Electroheart หัวใจอิเล็กทรอนิกส์
ผมผิดตรงไหน? หากผมจะรักใครสักคน ผิดไหมที่ผมอยากมีชีวิตอยู่เยี่ยงคนทั่วไป ทำไมต้องทำลาย ทำไมผมถึงต้องหายไป...หรือเพราะสิ่งที่เรียกว่าหัวใจของผมไม่ใช่ก้อนเนื้อเหมือนพวกคุณ... เรื่องสั้นวิชาภาษาไทยค่ะ ^^
ผู้เข้าชมรวม
330
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ภาพเพดานสีขาวสว่างที่เรียงรายไปด้วยหลอดไฟหลายสิบดวงปรากฏชัดขึ้นตรงหน้า ผมลองขยับร่างกายดูเบาๆ แต่เพียงเท่านั้นก็รู้สึกชาไปทั่วสรรพางค์กาย
“ตื่นแล้วหรือ...” เสียงที่ดังลอยมาแผ่วเบาแต่มิอาจซ่อนไว้ซึ่งความปีติยินดีที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง ผมหันตามเสียงไปอย่างแช่มช้า ค่อยพิจารณาชายชราร่างเล็กอย่างถี่ถ้วน รอยยิ้มกว้างที่ทำให้ดวงตาภายใต้แว่นกรอบหนาหยีเล็ก รอยเหี่ยวย่นบริเวณหางตาและหน้าผากกลับทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าพิศวง ไล่สายตาไปยังผมยาวสีดอกเลาที่มัดรวบกันไว้อย่างลวกๆ ที่ต้นคอ กอปรกับเสื้อกาวด์และเชิ้ตสีขาวยับย่นที่โผล่แพลมออกมา เดาเอาว่าชายผู้นี้คงมีอาชีพแพทย์หรืออะไรเทือกนั้น
ชายชรายังคงยิ้มให้ผมอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย เขาค่อยพิจารณาร่างกายของผมทีละส่วน แล้วยิ่งอมยิ้มชอบอกชอบใจ ผมเพียงนั่งเฝ้าดูพฤติกรรมประหลาดๆ นี้อย่างนิ่งเฉย
หลังจากตรวจดูร่างกายของผมจนเป็นที่พอใจแล้ว ชายร่างเล็กจึงค่อยเอ่ยปากแนะนำตัวอย่างสั้นๆ ผมจับความได้ว่าเขาชื่อ สมพงศ์ ... แต่ที่ผมประหลาดใจคือที่เขาเอ่ยแนะนำตัวว่าเขาเป็น พ่อ ของผม ผมมองมือเหี่ยวย่นของชายผู้อ้างว่าเป็นบิดาที่ยื่นมาให้ตรงหน้า คำว่าพ่อทำให้ผมรู้สึกแปลกพิกล มันโหวงๆ ราวกับอวัยวะภายในร่างกายอัตรธานหายไปเสียหมด แต่สุดท้ายมือของผมก็ยื่นมือไปรับสัมผัสเสียแต่โดยดี
สมพงศ์ยิ้มอย่างพออกพอใจ ก่อนจะขอตัวผละไปทำงานที่คั่งค้างต่อให้เสร็จจึงจะมาหาอีกครั้ง ในระหว่างนั้นยังมิวายกำชับให้ผมดูแลตนเองให้ดีๆ เดินออกไปไม่ทันไรชายในชุดกาวด์ก็ยั้งเท้าไว้ราวกับลืมอะไรบางอย่าง “เอ้อ เกือบลืมบอกเรื่องสำคัญ เล็ก ห้ามโดนน้ำเป็นอันขาดนะ” ผมไม่ค่อยได้ใส่ใจฟังคำเตือนเท่าไรนัก ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือคำที่คุณพ่อเพิ่งจะเรียกผมเป็นครั้งแรก...เล็ก นั่นคือชื่อของผม
“เล็กเบื่อบ้างไหม” คุณพ่อเอ่ยถามขึ้นมาท่ามกลางโต๊ะอาหารที่แสนเงียบเชียบ ผมยังคงหยิบอาหารเข้าปากต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ตอบอะไรออกไป มองสายตาที่รอคำตอบจากบิดาที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างเลื่อนลอย เบื่อเหรอ... ความจริงคือผมไม่รู้สึกอะไรเลยมากกว่า
วันเวลาของผมหมดไปกับเรื่องราวในกล่องสี่เหลี่ยมที่มีภาพมากมายอยู่ในนั้นฉายไปมาน่าปวดหัว สิ่งที่คุณพ่อเรียกมันว่าโทรทัศน์ ผมก็แค่เชื่อฟังคุณพ่อที่ให้ผมดูไปคลายเบื่อในยามว่าง ซึ่งสำหรับผมแล้วเวลาว่างที่ว่าก็คือวันทั้งวัน
“อยากไปที่โรงงานบ้างไหม” คำว่าโรงงานของคุณพ่อค่อยทำให้ผมรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้าง ทุกวันจะมีเรื่องราวมากมายจากที่โรงงานของพ่อให้ผมได้ฟังเคล้าอาหารมื้อเย็นอยู่เสมอๆ ซึ่งผมว่ามันคลายเบื่อได้ดีกว่ากล่องโทรทัศน์น่าปวดหัวนั่นเสียอีก
ผมลังเลในคำตอบอยู่นาน มือที่ถือช้อนที่บรรจุอาหารภายในพูนอยู่เต็มนิ่งค้างไว้กลางอากาศ หากแต่เมื่อมองไปที่คุณพ่อ ก็เห็นรอยยิ้มของท่านที่ส่งมาให้อย่างเอ็นดู “พ่อจะถือว่าเล็กตกลงแล้วกันนะ”
เสียงดังหนวกหูและผู้คนที่คลาคล่ำดูยุ่งวุ่นวายดูเป็นสิ่งที่น่าตระการตาสำหรับผม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชายวัยรุ่นรูปร่างผอมสูงท่าทางสกปรกสามสี่คนที่กำลังถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย หรือว่าจะเป็นเด็กสาวผมเปียคนหนึ่งที่กำลังไล่จับอะไรสักอย่างอยู่ด้วยท่าทางสนุกสนาน ทุกสิ่งล้วนน่าตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด
“เอ้า ทำงานๆ” เพียงแค่คำพูดประกาศิตกับเสียงปรบมือสองสามครั้งก็ทำให้เหตุการณ์วุ่นวายทั้งหลายอยู่ในความสงบโดยเร็ว กลุ่มวัยรุ่นที่เมื่อครู่ถุ่มเถียงกันอย่างรุนแรงกลับวิ่งกลับเข้าไปทำงานของจนได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ผมหันไปทางเด็กสาวผมเปียบ้าง หากแต่กลับไม่พบร่างของเธอเสียแล้ว...
“เล็กอยากดูอะไรก่อนละลูก เดี๋ยวพ่อพาชมโรงงานเอง” คุณพ่อชะโงกหน้ามาถามเบาๆ ผมจะไม่ทันจะได้คิดอะไรก็พอดีเสียงหวานของหญิงสาวในชุดสูทก็ดึงคุณพ่อให้หันกลับไปเสียก่อน แม้ว่าเลขาณุการสาวจะกำลังรายงานให้คุณพ่อฟัง แต่ผมรับรู้ได้ถึงสายตาแปลกๆ ที่เต็มไปด้วยคำถามที่มองมาทางผม คุณพ่อบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจูงมือผมไปทางเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ที่ทำงานเสียงดังกระหึ่ม
เด็กชายวัยรุ่นสามสี่คนที่เมื่อครู่ถุ่มเถียงกันอิรุงตุงนังเมื่อเห็นคุณพ่อก็รีบยกมือไหว้กันอย่างพร้อมเพรียง คุณพ่อเพียงรับไหว้เบาๆ แล้วดุนหลังผมให้ก้าวไปข้างหน้า
“ขอฝากเด็กคนนี้ไว้ครู่หนึ่งนะ เขาชื่อเล็ก ให้เขาช่วยงานอะไรง่ายๆ ไปก่อนแล้วกัน” คุณพ่อเอ่ยเสียงเรียบ ซึ่งผู้รับฟังก็เพียงผงักหน้าหงิกหงักยอมรับแต่โดยดี ก่อนที่จะหันมากระซิบกับผมเบาๆ “เล็กช่วยพี่ๆ เขาทำงานไปก่อนนะลูก พ่อไปเซ็นเอกสารครู่เดียว เดี๋ยวจะรีบกลับมา” ผมพยักหน้ารับ คุณพ่อลูบศีรษะผมเบาๆ ก่อนจะต้องรีบผละไปเมื่อเลขาณุการสาวเอ่ยเร่งอีกครั้ง
“เฮ้ยนายน่ะ” เสียงเรียกเบาๆ จากทางด้านหลังดังขึ้น ผมค่อยๆ หันไปด้วยสัญชาติญาณ ก็พบกับดวงตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามสามคู่ที่จ้องมองผมอย่างพูดได้ว่าเสียมารยาท
“นายเป็นอะไรกับเฮียพงศ์วะ ท่าทางเส้นใหญ่ไม่เบาเลยนี่” ชายคนที่ผอมกะหร่องที่สุดถามออกมาด้วยท่าทีอยากรู้อยากเห็น
“ลูกชาย...” คำตอบเรียบๆ ที่ทำให้ชายทั้งสี่ตาโตมองหน้ากันเสียเลิ่กลัก “ให้ฟ้าผ่าตาย เฮียสมพงศ์มีเมียแล้วเหรอวะ ไม่น่าเชื่อ...แกว่าไอ้เด็กนี่มันพูดจริงรึเปล่า” ชายผอมแห้งคนเดิมหันไปทางเด็กชายวันรุ่นร่างกำยำ “เอ็งจะบ้าเหรอ เรื่องนี้ล้อเล่นกันได้ที่ไหน เฮ้ย ไอ้หนู ว่าแต่ใครเป็นแม่แกวะ”
“...” ผมไม่ตอบ แท้จริงแล้วไม่มีคำตอบ ทำไมผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยนะ... แม่ของผม
ผมจะไม่มีแม่ได้อย่างไร ในเมื่อผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าในการกำเนิดมนุษย์ขึ้นมาเสียสักคนจะขาดมนุษย์เพศหญิงผู้เป็นมารดาเสียไม่ได้ แล้วแม่ของผมล่ะ...?
“เฮ้ย เป็นอะไรไปรึเปล่า ทำไมเงียบไปเลยวะ” ชายร่างสูงที่สุดในกลุ่มเขย่าตัวผมอย่างขวัญเสีย แต่แรงเขย่าที่แรงพอจะปลุกคนหลับสนิทให้ตื่นขึ้นได้ดูจะไม่เข้าไปในโสตประสาทของผมเลยแม้แต่น้อย อะไรบางอย่างที่ขาดหายไปกำลังจะถูกเติมเต็ม สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจเสมอมา...
“ไอ้มะเดี่ยว! ” เสียงที่แผดดังมาแต่ไกลทำให้เด็หนุ่มทั้งสามสะดุ้งสุดกาย สมพงศ์จ้ำอ้าวเข้ามาอย่างหัวเสียก่อนรวบร่างของผมให้เข้าไปอยู่ในอ้อมแขน “แกทำอะไรเขา!”
มะเดี่ยว ชายที่ร่างสูงที่สุดที่บัดนี้หน้าซีดขาวยิ่งกว่าแผ่นกระดาษเอ่ยตอบอย่างตะกุกตะกัก “ปะ เปล่านะครับ เด็กนี้บอกว่าเขาเป็นลูกชายของเฮีย แต่พอผมถามถึงแม่เท่านั้นแหละ แกก็นิ่งไปเลยครับ”
สิ้นคำอธิบาย รอยย่นบริเวณหน้าผากของสมพงศ์ดูจะยิ่งลึกเข้าไปอีก สมพงศ์เอ่ยปากไล่พวกเขาเบาๆ แต่ก็ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสามแตกกระเจิงกันไปเสียคนละทิศคนละทาง ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม อาการปวดหัวจี๊ดเริ่มเพลาลงไปบ้างแล้ว รู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อคุณพ่อดึงผมเข้าไปในอ้อมแขนอย่างไร้เหตุผล หลายครั้งที่ผมไม่เข้าใจการกระทำแปลกๆ ของคุณพ่อ... รวมถึงอะไรแปลกๆ ในตัวของผมด้วย
“คุณลุงคะ พี่ขวัญให้มาบอกว่าทางบริษัทแม่โทรมาค่ะ” เสียงเล็กแหลมดังขึ้นมาจากด้านหลัง เด็กสาวผมเปียเมื่อครู่นี่เอง... คุณพ่อดูท่าทางหงุดหงิด ท่านเหลียวซ้ายแลขวาไปรอบๆแต่กลับจับมือผมไว้แน่น จนสุดท้ายก็มาสบกับดวงตากลมโตที่ฉายแววสงสัยของเธอ
“หนูช่วยอยู่เป็นเพื่อนเล่นเขาหน่อยละกันนะ เล็กอยู่กับเพื่อนก่อนนะลูก...” สมพงศ์กล่าวอย่างลังเล เหตุการณ์เมื่อครู่ดูเหมือนจะทำให้คุณพ่อไม่ค่อยอยากให้ผมอยู่กับใครเพียงลำพังอีกแล้ว แต่ก็ไม่มีทางเลือก...
ผมหันมองดูเด็กสาวข้างกายก็พบว่าตัวเองก็กำลังโดนจ้องมองอยู่เช่นกัน ทันทีที่สบสายตา ดวงตากลมโตก็พลันหลบไปเสียอีก เงียบอยู่นานพอควร... เมื่อคนข้างกายเห็นว่าผมคงเงียบไปนานเธอจึงค่อยเอ่ยแนะนำตัวขึ้นมาเบา ๆ “เราชื่อใบหม่อนนะ เธอล่ะ”
“เล็ก...” ผมตอบกลับไปเบาๆ แล้วบทสนทนาก็สิ้นสุดลงตรงนั้น ใบหม่อนยิ้มแหยก่อนค่อยนั่งลงกอดเข่าพิงกำแพงบริเวณนั้น ผมลังเลอยู่สักพักก่อนค่อยทำตาม เด็กสาวปริปากเเล่าเรื่องสัพเพเหระต่างๆมากมาย แต่ผมไม่ใคร่จะตั้งใจฟังเท่าใดนัก... ใบหม่อนเงียบไปเมื่อรู้สึกคอแห้งกับการพูดอยู่ฝ่ายเดียว เด็กสาวจึงลุกขึ้นแล้วปัดเศษฝุ่นที่ติดอยู่ที่กางเกงเอี๊ยมสีเข้ม “มาเล่นกันเถอะนะ” ใบหม่อนแย้มรอยยิ้มหวาน ผมเอื้อมไปจับมือที่ยื่นออกมาแล้วยันกายลุกขึ้นตาม คงเพราะเราอยู่วัยเดียวกันทำให้ผมยอมทำอะไรตามเธออยู่เสมอ ผมยังรับรู้ได้ถึงไอร้อนที่ฝ่ามือแม้สัมผัสจะจากไปแล้ว... มันยังคงอบอุ่น
“เล็กๆ จับไว้เร็วไปทางนั้นแล้ว” เด็กสาวร้องเสียงใสยามที่เสื้อตัวน้อยบินฉวัดเฉวียนไปมารอบๆตัวผม ผมได้แต่ขยับเก้งก้างปัดมือไปมาตามคำบอกกล่าวของเธอเท่านั้น ใบหม่อนหลุดขำออกมาเมื่อเห็นท่าทีเก้ๆ กังๆ แม้พยายามไล่จับอย่างเอาเป็นเอาตายของผม
ผมหันมองตามเสียงหัวเราะ ใบหม่อนเลิ่กคิ้วเป็นเชิงถามถึงใบหน้าเฉยชาไม่แสดงถึงความรู้สึกของผม เธอจ้องตาผมกลับมานิ่งนานก่อนเอ่ยออกมา
“เล็กเนี่ย หน้าตายจังเนอะ ถ้าเราไม่รู้คงคิดว่าเล็กกวนโทโสนะเนี่ย” เด็กสาวตั้งข้อสังเกต ผมรู้สึกแปลกๆ กับดวงตาที่หรี่เล็กที่มองมาทางผมอย่างเจ้าเล่ห์...
“นี่~ มันต้องยิ้มอย่างนี้” หมับ เด็กสาวดึงแก้มทั้งสองข้างของผมไปคนละทางแล้วโยกไปมาอย่างเมามัน ผมรู้สึกแปลกๆ จึงเบี่ยงกายหลบมือของเธอเบาๆ มิให้น่าเกลียด เด็กสาวหัวเราะร่วนแล้วเอ่ยล้อเลียนผมเบาๆ “แหนะๆ เขินล่ะสิ น่าแดงเชียว”
เขิน...? ผมทวนคำๆ นี้ในใจเบาๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาการที่ว่ามันเป็นอย่างไร รู้แต่เพียงความรู้สึกร้อนวูบวาบที่อยู่ภายในเท่านั้น... เสียงเรียกใบหม่อนลอยมาแต่ไกล เด็กสาวรีบหันหลังควับจนหางเปียปลิวไสว ผมคาดคะเนเอาว่าน่าจะเป็นพี่ชายของเธอที่ทำงานอยู่ที่โรงงานนี้ตามที่สาวเจ้าได้เล่าให้ฟัง “ว้า ต้องไปแล้วล่ะ” ใบหม่อนบ่นพึมพำก่อนหันมาโบกมือไหวๆ ให้ผมก่อนฉีกยิ้มตามแบบฉบับของเด็กสาว “แล้ววันหลังมาเล่นกันใหม่นะ”
ผมโยกมือไปมาช้าๆ เลียนแบบเธอบ้าง ใบหม่อนโบกมือตามอีกครั้งก็จะวิ่งไปหาพี่ชายเสียตัวปลิว ผมยืนมองร่างเล็กที่เริ่มเล็กหายไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกประหลาด ความมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นที่บางครั้งก็เกินไปของเธอนั้นทำให้ผมมึนศีรษะ แต่น่าประหลาดที่ผมกลับอยากพบเจอเธออีกในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไป
ผมเหล่มองที่แขนเมื่อเห็นแมลงสีเหลืองตัวน้อยเกาะนิ่งอยู่ที่นั่น เสียงเชียร์ให้จับของใบหม่อนลอยแว่วเข้ามา ผมจึงคว้ามือหมับไปที่แขนเสียเต็มแรง ผลคือเจ้าแมลงตัวน้อยที่น่าสงสารนั่นหงายหลังชักดิ้นชักงออยู่ซักพักจนแน่นิ่งไปในที่สุด ผมมองเศษซากสีเหลืองๆ ดำๆ ในฝ่ามือนั่นอย่างภาคภูมิใจ เสียดายจริงๆ ที่ใบหม่อนเขากลับไปเสียก่อนแล้ว มิเช่นนั้นแล้วเขาคงต้องชมผมเป็นการใหญ่แน่ ใบหม่อนจะต้องชอบมากแน่ๆ เลย
“เล็กมาดูนี่เร็ว ปลาตัวเบ้อเริ่มเลย” ใบหม่อนร้องเรียกเสียงใสพลางชี้ชวนให้ดูปลาตะเพียนขนาดใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ ผมรีบเดินตามเข้ามาดูด้วยความสนใจ ยิ่งยามเมื่อแม่ลูกคู่หนึ่งกำลังโปรยเศษขนมปังถังใหญ่ลงไป สงครามในลำคลองก็เริ่มขึ้น เหล่าปลาตะเพียนเบียนเบียดกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหารอันมีค่าทำให้เห็นราวกับพื้นผิวน้ำมีแต่ฝูงปลาตะเพียน ปลาตัวหนึ่งซึ่งโดนเบียดไปมาสะบัดหางอย่างแรงเป็นผลให้น้ำส่วนหนึ่งกระเด็นเข้ามาใส่ผมและใบหม่อนจะเกือบจะเรียกได้ว่าเปียกโชก พวกเราหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
นับแต่วันที่ได้เจอใบหม่อน ทำไมค่ำคืนมันช่างผ่านไปเชื่องช้าเสียเหลือเกิน รอทุกวันให้ราตรีผ่านพ้นไปเพื่อจะได้พบเจอเธออีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
ฝ่ายคุณพ่อดูจะมีความสุขเสียเหลือเกินยามที่ผมเอ่ยถึงใบหม่อนระหว่างทานอาหารเย็น คุณพ่อชมเด็กสาวไม่ขาดปากว่าทำให้ผมดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา นั่นคงเพราะผมชอบเธอ ผมชอบผิวสีขาวนวลเนียน ผมชอบผมเปียสองข้างที่เลยยาวลงมาเกือบถึงสะโพก ชอบแก้มขาวที่ขยับไปตามการพูดของริมฝีปากคู่สวย ชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นใบหม่อน...
วันนี้ผมก็ตามคุณพ่อมาที่โรงงานตามปกติดังเช่นทุกวัน แต่วันนี้กลับพิเศษขึ้นมาเมื่อใบหม่อนบอกว่าจะพาไปเที่ยวนอกโรงงาน ผมกระตือรือร้นและตื่นเต้นเป็นพิเศษ จนลืมเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ว่าผมยังไม่ได้ขออนุญาตจากคุณพ่อ...
เสียงหัวเราะใสๆ ของใบหม่อนยังทำให้ผมแย้มรอยยิ้มได้อย่างทุกครั้ง เด็กสาวกวักมือเรียกผมให้เดินเข้าไปใกล้ๆ ผมเดินอย่างระมัดระวังไปตามขอบหินที่เรียบลื่น เธอยิ้มขำเบาๆ เมื่อผมมีทีท่าเอนเอียงไปเล็กน้อย พลางอวดว่าตัวเองมาเล่นที่นี่ตั้งแต่เด็กๆ จนคุ้นถิ่นดีแล้ว เด็กสาวยังโม้ต่อเมื่อเห็นใบหน้าเรียบเฉยอันเป็นปกติของผม
ผมพยายามกล่าวค้านเมื่อเด็กสาวพยายามจะกระโดดข้ามไปมาบนก้อนหินสองก้อนที่ห่างกันประมาณหนึ่งเมตร หากแต่ดูเหมือนจะยิ่งเป็นการยั่งยุให้เด็กสาวกระโดดเร็วขึ้น
“นี่ไง เห็นไหม เราบอกแล้ว...!” ท้ายเสียงขึ้นสูงเสียแหลมปรี๊ดเมื่อเท้าคู่เล็กไถลลื่นจนถลาหน้าเข้าหาน้ำคลองลึก ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเร็วเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต แขนขาวๆ ผอมๆ ของผมรับร่างของใบหม่อนไว้ได้อย่างทันท่วงที แต่สิ่งที่ได้ยินกลับมิใช่คำเอ่ยขอบคุณ... มีเพียงเสียงกรีดร้องของเด็กสาวยามที่ร่างของผมร่วงหล่นลงไปกลางสายน้ำแทน...
เสียงของคุณพ่อที่ตะโกนโวยวายอยู่เหนือหัวปลุกผมให้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ภาพของใบหม่อนที่ก้มหน้านิ่งสนิททำให้ผมใจหายวาบ... หยดน้ำตาหลายหยดที่ไหลลงหยดแหมะบนพื้นห้องยิ่งทำให้ผมใจเสีย เหลือบมองไปข้างๆ ก็พบชายชราร่างเล็กที่กำลังตะคอกด่าสาดเสียเทเสียอย่างที่ผมไม่เคยเห็นคุณพ่อผู้ใจดีเคยทำเช่นนั้นมาก่อน ภาพของเด็กสาวที่พร่ำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้ผมผุดลุกขึ้นมาเพื่อจะห้ามผู้เป็นบิดา แต่เพียงผมลุกขึ้นมาความสนใจทั้งหมดก็ตกมาอยู่ที่ผม
“ไม่เป็นไรแล้วนะลูก ปลอดภัยแล้วนะ” คุณพ่อลูบหลังผมซ้ำๆ ราวกับคนวิตกจริต ผมหันมองไปที่ใบหม่อน เด็กสาวพยายามจะเข้ามาดูว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง แต่กลับโดนคุณพ่อตะโกนไล่เสียไม่มีดี
ใบหม่อนหน้าเสียไปถนัดตา เธอก้าวถอยหลังก่อนวิ่งหนีหายออกจากห้องไป ผมรีบถลาวิ่งตามไปโดยไม่สนใจบิดาที่พยายามจะห้ามปราม
“ใบหม่อน!” ผมตะโกนเรียกเธอก่อนคว้าข้อมือของเด็กสาวไว้ได้ในเวลาไม่นาน เด็กสาวสะบัดหน้าหนีไปอีกทางพยายามข่มน้ำตาที่เอ่อล้มไม่ให้รินไหล ก่อนเอ่ยขึ้นมาเบาๆ “เราขอโทษ...”
ผมพยายามฝืนยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ผมจะรู้ตัวดีอยู่ถึงความผิดปกติทั้งหมดในร่างกายตัวเองหลังจากฟื้นขึ้นมา... “เล็กก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
ใบหม่อนค่อยใจชื้น เธอหันมายิ้มให้ผมบางๆ แต่แล้วพลันเด็กสาวก็กลับเบิกตากว้าง ใบหน้าที่ซีดเผือกบ่งบอกว่าเธอกำลังพบเจอกับอะไรบางอย่างที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“เล็ก... หน้าของเธอ หน้าของเธอ” นิ้วมือสั่นระริกชี้ไปยังส่วนที่เป็นใบหน้า ผมทาบมือไปตามส่วนที่เธอบอก ก็รู้สึกได้สัมผัสเย็นเยียบเกินกว่าจะเป็นผิวของมนุษย์... เด็กสาวหวีดร้องก่อนผวาจะถอยหนี ผมที่ยังไม่รู้สาเหตุพยายามวิ่งตามเด็กสาวไป จนกระทั่งมาถึงบริเวณทางเดินที่มีกระจกบานใหญ่แปะติดอยู่ข้างฝาผนัง ผมชะงักเท้าลงทันใดเมื่อได้เห็นภาพสะท้อนของตัวเองที่กระจกเต็มๆ ตา
ภาพของหุ่นยนต์รูปร่างอัปลักษณ์ตัวหนึ่งที่ผิวหนังเริ่มจะหลุดลอกเผยให้เห็นถึงเนื้อในที่เต็มไปด้วยสายไฟหลากสีโยงใยกันมั่ว ส่วนที่ยังคงเหลือร่องรอยของบริเวณที่เคยเป็นผิวหนังขาวผ่องบัดนี้กลับดูเหมือนหนองเน่าที่แปะติดไปทั่วร่าง
ผมที่ยังยืนอึ้งกับสภาพของตัวเองนั้นไม่ทันได้เห็นสังเกตถึงคุณพ่อและเหล่าลูกน้องอีกหลายคนที่วิ่งตามมา
“ฉิบหายแล้ว ระบบสั่งการช็อตแล้วไง” เสียงสบถของคุณพ่อทำให้ผมรีบหันขวับกลับไปเพื่อจะขอคำอธิบาย ทันใดนั้นเหมือนเมฆหมอกที่บดบังความจริงทุกอย่างก็พลันสลายหายไปหมดสิ้น บัดนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว ชิ้นส่วนของตัวต่อครบแล้ว...
ชุดกาวด์ของคุณพ่อที่เคยนึกไปว่าเป็นเครื่องแบบแพทย์แท้จริงแล้วกลับเป็นชุดของนักวิทยาศาสตร์... เท่านี้ก็อธิบายได้ถึงความทรงจำเก่าๆ ของผมที่ไม่มีแม้เลยสักนิด รวมทั้งเรื่องของแม่... มิน่าเล่าผมถึงต้องกินแต่อาหารและน้ำที่คุณพ่อเตรียมไว้ให้เท่านั้น สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นก้อนพลังงานต่างหากเล่า... ผมหันไปมองกระจกบานใหญ่นั่นอีกครั้ง ภาพที่สะท้อนมายิ่งตอกย้ำความจริงที่อยากลบเลือนให้ยิ่งแจ่มชัด ผมไม่ใช่มนุษย์
“ไม่ต้องห่วงนะเล็ก พวกเราต้องรักษาลูกได้แน่ๆ มะ มาหาพ่อมา” สมพงศ์พยายามเอ่ยเสียงนิ่ง แต่ผมก็ยังจับได้ถึงท้ายเสียงที่สั่นไหว ถ้าเหงื่อที่ผุดขึ้นมาเต็มหน้าผากไม่ได้เกิดจากการที่วิ่งมาเมื่อครู่ สมพงศ์ก็เป็นคนที่โกหกได้แย่ที่สุดตั้งแต่ผมเคยเจอมา
“ไม่ต้องมาโกหกหรอกครับ พวกคุณซ่อมผมไม่ได้แน่ๆ” ผมจงใจเน้นคำว่า ซ่อม
ไม่รู้ทำไมผมถึงใจเย็นได้อย่างน่าประหลาด ทั้งที่ลึกๆ รู้สึกโกรธแค้นคุณพ่อที่ปิดบังผมมาตลอด ผมยิ่งรู้สึกสะใจเมื่อเห็นคุณพ่อหน้าถอดสี ระบบที่รวนในร่างกายรู้สึกจะทำให้ผมก้าวร้าวขึ้นด้วยงั้นสินะ
“เล็ก ฟังพ่อก่อนสิ...” ชายชราพยายามก้าวเข้ามา
“ไม่! คุณไม่ใช่พ่อผม ผมไม่มีพ่อ!” ผมตะคอกกร้าวอย่างไม่เคยทำมาก่อนจนสมพงศ์ต้องชะงักเท้า “ผมเป็นหุ่นยนต์ จะมีพ่อได้ยังไง...”
เสียงสะอื้นของเด็กผู้หญิงทำให้ผมต้องเหลียวหันหลังกลับไปมอง เสียงของใบหม่อน... ผมสืบเท้าเข้าไปหาเธอ “ร้องไห้ทำไม...”
“ระ เรา เราสงสารเล็ก” เธอสะอื้นไห้
“พูดมาได้ยังไงว่าสงสารฉัน เมื่อกี้ยังจะกลัวคิดวิ่งหนีจากฉันอยู่เลยไม่ใช่หรือไง หา!” ผมตะคอกใส่หน้าเธออีกครั้ง ใบหม่อนหน้าถอดสีพลางสั่นศีรษะเบาๆ อย่างสับสน ริมฝีปากบางเอ่ยพร่ำอยู่ซ้ำๆ “ไม่ใช่... เธอไม่ใช่เล็ก!!!”
“พ่อขอโทษ...มากับพ่อเถอะนะ” สมพงศ์ซุกหน้าเข้ากับมือทั้งสอง แต่ถึงกระนั้นหยดน้ำเล็กๆ ก็ยังไหลผ่านฝ่ามือลงมา...เขากำลังร่ำไห้
ผมมองท่าทีนั่นแล้วอะไรบางอย่างก็พลันแวบเข้ามา เขาไม่ได้ร้องไห้ที่ผมรู้ความจริง... มีอะไรมากกว่านั้น อะไรบางอย่างที่ผมอาจต้องเผชิญในไม่ช้า... “ผมจะถูกทำลายใช่ไหม...” สมพงศ์ไม่ตอบ... นั่นยิ่งย้ำชัดว่าสิ่งที่ผมคาดเดานั้นถูกต้อง
“ใช่สิ! หุ่นที่เสียแล้วอย่างผมจะไปมีประโยชน์อะไร ตอนนี้ผมก็คงเป็นแค่การทดลองที่ผิดพลาดที่พวกคุณอยากให้มันหายๆไปเท่านั้น” ท้ายเสียงของผมสั่นเครืออย่างยากจะควบคุม ผมอยากจะร้องไห้เหลือเกิน... เพียงแต่ไม่มีน้ำตาจะให้รินไหลเท่านั้น
“เล็ก...” ใบหม่อนทำท่าจะเดินเข้ามาหาผม แต่ผมกลับถอยหนีเสียเอง “เธออย่าทำมาเป็นเข้าใจฉันเลย ทุกคนไม่เคยเข้าใจอะไรทั้งนั้น ไม่มีใครเข้าใจ! ความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์น่ะ ไม่มีความหวังอะไรอีกแล้ว...ไม่มีทั้งนั้น” ผมหยุดหอบหายใจ ล้าเหลือเกิน...
“ถ้างั้น...จะสร้างผมขึ้นมาทำไมล่ะครับคุณพ่อ...” ผมเอ่ยพร่ำ
“จะทำให้ผมมีความรู้สึกทำไม ทำไมต้องทำให้ผมรู้จักความเจ็บปวด ทำไมต้องให้ผมเจอกับใบหม่อน ทำไม...ต้องทำให้ผมมีหัวใจด้วย”
“เพื่อผลการทดลอง แค่นั้นใช่ไหม...” ความเจ็บปวดแล่นริ้วเข้ามาจนสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย น่าขำที่หุ่นยนต์อย่างผมปวดใจก็เป็นด้วย... ผมมองคนทั้งสองนิ่งนาน อยากจะจดจำพวกเขาเอาไว้ให้เนิ่นนานที่สุดเท่าที่หน่วยความจำของผมจะสามารถทำได้... ถึงแม้รู้อยู่แก่ใจดีกว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลยก็ตามที...
เปล่าเลย... ผมไม่เคยเกลียดคุณพ่อเลยแม้สักนิด ทั้งใบหม่อน ผมไม่อยากให้เธอต้องเจ็บปวดใจเพราะผม เพราะรักพวกเขามาก... จึงเจ็บปวดมากไม่แพ้กัน
“ลาก่อนนะครับ การทดลองที่ผิดพลาดนี้กำลังจะหายไปแล้ว” คุณพ่อหน้าซีดเมื่อรู้สิ่งที่ผมกำลังจะตัดสินใจ และเขาก็รู้ดีว่าเวลานี้อะไรก็หยุดผมไม่ได้ ผมหันไปหาใบหม่อนที่ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจ
“ลาก่อนนะ ใบหม่อน ขอบคุณมากสำหรับเวลาที่ผ่านมา เรามีความสุขมากจริงๆ...”
“เล็กจะไปไหน...” เด็กสาวเอ่ยถาม ผมส่งยิ้มให้แทนคำตอบ ก่อนจะลงมือสั่งให้กลไกในร่างกายทำงาน โปรแกรมที่ติดตั้งไว้เผื่อในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น โปรแกรมที่ชื่อว่า การทำลายตัวเอง
“เล็กกกกกกกก” เสียงคุณพ่อและใบหม่อนกรีดร้องดังลั่นยามที่ร่างกายของผมระเบิดตัวเองกลายเป็นชิ้นส่วน...
มีเพียงร่างกายส่วนบนที่ยังพอรับรู้อยู่บ้าง คุณพ่อและใบหม่อนต่างรีบกรูกันเข้ามาหาผม ภาพใบหม่อนที่คว้ามือของผมแนบไปที่แก้มเนียนนุ่มอย่างไม่นึกรังเกียจสัมผัสที่เย็บเยียบทำให้ผมยิ้มออกมาได้ “เล็กอย่าตายนะ ตายไม่ได้นะ เล็กยังไม่ได้ฟังคำว่ารักจากปากหม่อนเลยนะ...” เด็กสาวร้องไห้ฟูมฟาย ผมเพียงได้แต่ยิ้มปลอบใจ แต่นี่เป็นสิ่งที่ผมตัดสินใจแล้ว
“เล็ก...” คุณพ่อเรียกผมบ้าง ท่านไม่ได้เข้ามาใกล้หากแต่กลับพยายามฝืนยิ้มทั้งที่หยดน้ำใสๆ ยังไหลเอ่ออยู่ที่ขอบตา “ยังไง...ลูกก็ยังเป็นลูกชายของพ่อเสมอ” ผมยิ้มให้ท่านอีกครั้ง ตอนนี้ผมรู้สึกเต็มตื้นในใจจริงๆ “ขอบคุณครับ...”
ผมเอ่ยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเปลือกตาจะค่อยปิดพับลงไปพร้อมกับน้ำใสๆ หยดหนึ่งที่รินไหลออกมา...
“เล็ก...เล็ก...เล็ก!!!” ใบหม่อนยังคงเขย่าร่างที่บัดนี้เป็นเพียงเศษเหล็กไร้ความรู้สึกต่อไปอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตาซุกลงกับแผ่นอกเย็นเยียบ สมพงศ์ลุกขึ้นจากตรงนั้นแล้วหมุนตัวเดินจากไปเงียบๆ หากเพียงเสียงของลูกน้องคนหนึ่งไม่รั้งเขาเอาไว้ “เฮียครับ แล้วจะทำยังไงกับหุ่นตัวนี้ดีครับ”
ปลายเท้าของชายชราชะงักกึก แต่ร่างเล็กกลับไม่หันมาตอบคำถาม “ไม่ใช่ ‘หุ่น’ เขาคือ ‘ลูกชาย’ ของฉัน”
ผลงานอื่นๆ ของ อันน์นิลา ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ อันน์นิลา
ความคิดเห็น