็นพวกรักสงบนะ! ...เพราะทำไม่ได้น่ะสิ ที่นั่นพวกเด็กเกเรไม่ได้มีแค่คนสองคนหรอกนะ แต่มีมากกว่าร้อยคน จนแทบจะตั้งโรงเรียนใหม่ได้เลย ถ้าฉันไม่สู้ก็ไม่มีทางที่มันจะจบ พวกนั้นจะแห่กันมาเรื่อยๆจนกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะ!” เธอต้องตีตั๋วทัวร์นาเม้นท์แทบทุกวันตอนอยู่ที่นั่น จะเรียกว่ายังไงดี? ฝึกฝีมือรึก็ไม่ใช่!? เพราะยังไงพวกมันก็กระจอก แต่นานๆทีก็มีพวกกระดูกแข็งๆมาให้เล่นด้วยเหมือนกัน
“ปากก็บอกว่ารักสงบ...แต่ฝีมือไม่ใช่เล่นๆเลยนะ ฝึกมาจากไหนหรอ?”
“จะอยากรู้ไปทำไม ไม่ใช่เรื่องน่าอวดหรอก...ว่าแต่แกเหอะ รู้รึยังว่าตกลงหัวโจกพวกแอนตี้แฟนน่ะ มันใคร?” หลังจากสนิทกันได้ไม่นาน เธอกับเขาก็ร่วมมือกันหาต้นตอความไม่สงบของโรงเรียนนี้ อันได้แก่ แอนตี้แฟนPrinceที่แท้จริง ซึ่งจะคอยดูว่าใครไม่ชอบขี้หน้าโทคิ และจะจู่โจมกลั่นแกล้งคนๆนั้นเหมือนที่เธอเคยโดน ยิ่งเป็นเด็กใหม่ยิ่งเล่นง่าย และเมื่อเกิดภาพลักษณ์ไม่ดีต่อPrince แฟนคลับก็จะลดลง แต่คราวของเธอนั้นพวกมันพลาด คงเพราะไม่คิดว่าเหยื่อ จะกลายเป็นผู้ล่าได้ ยิ่งตอนนี้หมาล่าเนื้อที่ว่านั่นได้เป็นเพื่อนกับPrince แล้วด้วย มีแต่จะเพิ่มแฟนคลับขึ้นทุกวันๆ
“ก็พอเดาออกนะ เพราะหัวโจกที่เหม็นขี้หน้าฉันจริงๆมีไม่กี่คนเอง...ที่เหลือก็แค่พวกหมั่นไส้แล้วเล่นตามน้ำ”
“แกนี่...สร้างศัตรูได้โดยไม่ต้องไปต่อยตีใครเลยนะ ยอดจริงๆ!” ประชดเข้าให้อีกหนึ่งดอก คราวนี้เล่นเอามันหันมาทำหน้ามุ่ย
“ฉันก็ไม่ได้อยากมีหรอกไอ้หน้าตาแบบนี้น่ะ! ช่วยไม่ได้นี่หว่า ก็คนมันหล่อ!” เหอะ! ลองแม่ชะนีพวกนั้นมาเห็นนิสัยจริงๆของแกก่อนเถอะโทคิ...ดีไม่ดีแอนตี้แฟนอาจจะไม่ต้องลงมือก็ได้ เพราะแฟนคลับจะสลายหายไปเอง
“ฉันก็สงสัยเหมือนกัน...ว่าทำไมแกไม่เผยนิสัยจริงต่อหน้ายัยพวกแฟนคลับนั่น?” อันนี้เป็นข้อสงสัยส่วนตัวเล็กๆที่เธออยากรู้มานานแล้ว เพราะตั้งแต่คบกันมา ยูมะยังไม่เคยเห็นใครคุยกับหมอนี่แบบปกติเหมือนเธอเลย
“เขาเรียกว่า...การสร้างภาพลักษณ์ หึ! แม่ฉันเป็นนักแสดง ส่วนพ่อเป็นนายตำรวจใหญ่ เรื่องธรรมาดาที่ไม่ว่าใครๆก็อยากเข้าใกล้ เมื่อก่อนฉันมีเพื่อนเป็นขโยงเลยล่ะ” เอาง่ายๆก็เหมือนเด็กมีปัญหา แถมหนักกว่าเธอซะอีก คงเพราะเคยโดนหักหลัง...รึยังไงนะ?
“ช่างเถอะ! ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร ไว้อยากพูดให้ใครฟังเมื่อไหร่ก็บอกได้นะ...จะฟังให้” ยื่นมือไปตบไหล่เบาๆราวกับจะปลอบตามแบบฉบับของเธอ เจ้าชายตัวแสบที่ตอนแรกทำหน้าเอ๋อ จึงยิ้มน้อยๆกลับมาให้
“ขอบใจนะ” ...ไม่เป็นไร เพื่อนกัน... ก็อยากจะพูดคำนี้อยู่หรอก แต่ทุกคนที่เธอพูดแบบนี้ใส่มันจะลาจากสถานะนี้ไปหลังจากที่พูดได้ไม่นานเสมอ
สองสัปดาห์ต่อมา...ชะตาของยูมะก็เข้าขั้นวิกฤต นอกจากจะโดนแฟนคลับของอีตาเจ้าชายปากร้ายนั่นตามรังควาญแล้ว เธอยังโดนเหล่าแอนตี้แฟนตามตื้อให้เข้ากลุ่มอีกด้วย
“โอ๊ย! พอที! ฉันบอกไปกี่รอบแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไรกับหมอนั่น!!” เด็กสาวตะโกนกลับไปด้วยอาการคล้ายคนสติแตกในขณะที่ขาก็วิ่งไม่หยุดไปบนระเบียงทางเดินของอาคารเรียน
“ไม่จริง!! ต้องมีซัมธิงอะไรแน่ๆ ไม่งั้นฮาคิโมโตะคุงจะสนิทกับเธอขนาดนั้นได้ยังไง!!” ยังคงตามมาไม่เลิกรา แม้ว่าจะได้คำตอบที่เป็นข้อเท็จจริงไปแล้วก็ตาม
“หวา!!” โดยไม่ทันได้ตั้งตัว มือหนาของใครซักคนก็ดึงเธอเข้าไปอยู่ในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่ปิดม่านมืดจนมองไม่เห็นภายใน เธอยืดตัวขึ้นหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดเต็มที่ทันทีที่เป็นอิสระ ก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่ช่วยเหลือแบบไม่ออกเสียง
“โทคิ!?” เพราะรีบร้อนหันเกินไปหน่อย ใบหน้าของทั้งคู่เลยอยู่ใกล้กันมาก แต่กับเด็กที่ความรู้สึกช้าอย่างยูมะ แค่นี้ไม่สะทกสะท้านหรอก...กลายเป็นฝ่ายเจ้าเด็กหนุ่มเอง ที่หน้าแดงแปร๊ดขึ้นมาซะเฉยๆ
“อ๊ะ! โทษทีๆ แกไม่เป็นไรนะ?”
“อือ แต่ก็เกือบตายเหมือนกัน...จะอะไรกันนักกันหนา?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเป็นปม ใบหน้าขาวมีเหงื่อผุดพรายเป็นหย่อมๆ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าก่อนหน้านี้เธอเจออะไรมาบ้าง
“โดนอะไรมาบ้างเนี่ย?”
“ทึ้งผม ตบหน้า กระชากเสื้อ สารพัดจะทำ พวกผู้หญิงนี่น่ากลัวชะมัด!”
“แกพูดอย่างกับตัวแกเองไม่ใช่ผู้หญิงงั้นแหละ!”
“ก็ใช่...แต่ไม่ปกติไง” จบบทสนทนาด้วยคำพูดเรียบง่ายแต่ตรงประเด็นของเธอเอง ใช่! เพราะเธอไม่ใช่เด็กผู้หญิงเหมือนยัยพวกนั้น เรื่องความคิดแบบทั่วๆไปจึงไม่ต้องพูดถึง และมันก็ไม่จำเป็นสำหรับเธอในตอนนี้ด้วย
“แต่ฉันยังอยากให้แกเป็นผู้หญิงอยู่นะ...” คำพูดแผ่วๆแบบแฝงความหมายนั่นส่งไปไม่ถึงเด็กสาว เพราะเด็กหนุ่มแอบพูดกับตัวเองเบาๆหลังจากที่เพื่อนสาวลุกออกไป
อาทิตย์ถัดไป เรื่องเหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้นแต่เช้า...เมื่อเปิดประตูบ้านมาแล้วเจอเจ้าเพื่อนบ้ายืนอยู่หน้าประตู อดไม่ได้ที่จะเอ๋อค้างไปหลายวิ ก่อนจะเรียกสติแล้วถามกลับ
“มาทำไรหน้าบ้านฉัน?”
“มารับไง! ไปโรงเรียนกัน!”
“เกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมาอีกล่ะ? ฉันขี้เกียจวิ่งหนีแฟนๆนายแล้วนะ!” เพราะหมอนี่ชอบแกล้งเธออยู่ทุกวัน บางวันก็เข้ามากอดคอบ้าง โอบไหล่บ้าง ไปกินข้าวด้วยกันก็เช็ดแก้มให้บ้าง จูงมือบ้าง สารพัดอย่าง มันถึงได้มีข่าวลือแปลกๆออกมา และแล้วบรรดาแฟนคลับก็เริ่มตามไล่ล่าเธอ!! แม้จะอดคิดไม่ได้ว่าโทคิดูอ่อนโยนแล้วเข้าใกล้ได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน แต่เธอก็ไม่คิดว่าเขาจะสนิทกับเธอได้มากขนาดนั้น
“เดี๋ยวถึงโรงเรียนก็รู้เองแหละ...มีอะไรจะให้ดู” ยิ้มแฉ่งกลับมาให้อย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรเลย แหงล่ะ! มันน่ะสนุกแต่เธอน่ะเกือบตายนะจะบอกให้!!!
ที่โรงเรียนดูคึกคักมากกว่าทุกวัน...คงเพราะวันนี้เจ้าชายรูปงามของโรงเรียนเดินจูงมือสาวน้อยหน้าใสแต่หัวใจโหดร้ายมาด้วย ท่าทางของทั้งสองคนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งดูร่าเริงแจ่มใส รัศมีบ่งบอกถึงความดีใจอย่างสุดซึ้ง แต่กับอีกคน แทบอยากจะกลายเป็นฝุ่นแล้วปลิวหายไปซะเดี๋ยวนั้น
“ทำหน้าอย่างกับจะไปฆ่าใครอย่างั้นแหละ เดินกับฉันมันแย่นักรึไง?” เมื่อท่าทางของเพื่อนสาวเหมือนคนกำลังจะตาย เด็กหนุ่มเลยคลายมือออกจะแขนของเธอเล็กน้อยพลางทำหน้ามุ่ย
“แกไม่โดนเล่นงานแบบฉันแกไม่รู้หรอก...แรงหึงของเด็กผู้หญิงน่ะ น่ากลัวอย่างกับอะไรดี!!” ถึงจะรู้ว่าเพื่อนแค่แกล้งเธอก็ตาม แต่ยามที่มองดวงตาของอีกฝ่ายแล้วพบความเจ็บปวดอยู่ลึกๆ เธอก็อดไม่ได้ที่จะคล้อยตามไปทุกที
“ไม่มีใครทำอะไรเธอหรอก! เชื่อฉันสิ!” แม้จะยังงงๆอยู่บ้าง แต่ยูมะก็เดินตามเพื่อนไปแต่โดยดี แล้วความสงสัยทุกๆอย่างก็กระจ่าง เมื่อทั้งคู่เดินไปถึงห้องเรียน
บนกระดานดำเขียนตัวหนังสือตัวใหญ่เท่าฝาบ้านว่า
‘คบกับฉันเถอะนะ! ยูมะ!!’ ถึงเธอจะหัวสมองช้าขนาดไหนก็ตาม แต่แบบนี้มัน...
“คบกับฉันเถอะนะ...ยูมะ!” เมื่อเด็กหนุ่มหันมาพูดกับเธอด้วยประโยคเดียวกันกับบนกระดานนั้นเอง ทำให้สติของเด็กสาวกลับเข้าร่าง ใบหน้าขาวแดงซ่านด้วยความอาย แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ และที่สำคัญ
เธอกำลังตกเป็นเป้าสายตาของแฟนคลับทั้งห้อง!!!
“อ๊ะ! ยูมะ! เดี๋ยว!” มือที่ยื่นออกไปคว้าได้เพียงแค่ความว่างเปล่า เพราะเด็กสาวที่เขาขอคบด้วยนั้นหันหลังกลับแล้ววิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปตามทางระเบียงทางเดินของอาคารทันที
“หยุดนะ!!! ยัยคนหลอกลวง!! ไหนบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรไงยะ!!”
“นี่มันบ้าอะไรกัน! อธิบายมานะ!!” สารพัดเสียงโวยวายดังตามหลังเธอมาเรื่อยๆ ยูมะยังคงมองซ้ายมองขวาหาทางหนีทีไล่เอาตัวรอดด้วยความรวดเร็ว
“ยูมะ!?” ส่วนโทคิที่ถูกทิ้งให้ไม่รู้เหนือรู้ใต้อยู่คนเดียวเพิ่งเริ่มตระหนักถึงอันตรายที่เพื่อนสาวจะได้เจอ ถ้าหากเธอคบกับเขาจริงๆ ...นี่ยูมะลำบากขนาดนี้เลยหรอเนี่ย!?...
เกินไปแล้วนะ! ล้อเล่นแบบนี้มันแย่ที่สุดเลย!!
ใบหน้าขาวใสที่ยังคงซับสีเลือดจางๆทั้งจากการวิ่งหนีบวกกับความอายเรื่องเมื่อครู่นี้ไม่หาย มุ่ยลงเล็กน้อยยามนึกถึงใบหน้าของคนขี้แกล้งที่ตอนนี้คงกำลังขำเธออยู่แน่ๆ
“บ้าที่สุด...เจ้านั่น!” อย่าคิดว่าคนอื่นเค้าจะไร้ความรู้สึกหรือขี้เบื่อหน่ายแบบตัวเองจะได้มั้ย? เจอแบบนี้ทุกวันหัวใจเธอจะวายตายเอาได้นะ!!!
เคยคิดเสมอว่าเรื่องพวกนั้นมันไม่จำเป็นสำหรับเธอ แต่ทว่าไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ว่าทุกครั้งที่เผลอ เธอจะมองตามแผ่นหลังและใบหน้าของเพื่อนหนุ่มอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ มันไม่ใช่ความรู้สึกที่โจ่งแจ้ง แต่ก็แอบปวดใจอยู่ลึกๆ ในทุกๆครั้งที่เขาแหย่เธอเล่น
...จะทนได้ถึงเมื่อไหร่กันนะ?...
“ยูมะ! นึกแล้วว่าแกต้องอยู่ที่นี่” ยังไม่ทันจะหายเหนื่อยดีตัวต้นเหตุก็โผล่หน้ามา เจ้าของชื่อทำเพียงแค่ปรายตามองเล็กน้อย ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“โกรธหรอ?” แววตาของเด็กหนุ่มเจือความกังวลเล็กน้อย เพราะปฏิกิริยาของเธอแตกต่างไปจากทุกที
“จะทำอะไรให้มันมีขอบเขตบ้าง...นายจะล้อเล่นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน?” มันไม่ใช่ความโกรธ แต่เธอไม่พอใจที่เขาเอาความรู้สึกคนรอบข้างมาเล่นมากเกินไป กับเธอยังไม่เท่าไหร่ แต่กับเหล่าแฟนคลับทั้งหลายที่ศรัทธาในตัวของเขาเล่า? จะรู้สึกยังไงหากได้รู้ความจริง
“ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ!”
“เลิกแกล้งฉันซักที! นายจะแกล้งเรื่องอะไรฉันไม่ว่า แต่อย่าเอาความรู้สึกของคนอื่นมาเป็นเครื่องมือหาความสนุกใส่ตัวเองจะได้มั้ย? ฉันขอร้อง!” เด็กสาวใช้ความพยายามอย่างหนักหน่วงเพื่อไม่ให้น้ำตาที่คลออยู่เต็มเบ้าไหลออกมา แต่เมื่อเพื่อนชายไม่มีท่าทีว่าจะตอบรับ ความอดทนทุกอย่างก็พัทลายลง
“พอที! ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้อีกแล้ว! อยากจะทำอะไรก็เชิญ แต่อย่ามายุ่งกับฉันอีกนะ!!”
“ยูมะ! เดี๋ยว! ฉัน...” ยังไม่ทันจะได้อธิบายอะไรเพื่อแก้ความเข้าใจผิดของเพื่อนสาว เธอก็วิ่งหนีหายไป
แล้ววันนั้นทั้งวันเขาก็ไม่เห็นเธออีก พอลองถามเพื่อนในห้องดูก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า กลับไปแล้ว ขอกลับก่อนเพราะพี่ชายมารับ
ตั้งแต่พ่อกับแม่ตาย...นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นน้องสาวคนนี้ร้องไห้
ยูยะเดาสาเหตุออกได้ทันทีว่าเพราะอะไร ไม่มีทางที่เขาไม่รู้เรื่องของเธอ ใช่! รวมไปถึงเรื่องที่เธอไม่เคยรู้ด้วยว่า
...เจ้าเพื่อนสนิทคนนั้น คิดไม่ซื่อกับเธอ...
“ท่าจะแย่แฮะ...อีแบบนี้” หมอนั่นก็ขี้ขลาด ส่วนเจ้าน้องบ้าของเขาก็ซื่อบื้อ เห็นทีถ้าพี่ชายทั้งสองไม่ลงมือ เรื่องนี้คงไม่จบแน่ๆ
“พี่ยูจิ”
“จะออกไปข้างนอกใช่มั้ย? งั้นเดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อนยูมะเอง ไปเถอะ” ดีที่วันนี้บริษัทแม่ของพี่ท่านไม่เรียกตัว จะว่าเป็นวันหยุดพิเศษก็คงได้ ถือเป็นโชคของพวกเขา
“งั้นผมไปล่ะนะ” งานนี้คุณพี่ชายขอทำหน้าที่พี่ที่ดีหน่อยละกัน
หลังจากที่ยูยะออกไปได้ไม่นาน ยูจิก็ยกชาอุ่นๆมาให้น้องสาวคนเล็ก เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อยราวกับเพิ่งรู้สึกตัว ท่าทีเช่นนั้นทำให้พี่คนโตยกมือขึ้นลูบหัวเธอเบาๆ
“ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ วันนี้พี่จะอยู่เป็นเพื่อนเราเอง” ...ไม่จำเป็นต้องเล่า เพราะเขารู้ทุกอย่าง กับน้องสาวที่ชอบปิดปากเงียบราวกับป่าช้าเฉพาะเรื่องตัวเองแบบนี้ คนเป็นพี่อย่างเขากับยูยะก็ต้องเป็นห่วงเป็นธรรมดา ยูมะเป็นเด็กที่เก็บความรู้สึกเก่งมาก เพราะฉะนั้นถ้าไม่คอยมองตามเธอตลอดเวลาพวกเขาจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
“ฉัน...ทำให้พี่ลำบากรึเปล่า?” จู่ๆเจ้าน้องตัวแสบก็ถามเขาขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ชายหนุ่มก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นน้อง ...คงคิดว่าตัวเองเป็นภาระของพวกเขาสินะ...
“ไม่มีใครลำบากเลยยูมะ...พวกเราทุกคนทำเพื่อครอบครัว ไม่มีใครลำบากหรอก”
“แต่ว่า...”
“เธอเป็นน้องสาวคนเดียวของพวกเรานะ...ถ้าพี่ไม่ปกป้องน้องแล้วใครจะทำ” มือหนายื่นออกไปลูบหัวเด็กน้อยเบื้องหน้าราวกับจะปลอบ น้ำตาที่คลออยู่ก่อนแล้วจึงเริ่มไหลรินอาบแก้มเนียน
ถึงจะไม่เกี่ยวกันเลยก็เถอะ...ถึงจะเป็นแค่เรื่องงี่เง่าของเธอคนเดียวก็เถอะ แต่ดันทำให้พี่สองคนต้องมาเดือดร้อนเสียได้... เธอนี่มันใช้ไม่ได้จริงๆ ยูมะ!!!
ทางด้านยูยะ เขากำลังเจอปัญหาใหญ่เมื่อเดินมาเจอกับ...ศพเดินได้ที่สวนสาธารณะใกล้ๆบ้าน!!
“เจ้ายูมะนี่สุดยอดไปเลยแฮะ...ทำให้ผู้ชายกลายเป็นตอไม้ก็ได้ด้วย!” อดพึมพำด้วยความทึ่งไม่ได้ แม้จะรู้ต้นสายปลายเหตุดีอยู่แล้วก็ตาม
“พี่...ยูยะ?” เขายิ้มแฉ่งให้อีกฝ่ายที่ทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้ ถึงจะรู้ว่าเจ้านี่ทำหน้าแบบนี้เพราะน้องสาวของเขาเอง แต่ก็อดสะใจอยู่ลึกๆที่มันร้องไห้ไม่ได้...เห็นแบบนี้ก็เถอะ ยังไงเขาก็รักน้องของเขานะ!!
“ว่าไง! ได้ข่าวว่าประกาศกลางห้องเลยหรอ?”
“ยูมะเกลียดผมรึเปล่าครับ!” ประโยคแรกที่ถามไม่ใช่เรื่องที่ว่า คำตอบของเด็กสาวเป็นอย่างไร หรือว่ามีข่าวเสียๆหายๆหรือไม่ สิ่งที่เด็กหนุ่มตรงหน้าสนใจมีอยู่เพียงเรื่องเดียว
...เพื่อนของเขาคนนั้น เกลียด เขารึเปล่า?...
“ใจเย็นน่ะ เจ้านั่นไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นหรอก” เขาปรามไว้ก่อนที่มันจะสติแตกคิดอะไรเลยเถิดไปไกลจนพาตัวเองลงเหว โทคิยอมสงบสติอารมณ์ของตนเองแต่โดยดีแล้วนั่งลงเงียบๆ
“มันว่าไงบ้างครับ?”
“หุบปากเงียบสนิท...คงไม่คิดว่าทั้งฉันและพี่ยูจิจะรู้ทั้งคู่ แกเองก็เถอะ เพราะเอาแต่เล่นเกินไปนั่นแหละ เด็กซื่อบื้ออย่างยูมะเลยพาลคิดว่าแกแค่ล้อมันเล่นตลอดเวลา แล้วเจ้าบ้านั่นก็เป็นพวกคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง คงจะรู้สึกสงสารแม่แฟนคลับของนายพวกนั้นล่ะมั้ง” สมกับเป็นพี่ชายที่รู้ใจมากที่สุด วิเคราะห์ออกมาได้เป็นฉากๆไม่มีหลุดขั้นตอน แน่นอน! คิดว่าเขารับมือกับเจ้านั่นมากี่ปีกันล่ะ?
“ผม...”
“อย่ามาทำตัวงี่เง่า! ถ้าคิดจะจีบน้องสาวฉันมันต้องทุ่มสุดตัว...คนอย่างยูมะไม่มีทางรับรู้ความรู้สึกใครง่ายๆได้ถ้าแสดงออกไม่ชัดเจนนะ” ถือโอกาสสั่งสอนซะเต็มคราบ รู้สึกว่าตัวเองเป็นพี่ชายจอมหวง แกล้งเด็กผู้ชายที่จะมาจีบน้องสาวตัวเองอยู่ก็มิปาน
“ถ้างั้น...” แล้วคำพูดที่ออกมาจากปากเด็กหนุ่มเป็นคำสุดท้ายในวันนั้นก็ทำให้ดวงตาของคนเป็นพี่ชายต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจผสมทึ่ง
เช้าวันถัดมา ที่โรงเรียนมัธยมในโตเกียว
เช้าวันนี้สำหรับยูมะดูน่าหดหู่กว่าทุกวัน เธอไม่มีแรงไปสู้รบตบมือกับแฟนคลับของเพื่อนหนุ่มอีกแล้ว อันเนื่องมาจากเหตุการณ์เมื่อวานที่ทำเรี่ยวแรงหายไปไม่เหลืออะไรเลย
...เหนื่อย... ในหัวมีแต่เพียงคำๆนี้เท่านั้น กะว่าถ้ามีคนเข้ามารุมตบก็จะยอมเจ็บตัวปล่อยให้มันจบๆไป ไม่เอาแล้ว!... ไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรอีกแล้ว... ถึงแรกๆจะรู้สึกสนุกแล้วบ้าตามมันไปด้วยก็เถอะ แต่เธอรู้สึกว่าเรื่องมันชักจะเลยเถิดมากขึ้นทุกทีๆ
“อ๊ะ!” พอเปิดประตูห้องเรียน กุหลาบสีขาวช่อหนึ่งก็ถูกยื่นมาตรงหน้า ตามมาด้วยร่างสูงหล่อขวัญใจของสาวๆทั้งโรงเรียน ในตอนแรกเธอกำลังจะถอนหายใจพลางคิดว่า ‘หมอนี่เอาอีกแล้ว’ แต่พอเจอสายตาแปลกๆจากเพื่อนทั้งห้องรวมไปถึงเหล่าแฟนคลับที่ไม่เข้ามารุมทึ้งเธอ ก็ทำให้เด็กสาวแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา
...นี่มันเรื่องอะไรกัน?...
“ยูมะ...ฉันรักเธอ” ไม่ใช่คำว่า ‘ชอบ’ เหมือนทุกทีที่หมอนี่จะพูดเวลาแกล้งเธอเล่น รวมไปถึงใบหน้าของคนพูดที่แดงแจ๋จนเธอสังเกตเห็น ทั้งๆที่ปกติแทบไม่เคยมองหรือใส่ใจ(จะมีบ้างที่แอบมองหรือเผลอมองโดยไม่รู้ตัว)
“ประสาทกลับรึไง!?” ลองสวนกลับไปแบบปกติ เพื่อจะดูว่าจะเล่นมุกอะไรต่อ แต่ท่าทางของคนตรงหน้าไม่ได้ล้อเล่น เขาจริงจังกับทุกคำพูดที่บอกไป
“ฉันพูดจริง ‘ฉันรักเธอ’ ยูมะ...แล้วฉันก็พูดเรื่องนี้กับเพื่อนๆทุกคนแล้วด้วย!”
“ทุกคน? รวมแฟนคลับนายด้วยน่ะหรอ? ไม่มีทาง พวกเธอไม่มีทางยอมรับได้หรอก!”
“ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้นล่ะ? คิดว่าพวกฉันจะใจแคบรึไง? คุณหมาล่าเนื้อ” เป็นอันรับรู้กันทั่วโรงเรียนแล้วอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือฉายาของฉันที่โทคิตั้งให้ ‘หมาล่าเนื้อ’ ฉายาที่บ่งบอกถึงความเป็นเบี้ยล่างอย่างชัดเจน
...ไม่เหมาะกับมันที่เป็นเจ้าชายเลยแม้แต่น้อย แกมีหัวคิดมั่งรึเปล่าโทคิ!?...
“เธอเป็นคนทำให้เจ้าชายของเราเปลี่ยนไป ยูมะ! ภายในเวลาแค่ไม่กี่เดือน พวกเราสามารถยอมรับได้เพราะว่าเป็นเธอ เมื่อเช้า โทคิซังมาขอร้องให้พวกเรามาพูดกับเธอ เพราะฉันได้ข่าวมาว่าเธอความรู้สึกช้ามาก”
“หา!?”
“นี่เธอยังไม่เข้าใจอีกหรอ? เจ้าชายของพวกเราสารภาพรักกับเธอยังไงล่ะ! ยัยหมาล่าเนื้อ!!” สมองขาวโพลนไปนานหลายวินาที กว่าเด็กสาวจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรผู้ชมทั้งห้องก็เกือบจะช็อคขาดใจกันเสียแล้ว
“ท...ทำไม?” พูดได้แค่นั้นแล้วก็นิ่งค้างไปอีก คงเพราะเธอไม่คุ้นชินกับเรื่องพวกนี้มากเท่าใดนัก ตลอดเวลาทั้งชีวิตสิบกว่าปีที่ผ่านมาผู้ชายที่ทำตัวเป็นปกติเหมือนกับว่าเธอคือเด็กสาวมีเพียงแค่สองคนเท่านั้น
นั่นคือยูจิและยูยะ (แม้ว่ารายหลังจะทำแบบครึ่งๆกลางๆก็ตาม) และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเธอถึงได้ ‘ทึ่ม’ ในสกิลเลเวลที่สูงกว่าคนปกติมากนัก
“ยูมะ...”
“เดี๋ยวก่อน! ขอเวลานอก!” ใบหน้าขาวเริ่มซับสีเรื่อก่อนจะกลายเป็นแดงแปร๊ดเมื่อสมองประมวลผลได้ สองมือยกขึ้นค้างกลางอากาศเพื่อกันไม่ให้ใครก็ตามเข้าใกล้เธอได้ในตอนนี้ ยูยะที่แอบยืนมองอยู่วงนอกถึงกับหลุดขำ เมื่อน้องสาวตัวแสบของพวกเขาเริ่มพูดตะกุกตะกัก แถมเสียงยังเบาขนาดที่ว่าได้ยินกันแค่สองคนกับเพื่อนซี้ของเจ้าตัวเอง และที่สำคัญเจ้าเพื่อนคนนั้นดันเป็นคนที่สารภาพรักกับมันด้วย!
“ฉัน...” ผลสุดท้ายเจ้าชายจอมปลอมของโรงเรียนก็หน้าแดงยิ่งกว่าเก่าด้วยฝีมือของคนที่เขาอายนักอายหนาและไม่กล้าพูดเรื่องพวกนี้ด้วยมากที่สุด...ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ก็เจ้ายูยะนั่นแหละ!!!
“ฉันกำลังคิดอยู่เลยว่า...ฉันแอบชอบนาย...ตั้งนานแล้ว” คำพูดน่าอายแบบนี้ ไม่รู้ว่าพูดออกไปได้ไงเนอะ!
ความคิดเห็น