คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอน 2
ตอนที่ 2.
จุดหมายปลายทางอยู่ห่างจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตไปไม่น้อย แต่ด้วยความที่ถนนหนทางค่อนข้างสะดวกจึงใช้เวลาไม่นานนักณารินก็มาถึงที่หมายในที่สุด
บ้านพักริมทะเลของศศิน!
หล่อนสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ราวกับอยากจะเรียกหากำลังใจในยามยาก หลังจากไตร่ตรองเป็นล้านรอบแล้วก็พบว่าไม่มีวิธีใดจะเหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว
กระเป๋าหนังใบเดิมยังเต็มไปด้วยข้าวของมีค่าอัดแน่นอยู่ภายใน น่าเสียดายนักที่เจ้าของไม่เคยเห็นคุณค่าของมันเลย หากแต่ตีเป็น ‘ราคา’ เท่านั้น
และถึงราคาค่างวดจะสูงเพียงใด ดารารัตน์กลับมองอย่างเหยียดหยาม ไม่ได้ยินดีปรีดาเหมือนคราแรกที่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของ หากไม่ค่อนขอดเกินไปนักก็อดคิดไม่ได้ว่าน้องสาวเธอทำตัวเหมือนเด็กคือดีใจแค่ตอนแรก ตอนอยากได้เท่านั้น พอได้เป็นเจ้าของตัวจริงเสียงจริงกลับทิ้งขว้างไม่แยแส
เอาเถิด ณารินย้ำกับตัวเองอีกครั้ง... หล่อนทำถูกแล้วที่เป็นธุระจัดการเรื่องนี้ให้ ในเมื่อณารินไม่สนใจจนแทบจะเอาของหมั้นไปขายทิ้ง เอาเงินสดไปใช้จ่ายส่วนตัวเสียให้ได้ออกขนาดนี้แล้วก็ถือว่าน่าจะเป็นการดีเสียมากกว่าที่จะจัดการคืนของหมั้นให้เจ้าของเดิมอย่างถูกต้องไปเสีย
บ้านพักของศศินตั้งอยู่ติดชายหาด มีพื้นที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ไม่แปลกใจเลยที่ครั้งหนึ่งดารารัตน์เคยพูดถึงอย่างชื่นชมในรสนิยมและฐานะของคู่หมั้นอย่างเขาไว้เสียดิบดี น่าเสียดายที่วันคืนเหล่านั้นไม่มีวันหวนคืนอีกแล้ว
หล่อนจ้างรถจากสนามบินมาส่ง ยังไม่แน่ใจว่าจะให้รอรับกลับเลยดีหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาพูดคุย ‘ธุระ’ กันนานแค่ไหนสุดท้ายเกรงจะน่าเกลียดจึงให้รถรับจ้างกลับไปก่อน แต่ขอหมายเลขโทรศัพท์เผื่อจะเรียกให้มารับกลับไปส่งสนามบินอีกครั้ง ตั๋วเครื่องบินก็เช่นกันจัดแจงจองแบบขาเดียว เอาไว้เสร็จธุระค่อยซื้อขากลับก็ยังไม่สายถึงราคาจะต่างกันมากก็ตาม
การเอาของหมั้นมาคืนเขาโดยพี่สาวของคู่หมั้น คงจะพอรับได้อยู่บ้าง หากเขาจะทำใจยอมรับความเป็นจริง ไม่ต้องให้เดือดร้อนถึงพ่อซึ่งทำกำลังติดงานอยู่ที่สิงคโปร์หรอก ณารินเชื่อเช่นนั้นว่าผู้ชายอย่างศศินไม่น่าจะ ‘พูดยาก’ แต่หล่อนก็ยังเก็บเสื้อผ้ามาเผื่อว่าจะต้องค้างคืนสักสองสามวัน อีกอย่างมาถึงภูเก็ตแล้วจะให้รีบไปรีบกลับก็ดูจะเสียเที่ยวไปสักหน่อย
“ฉันมาพบคุณศศิน” หล่อนบอกแม่บ้านซึ่งออกมาต้อนรับ พูดเพียงเท่านี้อีกฝ่ายก็ยิ้มกว้างรับทันที
“คู่หมั้นคุณศศินใช่ไหมคะ ป้ารอตั้งนาน คิดว่าจะไม่มาซะแล้ว” แม่บ้านวัยราวครึ่งร้อยบอกด้วยน้ำเสียงยินดีปริดา ก่อนจะคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าจากมือณารินมาถือไว้เสียเอง
เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้นหญิงสาวก็มาหยุดยืนรออยู่ที่กลางห้องรับแขกกว้างขวาง ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนโทนสีอบอุ่น ผ้าม่ายสีน้ำตาลขลิบทองเปิดกว้างรับแสง มองปราดเดียวก็นึกประทับใจขึ้นมา และอดเสียดายแทนดารารัตน์ขึ้นมา
น้องสาวหล่อนคงไม่รู้หรอกว่ากำลังลาดอะไรไป ในเมื่อผู้ชายอย่างศศินถือเป็นผู้ชายที่ดีพร้อมทุกอย่างจริงๆ หากเพียงแต่เมื่อสองเดือนก่อนจะไม่เกิดอุบัติเหตุกับเขา และดารารัตน์ก็ได้เลือกแล้ว...
เลือกที่จะทิ้งเขา...
“รอสักครู่นะคะคุณ เดี๋ยวป้าขอไปเรียนคุณศศินก่อน ถ้าได้รู้ว่าคู่หมั้นมาคุณศศินคงดีใจ คุณศศินบ่นถึงคุณบ่อยเหลือเกิน”
ณารินอ้าปากจะค้าน แต่ไม่ทันเสียแล้ว แม่บ้านเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว สีหน้ายังเปื้อนรอยยิ้ม โดยหารู้ไม่ว่าเข้าใจผิดไปเสียเอง
นี่ถ้าดารารัตน์มาเองคงจะดีไม่น้อย ไม่ใช่ให้พี่สาวอย่างหล่อนต้องทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเช่นนี้
กระเป๋าเดินทางใบเล็กของหญิงสาวยังวางอยู่ที่พื้นข้างเก้าอี้รับแขก ณารินวางกระเป๋าหนังซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของมีค่านั้นลงกลางโต๊ะรับแขก ในใจพยายามทบทวนว่าจะพูดอะไรกับศศินบ้าง และจะพูดอย่างไรเพื่อเป็นการถนอมน้ำใจเขาให้มากที่สุด ทว่ายังไม่ทันไร หล่อนก็ได้ยินเสียงเหมือนจานชามหล่นแตกดังมาจากชั้นบนของตัวบ้าน ก่อนจะตามด้วยเสียงของแม่บ้านคนเมื่อครู่
หญิงสาววิ่งไปดุว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะความตกใจ พอเห็นแม่บ้านเดินลงบันไดมาหน้าเสียก็ต้องเอ่ยปากถาม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะป้า คุณศศินเป็นอะไรรึเปล่า”
“คุณขึ้นไปดูเองเถอะค่ะ” เสียงแม่บ้านตอบอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะเดินหนีไปเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังสีมีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีอยู่หยกๆ
ณารินขมวดคิ้วมองตามหลังแม่บ้านไปด้วยความสงสัย ทว่าหล่อนมาที่นี่เพื่อพบหน้าเขาไม่ใช่หรือ ดังนั้นจึงตัดสินใจเดินขึ้นบันไดบ้านไปโดยไม่คิดว่าจะเป็นการเสียมารยาท ในเมื่อเจ้าของบ้านสูญเสียการมองเห็น มันก็คงจะดีกว่าไม่ใช่หรือที่จะให้คนตาดีอย่างหล่อนเป็นฝ่ายเดินขึ้นไปหาถึงที่เสียเอง
ประตูห้องเปิดอ้าอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียเวลามองหาว่าเป็นห้องไหนณารินก็เดินเข้าไปในห้องซึ่งค่อนข้างมืดเพราะผ้าม่านปิดสนิทเสียจนไม่เหลือแสงอาทิตย์ลอดผ่าน แต่ถึงกระนั้นก็ยังพอมองเห็นเศษแก้วแตกที่เกลื่อนกลาดอยู่ใกล้ทางเข้าออกได้ไม่ยาก จากแสงอาทิตย์ภายนอกที่ลอดเข้ามาทางประตู
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณศศิน” หล่อนส่งเสียงถามไปก่อน เพราะเห็นเขายืนอยู่ไม่ไกลนัก สีหน้าบึ้งตึงราวกับโกรธใครมาเสียหนักหนา
พอได้ยินเสียงหญิงสาว เจ้าของบ้านก็หันมาทางต้นเสียงก่อนจะก้าวตรงมาหาเธอช้าๆ ทว่าณารินกลับร้องห้าม
“อย่าเดินมาทางนี้ค่ะเดี๋ยวจะเหยียบเศษแก้ว”
หล่อนรีบร้องบอกเขาเพราะเกรงว่าจะได้รับบาดเจ็บจากเศษแก้วที่กองเกลื่อนพื้น พอพูดจบก็เลยเป็นฝ่ายเดินเข้าหาเขาเสียเองมันคงไม่ดีแน่ถ้าหากจะได้แผลเพราะพยายามจะเดินมาหล่อน
ศศินยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำจนหญิงสาวรู้สึกได้ถึงความตึงเครียด แต่ก็ยังต้องทำใจดีสู้เสือถามออกไป
“ทำไมถึงอยู่มืดๆ อย่างนี้ล่ะค่ะคุณศศิน ไปนั่งตรงโน้นก่อนดีไหม ไว้ให้แม่บ้านมากวาดเศษแก้วก่อนนะคะ ปล่อยไว้อย่างนี้อันตราย”
หล่อนว่าพลางตรงเข้าไปแตะมือเขาอย่างนุ่มนวลเพื่อนำทางให้เขาเดินไปนั่งยังปลายเตียงกว้าง ใจหนึ่งเตือนถึงความไม่เหมาะสมที่หล่อนเข้ามาอยู่ในห้องนอนกับเขาตามลำพังสองต่อสอง ทว่าอีกใจก็รู้ดีว่าหล่อนมาที่นี่เพื่อเจรจากับเขาให้เรียบร้อยและหล่อนควรจะเป็นฝ่ายต้องเอาใจเขา หาไม่แล้วเขาอาจจะพาลโกรธเรื่องการถอนหมั้นของดารารัตน์เป็นได้
ศศินค่อยๆ นั่งลงที่ปลายเตียง เขายังไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ไม่ทักทาย ดั่งไม่สนใจว่าเจ้าของเสียงที่เขาไม่คุ้นเคยนี้เป็นใคร แต่พอหล่อนจะปล่อยมือจากมือเขาเท่านั้น ชายหนุ่มกลับเป็นฝ่ายดึงมือหล่อนไว้เอง
“คุณศศิน!” ณารินร้องด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าจะถูกเขาจับมือไว้เสียแน่นหนา
“คิดนานไหมกว่าจะตัดสินใจมาหาฉัน” เขาถามเสียงแข็งกระด้างและไม่รอคำตอบ มือแข็งแรงของเขาออกแรงดึงก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างตวัดเข้าสวมกอดร่างหญิงสาวเอาไว้ตลอดทั้งกาย
เพียงพริบตาเดียวณารินก็มานั่งอยู่บนตักในอ้อมกอดของเขา มิหนำซ้ำคนกอดก็ยังไม่สาแก่ใจ เขาก้มหน้าลงมาหาเสียจนแทบชิน จมลายใจอุ่นๆ ของเขาปะทะเข้าที่ข้างแก้มจนหญิงสาวเริ่มใจเต้นแรงด้วยความเขินอายและตกใจไปพร้อมๆ กัน
“ปล่อยค่ะคุณศศิน” หล่อนว่าพลางใช้สองมือพยายามดันหัวไหล่หน้าของเขาให้ออกห่าง ทว่าไม่เป็นผลใดๆ เลย เขาตัวใหญ่และแข็งแรงกว่ามาก ถึงเขาจะขึ้นชื่อว่าเป็นคนพิการทางสายตา แต่หญิงสาวก็บอกได้ทันทีว่าร่างกายส่วนอื่นๆ ของเขานั้นยังสมบูรณ์เต็มร้อย...
“ว่าไง” เขาพูดเสียงแข็ง “ฉันถามทำไมไม่ตอบล่ะ”
“อะไรกันคะ” หล่อนพูดอย่างงๆ และพยายามจะบิดตัวหนีออกจากอ้อมกอดของเขาให้จงได้ แม้จะไม่เป็นผลเลยก็ตาม
บ้าจริง ใครกันจะไปคิดว่าจะถูกเขากอดแนบแน่นถึงเพียงนี้...
“ฉันถามว่าเธอใช้เวลาคิดนานไหมกว่าจะตัดสินใจมาหาฉันได้ ทั้งที่ฉันร้องขอไปนับครั้งไม่ถ้วนเธอก็ยังใจร้ายไม่ยอมมาดูแลฉันเลยดารารัตน์”
หญิงสาวได้ยินชื่อที่ออกจากปากของเขาแล้วก็ถึงใจหายวาบ นี่เขาคิดว่าเธอคือดารารัตน์ซึ่งเป็นคู่หมั้นสินะ เขาถึงได้สวมกอดเธอโดยไม่เห็นว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควร และณารินก็ไม่แปลกใจเลยสักนิดหากเขาจะโกรธดารารัตน์มากมายถึงเพียงนี้
“เดี๋ยวค่ะคุณศศิน คุณเข้าใจผิดไปใหญ่แล้วฉันไม่ใช่...”
เสียงของหล่อนขาดหายไปเพราะในจังหวะนั้นศศินก็กดริมฝีปากของเขาลงมาประทับจูบหล่อนเสียจนไม่สามารถจะเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาได้อีกเลยแม้สักคำ
หญิงสาวตกใจเหลือเกินที่ถูกเขาจูบอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ตั้งแต่เกิดมาเคยมีใครได้ใกล้ชิดหล่อนเสียที่ไหน แล้วนี่ไม่ใช่หยุดแค่ความใกล้ชิดสวมกอด แต่จูบ... จูบอย่างที่ไม่เคยมีใครเคยสัมผัสมาก่อน
ศศินไม่สนใจว่าหล่อนจะส่งเสียงประท้วงอยู่ในลำคอ เขายังคงใช้ริมฝีปากทรมานเธอด้วยจุมพิตหนักๆ ที่บดเบียดเข้าหา และต่อให้ณารินจะอ่อนต่อโลกสักแค่ไหน หล่อนกลับรับรู้ได้ทันที... นี่คือจูบแห่งการลงทัณฑ์
มือข้างหนึ่งของศศินดันเข้าที่ท้ายทอยค่อนไปทางหลังศีรษะของหญิงสาว เพื่อบังคับไม่ให้หล่อนหนีไปไหนได้ เพียงเเค่เขาออกแรงกดอีกไม่เท่าไหร่ หล่อนก็ต้องยอมรับรสจูบกระด้างของเขาอย่างไม่มีเลือกอื่น
ริมฝีปากที่บดเบียดเข้าหาเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธระคนโหยหา ทว่าเพียงไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เริ่มสอดลิ้นอุ่นเข้ามาในริมฝีปากของหญิงสาวทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะให้หล่อนได้รับรู้ถึงความทรมานในการรอคอยของเขา
ณารินพยายามจะหันหน้าหนี ใช้สองมือดันให้เขาหยุดการกระทำนี้เสีย แต่ไม่เป็นผล สุดท้ายหล่อนกลับเผลอไผลต้องยินยอมรับจูบของเขาโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเมื่อเขาเริ่มใช้ลิ้นอุ่นชำแรกเข้าควานหาความหอมหวาน หล่อนก็เริ่มเผลอตัวตอบสนองเขา
สองมือของศศินเริ่มสัมผัสแตะต้องเรือนร่างหญิงสาวไปเสียทั่วกาย โดยไม่สนใจแล้วว่าเจ้าตัวจะดิ้นรนคันค้านอย่างไร ตอนแรกมันเป็นแค่การกอดไม่ให้หล่อนทันหนีไปไหนเท่านั้น แต่พอเจ้าตัวเริ่มตอบสนองกับรสจุมพิตของเขา หญิงสาวในอ้อมกอดกลับหมดเรี่ยวแรงไม่แม้แต่จะผลักเขาเหมือนตอนแรก แม้กระทั่งเวลาที่เขาเริ่มปะป่ายมือขึ้นไปแตะต้องกับเนินอกนุ่มอย่างชะล่าใจ
“อื้อ” หล่อนร้องหมายจะปฏิเสธการรุกรานของเขา
ชายหนุ่มไม่เปิดโอกาสให้หล่อนได้มีโอกาสพูดอะไรออกมาอีก เขาจูบหล่อนซ้ำแล้วซ้ำอีก จูบอย่างที่โหยหาและเรียกร้องเสียจนหญิงสาวตั้งตัวไม่ติดเป็นจังหวะเดียวกันกับที่มือของเขาเริ่มเคล้าคลึงอยู่กับหน้าอกนุ่มของหญิงสาวอย่างเมามันโดยที่เจ้าตัวทำได้เพียงแค่ส่งเสียงประท้วงอยู่ในลำคอเท่านั้น
มือของเขาบีบคลึงหน้าอกของหล่อนด้วยความชะล่าใจ ก่อนที่ศศินจะหัวเราะหึๆ อยู่ในลำคอ ถึงจะเป็นการสัมผัสโดยมีเสื้อผ้าขวางกั้นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหญิงสาวยอมให้เขาลูบคลำได้ตามใจชอบ
“พอแล้วค่ะคุณศศิน”
หล่อนรีบร้องบอกทันทีที่เขาผละริมฝีปากออกห่างเพียงชั่วครู่ ท่ามกลางความมืดของห้องนอนนั้น หญิงสาวยังพอเห็นสีหน้าของศศินที่กำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง หล่อนบอกทันทีว่าเขาอารมณ์เริ่มดีขึ้นแล้ว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องดีสำหรับหล่อนเลยแม้แต่น้อย
“สองเดือนเต็มที่เธอไม่เคยมาเหลียวแลฉัน เธอจะชดเชยให้ฉันเพียงเท่านี้น่ะหรือดารา” ศศินถามด้วยน้ำเสียงเหมือนจะเยาะ เช่นเดียวกับสีหน้าของเขา และพอพูดจบเขาก็ใช้สองมือกอดร่างนุ่มนิ่มเข้าหาตัวเองอีกครั้ง คราวนี้จงให้หน้าอกทั้งสองข้างของเธอบดเบียดเข้ากับอกกว้างของเขา
เขาใช้ท่อนแขนดันด้านหลังของหญิงสาวเพื่อให้หล่อนเบียดหน้าอกนุ่มเข้าหากายเขาอย่างที่อยากจะกลั่นแกล้ง น่าแปลกนักที่คู่หมั้นสาวกลับตอบกลับมาเสียงสั่น
“ปล่อยฉันเถอะค่ะคุณศศิน คุณกำลังเข้าใจผิด ฉันไม่ใช่...”
“ไม่ใช่อะไร” เขาตวาดเสียงดัง “เธอจะบอกฉันว่าเธอไม่ใช่คู่หมั้นของฉันอีกต่อไปใช่ไหม”
น้ำเสียงฉุนเฉียวของชายหนุ่มทำให้ณารินเริ่มกังวล เพราะเขาคงจะคิดไปไกลแล้วว่าคู่หมั้นตัวจริงอย่างดารารัตน์คิดจะทิ้งเขา และยืนยันว่าไม่ใช่คู่หมั้นของเขาอีกต่อไป หาใช่ความหมายที่หล่อนไม่ใช่ดารารัตน์ตัวจริงไม่
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะคุณศศิน คุณปล่อยฉันก่อน แล้วเราค่อยพูดจากันดีๆ ได้ไหมคะ” หล่อนบอกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จะไม่ให้สั่นได้อย่างไรกันเล่าในเมื่อมือไม้ของเขาอยู่เฉยเสียที่ไหน และยิ่งหล่อนพยายามจะกระเถิบกายหนี เขาก็ยิ่งมีแต่กอดรัดให้แน่นเข้าเสียอีก
ศศินร้ายกาจกว่าที่คิด...
“ฮึ พูดจากันดีๆ” เขาทวนคำด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ดูเหมือนว่าเธอจะมาช้าเกินไปหน่อยนะดารา ถ้าอยากให้ฉันพูดจาดีด้วย เธอก็มาช้าไปแค่สองสามเดือนเท่านั้น หนึ่งเดือนที่ฉันอยู่ในโรงพยาบาล กับอีกสองเดือนเต็มที่เธอทิ้งให้ฉันอย่างไม่ใยดี”
ท้ายคำน้ำเสียงของศศินเจือปนไปด้วยความรู้สึกหมองเศร้าจนณารินรู้สึกได้ทันที ต่อให้มองเห็นใบหน้าเขาไม่ชัด หล่อนก็แน่ใจเหลือเกินว่าผู้ชายคนนี้น่าสงสารเหลือเกิน
ดารารัตน์ทิ้งเขาอย่างไม่เหลือเยื่อใยถึงสองเดือนเต็ม ในเมื่อเขาคิดว่าหล่อนคือดารารัตน์มันก็ควรอยู่หรอกที่เขาจะโกรธและชิงชัง
“ฟังฉันก่อนนะคะคุณศศิน ความจริงแล้วฉันไม่ใช่ดารารัตน์คู่หมั้นของคุณ อุ๊ย...”
หล่อนพูดจบศศินก็จัดการปิดริมฝีปากคู่สวยไว้ด้วยริมฝีปากของเขาทันที คราวนี้จูบของเขาช่างเรียกร้องเอาแต่ใจ ดั่งอยากจะลงโทษผู้หญิงที่กล้าประกาศตัวว่าไม่ใช่คู่หมั้นของเขานัก
ณารินสะท้านไปกับรสจูบเอาแต่ใจของเขา สองมือของเธอพยายามจะผลักไสเขาแม้ว่ามันจะไร้ประโยชน์ ทว่าในที่สุดชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
“พอทีดารา ฉันเบื่อจะรอแล้ว”
เขาตัดบทก่อนจะก้มลงแตะริมฝีปากลงกลางแก้มนวลของหญิงสาว อันที่จริงเขาไม่รู้หรอกว่าตรงไหนคือแก้มกระทั่งปลายจมูกแตะลงไปและเริ่มสูดดมความหอมของกลิ่นเนื้อนางตามที่มันควรจะเป็น เช่นเดียวกับสองมือเขาที่เริ่มไคว้คว้าสำรวจเนื้อตัวของเรือนร่างนุ่มนิ่มในอ้อมแขนอีกครั้ง
“อย่าค่ะคุณศศิน ปล่อยฉัน”
หล่อนร้องค้านและไม่ว่าจะผลักไสเขาอย่างไร เนื้อตัวก็รังแต่สัมผัสเสียดสีกันมากขึ้นกว่าเก่า ดั่งเขาจงใจแกล้งให้หล่อนต้องพ่ายต่อความรู้สึกเบื้องลึกภายในใจจิตใจและยอมทำตามความต้องการของเขาจนได้
แต่ณารินรู้ตัวดีว่าหล่อนไม่ใช่คู่หมั้นของเขา หญิงสาวจึงยังไม่ยอมให้เขาเอาเปรียบแม้ว่าจะยากเหลือเกินที่จะต้องขัดใจเขาก็ตาม
“อย่าค่ะ”
ศศินตอบรับเสียงห้ามของหญิงสาวด้วยการใช้มือกระชากสายเสื้อของหล่อนจนขาดเป็นทางยาว แม้แต่เจ้าของเสื้อเองก็ยังเผลอร้องออกมาด้วยความตกใจ
“คุณศศิน”
นี่ถ้าเขามองเห็นเหมือนปกติ ก็คงได้เห็นนวลเนื้อนางผิวเนียนละเอียดตั้งแต่ช่วงคอเรื่อยลงมาถึงเอว เหลือแค่เสื้อชั้นในผ้าลูกไม้ที่ยังปกปิดเนื้อตัวท่อนบนอยู่เท่านั้น
ขนาดว่ารู้ดีว่าเขามองไม่เห็นแต่หญิงสาวก็ยังอดหน้าแดงไม่ได้ ก็นี่มันครั้งแรกที่หล่อนเคยเปิดเผยเนื้อตัวต่อหน้าผู้ชาย หากไม่อายก็ดูจะกร้านเกินไปหน่อย
“มานี่แม่ตัวดี”
ศศินร้องสั่งเสียงห้าวๆ ก่อนจะดึงร่างหญิงสาวให้ล้มลงนอนอยู่บนเตียงของเขา...
“คุณศศินอย่านะคะ อย่าทำแบบนี้”
หล่อนร้องขอเขาน้ำเสียงเริ่มสั่น รู้แล้วว่าเขาเอาจริง และหล่อนก็ยังไม่แข็งพอที่จะทำร้ายร่างกายคนพิการสายตาอย่างเขา
“ทำไมฉันจะทำไม่ได้” เขาย้อนถามน้ำเสียงกระด้าง “ในเมื่อผู้หญิงอย่างเธอมันน่านัก ตอนฉันสบายดีเธอก็มาเกาะแข้งเกาะขาบอกว่ารักฉัน แต่พอฉันตาบอดเท่านั้นล่ะ เธอก็หายไป ทิ้งฉันไว้โดยไม่คิดแม้แต่จะมาเยี่ยมฉันสักครั้ง ฉันควรจะทำยังไงกับผู้หญิงอย่างเธอดี”
“โถคุณศศิน” หล่อนร้องด้วยน้ำเสียงเห็นใจ รู้ล่ะว่าคนที่เขาด่าทอหมายถึงน้องสาวตัวเอง แต่ก็อดสงสารเขาไม่ได้ ในเมื่อน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดของเขา กลับเจือปนไปด้วยความสะเทือนใจ
“ปล่อยฉันเถอะค่ะ ก่อนที่คุณจะทำอะไรลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ”
“ทำไมฉันจะไม่ได้ตั้งใจ” เขาย้อนทันที “รู้ไหมสามเดือนเต็มที่ฉันเฝ้านึกถึงแต่เธอ ฉันเฝ้าคิดว่าถ้าได้เจอหน้าอีกครั้งฉันจะทำยังไงกับเธอมันถึงจะสาสมกับสิ่งที่เธอทำกับฉัน”
“แต่ฉันไม่ใช่ดารารัตน์นะคะ ฉัน...” หล่อนพูดไม่ทันจบศศินก็ลุกขึ้นตามขึ้นคร่อมตัวหล่อนบนเตียงกว้าง สองมือเขาจับใบหน้าเธอไว้ไม่ให้หันหนีไปไหนและยันกายไว้ด้วยข้อศอก โดยไม่สนใจสักนิดว่าร่างกายของตนจะทาบทับอยู่บนเรือนร่างของหญิงสาวเสียจนอวัยวะหลายส่วนกดทับแตะต้องกันจนแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน
“ถ้าเธอพูดอีกคำเดียวว่าเธอไม่ใช่ดารารัตน์ ฉันจะฆ่าเธอให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้ อย่าคิดนะว่าฉันจะไม่กล้า”
ความคิดเห็น