คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บันทึกฉบับที่ 4 -เป้าหมายนั้นคือ!?-
บันทึกฉบับที่
4
-เป้าหมายนั้นคือ!?-
ผืนทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา
อากาศก็ปนไปด้วยฝุ่นสีน้ำตาลทำให้ยากที่จะมองเห็นข้างหน้า แต่สิ่งที่สะท้อนอยู่ในตาของผมชัดเจนคือ
ผมสีชมพูซอยสั้นที่ไหวพลิ้วไปตามสายลม
ผมเดินเข้าไปใกล้ร่างนั้นที่นั่งอยู่บนหินเตี้ยๆ
เขาเหม่อมองออกไปที่ท้องฟ้าสีส้มว่างเปล่าโดยที่ไม่รู้ว่าผมอยู่ตรงนี้
แล้วเขาก็เริ่มรู้สึกตัว
เด็กหนุ่มหน้าตารุ่นราวคราวเดียวกับผมหันมามอง นัยน์ตาสีเทาของเขาดูไร้ชีวิตชีวา
แต่สักพักเขาก็ทำหน้าตกตะลึง...
ติ๊ดๆ
ติ๊ดๆ
ปึก
หือ...
เจ็ดโมง...
...ฝันหรอ...
ผมลุกออกจากเตียงด้วยสภาพที่ยังไม่ตื่นดี
แล้วจึงเดินไปเข้าห้องน้ำจัดการตัวเองให้เรียบร้อย
ก่อนออกจากห้องก็ไม่ลืมที่จะหยิบดาบคู่ใจ(?)ติดมือไปด้วย
ผมทานข้าวอย่างไวแล้วจึงเดินทางไปโรงเรียน
ถึงทันเวลาปิดรั้วพอดีเป๊ะ แล้วจึงรีบวิ่งขึ้นห้องเรียน ยิ่งคาบแรกเป็นวิชาสังคมของอาจารย์วิกปลิวด้วยแล้ว
ทำให้ต้องวิ่งด้วยความเร็วอีกสองเท่าตัว ไม่งั้นนั้นผมคงโดนแกเทศน์แน่ๆ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แป็บเดียวเวลาก็ล่วงเลยมาถึงบ่ายโมง ทุกคนในห้องกำลังก้มหน้าก้มตาเรียนอย่างตั้งใจ
แน่นอนว่านั่นไม่รวมผม ผมมองไปที่หน้ากระดานด้วยตาลอยจนอาจารย์หนุ่มหันมายิ้มงามๆให้ผมอยู่หลายรอบ
ผมจึงยิ้มงามๆกลับไปเช่นกัน
อาจารยชุย
อาจารย์ประจำวิชาคณิตศาสตร์
ด้วยความที่เขาเป็นชายหนุ่มหล่อหน้าตาดีจึงเป็นที่ชื่นชอบของเด็กนักเรียนส่วนใหญ่
แต่ผมเป็นเป็นส่วนน้อยนะบอกก่อน
เขาทำท่าจะเรียกผมให้ไปโชว์เมพหน้าห้อง
แต่ฝันไปเหอะ
ผมทำการหลบตาเขาทันที...
เฟี้ยว...
เพล้ง!
ทุกคนหันไปมองที่หน้าต่างกันอย่างพร้อมเพรียง
“ทุกคนหมอบลง!” อาจารย์ชุยตะโกนเสียงดัง แต่ไม่ต้องบอกทุกคนก็ลงไปหลบอยู่โต๊ะกันหมดแล้ว
นั่นรวมถึงผมด้วย
ไอ้อะไรก็ตามที่ทำให้กระจกแตกเมื่อกี้มันเฉียดจมูกผมไปแค่เซ็นนึงเท่านั้น
ผมมั่นใจว่านั่นคือกระสุน และไอ้เจ้าคนที่ยิ่งนั่นแม่นมาก
มันเล็งผมที่อยู่ริมหน้าต่างชัดๆ ไม่งั้นมันคงไม่กล้ายิงมามั่วๆแบบนี้หรอก
ถ้าเมื่อกี้ไม่ขยับตัวเพื่อหลบสายตาอาจารย์ละก็ได้กุดจริงๆแน่ จมูกน่ะนะ
ขอบคุณมาก
จารย์...
พวกเราที่หลบมาอยู่ใต้โต๊ะกันหมดรออยู่ซักพักแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมคิดว่ามันพลาดแล้วคงจะไม่ลงมือต่ออีกแล้ว ผมจึงลุกขึ้นจากพื้น
แล้วมองไปยังที่ที่น่าจะเป็นจุดซุ่มยิง
แต่โชคร้ายที่แถวนี้มีตึกอยู่มากมายที่สามารถเล็งยิงผมได้ ผมจึงเลิกคิด
ทุกคนที่เห็นผมยืน
แล้วยังไม่โดนยิ่งร่วงจึงพากันลุกขึ้นแล้วพูดคุยเรื่องเหตุการณ์ระทึกเมื่อกี้
ผมเห็นอาจารย์ชุยคุยอะไรบางอย่างกับหัวหน้าห้องแล้ออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
คงไปแจ้งเรื่องเมื่อครู่ให้อาจารย์คนอื่นทราบละมั้ง
ส่วนหัวหน้าห้องก็ได้รับมอบหมายให้พาทุกคนออกมาจากห้องเพื่อความปลอดภัย
แล้วซักพักก็มีรถหวอหลายคันมาจอดที่หน้าโรงเรียน พร้อมกับรถพยาบาลจำนวนหนึ่ง
อาจารย์ชุยที่เห็นผมก็รีบวิ่งมาหา
แล้วบอกให้ผมไปหาหมอ เพราะผมเป็นคนที่เฉียดตายมากที่สุด
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
ผมปฏิเสธ อยากจะบอกว่าหนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว แค่นี้น่ะชิลๆ
แต่เขาเมินคำปฏิเสธของผมแล้วลากผมไปที่รถพยาบาลให้หมอตรวจดูเบื้องต้น
ซึ่งหมอเองบอกก็บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก
“ถึงหมอจะบอกว่าไม่เป็นอะไรก็เถอะ
แต่ครูว่าเธอไปตรวจดูที่โรงพยาบาลอีกรอบดูก็ดีนะ” อาจารย์บอกอย่างนี้
และนั่นก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เขาป๊อบปูล่าในหมู่เด็กนักเรียน ขี้เป็นห่วงจนน่ารำคาญ
“ครับ”
ผมตอบไปอย่างนั้น วันนี้ผมก็ว่าจะไปโรงพยาบาลนั่นแหละ แต่ไม่ได้ไปหาหมอนะ
“รีบไปแล้วก็รีบกลับบ้านนะ
ระวังตัวด้วย” อาจารย์พูดอย่างนั้นพร้อมโบกมือลาผมที่หน้าประตูโรงเรียน
เพราะเหตุการณ์ยิงนั่นทำให้โรงเรียนปิดทำการเรียนการสอนชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด
เพราะมันจะเป็นอันตรายต่อนักเรียน
แม้นักเรียนคนอื่นจะดีใจลั่นล้าเพราะได้หยุดเรียนอย่างไม่มีกำหนด
แต่ในทุกคนในห้องของผมกลับไม่มีใครดีใจซักคน แน่ล่ะ
เพราะถูกคนคิดว่าอาจจะเป็นตัวเองที่ถูกจ้องเล่นงานอยู่ก็เป็นได้
แต่ก็ขอย้ำอีกครั้ง
เพราะอะไรหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นทำให้ผมมั่นใจเหลือเกินว่า เป้าหมายนั้นไม่ใช่ใครอื่นใดนอกจากผม
น่าชื่นใจชะมัดที่ได้รู้ความจริงข้อนี้
เอาเถอะ
เรื่องยุ่งยากน่ะช่างมันก่อน ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาจัดการกันไป
แต่นี่แย่ชะมัดเลย
ตั้งแต่เปิดเทอมมาผมยังไปโรงเรียนได้ไม่ครบอาทิตย์เลย
คราวก่อนเปิดมาสามสี่วันแล้วก็โดนรถชน
แล้วพอพักพื้นหายกลับมาได้แค่สองวันก็ต้องหยุดอีกครั้ง แล้วยังไม่มีกำหนดอีก
แย่ชะมัด
อยากมาโรงเรียนโว้ยยยย อยากได้ชีวิตธรรมดากับชาวบ้านเขาซักที!!!
แต่โวยวายไปก็เท่านั้น
ไปหาอะไรกินดีกว่า...
แล้วสายตาที่ดีของผมก็เหลือบไปเห็นป้ายร้านเค้กชื่อดังที่ยัยนั่นบอกว่าอยากกินอยู่
ไหนๆก็ไหนๆแล้วซื้อไปฝากหน่อยจะเป็นอะไรไป
จะเป็นอะไรไป...
เป็นเลยครับ
กระเป๋าตังค์ผมนี่แทบฉีก
เค้กบ้าอะไรจะแพงขนาดนั้น จริงๆมันก็ไม่แพงหรอก
ผมจนเอง โทษเค้กซะงั้น...
แล้วยัยหัวทองนี่ก็กินเค้กอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่สนใจคนซื้อให้เลยซักนิด
เค้กชิ้นไม่เล็กหมดลงไปกว่าครึ่งชิ้น
แล้วมีอาก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“กินมั้ย”
เพิ่งจะชวนเรอะ ช้าไปมั้ย! ไม่รอให้หมดก่อนล่ะ
“กินไปเหอะ” ผมปฏิเสธเธอ แต่เธอก็เอาเค้กนั่นยัดใส่ปากผมโดยที่ผมไม่เต็มใจซักนิด
เห็นอย่างนี้แต่ผมชอบของหวานนะเออ
ประโยคมันดูขัดๆกันแฮะ
ช่างมัน
ผมกับมีอาเราสนิทกันอย่างรวดเร็วหลังจากที่ได้พูดคุยกันในวันนั้นที่ผมเจอเธอครั้งแรก
เธอบอกว่าเธอป่วยอยู่ที่นี่มานานแล้ว และไม่เคยได้ออกนอกโรงพยาบาลเลย
เพื่อนๆของเธอก็คือผู้ป่วยมารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนี้
แต่พอพวกเขาหายดีก็ไม่มีใครกลับมาเยี่ยมเธอเลยซักคน
ผมจึงเผลอหลุดปากไปว่าจะมาเยี่ยมทุกวัน...
ปากพาซวยเลยตู...
การที่ผมต้องมาคอยรับมือกับยัยจอมแกล้งนี่มันยากเหลือเกิน
พอๆกับการทะเลาะกับคุณเซโน หรือการเล่นเกมกระดานกับคุณมาร์คัส แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่เหนื่อยซะที
แล้วดูเหมือนผมจะชอบมันไม่น้อยเลยด้วย
จากนั้นซักพักผมก็ขอตัวกลับเพราะมีธุระต้องไปทำ
เธอก็ยอมให้ผมกลับไปแต่โดยดีพร้อมกับข้อความสั้นๆตราตรึงติดหู...
“พรุ่งนี้
อยากกินเอแคร์ที่ขายที่ร้านตรงข้ามเกมเซนเตอร์ตรงถนนเส้นที่สาม”
คุณพยาบาลเล่ากันมาว่าถ้าเธอสั่งอะไรซักอย่างแล้วไม่ได้จะเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ขึ้น
ผมเองก็ไม่อยากเจออะไรแบบนั้นเหมือนกัน ท่าทางจะไม่ใช่เรื่องที่ดี
สีหน้าคุณพยาบาลตอนพูดถึงเรื่องนี้คือแย่มาก พวกเธอพูดพร้อมน้ำตาซึมเล็กน้อย
คุณหมอเองยังไม่กล้าขัด สรุปใครใหญ่กันแน่โรงพยาบาลนี้...
ผมเดินทางถึงไลท์ไลน์โดยสวัสดิภาพ
ตรงดิ่งถึงชั้นที่24 ธุระที่ว่าคือนี่แหละ...
เหตุการณ์ที่โรงเรียน
บอร์เดอร์ย่อมไม่อยู่เฉย ถึงปกติจะอยู่เฉยก็เถอะ
เพราะเหตุการณ์นี้ถูกสรุปและผมสรุปเองว่าเกี่ยวกับผมโดยตรง
บอร์เดอร์จึงต้องเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องอาวุธของพวกเขา
ตุณมาร์คัสที่เห็นผมเดินเข้ามาด้วยร่างกายสมบูรณ์ครบสามสิบสองประการก็น้ำตาไหลพรากพร้อมเข้ามากอดผมอย่างเป็นห่วง
ซักพักแกก็เริ่มร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ จนคุณเจมส์ต้องมาลากออกไปสงบสติอารมณ์
ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นและเรื่องที่ผมคิดให้คนอื่นฟัง
และคนอื่นที่ว่าก็คือคุณเซโนและคุณดีเลีย พวกเขาพยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจ
“แกไปทำอะไรให้คนอื่นเขาหมั่นไสเลยอยากสอยแกทิ้งรึเปล่าห๊ะ”
คุณเซโนที่ออกจากโหลดจริงจังเอ่ยขึ้นอย่างกวนเบื้องล่าง
“ผมว่านั่นคงเป็นคุณมากกว่า
เราจับเขาเลยได้มั้ยครับคุณดีเลีย”
“ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ”
คุณดีเลียตอบพร้อมใช้เลือดของเธอทำเป็นเชือกรัดตัวอีกฝ่ายไว้
“ทำบ้าอะไรของหล่อนฟะ
ปล่อยนะโว้ย” คุณเซโนโวยวาย แต่มีหรือที่คุณดีเลียจะใคร่สนใจเสียงนกเสียงกา
“คุณมาร์คัส
พวกเราจับตัวคนร้ายได้แล้วค่ะ จะให้ทำยังไงกับเขาดีคะ”
“อย่ามามั่วยัยจอแบน!”
สรรพนามไม่น่าอภิรมย์ไปสะกิดหูสาวเจ้าอย่างจัง
คุณเซโนเอ๋ยไม่ตายดีแน่ ขอให้ไปสู่สุคตินะครับ
“นี่เร็น
รู้คุณสมบัติของอาวุธเลือดแล้วสินะ แต่ฉันคิดว่าจะสาธิตอะไรให้เธอดูหน่อยน่ะ
เป็นของถนัดฉันเลยเผื่อเธอจะเอาไปประยุกต์ใช้ เชือกน่ะไม่คมหรอก
แต่ถ้าด้ายละก็ฉันสามารถทำให้มันคมกริบได้เลย เธออยากจะเห็นมั้ย”
คุณดีเลียพูดประโยคที่เหมือนจะสยองนั่นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
โดยไม่ใส่ใจอีกคนที่กำลังดิ้นเพื่อให้ตัวเองหลุดออกจากเชือกเลือดอย่างแรง
“ขอโทษคร้าบ
แม่สาวอกสะบึ้ม ปล่อยผมไปเถอะคร้าบ” คุณเซโนครวญครางอย่างน่าอนาถ ผมล่ะสงสารแทน
ผมจะทำเป็นว่าก่อนหน้านี้เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางละกันครับ
“คุณดีเลีย...คือ”
“คะ?”
“อาวุธมันยังไม่ได้รวมกับเลือด
ผมไม่คิดว่าผมจะทำแบบคุณได้ เพราะงั้น...”
“ทำไมผู้ชายถึงชอบพูดเรื่องหน้าอกใหญ่หรือเล็กกันคะ
ทั้งที่ตัวเองไม่มีแท้ๆ...” เธอไม่ฟังผมแล้ว
จะว่าไปนั่นคือสิ่งที่เธอคิดอยู่ใช้มั้ย!?
คิดเสียงดังไปแล้วนะเจ๊!
“ดีเลีย
มานี่หน่อย” ระฆังช่วยชีวิตนายเซโนดังขึ้น คุณเจมส์เรียกลูกสาวที่กำลังขาดสติ
เธอหันไปมองพ่อของเธอราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เชือดที่กำลังคมขึ้นเรื่อยๆก็คลายลง
“ค่ะ”
“กะ
เกือบไปแล้ว” คุณเซโนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “นึกว่าจะได้ตายจริงซะแล้ว”
สมน้ำหน้า...
“ปกติ
เธอเป็นแบบนั้นหรอครับ”
“อ่า
แต่คราวหน้าฉันไม่แพ้แน่นอน” คุณเซโนพูดอย่างขุ่นเคือง พร้อมกำหมัดแน่น
ปล่อยพวกเขาไปเถอะ...
ผมปลอบใจตัวเอง
แต่ทำไมหมอนี่ถึงสร้างศัตรูไปทั่วเลยฟะ ไม่เข้าใจ
วันนี้ไม่มีใครว่างซักคน
ผมเลยต้องมานั่งว่างอยู่คนเดียวในห้องทำงานของคุณมาร์คัส
ก่อนออกไปคุณมาร์คัสกำชับว่าห้ามออกไปจากห้องนี้
เพราะมันเสี่ยงถ้าผมจะออกไปเดินลอยชายข้างนอก
ผมเองก็อยากจะทำตามที่คุณมาร์คัสขอกอยู่หรอก
แต่ มัน เบื่อ! ไม่มีใครว่างคือไม่มีใครอยู่เลยจริงๆ เจ้าเอซ่าก็ไปโรงเรียน มิลิก็ไปทำธุระที่บ้าน
ไม่กลับซักพัก คุณซาริซ่าก็หายไปไหนก็ไม่รู้ คุณเอรีน่าไปหาหมอ ส่วนคนอื่นก็ปล่อยเขาไปเถอะ
ผมไม่อยากจะยุ่ง
แล้ววันนี้ผมก็มีนัดส่งเอแคร์ให้มีอาด้วย
ไม่กล้าเบี้ยว...
ตอนนี้ก็ถึงเวลาบ่ายๆแล้ว
ผมควรจะรีบไปหาเธอ และต้องกลับมาก่อนพวกคุณมาร์คัสจะกลับมาตอนเย็น คิดได้ยังงั้นผมก็รีบพาตัวเองออกจากห้องกระจก
แล้วตรงไปที่ร้านเอแคร์
เอแคร์...
แพง...
ยัยนั่นหลอกใช้ผมรึเปล่าเนี่ย
ไม่ต้องไปซื้อเองแถมกินฟรี แหม่งๆแฮะ
ผมเดินไปเรื่อยปะปนไปกับผู้คน
พยายามอยู่ในกลุ่มคนเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
แต่แล้วก็มีหญิงชราเดินมาชนผมจนของหล่นเต็มพื้น
ผมจึงรีบก้มลงเพื่อช่วยเธอเก็บของ
เพี้ยว...
ผมรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรผ่านหลังคอผมไป
ผมทำเป็นไม่รู้เรื่องเพื่อไม่ให้คุณยายสงสัยหรือตกใจแล้วรีบเก็บของให้คุณยายคนนั้นก่อนจะปลีกตัวออกไปอย่่างไว
ความรู้สึกเหมือนเมื่อวานเด๊ะ
จิตสังหารที่ติดมากับ'กระสุน'นั่น มือปืนนั่นมันจ้องเล่นงานผม!
และเป็นที่ผมคิด
ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ถ้าเขาพลาดละก็เขาจะไม่ยิงต่อ กลัวคนอื่นจะโดนลูกหลงงั้นหรอ คนที่คิดจะเอาขีวิตคนอื่นยังมัวมาคิดเรื่องนี้อยู่อีกหรอ
"รินมะ
ฝากด้วย"
"รับทราบ"
ชายหนุ่มสั่งการคู่หูเสร็จ
เขาก็ลงมือเก็บสไนเปอร์คู่ใจใส่กระเป๋า สายตาของเขาทอดมองไปที่เด็กหนุ่มที่กำลังวิ่งหนีอะไรซักอย่างอยู่ในกลุ่มคน...
ถึงจะหนีออกมาจากที่ที่ี่ถูกเล็งยิงได้ค่อนข้างไกลแล้ว
แค่ผมก็รู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ดี
กำลังมีคนตามมา...
ทางที่ดีผมควรจะหนีเข้าไปในโรงพยาบาล
ถ้าเป็นที่นั่นมือปืนต้องไม่กล้าลงมือแน่ ขากลับค่อยให้คุณมาร์คัสมารับ อย่างนั้นจะดีกว่า
ละมั้ง...
คุณมาร์คัสต้องโกรธแน่ๆ
นรกชัดๆ
แต่ก็ดีกว่าตายละนะ...
อีกนิดเดียวก็จะถึงโรงพยาบาลแล้วแค่เลี้ยวตรงหัวมุมนั่น
กริ้ก...
"เฮ้ย!"
ผมร้องเสียงหลงเมื่อเลี้ยวพ้นหัวมุมตึก
ผู้หญิงผมสีส้มกำลังถือปืนพกและเล็งมาที่ผม
เธอเดินเข้ามาใกล้ผม ผมจึงกำชับดาบในมือแน่นแล้วทำสิ่งที่โง่ที่สุดออกไป
"กินเอแคร์มั้ย?"
"คะ?..."
เธอทำหน้าตะลึงอย่่างเปิดเผย ผมเองตะลึงเลย นี่ตูพูดอะไรออกไปฟะ
ผู้หญิงคนนั้นปรับสีหน้าอย่่างรวดเร็ว
แล้วเอาปืนจ่อท้องผม "ไม่ทาน ขอบใจ แล้วก็รีบๆเดินไปได้แล้ว" เธอตอบหน้าตาย
และผมแอบได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากเครื่องมือสื่อสารที่เธอใส่ไว้ที่หู
อืม เป็นผม ผมก็ขำ
เพราะเราพูดกันในสถานการณ์แบบนี้ แต่คือตอนนี้ผมไม่ขำโว้ย ไอ้ปืนนี่ทำผมหวาดเสียวชะมัด
เธอพาผมเข้าไปในซอยแคบๆ
ตรงนั้นมีผู้ชายอีกคนยืนรออยู่ เขาสะพายกระเป๋าใหญ่ๆใบหนึ่งไว้ ไซส์ใส่ปืนอย่างสไนเปอร์ได้พอดี
ผมมั่นใจมากว่าหมอนี่คือมือสไนเปอร์ที่ยิงผมถึงสองครั้ง
เขามองผมผ่านผมหน้ายาวๆยุ่งปิดหน้าปิดตาของเขา
เพราะงี้ใช่มั้ยผมถึงยังไม่ตายซะที ขอบคุณผมพี่แกจริงๆ
"นายสุดยอดเลยนะ
หลบกระสุนของฉันได้สองครั้ง" เขาออกปากชมผมอย่างจริงใจ ปากเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
"ถ้าไม่มั่นใจว่าโดนฉันก็ไม่ยิงหรอก" เขาเสริม
"ถ้านายตัดผมละก็อาจจะโดนก็ได้นะ"
ผมพูด และนั่นทำให้เขาหัวเราะ ซึ่งเป็นเสียงเดียวกับที่ดังออกมาจากเครื่องมือสื่อสารของผู้หญิงที่เอาปืนจ่อผมอยู่
"จะเก็บเอาไปคิดก็แล้วกัน"
"นายเป็นแบบนี้ดีแล้ว"
หญิงสาวบอกด้วยใบหน้านิ่งๆ "ถ้าแม่นกว่าเดิม ฉันก็แย่สิ" เธอพูดกับตัวเอง
ทำไมผู้หญิงถึงชอบคิดเสียงดังฟะ
เมื่อวานคุณดีเลียก็เหมือนกัน
"งั้นเราไปกันเถอะ"
ชายหนุ่มพูด แล้วเดินนำไป "อ่า ลืมไป ฉันต้องขอให้นายหลับไปก่อนนะ ถ้านายรู้ทางไปที่กบดานของหม...บอสละก็
พวกฉันคงไม่ตายดีแน่"
หา?
พูดอะไรของมัน ไม่ใช่ๆ พูดจาสมกับเป็นคนร้ายขึ้นหน่อยแฮะ
"ดาบนั่นฉันขอยึดไว้ก่อนนะ"
เขาบอกอย่างนั้นแล้วก็หยิบดาบผมไปดื้อๆ "จัดเลย รินมะ"
จบประโยคนั้นปุ๊บ
ผมก็หมดสติไปทันที...
ทำไมหนอ ทำไม
ทำไมผู้หญิงถึงชอบทำร้ายร่างกายผู้ชายกันจังเลยนะ
ความคิดเห็น