คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2
ตะกร้าผลไม้ถูกวางลงบนโต๊ะอย่างนิ่มนวล เด็กหนุ่มจัดแจงทำความสะอาดโบสถ์อยู่อย่างเพลิดเพลิน หวังว่าสักวันจะมีคนแวะเข้ามาที่นี่บ้าง..สักคนก็ยังดีนะ...
แต่คงจะเป็นไปได้ยาก เรื่องแบบนั้นก็เข้าใจอยู่ สำหรับโบสถ์หลังเล็กๆที่อยู่กลางป่าห่างไกลจากหมู่บ้านและผู้คนเช่นนี้ แค่มีเพียงนักเดินทางไม่กี่คนแวะผ่านมาก็นับว่าดีแล้วล่ะ..
อีกด้านหนึ่งปิศาจหนุ่มสองตนเมื่อครู่กำลังลอบเข้ามาในโบสถ์จากทางหลังคา ลัดเลาะลงมาเรื่อยๆจนผ่านเข้ามาทางด้านหน้าต่างบานใหญ่ของโบสถ์ที่เปิดอยู่
ทั้งสองเดินลงมาอย่างชิวๆราวกับเป็นบ้านของตนก็ไม่ปาน ทำเอาคนเฝ้าโบสถ์อย่างเอแคลร์ชะงักปนสะพรึงไปทันทีที่เห็นผู้มาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญ
“ข..เข้ามาได้ยังไงน่ะ!”
“อ้าว..เธออยู่ที่นี่หรอกเหรอ?” โรมิโอและจูเลียตถามพลางทำหน้าตาใสซื่อ
“บาทหลวงก็ต้องอยู่ที่โบสถ์สิครับ” เอแคลร์ตอบ
“ ก็ไม่นึกว่าจะอยู่ที่โบสถ์นี้นี่นา” ฝาแฝดอธิบาย
“ ว่าแต่พวกท่านเถอะ มาทำอะไรที่นี่กัน..” เด็กหนุ่มย้อนถาม
“พักชั่วคราว” สองปิศาจว่าพลางยิ้ม
บาทหลวงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาว่า
“งั้นเหรอ..งั้นเชิญพักตามสบายนะครับ ถ้าขาดเหลืออะไรเรียกผมได้นะ ถ้าหาได้ก็จะหาให้”
“เห..ง่ายดีจัง” จูเลียตเปรย
“ ใจดีจังนะครับ” โรมิโอบอกพลางยิ้ม ปกติพวกบาทหลวงจะแอนตี้ปิศาจมากแท้ๆ
“ก็พวกท่านไม่ได้ทำร้ายใครนี่..ทำไมผมต้องใจร้ายใส่ด้วยล่ะ” เอแคลร์พูดพลางหัวเราะออกมาเบาๆ
“สมกับเป็นบาทหลวง” สองฝาแฝดพึมพำเบาๆ อย่างชื่นชม
“อ๊ะ..จะค้างที่นี่รึเปล่า เดี๋ยวผมจะหาห้องให้?” เอแคลร์ถาม และเดินเข้าไปหาห้องว่างให้ทันทีเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้า จูเลียตเลือกที่จะเดินสำรวจรอบๆโบสถ์ ส่วนโรมิโอเลือกที่จะยืนรออยู่เฉยๆ จนกระทั่งเห็นร่างบางเดินออกมา
“ ผมเตรียมห้องไว้ให้แล้วนะครับ เข้าไปพักได้เลยนะ” เอแคลร์เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณครับ” ไม่ว่าเปล่า ร่างสูงโน้มลงมาหอมแก้มขาวๆของอีกฝ่ายทันที ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกรีบถอยหลังหนีทันที
“ที่นี่มีคนอื่นอยู่อีกไหม?” จูเลียตถามขึ้น
“..ไม่มีครับ ที่นี่มีผมคนเดียว” เสียงนุ่มตอบ
กลางป่าแบบนี้..แต่ก็ต้องอยู่คนเดียว...
“ ว้า..น่าจะมีซิสเตอร์สวยๆสักคนแท้ๆเลยนะ” สองแฝดตัดพ้อพร้อมกัน
“ขอโทษด้วยนะครับที่มันไม่มีน่ะ..” เอแคลร์ตอบก่อนจะหัวเราะเบาๆแล้วกึ่งบอกกึ่งไล่ให้สองปิศาจหนุ่มเข้าไปพักในห้องได้แล้วถ้าถึงช่วงอาหารเย็นเมื่อไหร่จะไปเรียกเอง
..
..เหมือนช่วงอาหารเย็นจะดำเนินไปไม่ค่อยเวิร์กเท่าไหร่ เพราะปิศาจมักมีอาหารการกินที่ต่างไปจากมนุษย์แน่นอนอยู่แล้ว แม้ทั้งสองจะบอกว่ากินเป็นพวกเนื้อสดๆแทนก็ได้ แต่นั่นก็ดูจะไม่เพียงพอ
“ปกติแล้ว ทานอะไรกันเหรอครับ?” เอแคลร์เป็นฝ่ายเปิดประเด็นการสนทนาขึ้น
“ผมกินเลือด” โรมิโอตอบ
“ฉันกินไอวิญญาณ” จูเลียตตอบบ้าง
เด็กหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“ คุยกันตั้งนาน ยังไม่รู้จักชื่อกันเลยด้วยซ้ำ” บาทหลวงหนุ่มพูดถามพลางมองอีกฝ่ายตาปริบๆ
“ ผมชื่อโรมิโอครับ ส่วนนั่นจูเลียต” แวมไพร์หนุ่มแนะนำตัวไปพร้อมๆกับอินคิวบัสข้างๆตน
“ เรียกว่า สุดหล่อ หรือเจเรมี่จะดีกว่า” อินคิวบัสจอมแสบพูด
“ผมว่าชื่อจูเลียตก็เหมาะแล้วนี่นา.. อ๊ะ ผมชื่อเอแคลร์นะ” เอแคลร์เป็นฝ่ายแนะนำตัวบ้าง
“ เอ่เอ๊สินะครับ แต่แหม..ชื่อน่ากินมากเลยนะครับ” โรมิโอถือโอกาสตั้งชื่อเล่นให้อีกฝ่ายโดยทันที
“ ห๊า เหมาะตรงไหนกัน!” จูเลียตโวยวายแต่ก็โดนแฝดพี่ของตนห้ามเอาไว้
บาทหลวงได้แต่หัวเราะเบาๆกับความสนิทสนมของสองพี่น้องปิศาจตรงหน้า โดยนึกอิจฉาในใจลึกๆแต่ก็ต้องปัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปเสีย
รอยยิ้มเศร้าๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าเนียนจนผู้ร่วมโต๊ะอาหารสังเกตเห็นและอดสงสัยไม่ได้
“เอ่เอ๊ เป็นอะไรหรอ?” ทั้งสองถาม
เสียงของทั้งคู่ดังสติของบาทหลวงหนุ่มให้กลับคืนมาจากภวังค์ ก่อนจะรีบส่ายหน้าปฏิเสธพัลวัน
“อ๋อ เปล่าครับ แค่คิดอะไรเพลินๆน่ะ” เสียงหวานหัวเราะกลบเกลื่อน
“แน่ใจนะ?” เสียงทุ้มถามย้ำพร้อมใบหน้าหล่อเหลาที่เคลื่อนเข้ามาใกล้เสียจนต้องเขยิบหนี
“แน่ใจครับ” เอแคลร์ตอบย้ำก่อนจะยิ้มหวาน
แวมไพร์และอินคิวบัสรูปหล่อพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้น
“งั้นพวกเราขอตัวก่อนล่ะนะครับ” โรมิโอบอก
“อ๊ะ เชิญครับ พักผ่อนให้สบายนะครับ” บาทหลวงหนุ่มส่งยิ้มให้ เมื่อเห็นว่าทั้งคู่เดินเข้าห้องพักไปแล้ว จึงเดินสำรวจความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะดับไฟแล้วกลับเข้าห้องของตนไปบ้าง..
..
.
.
เวลาผ่านไปหลายอาทิตย์ แต่ก็ดูท่าว่าปิศาจฝาแฝดจะไม่ยอมไปไหนสักที อันที่จริงนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอกเพราะทั้งสองก็ช่วยงานเล็กๆน้อยๆในโบสถ์ แถมยังไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้มากมายนัก
จนกระทั่ง..วันหนึ่ง
“ ผมจะเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อซื้อของนะครับ..พวกคุณอยู่ที่นี่ได้ใช่ไหม?” เอแคลร์ถาม แวมไพร์กับอินคิวบัสหนุ่มที่ยืนหาวหวอดๆอยู่ตรงประตูโบสถ์
“ได้สิครับ” โรมิโอยิ้มหวาน
“ ไม่มีปัญหาหรอกน่าคุณแม่” จูเลียตบอกก่อนจะขำออกมา
เด็กหนุ่มส่ายหน้าหน่ายๆให้ทั้งคู่ก่อนจะเดินออกมา สองพี่น้องฝาแฝดตัดสินใจหาอะไรทำช่วงที่บาทหลวงไม่อยู่ไปเรื่อยๆจนกระทั่ง..มีผู้มาเยือน
“ มีใครอยู่ที่นี่รึเปล่าครับ” เสียงทุ้มเอ่ยก่อนจะก้าวเข้ามาในโบสถ์ พร้อมกับสุนัขคู่ใจ 1 ตัวของเขา นักเดินทางหนุ่มที่กำลังหาทางไปยังหมู่บ้านใกล้ๆ เพื่อแวะพักพิง
ทั่วทั้งโบสถ์เงียบสงัดแต่กลับรู้สึกเหมือนมีลมหายใจใครบางคนเป่ารดต้นคออยู่จนน่าขนลุก ลูโทมนีตัดสินใจหันกลับไปมองด้านหลัง..แต่ก็ว่างเปล่า ก่อนจะหันกลับมาข้างหน้าตามเดิมแต่ทว่าเมื่อเขาหันกลับมา เบื้องหน้าเขาตอนนี้กลับมีปิศาจสองตนยืนอยู่
เด็กหนุ่มตกใจจนก้าวถอยหลังออกมาแล้วเผลอเสียหลักสะดุดล้มเอาโดยง่าย โรมิโอและจูเลียตที่ยืนมองดูอยู่นั้นเผลอหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่
“พวกนายเป็นใครกันน่ะ..” ลูถามอย่างไม่ไว้ใจ พลางเพ่งมองพิจารณาปิศาจตรงหน้าก่อนจะพูดต่อว่า
“แล้วที่นี่มันโบสถ์ไม่ใช่เหรอ ปิศาจอย่างพวกนายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?”
“ เห..” ทั้งสองเปรยขึ้น
“ในที่สุดก็มีคนหลงมาจนได้นะครับ” โรมิโอบอก
“พวกเราไม่ทำอะไรนายหรอกน่า” จูเลียตพูดเสริม
จัส สัตว์เลี้ยงคู่ใจของลูโทมนีเข้ามาปกป้องผู้เป็นนายตามสัญชาตญาณ ส่งเสียงขู่น่ากลัวแต่หาได้สะเทือนสองปิศาจที่อยู่ตรงหน้าไม่
“หืม..กลิ่นของนายหอมดีนะ..ถึงจะไม่เท่าเอ่เอ๊ก็เถอะ” ทั้งคู่พูดพร้อมกันพลางดม รอบๆตัวของเด็กหนุ่มโดยไม่สนใจใยดีสัตว์เลี้ยงผู้ซื่อสัตย์แม้แต่น้อย
ลูโทมนีพยุงตัวลุกขึ้นแล้วพยายามออกไปจากโบสถ์นี้แต่ดูเหมือนจะไม่ทันเพราะเมื่อทางเข้าออกถูกปิดลงดัง ปึง!
“ จะหนีไปไหนครับ” โรมิโอพูดดักพลางยิ้ม
“จะไปไหนเอ่ย?” จูเลียตค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มที่กำลังยืนงงอยู่
“อย่าเข้ามานะ!” ลูชักมีดสั้นออกมาเพื่อป้องกันตัวแต่พออีกฝ่ายเข้ามาใกล้จริงๆมีดกลับถูกปัดทิ้งไปโดยง่าย
“มาให้พวกเรากินซะดีๆเถอะน่า” น้ำเสียงเย็นแฝงเลศนัยน์ดังขึ้นยิ่งชวนให้รู้สึกไม่ปลอดภัย ฉับพลันร่างบางก็ถูกรวบตรึงไว้ติดกับผนังโบสถ์ พร้อมกับการรุกล้ำของสองปิศาจที่คืบคลานเข้ามาอย่างไม่ทันให้เด็กหนุ่มได้ตั้งตัว
“อ..อื้อ..” ริมฝีปากบางถูกประกบจูบไว้อย่างเนิ่นนานจนผู้ถูกกระทำเริ่มหายใจไม่ออก แต่ดูท่าอีกฝ่ายจะไม่รับรู้ถึงอาการนั้น แถมยังใช้ลิ้นอุ่นๆสอดเข้าไปในโพรงปาก เก็บเกี่ยวความหวานอย่างอารมณ์ดี
“แหม่ๆ ผมบ้างสิครับ” โรมิโอเปรยขึ้นเชิงหยอกเย้า
จูเลียตถอนจูบออกมาจากลูโทมนีแล้วยกยิ้มน้อยๆอย่างพึงพอใจในผลงาน ใบหน้าน่ารักของเด็กหนุ่มที่แดงก่ำราวพิษไข้ ลมหายใจที่หอบถี่เล็กน้อยเพื่อโกยอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดให้ได้มากที่สุด
“ ฮ่ะ ฮ่ะ มนุษย์นี่น่ารักจังเลยนะครับ..” โรมิโอเชยคางอีกฝ่ายขึ้นมาเพ่งพิจารณามองใบหน้าขาวเนียนหมดจดเกินบุรุษให้ทั่ว ดวงตาสีเหลืองอำพันเปล่งประกาย เรือนผมสีชาเย็นที่ดูเหมาะกับใบหน้าเรียวได้รูป.. นี่ก็น่ารัก น่ากินอีกแล้วไงล่ะ..
“พ..พวกนาย...ฉันจะต้องฆ่าพวกนายให้ได้เลย” ลูโทมนีเค้นเสียงขู่ แต่ทว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ได้ทำให้โรมิโอกับจูเลียตสะเทือนเลยแม้แต่น้อย
“ เห จะฆ่าเรางั้นเหรอ?” จูเลียตขยับยิ้มที่มุมปาก
“ หนีออกไปจากตรงนี้ให้ได้เสียก่อนเถอะครับ” ไม่ว่าเปล่ามือหนาเลื่อนลงไปลูบไล้ช่วงต้นขาเพรียวก่อนจะขยับขึ้นมาเป็นบริเวณจุดอ่อนไหวของอีกฝ่าย
“อึก..จ..จะทำอะไรน่ะ!” เสียงเล็กกล่าวประท้วง ร่างกายอ่อนหยวบจนแทบไม่มีแรงขัดขืน ซ้ำแล้วยังปฏิเสธไม่ได้ว่าลึกๆแล้วก็เหมือนจะพึงพอใจกับการกระทำของอีกฝ่ายขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ทำอะไรสนุกๆยังไงล่ะ~” จูเลียตตอบ
แต่ทว่าก่อนที่จะได้ล่วงเกินหรือเกิดอะไรเลยเถิดไปมากกว่านี้ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“นี่ๆ พวกท่าน อยู่ข้างในกันหรือเปล่า? ผมเปิดประตูโบสถ์ไม่ได้นะ?”
“อ๊ะ ดูเหมือนเราจะหมดเวลาเล่นสนุกกันแล้วนะครับ” โรมิโอบอก ก่อนจะเดินไปเปิดประตูโบสถ์ให้กับเอแคลร์แล้วส่งยิ้ม ท่ามกลางความประหลาดใจของอีกฝ่าย
“ เอ่เอ๊ ดูนี่สิ มีคนแวะมาล่ะ~” จูเลียตพูดอย่างอารมณ์ดีพลางดันให้ลูโทมนีเดินไปสมทบด้วย
“บอกแล้วไงครับ ว่าผมชื่อเอแคลร์น่ะ..เอ๋ มีคนมาเหรอ?” เอแคลร์หันไปมองกับลูโทมนีที่เหมือนจะตัวสั่นน้อยๆ พลางหันมามองกับสองฝาแฝดเจ้าปัญหา ก่อนที่ใบหน้าขาวนวลจะซีดลงแล้วกระซิบอย่างตื่นตระหนกกกับฝาแฝดทั้งสองว่า
“แล้วทำไมพวกท่านถึงปล่อยให้เขาเห็นในสภาพปิศาจเช่นนี้กันเล่า!”
“ แหม..เขาคงไม่เอาไปเล่าให้ใครฟังหรอกครับ” โรมิโอตอบพลางยิ้มขำ
“ ท..ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้นกัน?” เอแคลร์ถาม
“ สัญชาตญาณไง สัญชาตญาณ” จูเลียตตอบแทน ทำเอาเด็กหนุ่มหน้าสวยอยากจะกุมขมับเป็นลมตรงนี้เสียให้ได้ แต่ก่อนอื่นต้องอธิบายให้กับผู้มาเยือนเข้าใจเสียก่อน
“อ..เอ่อ..ท่าน มีชื่อว่าอะไร?” เอแคลร์เอ่ยถามอย่างสุภาพ
“ผมชื่อลูโทมนี... เลอร์คอส เดอะ ลูโทมนี” ลูแนะนำตัวเองพลางเดินออกให้ห่างจากจูเลียตแล้วเข้าไปหาจัส สุนัขคู่ใจของเขา
“ส่วนเด็กคนนี้ชื่อจัสครับ” ลูแนะนำต่อพลางยิ้มนิดๆ
“ ผมชื่อเอแคลร์นะ..เป็นบาทหลวงของที่นี่ ส่วนสองคนนี้..เอ่อ..” เอแคลร์เปรยตามองไปทางโรมิโอและจูเลียตที่ยืนยิ้มแป้นชวนปวดหัว เห็นแล้วอยากจะดุให้หงอยจริงๆ #ทำไม่ได้หรอกเชื่อสิ
“ก็แค่ปิศาจไร้พิษสงที่หลงทาง(?)มา”
“หาาาา..” ทั้งคู่ลากเสียงพร้อมกันอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก
“ไร้พิษสง” ลูโทมนีพึมพำเบาๆก่อนจะรู้สึกขนลุกซู่และคิดว่า ถ้าอยู่ที่นี่ไปนานๆคงไม่ปลอดภัย(ในหลายๆความหมาย)เป็นแน่แท้
“ ท่านเป็นนักเดินทางรึเปล่า? จะพักที่นี่ก่อนไหม?” เอแคลร์ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“ม..ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ” ลูโทมนีตอบ
“ ง งั้นเหรอครับ” บาทหลวงหนุ่มดูหงอยไปเล็กน้อยอย่างเสียดาย
“ เฮ้ เฮ้..” จูเลียตเปรย
“ เอ่เอ๊อุตส่าห์ชวนทั้งที ค้างสักคืนไม่ได้หรอครับ ลูคุง” โรมิโอยิ้มหวาน
แต่ในสายตาของลูโทมนีนั้น ไอ้รอยยิ้มหวานๆแบบนั้นมันไม่ได้น่าไว้ใจเลยสักนิด
“ไม่ดีกว่าครับ พ..พอดีผมรีบน่ะ” ไม่ว่าเปล่าพลางโค้งให้อย่างว่องไวพอเป็นมารยาทและสาวเท้าเดินจ้ำๆออกไปพร้อมกับจัสทันที
“ น่าเสียดายจังเลย...น่าจะอยู่ต่ออีกสักหน่อยนา..” เอแคลร์เปรยเบาๆขณะมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มเรือนผมสีชาเย็นที่เดินหายเข้าไปทางป่า
ขอบคุณธีมสวยๆจาก
Shira kuma
ความคิดเห็น