ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Blood Contrast พันธนาการศาสตราเลือด

    ลำดับตอนที่ #4 : บันทึกฉบับที่ 2 -บอดี้การ์ดพรรคนี้มีไว้เพื่อ!?-

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 58



    บันทึกฉบับที่ 2

    -บอดี้การ์ดพรรคนี้มีไว้เพื่อ!?-

              วันนี้เป็นวันแรกของการมาโรงเรียนของผมตั้งแต่เข้าเมืองนี้มา อะไรๆมันก็วุ่นวายไปหมด ในที่สุดก็ได้ใช้ชีวิตธรรมดาๆกับชาวบ้านเขาซักที แต่อาจารย์ที่สอนอยู่หน้าห้องนั่นก็ฮาชะมัด ใส่วิกผมที่ดูจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ ทุกคนในห้องพยายามเชียร์ให้มันหลุด บางคนก็พยายามกลั้นหัวเราะ บางคนก้มหน้า ก็เพื่อกลั้นหัวเราะนั่นแหละ บางคนก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อกลั้นหัวเราะ พออาจารย์หันมาทุกคนก็พากันหลบสายตาพร้อมกับยิ้มงามๆส่งให้อาจารย์ ผมคิดว่าการที่ทุกคนในชั้นเรียนจะสามัคคีทำอะไรบางอย่างนั้นเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก ผมไม่คิดมาก่อนว่าที่โรงเรียนจะมีเรื่องสนุกแบบนี้อยู่ ถ้าผมได้ใช้ชีวิตธรรมดาๆแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีมาก และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมฝันถึงมาโดยตลอด และตอนนี้มันก็อยู่ตรงหน้าผมที่กำลังจะเอื้อมมือออกไปคว้ามันเอาไว้

              แต่ก็ถูกไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ขัดขวางไว้!!!!!

              ใครใช้ให้คุณไปนอนเล่นบนต้นไม้ที่สูงเท่าตึกสามชั้นแล้วบังเอิญอยู่ตรงหน้าต่างห้องเรียนของผมพอดีฟะ!

              แล้วยามปล่อยให้คนทำตัวมีพิรุธมานอนเล่นอยู่ตรงนั้นได้ไงวะครับ!

              จะไปว่า ไอ้พวกเพื่อนในห้องที่หันไปมองหน้าต่างนี่ส่วนใหญ่มันผู้หญิงนี่ฟ่า! หันไปดูไอ้บ้าหน้าหล่อนี่เองเรอะ!

              ไอ้คุณเซโนก็ไม่ต้องยกนิ้วทำหน้าแอ็บแบ๊วเลย! เดี๋ยวพ่อตบร่วง!

    หมดกันชีวิตธรรมดาๆของผม...

             

              บ่ายสองโมงโรงเรียนเลิก ผมว่าจะไปเดินเล่นในเมืองซะหน่อย แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าออกจากประตูรั้วโรงเรียนผมก็เห็นมอเตอร์ไซค์สีขาวกับคนที่ใส่เสื้อสีขาว หน้าตาคุ้นมากกกก

    พวกนักเรียนหญิงที่เดินผ่านก็พากันกรี๊ดกร๊าด ไม่เคยเห็นคนขี่มอไซค์รึไงวะครับ

    ท่าทางเขาจะรอใครบ้างคนอยู่

              ผมเองครับ

              ผมที่ไหวตัวทันรีบให้หลังกลับเตรียมกลับเข้าไปในอาคารเรียน เพื่อไปออกประตูหลังแทน

              “เฮ้ย เร็น” เขาเรียนชื่อผมเสียงดัง แต่ผมทำเป็นไม่ได้ยิน ทุกคนที่ได้ยินโดยเฉพาะสาวๆก็พากันมองหาว่าใครกันที่ชื่อ เร็น

              “แกจะเดินกลับเข้าไปทำไมห๊ะ ลืมของเรอะ” เขายังไม่เลิกครับ แล้วคราวนี้มันดันเจาะจงผมเลย ก็ที่เดินกันอยู่เนี่ยมีผมเดินย้อนศรอยู่คนเดียวนี่ฟ่า ทีนี้เลยได้เป็นจุดรวมสายตากับเขาเลย

              ดังนั้นผมที่อยากใช้ชีวิตเป็นเด็กนักเรียนธรรมดาจึงรีบวิ่งไปที่มอไซค์ แล้วจัดการขี่มันออกไปจากหน้าโรงเรียนด้วยความเร็วแสง พร้อมกับไอ้คุณเซโนที่กลายเป็นผู้โดยสารไปโดยปริยาย

              “ทำบ้าอะไรฟ่ะ ไอ้เด็กบ้านี่”

              “จะ บ้าหลายๆรอบหาอะไรวะครับ”

              “ห๊า เถียงหรอไอเด็กบ้า บ้าๆๆๆนี่”

              “ว้อยยย!` หนวกหู” ผมโวย ไอ้หงอกบ้าก็ยังกัดไม่ปล่อยไปตลอดทาง แต่นี่เขามารับผมแสดงว่าต้องมีเรื่อง...หรอ? “คุณมาที่โรงเรียนทำไมครับ”

              “คุณมาร์คัสให้มารับหรอกเฟ้ย ไม่งั้นฉันไม่เสียเวลามาหาแกหรอก”

              “แล้วใครมันนั่งเฝ้าผมตั้งแต่เช้าวะ!

     

              พอรู้ว่าคุณมาร์คัสเป็นคนเรียก ผมก็พาตัวเองมาที่สำนักงานของบอร์เดอร์ทันที จะเรียกว่าสำนักงานก็กระไรอยู่แหะ เพราะสำนักงานของบอร์เดอร์อยู่ที่ชั้นบนสุดของตึกไลท์ไลน์ ซึ่งเป็นของบริษัทยักษ์ใหญ่ ไลท์เฮ้าส์ซึ่งทำธุรกิจทุกอย่างที่บนโลกใบนี้มี แต่เพราะอะไรก็ไม่ทราบบอร์เดอร์ถึงได้ชั้นบนสุดคือชั้นที่ 24 ไล่ลงมาจนถึงชั้นที่ 21 ไปครอง คุณมาร์คัสบอกผมว่ามันเป็นหนึ่งในสิบความลับสุดยอดของบอร์เดอร์สาขาตะวันออก ผมจึงพยายามที่จะไม่ถาม แม้จะอยากรู้มากก็ตาม

              ผมจอดมอไซค์คู่ใจคุณเซโนไว้ที่จอดประจำ พวกเราเดินไปที่ลิฟต์แล้วกดไปที่ชั้น 24 แล้วลิฟต์ส่วนตัวของบอร์เดอร์ก็ส่งพวกเราตรงมาที่ชั้น 24

              ติ๊ง...

              ลิฟต์เปิดออกสู่ห้องโถงที่ผมมาเมื่อวาน เมื่อผมเดินออกมาก็พบหน้าเดิมๆ

              คุณมาร์คัสยังคงนั่งเล่นมาเกมกระดาน แต่คราวนี้เป็นเกมใหม่แฮะ เขาเล่นมันกับคุณลุงที่หน้ามีแผลเป็นแผลเป็น เมื่อวานเขาได้แนะนำตัวว่าชื่อ เจมส์ แมคโกรว์

              ส่วนผู้หญิงอีกคนที่อายุพอๆกับไอ้หงอกชื่อ ดีเลีย แมคโกรว์เธอเป็นลูกสาวของคุณเจมส์ และเธอก็เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นผมกับผู้ติดตาม

              “สวัสดี เร็น” เธอทักทายผม ผมก็ทักทายเธอกลับ

    ท่าทางชื่อและเสียงของผมก็ไปสะกิดหูลุงๆทั้งสองที่กำลังนั่งเล่นเกมกระดานเป็นเด็กๆ พวกเขาจึงละสายตาจากเกมแล้วหันมาสนใจผมแทน

              พอดีเลย ผมมีเรื่องต้องสะสางกับคุณมาร์คัส

              “พอดีเลย เร็น ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” คุณมาร์คัสเข้าประเด็นอย่างรวดเร็วประหนึ่งเมื่อครู่ไม่ได้เล่นเกมอะไรเล้ย

              “หยุดก่อนครับ ผมเองก็มีเรื่องที่ผมจะต้องถามคุณ” ผมขัดเขาไว้ก่อน แล้วเขาก็พยักหน้าเป็นสัญญาณว่าผมสามารถเริ่มพูดก่อนได้ “ทำไมคนคนนี้ต้องมาตามผมด้วยครับ”

              “โฮ? แล้วมันทำไมรึ” คุณมาร์คัสทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยที่ผมถามอะไรแบบนี้ ถึงผมจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ แค่อยากรู้ว่าทำไมต้องเป็นคนนี้ เอาเป็นพ่อลูกคู่นั้นก็ได้

              คุณมาร์คัสไม่ตอบในทันที แต่เขาทำสีหน้าดุ(?) ใส่ผม ไม่รู้อะ แต่มันหน้ากลัวมากๆ

    มากๆจริงๆ ถ้าคุณดีเลียไม่พูดคำว่า สตอล์กเกอร์ออกมา จนทำให้คนถูกกล่าวหากระโดดเข้าไปซัดกับเธอ ส่วนคนที่นั่งฟังอย่างคุณเจมส์ถึงกับหลุดก๊ากออกมา

    นี่มันอะไรเนี่ย สถานการณ์แบบนี้ผมควรจะทำยังไง...

    “คะ คุณมาร์คัส” ผมเรียกเขาอย่างกล้าๆกลัวๆ

    “อื้ม ฉันกำลังคิดอยู่”

    “คิด คิดอะไรครับ”

    “เหตุผลที่เธอไม่พอใจเซโน” คุณมาร์คัสตอบออกมาหน้าตาเฉย ไอ้เราก็นึกว่าคิดคำด่าอยู่ ก็หน้าลุงแกเมื่อกี้นี่ฆาตกรรมผมได้เลยนะ

    “ไม่ต้องคิดหรอกครับ เหตุผลมันมากเกินกว่าที่จะพูดให้จบภายในวันเดียว” ผมตอบตรงๆ ทำเอาไอ้คุณเซโนหันขวับ แต่ถูกคุณมาร์คัสปรามด้วยสายตาเอาไว้ รอดตัวไปแฮะ

    “งั้นหรอ แต่เขาเป็นคนที่มีฝีมือดีที่สุดแล้วนะ แถมยังว่างอีก”

    “เอาคนอื่นก็ได้ครับ คุณดีเลียก็ได้”

    “ดีเลียไม่ได้หรอก เธอมีงานล้นมือแล้ว” ตรงไหนวะครับ ผมเห็นคุณเธอว่างทุกครั้งที่มาที่นี่ ถึงทุกครั้งที่ว่าจะมีแค่สองครั้งก็เถอะ

              “ถ้างั้นก็ไม่ต้องมีเลยก็ได้ครับ ไอ้บอดี้การ์ดอะไรเนี่ย ไม่มีใครมาทำร้ายผมหรอก”

              “ไม่ได้ จากนี้ไปเธอจะต้องถูกตามล่าอย่างแน่นอน” คุณมาร์คัสทำเสียงเข้ม “พลังของเธอน่ะ มีประโยชน์กับประชากรประมาณ 98% ของโลกนี้ และนั่นรวมไปถึงพวกอมนุษย์ มนุษย์ต่างดาว อะไรก็ตามที่ไม่ใช่ผีดูดเลือด พวกเขาและพวกเราที่ไม่อยากตกอยู่ภายใต้อำนาจของ   2% ของผีดูดเลือดที่ว่ากันว่าแข็งแกร่งที่สุดในทุกเผ่าพันธุ์บนโลกใบนี้ ต้องการที่ล้มล้างพวกผีดูดเลือดพวกนั้น พวกเรามีอาวุธ พวกเรามีสมอง แต่พวกเราไม่มีตา ที่เอาไว้มองเจ้าพวกผีดูดเลือดพวกนั้น แต่เธอ เร็น เธอคือตาที่ว่านั่น”

              ผมเงียบ พูดอะไรไม่ออก ถึงมันจะเป็นสิ่งที่ผมรู้อยู่แล้วก็เถอะ แต่พอมาได้ยินจากปากคนอื่น ยิ่งจากปากของหัวหน้าบอร์เดอร์สาขาตะวันออกด้วยแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองนี่มีค่าชะมัด...

              “ชิ” คุณเซโนส่งเสียงน่ารำคาญออกมา แล้วไอ้หน้าที่เหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่นั่นมันคืออะไรวะครับ พอรู้ว่ามีคนรู้ว่าตัวเองคิดเรื่องน่าอายนี่ มันก็น่าอายชะมัด อ้ากกกกก

              คุณมาร์คัสที่ไม่รู้เรื่องสงครามประสาทอันสั้นของผมกับคุณเซโนก็ได้แต่ทำหน้างงเล็กน้อยแล้วจึงพูดต่อ “ทุกคนต้องการตาของเธอ เพราะถ้าใครสามารถจัดการกวาดล้างพวกผีดูดเลือดไปได้ละก็ ก็ประมาณได้ครองโลกล่ะนะ”

              “เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้วครับ ดังนั้นสุดท้ายผมจึงตัดสินใจมาที่เมืองนี้ เมืองที่กฎหมายมีผลกับอมนุษย์พวกนั้น”

              “เธอคิดว่ากฎหมายพวกนั้นจะคุ้มครองเธอได้หรอ น่าจะเห็นเหตุการณ์เมื่อวานเป็นตัวอย่างแล้วนะ” คุณมาร์คัสพูดขัดใจผมอีกครั้ง แทงใจดำเลยครับ ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่าไม่มีที่ไหนปลอดภัยสำหรับผมบนโลกใบนี้ อมนุษย์นั้นเชื่อใจไม่ได้ มนุษย์เองก็เช่นกัน เพราะทุกคนต่างขวนขวายหาสิ่งที่จะทำลายพวกผีดูดเลือดพวกนั้น ขนาดมนุษย์ด้วยกันเองยังหลอกใช้ผม ทำผมเหมือนไม่ใช่มนุษย์ แล้วพวกอมนุษย์จะเหลือเหรอ

              คนพวกนี้ก็เหมือนกัน จะเชื่อใจได้เหรอ สุดท้ายก็จะขังผมไว้เหมือนพวกนักวิทยาศาสตร์พวกนั้นใช่มั้ย ที่ชวนผมเข้ากลุ่มก็เพราะจะใช้พลังของผมเพื่อจัดการพวกผีดูดเลือดเหมือนกันไม่ใช่รึไง รู้งี้ไม่ตกลงเข้ากลุ่มบ้าๆนี่แต่แรกก็ดีแล้ว...

              เมื่อคุณมาร์คัสเห็นผมไม่ตอบ เขาก็ถามผมอีกสองคำถาม “เธอไปได้พลังนี้มาจากไหน แล้วก่อนมาถึงเมืองนี้เธอเอาชีวิตรอดจากพวกที่ต้องการพลังของเธอมาได้ด้วยตัวเองงั้นรึ”

              “ผมบอกไม่ได้เรื่องพลัง แล้วก่อนจะมาถึงเมืองนี้ผมอยู่ด้วยตัวเองมาตลอด”

              ...ไม่ใช่ ไม่รู้แต่ ตอบไม่ได้งั้นหรอ...

              “โอเค ถ้างั้นเธอไม่ต้องมีบอดี้การ์ดก็ได้ ถ้าเธอยืนยันว่าเธอสามารถรอดจากเงื้อมือของพวกอมนุษย์พวกนั่นได้”

              สิ่งที่คุณมาร์คัสพูดนั้นชวนให้ผมตกใจ เขายอมรับความต้องการของผม ไม่เหมือนพวกก่อนหน้านี้ คนคนนี้แตกต่างจากมนุษย์คนอื่นที่ผมเคยเจอ เพราะอย่างนี้รึเปล่านะคนแปลกๆอย่างพวกคุณเซโนถึงได้ติดตามเขา

              “ขอบคุณมากครับ”

              “อ่า” คุณมาร์คัสรับคำขอบคุณจากผม พร้อมกับรอยยิ้มที่ผมไม่รู้จัก

              ผมจำพ่อของตัวเองไม่ได้ แต่ความรู้สึกของการมีพ่อเนี่ยมันเหมือนกับสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้รึเปล่านะ...

              “เพราะงั้นมาเข้าเรื่องของเราดีกว่า เร็น ที่ฉันเรียกเธอมาวันนี้เพราะมีของที่อยากให้เธอ ตามมาสิ” คุณมาร์คัสเปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่นปกติอย่างรวดเร็ว เขาเดินนำผมมาที่ลิฟต์ โดยมีคนอื่นๆตามมาด้วย

              เขากดลิฟต์ลงไปสองชั้น หรือก็คือชั้นที่ 22 และเมื่อประตูลิฟต์เปิดผมก็ได้พบกับทางเดินตรงยาว ผ่านห้องต่างๆ ทั้งห้องพยาบาล ห้องพักผู้ป่วย ห้องฝึกซ้อม ห้องเก็บของ และอีกมากมาย แล้วพวกเราก็มาหยุดอยู่ที่หน้า ห้องทำงานของเอรีน่า ใครฟะ ห้องอื่นเขาใช้ชื่อธรรมดา ยัยเอรีน่านี่ดันใช้ชื่อตัวเองเป็นชื่อห้องเนี่ยนะ แล้วไอ้สภาพป้ายชื่อที่เหมือนมีคนเอามาแปะทับอันเก่านี้คืออะไรครับ!

              คุณมาร์คัสเปิดประตูเข้าไปเป็นคนแรก “เอรีน่า” คุณมาร์คัสเรียกชื่อเจ้าของห้องที่ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ

              เมื่อได้ยินเสียงเรียกของคุณมาร์คัส เธอก็สปริงตัวขึ้นมาจากโต๊ะแล้วหันมาต้อนรับพวกเราด้วยใบหน้าสดใส พึ่งตื่นแน่เหรอเนี่ย คนคนนี้

              “ยินดีต้องรับเข้าสู่ห้องของเอรีนาค่า คุณมาร์คัสและคณะ แล้วก็เด็กใหม่ด้วยนะ” ตอนเธอพูดว่าเด็กใหม่เธอหันมาขยิบตาให้ผมด้วย

              แต่จะว่าไปคนคนนี้...

              “...กำลังท้อง...” นี่ผมคิดเสียงดังไปเหรอ ทุกคนถึงได้หันมามองหน้าผมแบบนี้ พอโดนจ้องแบบนี้ผมก็อายนะวะครับ “ขะ ขอโทษที่เสียมารยาทครับ”

              “ไม่เป็นไรหรอ เด็กคนนี้ก็อยากทักทายเธอเหมือนกันนะ เขาบอกสวัสดีด้วยละ” เอรีน่าที่ดูหน้าแล้วอายุไม่น่าจะเป็นแม่คนได้บอกผมเหมือนผมเป็นเด็กๆ

              “คุณเอรีน่าปล่อยเด็กนี่มันไปเหอะครับ เด็กมันไม่เคยเห็น ดูตามันวาวยังกับเห็นของแปลก” ไอ้คุณเซโนพูดกับคุณเอรีน่าด้วยคำพูดสุภาพ ถึงแม้ประโยคนี้ผมคิดว่าเขาพูดกับผมก็ตามที

              “เธอชอบเด็กทารกหรอ” คุณเอรีน่าเมินไอ้หงอก แล้วคุยกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    คนคนนี้กำลังจะเป็นแม่คนจริงๆนั่นแหละ

    “ครับ พ่อแม่ผมก็เสียตั้งแต่ผมเด็กๆ ผมเลยไม่ค่อยรู้ว่าพ่อแม่เป็นยังไง แล้วลูกควรจะเป็นยังไง เลยค่อนข้างสนใจอะไรพวกนี้นะครับ แบบว่า เหมือนว่าถ้าได้ใกล้ชิดกับเด็กๆละก็จะเข้าใจขึ้นมา”

    คุณเอรีน่าที่ฟังผมพูดใช้ทิชชู่ซับซับน้ำตาหมดไปเป็นม้วนๆ ผมทำเธอร้องไห้ซะแล้วสิ แล้วคุณมาร์คัสจะซับน้ำตาด้วยทำซากอะไรวะครับ แล้วไอ้คุณพ่อนั่นก็เข้าไปโอบลูกสาวเฉย แต่คุณลูกสาวนี่ดูผลักไสเต็มที่เลย ส่วนไอ้คุณเซโน หน้าตาเฉยๆแบบนั้นมันคืออะไรฟร้า…!

    ทุกคนทำแบบนี้ผมเขิน...

    “มาเป็นลูกชายฉันไหม” คุณเอรีน่าพูดทั้งน้ำตา พร้อมสั่งน้ำมูกไปด้วย

    “ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไร...”

    “อะแฮ่ม” คุณมาร์คัสกลับมาเป็นคนแรกหลังจากเข้าสู่สภาวะหลุดไปชั่วครู่ “เอรีน่า เอาของที่ว่ามาสิ”

    “ค่า” คุณเอรีน่าที่หยุดร้องไห้อย่างไวตอบอย่างร่าเริง เธอเดินไปหยิบซองผ้าสีดำยาวเกือบเมตรมา เธอส่งมาให้คุณมาร์คัส และเขาก็จัดการแกะซองผ้านั้นออก

    ข้างในเป็นดาบยาวเหมือนดาบของเมืองทางตะวันออก เขายื่นมันมาให้ผม “รับไป”

    “เอ๋” ผมตกใจ จู่ๆเขาก็มาบอกให้ผมรับไป ใครจะไปกล้ารับฟะ “ผะ ผมไม่สู้ไงครับ”

    “ตอนแรกว่าจะเอาไม่เอาก็แล้วแต่เธอแหละ แต่เธอดันบอกเองว่าไม่ต้องการบอดี้การ์ดและจะปกป้องตัวเอง ดังนั้นเธอต้องมีอาวุธ” เขาพูดเสียงเข้ม นี่คือกำลังบังคับใช่มั้ยคร้าบ

    “อย่างเด็กนี่ เต็มที่ก็สามวันล่ะนะ” คุณไม่ต้องพูดก็ได้นะไอ้คุณเซโน ถ้ามันจะกัดไม่ปล่อยขนาดนี้

    ผมเมินไอ้หงอกปากเสีย และพยักหน้ารับดาบไว้แต่โดยดี คุณมาร์คัสจึงดึงดาบออกจากฝักและปล่อยดาบลงมือผม

    แต่ก่อนที่ดาบจะถึงมือผม คุณเอรีน่าก็ตะโกนอะไรบางอย่างออกมา

    “ดาบนั่นจะดูดเลือดเธอนะ!

    “เอ๋?” ไม่ทันแล้วครับ ดาบมันตกลงมาที่มือผมเรียบร้อย ผมรีบหลับตาปี๋รอรับความเจ็บปวด

    แต่...

    คุณเจมส์พูดขึ้นมาเป็นคนแรก “โฮ? น่าสนใจแฮะ” แล้วลุงแกก็หัวเราะ ชีวิตอะไรมันจะมีความสุขขนาดน้านนน

    “เป็นไปได้ยังไง” ไอ้คุณเซโนนี่จ้องผมตาแทบถลน

    “ทำไม ดาบมันไม่ดูดเลือด” แล้วคุณดีเลียก็พูดถึงสาเหตุที่ทุกคนตกใจในที่สุด

    คุณมาร์คัสมองผมนิ่งๆ สายตานั่นไม่น่าไว้ใจเลยซักนิด เขากำลังคิดไปต่างๆนาๆเกี่ยวกับสาเหตุ ชัวร์!

    “เป็นไปได้ยังไงกัน ปกติอาวุธพวกนี้จะต้องดูดเลือดของผู้ที่เป็นเจ้าของมัน แลกกับเลือดของตัวเองแท้ๆ” คุณเอรีน่ามองผมอย่างตกใจและสนใจ “เธอลองเก็บมันดูซิ” คุณเอรีน่าสั่ง

    ผมพยายามอยู่นานแต่ “เก็บ...เก็บยังไงครับ? ไม่สิเก็บคืออะไรครับ” ผมถามซื่อๆ ด้วยหน้ามึนๆ พร้อมเก็บดาบเข้าฝัก

    ไอ้คุณเซโนที่ทนความมึนของผมไม่ไหมจึงแสดงตัวอย่างให้ดูด้วยการเรียกดาบของตัวเองออกมาจากไหนก็ไม่รู้ “อาวุธพวกนี้มันจะรวมเป็นหนึ่งกับเลือดของผู้ใช้ แค่คิดว่าจะเอาดาบออกมามันก็ออกมาเองแหละ มันอยู่ในสายเลือด แค่นี้หัดรู้เองซะมั่ง” แล้วเขาก็เก็บดาบของเขากลับไป

    ผมได้ประจักษ์แก่สายตา ดาบมันเปลี่ยนเป็นเลือดแล้วหายไปในมือของคุณเซโนที่พันผ้าพันแผลไว้ ทั้งที่เลือดของเขาพึ่งกลับเข้าไปในร่างทางมือนั้นแท้ๆ แต่กลับไม่มีเลือดเลอะผ้าพันแผลเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนว่าเขาควบคุมให้เลือดทั้งหมดของตัวเองกลับเข้าไปในร่างกายได้ยังไงยังงั้น

    “อาวุธพวกนี้ เราเจอที่สุสานเก่าแก่ของพวกผีดูดเลือด และพบว่ามันเป็นอาวุธอย่างเดียวที่สามารถคร่าชีวิตมันได้” คุณเอรีน่าแจงคุณสมบัติที่สำคัญของอาวุธ “และฉันเป็นคนเก็บและศึกษาเกี่ยวกับอาวุธพวกนี้เองแหละ” เธอพูดพร้อมยืดอกอย่างมั่นใจ

    “แล้วทำไมไม่ใช้อาวุธธรรมดาละครับ” ผมถามคุณมาร์คัส เพราะเขาเป็นบอกเองว่า บอร์เดอร์เป็นองค์กรลับที่คอยรักษาสวัสดิภาพของมนุษย์จากพวกอมนุษย์หน้าเลือดที่จับมนุษย์ไปเพื่อบริโภคหรือค้าขาย

    “ท่าทางฉันยังอธิบายให้เธอฟังไม่ครบสินะ” คุณมาร์คัสถาม แล้วผมจะไปรู้ไหมล่ะนั่น “หน้าที่ของบอร์เดอร์สามข้อ หนึ่ง จับกุมอมนุษย์ที่สร้างความวุ่นวายให้เมืองฮาร์ป สอง จับกุมอมนุษย์ที่บริโภคหรือค้าขายมนุษย์หรืออมนุษย์ด้วยกัน ถ้าขัดขืนสามารถกำจัดทิ้งได้ และสาม ถ้าพบอมนุษย์ประเภทผีดูดเลือดสามารถกำจัดทิ้งได้ทันที”

    “กำจัดทิ้งได้ทันที...” ผมค่อนข้างแปลกใจกับข้อสุดท้าย มันดูไร้เหตุผลยังไงก็ไม่รู้แฮะ

    “เมื่อไหร่ที่พวกมันปรากฏตัวออกมาคือเวลาที่มันกำลังหาอาหาร หรือเวลาที่มันกำลังกินอาหารอยู่เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่ที่เราเจอจะเป็นตอนที่มันที่มันกำลังกินอาหารอยู่ และน้อยมากที่จะเจอตอนที่มันกำลังล่าเหยื่อ” คุณมาร์คัสอธิบาย และผมก็เข้าใจได้ในทันที พวกผีดูดเลือดมีความหยิ่งทะนงสูงมาก พวกมันจะไม่มาคลุกตัวอยู่ในเมืองของพวกมนุษย์ จะมาก็ต่อเมื่อต้องการอาหารเท่านั้น

    เมื่อคุณมาร์คัสอธิบายจบ ผู้ฟังก็เหลือแค่ผมกับคุณเอรีน่าเจ้าของห้องเท่านั้น คนอื่นรู้อยู่แล้วก็เลยเบื่อที่จะฟัง

    แล้วคุณมาร์คัสก็บอกให้ผมลองเก็บอาวุธดู ผมลองทำตามที่ไอ้คุณเซโนสอนแต่ผมก็ยังไม่สามารถเก็บมันได้

    คุณเอรีน่าจึงคาดเดาว่าน่าจะเป็นเพราะดาบมันไม่ดูดเลือดของผม ผมจึงไม่สามารถเก็บดาบได้ แต่คุณมาร์คัสก็บอกให้ผมลองไปฝึกดูเผื่อจะได้

    ในที่สุดเวลาก็ล่วงมาถึงตอนเย็น ทุกคนจึงแยกย้ายไปทำภารกิจของแต่ละคน ผมที่ไม่มีอะไรทำก็กลับมาที่ห้องของตัวเองเพื่อสำรวจเจ้าดาบที่ผมได้รับมาจากคุณมาร์คัส ดูไปดูมาก็เจ๋งดีแหะ แต่เก็บไม่ได้แบบนี้จะหิ้วไปไหนมาไหนได้ไงล่ะเนี่ย

     

    “เอรีน่า เด็กคนนั้น”

    “ค่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริงๆละก็ เรื่องใหญ่เลยนะคะ อยากตรวจดูให้ละเอียดจัง ”

    “เรื่องนี้จะมีแค่เราสองคนและเด็กคนนั้นที่รู้เท่านั้น”

    “ค่ะ คุณมาร์คัส”

     

    หลังจากนั้นผ่านมาสามวันผมก็ใช้ชีวิตธรรมดาๆกับเขาซักที...ก็อยากจะพูดอย่างนั้นอยู่หรอก

              ผมมีชีวิตที่สงบสุขอยู่ได้แค่สามวัน แต่พอเข้าวันที่สี่ ผมก็ถูก...

              ...ลักพาตัว...

              ผมถูกลักพาตัวครับ ย้ำๆ ถูกลักพาตัวโว้ยยยยย

              มันจะอะไรกะนักกะหนาฟะ ไอ้คุณเซโนมันรู้ล่วงหน้าได้รึไงวะว่าผมจะโดนเจี๋ยนในวันที่สี่เนี่ย บ้าเอ๊ยยยย รึมันเล่นคุณไสยใส่ผมวะครับ

              แค่ก้าวเท้าออกมาจากโรงเรียนก็ถูกไอ้พวกมนุษย์ต่างดาวนี่ฉกตัวมาแล้ว ดาบผมก็ลืมไปได้เลย โดนไอ้หน้าเหียกนี่เขวียงออกนอกรถไปแล้ว

              ผมถูกจับอยู่ในรถที่ใหญ่มาก ท่าทางจะอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์

              ทำไงดีละทีนี้ คุณมาร์คัสช่วยผมด้วยยยย

              “กรี้ กรี้ กรี้” พูดอะไรของแก ฟังไม่รู้เรื่องโว้ย หุบปากเน่าๆของแกไปซร้า

              “อู้อี้ๆๆ” คือผมโดนปิดปากอยู่พูดไม่ได้...แล้วยังโดนมัดตัวไว้อีก บ้าจริงงงง

    ผมอยากจะสับมันใจจะขาด แต่ตอนนี้มันกำลังจะสับผมก่อนแล้ว

    คุณมาร์คัสช่วยผมด้วย คุณมาร์คัสช่วยผมด้วย คุณมาร์คัสช่วยผมด้วย คุณมาร์คัสช่วยผมด้วย คุณมาร์คัสช่วยผมด้วย คุณมาร์คัสช่วยผมด้วย คุณมาร์คัสช่วยผมด้วยยยย!!!!

    ตึ้ง!!

    เสียงกระแทกดังขึ้นบนหัว แล้วผมก็เห็นดาบสีแดงหน้าตาคุ้นๆกำลังเจาะหลังคารถลงมา

    ตึ้ง!!!

    หลังคารถเปิดออก ผมก็ได้เห็นหน้ากวนๆของไอ้คุณเซโนอีกครั้ง

    “ว่าไง เร็น ตามที่ฉันบอกเป๊ะ สามวัน ฮ่ะๆๆๆ” เขาหัวเราะลั่น หมั่นไส้โว้ยยยย

    “อุนไอ้อ้องอาอ้วยอ้ไอ้!” คุณไม่ต้องมาช่วยก็ได้!

    “พูดว่าอะไรไม่เข้าใจว่ะ” เขาบอกแล้วกระโดดลงมาจากหลังคาตู้คอนเทนเนอร์

    เชือกที่มัดตัวผมอยู่ขาดลง แล้วผมก็แกะสก๊อดเทปที่ปากออก “คุณไม่ต้องมาช่วยก็ได้!” ย้ำอีกรอบ

    “ห๊า” ไอ้คุณเซโนหันมาหาเรื่องผม หลังจากที่จัดการพวกมนุษย์ต่างดาวเสร็จในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที

    เขาเดินผ่านผมไปที่ห้องคนขับรถ พร้อมโยนดาบของผมที่ถูกโยนทิ้งไปแล้วมาให้ เขาเก็บมาให้ด้วยแฮะ ผมหันกลับกะขอบคุณ(ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจก็ตาม) แต่เขากำลังยุ่งอยู่กับการสังหารโหดคนขับรถต่างดาวหน้าเหียกอยู่ เออดี สะใจมากครับ ผมอยากเล่นด้วยจัง แต่พี่แกดันไม่เหลือให้ผมได้เล่นมั่งเลย

    “ทำไมรู้ว่าผมโดนจับตัวมา” ผมถาม

    เขาไม่ตอบแต่เก็บอะไรบางอย่างนอกจากดาบเข้าไปในมือ ผมเห็นอะไรก็ตามที่เหมือนด้ายเส้นเล็กมากๆหลุดจากตัวผมไปเข้ามือของเขา

    คนคนนี้น่าขนลุกชะมัด

    “ไหนบอกจะไม่มีบอดี้การ์ดแล้วไง” ผมโวย นี่มันผิดกับที่ตกลงไว้นี่คุณมาร์คัสสสสส!

    “ถ้าไม่มีฉัน แกได้กลายเป็นหมูสับไปแล้วเฟ้ย” เขาทำปากยื่น ไม่ได้เข้ากับหน้าเลย “ให้ตายสิ เหนื่อยชะมัด” เขาดูเหนื่อยจริงๆนั่นแหละ คราวนี้ถึงกับหอบเลยแหะ

     

    “ฉันลืมบอกเธอไปอย่างหนึ่ง เร็น”

    “อะไรครับ”

    “เมื่ออาวุธพวกนี้รวมเป็นหนึ่งกับเลือดของพวกเธอแล้ว มันจะทำให้เลือดของเธอทำอะไรได้อีกเยอะ แต่การใช้เลือดพวกนี้ก็เท่ากับว่าต้องเอาเลือดในตัวเธอออกมาใช้ เพราะงั้นระดับเลือดในร่างกายเธอจะลดลงมาก ยังไงก็ระวังไวด้วยละ”

    “เอ่อ คุณมาร์คัส ดาบผมยังรวมกับเลือดไม่ได้เลยนะครับ”

    “รู้เผื่อไว้ก็ไม่เสียหายใช่มั้ยล่ะ”

     

    “คุณเซโน ขอบคุณครับ”

    “อะไร ผีเข้ารึไง หรือว่าไม่สบาย”

    “เดี๋ยวผมขี่มอไซค์เอง คุณไปซ้อนท้ายเหอะ”

    คนพวกนี้ ต่างจากคนอื่นๆที่ผมพบมาก่อนจริงๆ ถ้าเป็นพวกเขา อาจจะเชื่อใจได้ก็ได้ สักวันผมจะบอกพวกเขา

    เรื่องของผม

    เรื่องของพลังนี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×