ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทาสรักดวงใจปรารถนา

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอน 5

    • อัปเดตล่าสุด 10 มี.ค. 57


    ตอนที่ 5.

    กว่าณารินจะรู้สึกตัวอีกครั้ง พระอาทิตย์ก็อับแสงเต็มที หล่อนลืมตาขึ้นก็เห็นว่าผ้าม่านที่เคยปิดทึบนั้นเปิดกว้างออกบานหนึ่งพอให้เห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว มือเรียวดึงชายผ้าห่มกระชับขึ้นมาถึงปลายคาง เนื้อตัวเปลือยเปล่ารู้สึกเย็นเพราะเครื่องปรับอากาศ พอสติเตือนให้จำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองหล่อนก็ใจหายวาบด้วยความระแวง

    หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งเพื่อเหลียวมองรอบกาย ทว่าทั้งห้องนอนว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของเจ้าของบ้านใจร้ายคนนั้นแม้แต่น้อยจนคนตกใจแทบจะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าต้องพบหน้าเขาอีกครั้งในตอนนี้จะเป็นอย่างไร

    เสื้อผ้าที่ถูกเขาฉีกทึ้งยังกองอยู่ที่พื้น หล่อนมองแล้วก็ได้แต่ยิ้มสลดกับชะตากรรมของตนเอง

    เขาจะรู้บ้างไหมว่าทำอะไรลงไป!

    หล่อนหยิบเสื้อขาดเป็นริ้วขึ้นมาพินิจแล้วก็ต้องยอมรับว่าต้องโยนทิ้งเท่านั้น กระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กที่ถือมาจากกรุงเทพฯ ด้วย ก็อยู่ชั้นล่าง สุดท้ายณารินเลยตัดสินใจหยิบเสื้อเชิ้ตในตู้ของเขามาสวมก่อนแก้ขัด กับกางเกงของตัวเองที่ยังคงสภาพดีอยู่เพราะเขาเพียงแค่ถอดออกเท่านั้นไม่ได้ฉีกเหมือนตัวเสื้อ

    พอหญิงสาวเดินลงไปด้านล่างก็ต้องมาหยุดยืนอยู่ที่ห้องรับแขก เพราะกระเป๋าเสื้อผ้าของหล่อนไม่อยู่ที่เดิมแล้ว ยังดีที่กระเป๋าหนังซึ่งเต็มไปด้วยของมีค่าอย่างของหมั้นของศศินยังคงวางอยู่ที่เดิม และข้าวของภายในก็ยังอยู่ครบถ้วน ถ้าขืนกระเป๋าใบนี้หาย หล่อนคงได้ติดคุกหัวโตเป็นแน่ ทั้งหมดนั่นมูลค่าหลายล้านหล่อนไม่รู้จะไปหาจากไหนมาใช้คืน

    “ตื่นแล้วเหรอ”

    เสียงของศศินดังขึ้นจากเบื้องหลัง คนเพิ่งตื่นหันกลับไปมองต้นเสียงด้วยสีหน้าหวาดๆ เพิ่งรู้ว่าศศินมองไม่เห็นก็ดีไปอีกแบบ อย่างน้อยเขาก็ไม่ทันเห็นหรอกว่าหล่อนหวั่นเกรงเขาแค่ไหน

    ลำพังดารารัตน์ทิ้งเขาก็น่าโมโหเหลือเกินแล้ว นี่หล่อนกลับสิ้นคิดรับอาสาจะเอาของหมั้นมาคืนเขาให้เสียอีก ตอนนี้หล่อนรู้แล้วว่าเขาคงจะโกรธมากแค่ไหนหากได้รู้ว่าหล่อนมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร

    และหล่อนไม่อยากเสี่ยงให้เขาโกรธอีกครั้ง

    “คุณศศิน” หล่อนร้องเรียกชื่อเขาอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าเขาจะมาเงียบๆ

    “หิวไหม” เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจอะไรนักก่อนจะบอกต่อ “มากินข้าว ป้านภาตั้งโต๊ะรอนานแล้ว”

    ณารินยืนกะพริบตางงๆ อยู่ลำพัง พอเขพูดจบก็เดินไปยังห้องครัวทันที ไม่สนใจว่าหญิงสาวจะตามมาหรือไม่ และเขาทำเหมือนกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายไม่มีอะไรในกอไผ่ก็ไม่ปาน

    “ฉันจะกลับกรุงเทพฯ ค่ะ” หล่อนตะโกนตามหลังเขาไป ยืนกรานเสียงหนักแน่น และหล่อนคงจะโง่เต็มทีถ้าไม่รีบหนีเขากลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้

    “ไว้อิ่มก่อน ค่อยคุยกัน” ศศินตอบกลับมาโดยไม่ใส่ใจนัก แต่มันทำให้ณารินนึกโกรธขึ้นมา

    เขาพูดเหมือนไม่สนใจอะไรหล่อนทั้งนั้น ทั้งที่เขาเพิ่งจะ... ทำอะไรแบบนั้นน่ะหรือ ออกจะใจร้ายเกินไปหน่อย แล้วมันเรื่องอะไรหล่อนจะต้องทนอยู่ผู้ชายไร้ชายหัวใจอย่างเขา

    “ฉันจะกลับเดี๋ยวนี้ ลาเลยแล้วกันค่ะ”

    ณารินยืนกรานเสียงแข็ง และมันก็ได้ผล เพียงครู่เดียวชายหนุ่มก็เดินกลับมาอีกครั้ง ถึงเขาจะใช้ไม้เท้าช่วยนำทางแต่เมื่อเขาอยู่ในบ้านตัวเองก็ดูจะไม่ยากเย็นอะไรนักในการเดินไปไหนมาไหน เพราะคุ้นเคยมานาน พอเขาเดินกลับมาอีกครั้งชายหนุ่มก็ไม่พูดอะไรทั้งนั้น แต่สองมือคว้าไปกลางอากาศ

    “จะทำอะไร” หล่อนร้องถาม แล้วถึงได้รู้ว่าตัวเองพลาดเสียแล้ว ไม่ควรออกเสียงให้เขาได้ยิน ทำให้เขาจับทางได้ว่าหล่อนยืนอยู่ตรงไหน เพียงพริบตาเดียวเขาก็คว้าหล่อนมากอดไว้ตลอดทั้งกาย

    “นี่คุณ ปล่อยนะ”

    เสียงร้องห้ามไม่ได้ทำให้เขาเปลี่ยนความตั้งใจ มิหนำซ้ำอ้อมกอดนั้นยังกระชับแน่นเข้าอีก สองมือเริ่มลูบไล้ไปบนเนื้อผ้าของเสื้อเชิ้ตก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาเบาๆ

    “จะขโมยเสื้อฉันกลับกรุงเทพฯ รึไง”

    “ก็... คุณฉีกเสื้อฉัน” หล่อนเถียง “แค่เสื้อตัวเดียวคุณคงไม่หวงหรอกใช่ไหม ที่คุณทำกับฉันน่ะมันตั้ง...” แล้วคำพูดก็เลือนหายไปในลำคอเสียเอง พูดไม่ออกขึ้นมาเฉยๆ ทว่าศศินกลับเห็นเป็นเรื่องตลก

    “ไม่เอาน่า”

    “คุณขำอะไร ฉันไม่ตลกไปกับคุณด้วยนะ” หล่อนแผดเสียงใส่เขาแล้วต้องเบนหน้าหนีเป็นพลันวันเพราะก้มแนบใบหน้าลงมาหา... อีกครั้ง

    รสจูบของศศินไม่ได้ดุดันเหมือนที่หล่อนเคยสัมผัสอีกแล้ว เขายังคงเรียกร้องเอาแต่ใจ ทว่าอ่อนโยนขึ้นเป็นไหนๆ จนหญิงสาวชักจะใจเต้นแรงขึ้นมา

    หล่อนใช้มือยันใบหน้าของเขาให้ออกห่างระหว่างที่บอก

    “พอแล้ว ปล่อยฉันได้แล้ว”

    “ตกลงจะกลับกรุงเทพฯ ทั้งอย่างนี้รึไง” เขาถามด้วยน้ำเสียงเหมือนจะยิ้มขำ “ไปทานอะไรกันก่อนดีไหม ฉันรู้ว่าเธอหิว”

    “ฉันไม่หิว” หล่อนโกหกทันที

    บ้าจริง... ใครจะไม่หิวกันเล่าในเมื่อยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่บินมาถึงภูเก็ต แถมยังถูกเขากระทำถึงขนาดนั้น แต่ครั้นจะให้อยู่ร่วมโต๊ะกับเขาก็เห็นจะไม่ดีแน่ ยิ่งเห็นสีหน้ายิ้มกริ่มของเขาด้วยแล้วยิ่งไว้ใจยาก

    “กระเป๋าเสื้อผ้าฉันอยู่ไหน ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะกลับกรุงเทพฯ เลย”

    “ไม่รู้”

    เขาตอบหน้าตาเฉย แต่หล่อนไม่เชื่อ

    “คุณเอากระเป๋าเสื้อผ้าฉันไปไว้ไหน” หล่อนถามเขาเสียงขุ่น “บ้าจริงฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้ เล่นอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้”

    “ก็ฉันไม่รู้จริงๆ นี่ว่ากระเป๋าเสื้อผ้าเธออยู่ที่ไหน” เขาสารภาพด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนจะพูดต่ออย่างเครียดขึง “แต่ถ้าเป็นกระเป๋าหนังใบที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกละก็ ฉันคิดว่าฉันจำได้นะว่ามันคืออะไร”

    ณารินใจหายวาบกับคำพูดของเขา สิ่งสุดท้ายที่หล่อนอยากให้เขารู้ก็คือจุดประสงค์ในการมาบ้านเขาครั้งนี้ แต่ดูเหมือนจะสายเกินไปเสียแล้ว

    “คุณศศิน ปล่อยฉันก่อนได้ไหม ฉันอธิบายได้นะคะ” หล่อนพูดกับเขาเสียงอ่อนลงมาก ไม่อยากให้เขาโกรธอีก

    ชายหนุ่มไม่ยอมปล่อยแต่ส่งเสียงตอบ

    “ไปทานข้าวกับฉันก่อน มีอะไรไว้ค่อยว่ากัน”

     

    กว่าป้านภาซึ่งเป็นแม่บ้านหญิงวัยกลางคนจะเก็บโต๊ะอาหารเวลาก็ร่วมสามทุ่มแล้ว ดูเหมือนว่าศศินจะใช้เวลาทานอาหารนานกว่าปกติ หรือเป็นเพราะเขามองไม่เห็นก็ไม่รู้ กว่าที่เขาจะรวบช้อนก็ใช้เวลาไปชั่วโมงเศษ ณารินได้แต่นั่งรออย่างอดทน อย่างน้อยก็เห็นแก่ที่เขาไม่ปกติในตอนนี้และเป็นการให้เกียรติ์เจ้าบ้านด้วย แม้ว่าจะเป็นเจ้าบ้านที่ใจร้าเหลือเกินก็ตาม

    “ตกลงว่าเธอมาที่นี่ทำไมกันแน่” เขาเอ่ยขึ้นก่อน โดยไม่สนใจว่าป้าน้อยจะยังเก็บจานไปจากโต๊ะ ดูท่าเขาจะไว้ใจแม่บ้านคนนี้ไม่น้อยเลย

    “ถ้าคุณจำของในกระเป๋าหนังได้ คุณก็น่าจะรู้แล้วว่าฉันมาทำไม” หล่อนย้อนถามด้วยน้ำเสียงเกร็งๆ ใจหนึ่งกลัวเขาจะโกรธ แต่ในอีกใจก็คิดว่าไม่มีอะไรจะเสียในเมื่อมันมาถึงขนาดนี้แล้ว

    ศศินเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสูง ก่อนเขาจะพูดอะไรป้านภาก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับถ้วนพลาสติกเล็กๆ ในมือวางตรงหน้าเขา

    “อย่าลืมทานยาด้วยค่ะคุณศศิน”

    ณารินคิดว่าเขาจะทานยาก่อนตามที่แม่บ้านเตือน หล่อนจึงรินน้ำเปล่าใส่แก้วให้เขา แต่เปล่าเลย เขากลับใช้ปัดไปบนโต๊ะตรงหน้าจนทั้งแก้วยาและแก้วน้ำหล่นลงแตกกระจายไปบนพื้น

    “คุณศศิน” หล่อนร้องอย่างตกใจ น่าแปลกที่แม่บ้านกลับนิ่งเฉยมาก นางอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าคนเป็นนายกลับเอ่ยขึ้นเสียก่อน

    “พอทีป้านภา ผมขอเวลาส่วนตัวกับคู่หมั้นของผมหน่อย”

    เพียงเท่านี้แม่บ้านก็ยอมจากไปแต่โดยดี หากยังไม่วายสั่งความทิ้งท้าย

    “ป้าฝากคุณศศินด้วยนะคะ”

    ณารินไม่ได้รับปาก เพราะขนาดกับแม่บ้านที่ท่าทางจะเป็นคนเก่าคนแก่ของบ้าน เขายังทำตัวแบบนี้แล้วหล่อนจะไปทำอะไรเขาได้

    “ทำไมคุณถึงไม่ทานยาคะ” หล่อนถามทันที พลางนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อกลางวันตอนที่หล่อนเพิ่งมาถึงในห้องนอนเขาก็มีแก้วแตกอีกใบหนึ่ง “นี่อย่าบอกนะคะว่าเมื่อบ่ายก็เหมือนกัน คุณไม่ยอมทานยาเลย”

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำเสียงสงสัยใคร่รู้ปนเจ้ากี้เจ้าการ หรือเพราะศศินอารมณ์ดีกันแน่ เขาถึงได้ตอบกลับมาด้วยใจเย็นอยู่

    “ทำไม พอได้เป็นเมียฉันแล้วก็ทำตัวเป็นแม่ขึ้นมาเลยรึไง”

    “จะบ้าเหรอ” หล่อนโวยวายกลับทันที

    จะเถียงเขาก็เถียงไม่ออก จะว่าตนเองไม่ใช่ เมีย ก็พูดยากอยู่

    “ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย ฉันก็แค่สงสัย นี่คุณไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะ ตกลงว่าคุณไม่ยอมทานยาเลยใช่ไหม คุณไม่อยากหายรึไง”

    “หายไม่หายแล้วยังไง” เขาย้อนเสียงแข็ง ดวงหน้าคมเข้มเริ่มเข่งขรึมอีกแล้ว “ฉันจะหายรึไม่หายเธอก็ไม่สนใจอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เธอเป็นแค่เมีย อย่ามาทำตัวเป็นแม่ฉัน”

    “พอทีได้ไหมคุณศศิน ฉันไม่ใช่... ภรรยาของคุณ เลิกพูดจาแบบนี้เสียที”

    “อ้อ งั้นก็แปลว่าเธอยินดีนอนกับฉันฟรีๆ งั้นสิ” เขาย้อนด้วยน้ำเสียงกวนประสาททันที ก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกลูบคางตัวเองเหมือนกำลังใช้ความคิด “ไม่สิไม่ใช่แค่นอนกับฉัน แต่เธอเสียพรหมจรรย์ให้ฉันฟรีๆ ยอมให้ฉันเป็นผู้ชายคนแรกเสียด้วยสิ”

    “นี่คุณ!” หล่อนทำเสียงฉุนขาด ลุกขึ้นยืนเอามือตบโต๊ะเสียงดัง ไม่สนใจมารยาทสังคมอีกแล้ว ในเมื่อเขาพูดจาดูถูกกันถึงเพียงนี้

    “ทำไม ฉันพูดอะไรผิดงั้นเหรอ”

    “พอที ฉันไม่ทนแล้ว ฉันจะกลับกรุงเทพฯ กลับเดี๋ยวนี้เลย”

    จบคำณารินก็ลุกขึ้นยืนรีบเดินหนีไปห่างๆ เขา ก่อนที่เขาจะทันคว้าตัวไว้ได้เหมือนตอนแรกอีก แต่เปล่าเลยศศินยังนั่งเฉยอยู่ที่เดิม หญิงสาวเลยบอกเขาเสียงแข็ง

    “ต่อให้ฉันต้องกลับบ้านทั้งเสื้อเชิ้ตคุณ ฉันก็จะทำ มันคงดีกว่าทนอยู่กับคนอย่างคุณ”

    “ทำไม คนอย่างฉันมันเป็นยังไง”

    “ก็... คนใจร้ายอย่างคุณน่ะ สมควรแล้ว ถึงได้ไม่มีใครเอา”

    หล่อนโต้กลับไปเพราะความโมโหทว่าพอหลุดปากพูดออกไปแล้วกลับต้องยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ไม่เคยคิดว่าจะหลุดปากดูถูกคนอื่นได้ถึงเพียงนี้

    คนถูกทิ้งนั่งนิ่งไม่พูดอะไรสักคำ ที่จริงเขาจะเกรี้ยวกราด อาละวาดพังข้าวของเสียยังดีกว่าเขาเงียบเช่นนี้

    “ฉัน... ขอโทษ”

    ณารินพูดเสียงเบา รู้สึกแย่เหลือเกินที่ซ้ำเติมคนพิการอย่างเขาได้ลงคอ

    “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นเลยจริงๆ นะคะ”

    “เธอมาที่นี่ทำไม” เขากลับไปถามคำถามเดิมอีกครั้ง

    “ฉันก็... ก็อย่างที่คุณคิดนั่นล่ะค่ะ” หล่อนสารภาพเสียงอ่อน “ของหมั้น”

    “ฉันมันน่ารังเกียจนักรึไง” ศศินถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าของเขานิ่งเฉย ยากจะตอบได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

    “ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”

    “แล้วทำไมเธอถึงจะคืนหมั้นฉัน”

    “ก็เพราะว่าฉันไม่ใช่คู่หมั้นของคุณ” หล่อนโพล่งตอบออกไป แล้วก็ได้แต่ทำใจยอมรับผลที่จะตามมา ถึงอย่างไรเขาก็ควรจะต้องรู้ว่าหล่อนเป็นใคร “แล้วดารารัตน์ก็ยืนยันจะถอนหมั้นกับคุณ ถ้าฉันไม่เอาของหมั้นมาคืนคุณ คุณน่าจะรู้ว่าดารารัตน์จะเอาของหมั้นไปทำอะไร”

    “นี่เธอยังไม่เลิกพูดเหมือนตัวเองไม่ใช่คู่หมั้นของฉันอีกรึ” เขาถามด้วยน้ำเสียงเครียดๆ ก่อนจะสรุปเสียเอง “ไม่สิ คราวนี้เธอพูดถูกแล้วล่ะ เธอไม่ใช่คู่หมั้นของฉันจริงๆ”

    “คุณเข้าใจแล้วใช่ไหมคะ” หล่อนร้องอย่างดีใจ

    แต่ทว่า...

    “เธอไม่ใช่คู่หมั้นของฉันหรอก แต่เธอเป็นเมียฉันต่างหากล่ะ”

    เสียงเขายืนกรานคำเดิมหนักแน่นถึงกับทำให้หญิงสาวเถียงไม่ออก จะให้ค้านเขาว่าไม่มีเมียก็ยากจะพูดในเมื่อรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างหล่อนและเขาในวันนี้

    เอาเถอะค่ะ หล่อนสรุปในที่สุด คุณจะว่ายังไงก็ตามแต่ใจคุณเถอะค่ะ แต่ถึงยังไงฉันก็จะกลับกรุงเทพฯ อยู่ดี ของในกระเป๋าหนัง ฉันคืนให้คุณแล้วก็ถือว่าหมดหน้าที่ของฉันแล้ว

    หมดทั้งหน้าที่ และหมดสิ้นทั้งพรหมจรรย์!

    ณารินหลับตาลงอย่างรวดร้าว ยอมรับในชะตากรรมของตนเอง ต่อให้ศศินจะยังไม่เชื่อว่าหล่อนไม่ใช่ดารารัตน์มันก็ไม่มีอะไรสลักสำคัญอีกแล้ว

    กี่โมงแล้ว

    เขาถามราวกับว่าไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าหล่อนพูดอะไรไว้ก่อนหน้านี้

    สามทุ่มค่ะ

    ป่านนี้แล้วจะมีรถกลับได้ยังไง เที่ยวบินก็หมดแล้ว ไม่ได้จองตั๋วไว้ใช่ไหม

    หญิงสาวยอมรับว่าเขารอบคอบ หล่อนเองต่างหากที่ฝ่าฝันมาภูเก็ตโดยไม่คิดจะจองตั๋วขากลับให้ดี ไม่ได้จองแม้กระทั่งโรงแรมที่พัก เพราะคิดว่าภูเก็ตแค่นี้ ไว้เสร็จธุระกับเขาแล้วค่อยไปหาโรงแรมพักและเที่ยวทะเลต่ออีกสักสองสามวันก็ไม่น่าจะยากเย็นอะไร แต่ใครจะไปคิดว่า ธุระ จะใช้เวลายาวนานถึงเพียงนี้

    ไม่เป็นไรหรอกค่ะฉันกลับได้

    ไม่ได้ ศศินย้ำเสียงแข็ง ถ้าขืนฉันปล่อยเธอกลับบ้านคนเดียวเอาดึกดื่นป่านนี้แล้วเธอเป็นอะไรไป พ่อเธอคงมาฆ่าฉันตายพอดี ทำอะไรไม่รู้จักคิด

    ณารินเงียบไป เพราะที่เขาพูดมามันก็ถูก อดไม่ได้จริงๆ ที่จะถามเขา

    ถ้าอย่างนั้นฉันขอพักสักคืนได้ไหมคะ พรุ่งนี้ฉันจะไปแต่เช้ารับรองว่าจะไม่อยู่เกะกะขวางหูขวางตาคุณหรอก

    หล่อนพูดจบแล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าไม่ควร... เห็นศศินออกจะหนักแน่นออกปานนั้นทว่ากลับขี้ใจน้อยไม่เบา

    มันขัดตามากสินะที่ต้องทนเห็นคนตาบอดอย่างฉัน

    ไม่ใช่นะคะคุณศศิน ฉันขอโทษ หล่อนละล่ำละลักบอกเขา ฉัน...

    ช่างมันเถอะ เขาพูดสวนขึ้น อยากนอนห้องไหนก็ตามสบายฉันไม่หวง แต่ตอนนี้ช่วยพาฉันขึ้นไปข้างบนหน่อยได้ไหม อยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเต็มทีแล้ว

    หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วเพิ่งนึกได้ว่าเขามองไม่เห็น รีบบอกพร้อมกับลุกขึ้นไปช่วยแตะแขนเขาเพื่อเป็นการบอกให้รู้ว่าจะช่วยพาไปทางไหน

    ศศินใช้มือจับข้อศอกหญิงสาวไว้ เป็นเครื่องแสดงว่าเขาพร้อมจะเดินตามไปทุกที่ ไม่ว่าหล่อนจะพาไปทางไหน แต่อย่างณารินน่ะหรือจะมีปัญญาไปทำอะไรเขาได้ มีแต่จะทำตามที่เขาสั่งเสียละมากกว่า

    ทางนี้ค่ะ ระวังนะคะ

    หล่อนบอกทั้งที่ไม่จำเป็นเลย เขาน่าจะจำที่ทางภายในบ้านของตัวเองได้ดีอยู่แล้ว แต่ในเมื่อเขาเอ่ยปากขอให้ช่วยถึงขนาดนั้นแถมยังอนุญาตให้ค้างคืนได้ หล่อนก็ทำให้ร้ายปฏิเสธเขาไม่ลง

    พอมาถึงห้องนอนอีกครั้ง หญิงสาวก็ใช้มืออีกข้างแตะลงบนมือของเขาที่ยังจับข้อศอกหล่อนอยู่ ก่อนจะบอกเขาเสียงเบา

    ถึงแล้วค่ะ คุณจะให้ฉันพาไปส่งที่ห้องน้ำไหม

    ไม่ต้อง แค่นี้ก็เกินพอแล้ว

    ศศินบอกด้วยน้ำเสียงเป็นต่อ และเพียงพริบตาเดียวมือที่เคยจับข้อศอกหล่อนเพื่อให้นำทางก็แปรเปลี่ยนมาเป็นดึงเรือนร่างบางเข้าหากาย ก่อนจะก้มหน้าลงแนบริมฝีปากตามลงมา

    คุณศศิน

    หล่อนร้องเสียงหลงพยายามหันหน้าหนีเขา ถึงจะไม่ถูกเขาจูบอย่างที่เขาต้องการ แต่ก็ถูกเขากอดไว้ทั้งกาย

    อย่าทำแบบนี้นะคะ คุณต้องปล่อยฉัน หล่อนว่าเสียงเขียว ใจหนึ่งนึกโมโหเขาไม่น้อย เขาเห็นหล่อนเป็นอะไรสำหรับเขากันแน่ นึกอยากจะระรานเมื่อไรก็ได้เช่นนั้นหรือ

    เขาหัวเราะหึๆ อยู่ในลำคอ ไม่ได้ใส่ใจกับน้ำเสียงไม่พอใจของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย

    คิดจริงๆ เหรอว่าฉันจะปล่อยเธอไปง่ายๆ เขากระซิบถามที่ข้างหู

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×