ตอนที่ 41 : Arc3.5 หลีกเลี่ยงไม่พ้น(2)
ศูนย์วิจัยการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศตั้งตระหง่านอยู่ในย่านใจกลางเมือง ตัวอาคารสูงกว่ายี่สิบชั้น มีห้องปฏิบัติการทั้งทางเคมีและทางชีววิทยาที่ทันสมัย คลังเก็บตัวอย่างขนาดใหญ่ คนที่ทำงานที่นี่มีทั้งนักวิจัย ผู้ช่วย รวมไปถึงอาจารย์นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่ต้องการเรียนรู้งานในช่วงสั้น ๆ เรียกว่าเป็นศูนย์รวมหัวกะทิก็ว่าได้ เพียงก้าวเข้าไปในตึก ก็จะเห็นคนทำงานกันอย่างคร่ำเคร่ง ไม่มีใครหยอกล้อเล่นหัวกัน หากจะเปิดปากพูดก็จะได้ยินเนื้อหาวิชาการ เรียกว่าเป็นบรรยากาศของพวกเนิร์ดโดยแท้ อนันต์พลันรู้สึกว่าตัวเองมาผิดที่ผิดทาง คันปากอยากหยอกเย้าแต่ไม่กล้าพูดออกมา จึงรู้สึกอัดอั้นเป็นที่สุด
สาเหตุที่เขาต้องมาอยู่ในที่ที่ขัดกับวิสัยของตัวเองแบบนี้ ก็เพราะโรคประหลาดที่ระบาดอยู่ในเวลานี้นี่เอง หลังจากแพทย์ตรวจพบเชื้อไวรัสก่อโรคตัวใหม่ ก็รีบส่งให้ศูนย์วิจัยตรวจสอบทันที การพบโรคใหม่ก็นับว่าน่าตกใจพอแล้ว แต่ทางศูนย์ฯ ยังพบร่องรอยการตัดต่อพันธุกรรมในไวรัสดังกล่าวเพิ่มอีก นี่จึงไม่ใช่แค่ปัญหาด้านสาธารณสุข แต่รวมไปถึงความมั่นคงของประเทศด้วย หน่วยสืบสวนพิเศษจึงต้องออกโรง
ทว่าสำหรับอนันต์แล้ว จะไวรัสซอมบี้ระบาด ฟ้าถล่ม ดินทลาย ก็ไม่วิกฤติเท่าสภาพตัวเองในตอนนี้
“สารวัตร?” เมื่ออยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ พิภพจำเป็นต้องเรียกอีกฝ่ายด้วยตำแหน่งเป็นการให้เกียรติ “ทำไมยืนทื่อมะลื่ออยู่อย่างนั้นล่ะครับ”
พวกเขากำลังจะเข้าห้องประชุม แต่พอเขาเปิดประตู สายตาของอนันต์ไม่รู้มองเห็นอะไรในห้อง ถึงได้ยืนแข็งค้างราวกับปูนปั้น ไม่ยอมก้าวตามมาสักที
พอหันมองตามอีกฝ่าย พิภพก็ถึงบางอ้อ
นักวิจัยหนุ่มสวมแว่นที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตากำลังยืนถกปัญหากับทีมงานอยู่ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่จะใช้ในการประชุม ท่าทางจริงจังและน้ำเสียงกับใบหน้าที่ติดรั้นนิด ๆ คล้ายพี่ชาย ดูมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด
“ทะ…ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ เขาทำงานวิจัยยาสำหรับโอเมก้าไม่ใช่เหรอ” อนันต์ปากคอสั่น กระถดตัวถอยหลังไปหลายก้าว
…เอ่อ…นี่เจอคนที่แอบชอบหรือเจอผีกันแน่ครับ…รุ่นพี่
พิภพลอบกุมขมับในใจ ก่อนจะผลักผู้บังคับบัญชาของตัวเองเข้าไปโดยไม่คิดจะรักษาหน้าอีกฝ่ายเลยสักนิด
ห้องนี้ถูกเปิดระบบประชุมลับ ผนังธรรมดามีผนังเก็บเสียงเลื่อนมาแทนที่ แม้แต่กล้องวงจรปิดยังถูกระงับการใช้งานชั่วคราว โต๊ะประชุมถูกเรียงแบ่งออกเป็นสองฟากซ้ายขวา ส่วนตรงกลางเป็นพื้นที่ฉายภาพสามมิติ คนของศูนย์วิจัยนั่งฟากซ้าย ส่วนฟากขวาเป็นที่นั่งของคนจากกรมควบคุมโรค และหน่วยสืบสวนพิเศษ
ผู้กำกับการนั่งรออยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว เธอเป็นอัลฟ่าหญิงผมสั้น บนใบหน้ามีริ้วรอยที่ผ่านการเคี่ยวกรำของกาลเวลา แผ่รัศมีเย็นชาออกมาจาง ๆ อนันต์เอ่ยทักทายคำหนึ่ง แล้วนั่งลงด้านข้าง จากนั้นพิภพและลูกน้องคนอื่น ๆ จึงค่อยนั่งตามกัน
“อย่างที่ทุกคนทราบกันดี ช่วงนี้มีข่าวโรค ‘ไข้หวัดใหญ่’ ระบาด แต่ความจริงแล้วกลับไม่ใช่แบบนั้นเลย” เมื่อเห็นว่าทุกคนมาพร้อมแล้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยก็กดไมค์ประชุมหน้าตัวเอง พูดเปิดประเด็นทันที “หลังจากตรวจสอบตัวอย่างจากโรงพยาบาลหลายแห่ง ไวรัสนี้เป็นเชื้อชนิดใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย จึงต้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานในหลายภาคส่วน ทั้งเรื่องการเปิดเผยข้อมูล รวมไปถึงมาตรการการจัดการต่อไปด้วย สำหรับรายละเอียด ผมขอให้ดอกเตอร์กฤต หัวหน้าทีมวิจัยมาเป็นคนอธิบาย เชิญ”
นักวิจัยหนุ่มแว่นพยักหน้า กดแสดงแบบจำลองของไวรัสขึ้นมาเป็นภาพสามมิติ “ก่อนอื่นขอให้ทุกคนดูเจ้าตัวนี้ครับ นี่คือไวรัสปอดอักเสบที่เคยแพร่ระบาดอย่างหนัก และทำผู้คนเสียชีวิตนับล้านคนเมื่อร้อยปีก่อน” จากนั้นเลื่อนเอาแบบจำลองไวรัสอีกอันหนึ่งขึ้นมาเทียบกัน “และนี่คือไวรัสที่แพร่ระบาดอยู่ตอนนี้ จากการวิเคราะห์ทั้งลักษณะและรหัสพันธุกรรม บ่งบอกว่าเป็นไวรัสในตระกูลเดียวกัน”
“แต่ถึงจะเป็นตระกูลเดียวกัน แต่ความรุนแรงของโรคต่างกันมาก ไวรัสตัวนี้มีระยะฟักตัว 3-7 วัน ทำให้เกิดไข้สูง ตามมาด้วยทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน อัตราการตายสูงมากกว่าสี่สิบเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว แถมยังแพร่ระบาดไวมากด้วย”
“เดี๋ยวก่อนนะ” แพทย์คนหนึ่งถามขึ้น “ปกติแล้วโรคที่รุนแรงมาก อัตราการตายสูงแบบนี้ มักแพร่ระบาดเป็นวงแคบ ๆ เท่านั้น ยิ่งด้วยระบบสาธารณสุขสมัยนี้ด้วยแล้ว ทำไมถึงบอกว่าแพร่ระบาดง่าย”
“เพราะคนที่มีเชื้อไม่ได้ป่วยทุกคนครับ ทั้งจากสถิติผู้ป่วย และจากการทดลอง ยืนยันแล้วว่าเชื้อตัวนี้สามารถทำให้อัลฟ่าป่วยตายได้ในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ แต่จะไม่ก่อให้เกิดโรคใด ๆ ในเบต้าและโอเมก้า พูดง่าย ๆ ก็คือเบต้าและโอเมก้าเป็นพาหะของโรคนั่นเอง การที่เชื้อแฝงตัวอยู่ในประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่สิ ของโลกแบบนี้ จะควบคุมกันยังไงไหวล่ะครับ”
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในห้องประชุม ทว่านักวิจัยหนุ่มไม่ได้สนใจ เอามือแตะจอสามมิติ ดึงภาพจำลองรหัสพันธุกรรมของไวรัสขึ้นมา แล้วอธิบายต่อ
“การเจอเชื้อไวรัสตระกูลนี้จำเพาะเจาะจงกับเพศสภาพแบบนี้ได้ถือว่าแปลกมาก พอทางทีมวิจัยตรวจสอบจีโนม [1] ก็พบว่ามีลำดับพันธุกรรมที่ผิดปกติ แถมยังมีบางส่วนเหมือนกับเชื้อก่อโรคในอัลฟ่าตระกูลอื่นจนเหมือนตัดแปะกันมา เรียกว่าร่องรอยการตัดต่อด้วยฝีมือมนุษย์ชัดเจนจนไม่มีอะไรจะชัดไปกว่านี้อีกแล้วล่ะครับ”
[1] สารพันธุกรรมทั้งหมดในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
พูดมาถึงตรงนี้ ก็มีหลายคนลุกพรวดขึ้น
“ก่อการร้ายงั้นเหรอ!”
“เล็งเฉพาะอัลฟ่าที่เป็นผู้กุมอำนาจของประเทศแบบนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นพวกเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศก็ได้”
“หรือไม่ก็อาจจะเป็นต่างชาติที่ต้องการเข้ามาแทรกแซงเศรษฐกิจ”
ต่างคนต่างออกความเห็นกันเสียงดัง บรรยากาศในห้องประชุมสับสนอลหม่าน แต่สารวัตรหน่วยสอบสวนพิเศษกลับเอาแต่นั่งเท้าคาง จ้องมองดูนักวิจัยหนุ่มที่ออกมาพูดไม่วางตา ราวกับคนตรงหน้าเป็นเพียงสิ่งเดียวในโลกที่น่าสนใจ
…อา เพื่งเคยได้ยินหมอนี่พูดเป็นครั้งแรกก็วันนี้ เสียงน่าฟังชะมัด แถมเวลาทำหน้าจริงจังก็ดูดีเป็นบ้า ยิ่งใส่ชุดกาวน์ก็ยิ่งเหมาะ แต่ตอนนี้ผอมลงกว่าครั้งแรกที่เจอเยอะเลย วัน ๆ ได้กินอะไรบ้างหรือเปล่าเนี่ย…อ๊ะ มองมาทางนี้แล้ว…ไม่นะ ไม่ได้สงสัยอะไรใช่ไหม ฉันไม่ได้ตั้งใจแอบมองนะ ก็นายมันน่ารักเกินไปนี่หว่า
พอเห็นว่าอีกฝ่ายหันหน้ามา อนันต์ก็รีบหลบตา แสร้งทำเป็นอ่านสมุดโน้ตที่ว่างเปล่าของตัวเองอย่างจริงจัง พิภพปรายตามองอย่างหน่าย ๆ อ้าปากขมุบขมิบอย่างไร้เสียง แต่อนันต์พอจะอ่านปากออกว่าพูดว่าอะไร
ส-ตอล์ก-เกอร์
ไม่-ใช่-ว้อย!
เขาด่ากลับ ตอนนั้นเองที่ผู้กำกับการทนไม่ไหวลุกพรวดขึ้น เปิดไมค์ประชุมตะโกนด้วยเสียงดังลั่น
“เงียบ! พูดกันทีละหน่วยงานเป็นไหม!”
ทั้งห้องเงียบลงอย่างฉับพลัน ได้ยินแม้เสียงเข็มตกพื้น
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ก็เป็นอันตกลงกันถึงบทบาทหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน กรมควบคุมโรคจะรีบประกาศสถานการณ์โรคระบาดโดยเร็วที่สุด ออกมาตรการควบคุม และส่งรายงานการสอบสวนโรคให้หน่วยสืบสวนพิเศษ เพื่อใช้ในการสืบหาคนหรือกลุ่มที่ปล่อยเชื้อต่อไป ส่วนทางศูนย์วิจัยจะรีบหาวิธีรักษารวมไปถึงคิดค้นวัคซีนออกมาโดยเร็วที่สุด แต่เรื่องที่ว่าไวรัสตัวนี้เป็นอาวุธชีวภาพที่คนคิดค้นขึ้นนั้น แน่นอนว่าปิดเป็นความลับขั้นสุดยอด
การประชุมจบลง ระบบประชุมลับถูกปิด ต่างคนต่างเริ่มทยอยเดินออกจากห้อง ไมลส์ถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง เอนตัวลง เพราะต้องตอบคำถามไม่หยุดหย่อนมาจนถึงเมื่อครู่ ปากคอเลยแห้งผาก แกะน้ำดื่มรวดเดียวกว่าครึ่งขวด
[ไหวไหม?] ไลล่าถามขึ้น
‘ไม่ไหวก็ต้องไหว ผมเลือกอะไรได้ที่ไหน’
ไมลส์สังหรณ์ใจไม่ดีตั้งแต่ตอนที่เห็นข่าวไข้หวัดใหญ่ระบาดแล้ว และสุดท้ายสิ่งที่กังวลก็เกิดขึ้นจริง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เทิร์นดาร์กไปช่วยองค์กรมืดวิจัยไวรัสฆ่าอัลฟ่า แต่สุดท้ายองค์กรนั้นก็ยังหานักวิจัยคนอื่นมาทำแทนได้อยู่ดี นั่นทำให้นอกจากงานวิจัยด้านยาของโอเมก้าที่ทำเป็นปกติแล้ว เขายังต้องมาทำวิจัยยาและวัคซีนรักษาโรคบ้านี่เพิ่มอีก เล่นเอาแทบไม่ได้หลับได้นอน เหนื่อยสายตัวแทบขาดเลยทีเดียว
แต่แค่เหนื่อยอย่างเดียวก็แล้วไปเถอะ สิ่งที่ไมลส์กังวลยิ่งกว่า คือการแพร่ระบาดรอบนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับไวรัสคอมพิวเตอร์นั่นอีกก็ได้ หากเป็นแบบนั้นจริงละก็เท่ากับว่าอีกฝ่ายเดินเกมรุกนำหน้าเขาไปหลายก้าว นี่มันเข้าขั้นวิกฤตทีเดียว
[อย่าทำหน้าเครียดขนาดนั้นสิยะ ตั้งแต่มาโลกนี้นายไม่มีชีวิตชีวาเอาซะเลย ฉันล่ะเป็นห่วง…หรือเพราะนายยังไม่เจอหมอนั่น? สุดที่รักของนายน่ะ?]
‘เลิกแซวซะทีเถอะน่า…แต่ผมคิดว่าผมเจอออสมอนด์แล้ว…มั้งนะ’
เขาปิดฝาขวดน้ำ จากนั้นพยักพเยิดไปทางตำรวจหน่วยสอบสวนพิเศษที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู
คนคนนั้นคือสารวัตรอนันต์
ตอนที่เห็นอีกฝ่ายเซเข้ามาในห้อง ไมลส์ยังคิดแค่ว่าตำรวจท่าทางไม่ได้เรื่องคนนี้น่ะเหรอคือพระเอกของเรื่อง แต่ระหว่างประชุม เขาแอบเห็นอนันต์แอบมองมาหายต่อหลายครั้ง และสายตาคู่นั้นก็ดูคุ้นเคยเหลือเกิน มันเหมือนกับสายตาที่ทามาฮิเดะมองเขา
แต่ขณะเดียวกัน บุคลิกของอนันต์ก็แตกต่างกับคริสโตเฟอร์และทามาฮิเดะมากเกินไป ไมลส์จึงไม่รีบเชื่อลางสังหรณ์ของตัวเอง
ทางเดียวที่จะมั่นใจได้ คือต้องเห็นรอยปานที่หลังเท่านั้น
…พูดเหมือนง่าย แต่อยู่ ๆ จะไปขอเปิดดูหลังคนอื่นได้ยังไง มีโดนหาว่าเป็นโรคจิตกันพอดี
ไมลส์สลัดความคิดบ้าบอในหัว โยนขวดน้ำลงถังขยะ แล้วเดินตรงไปหาอีกฝ่าย
“ยังไม่กลับหรือครับ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า” พอไปถึงก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ที่ตรงนั้นนอกจากอนันต์แล้ว ก็ยังมีพิภพที่เขาเคยเจอ จึงไม่แปลกอะไรที่จะเข้าไปทักทาย
“ไม่มีอะไรครับ แค่ยืนคุยเล่นกันนิดหน่อย กฤต…ไม่สิ ต้องเรียกว่าดอกเตอร์กฤต ไม่ได้เจอกันเสียนาน ต่อไปนี้คงต้องขอความร่วมมือกันหลายอย่าง ฝากด้วยนะครับ” พิภพยื่นมือมาจับทักทายอย่างสุภาพ
“ผมเองก็ต้องฝากตัวเหมือนกัน” ไมลส์พูดจบก็หันหน้าไปทางอนันต์ ที่กำลังยืนกอดอกท่าทางเกร็ง ๆ อยู่ด้านข้าง “ไม่ทราบว่าคุณคนนี้คือ?”
พอได้ยินนักวิจัยหนุ่มพูดถึงตัวเอง หูของอนันต์ก็กระดิก หากมีหาง หางก็คงตั้งด้วย
“สารวัตรอนันต์ หัวหน้าผมเอง” แนะนำชื่อไปแล้ว แต่เจ้าตัวมัวแต่ยืนบื้ออยู่ พิภพเลยขยับปากโดยไร้เสียงด่าว่า ‘รีบ-ทัก-ทาย-เขา-สิ-ฟะ!
“อะ…เอ่อ”
หัวสมองของอนันต์ขาวโพลนไปหมด นึกคำพูดดี ๆ ไม่ออก ได้แต่ยืนมือออกไปอย่างเก้กัง มาดที่พยายามเก๊กขรึมก่อนหน้าทลายหมดสิ้น ภาพของนักวิจัยหนุ่มที่ส่งยิ้มสุภาพมาให้ถูกฟิลเตอร์จนกลายเป็นรอยยิ้มเจิดจ้าหวานละมุน ไม่รู้ตัวเลยว่ามือของตัวเองชุ่มไปด้วยเหงื่อ แถมหัวใจก็เต้นรัวเหมือนกลอง
เวลาที่คนเราตื่นเต้นถึงขีดสุด ขอบเขตการรับรู้และความคิดจะแคบลง ในตอนนี้รอบตัวของอนันต์ราวกับไม่มีสิ่งอื่นใด เหลือเพียงคนในชุดกาวน์ตรงหน้าเท่านั้น
หากไมลส์เป็นปีศาจมาล่อลวง อนันต์คงยินดีตามไปลงนรกด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
“ยะ…ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ” ไมลส์เขย่ามือตอบ แต่แล้วรอยยิ้มก็เปลี่ยนเป็นสีหน้างุนงง เพราะอีกฝ่ายอยู่ ๆ ก็ชะงักไป “คุณอนันต์…?”
แล้วร่างใหญ่โตของสารวัตรหนุ่มก็เหมือนโคลนเหลวไร้กระดูก เซวูบลงมาทับเขาในทันที
“เอ๋?”
“สารวัตร!?” พิภพร้อง
…หมอนี่…ตื่นเต้นจนเป็นลมไปแล้ว
_________
A.L. Lee
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โอ้ยยยขำพระเอกมากกกเลยคะ5555
ว้ายตายแล้ว ภาพลักษณ์ที่สั่งสมมา555