ตอนที่ 3 : Hate you, I hate you Chapter 2 :: Testament from mother [100%]

Hate you, I hate you :: Chapter 2
Testament from mother
สิ่งที่ฉันจดจำได้มีแต่ความสุขเต็มไปหมด แม่เคยเล่าว่าแม่กับพ่อรักกันมากแต่เพราะตอนนั้นคุณตาคุณยายไม่ชอบที่พ่อเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆ ไม่ได้เป็นผู้ดีหรือเป็นคนมีหน้ามีตาทางสังคมเหมือนที่คุณตาคุณยายคาดหวัง ตอนที่ท่านทั้งสองหนีไปอยู่ด้วยกัน แม่บอกว่าถึงจะลำบาก แต่ท่านทั้งสองคนกลับมีความสุขมาก น่าเสียดายที่จูฮยอนในตอนนั้นยังเล็กก็เลยจดจำอะไรไม่ได้เลย
จูฮยอนนั่งยิ้มให้กับเงาของตัวเองในกระจก ทุกครั้งที่ผ่านไปในแต่ละวัน เท่ากับว่าเรื่องราวของเมื่อวานเธอได้ก้าวข้ามผ่านมันมาเรียบร้อยแล้ว จูฮยอนถอดเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดพาดไว้กับผนังเก้าอี้ ดวงตากลมโตหันมองออกไปที่หน้าประตูห้อง ทุกอย่างดูโล่งโปร่งไปหมดเมื่อวันนี้ไม่มีจองยงฮวามายืนทำลับๆล่อๆเหมือนอย่างที่เคย
ตอนที่เธอยังเป็นเด็กแล้วดึงดันว่าจะอยู่กับพ่อ ตอนนั้นยงฮวามาหาเธอแล้วก็พยายามเกลี้ยกล่อมขอร้องให้เธอกลับไปอยู่ที่บ้าน เหมือนว่าเขาจะจริงใจ แต่ขณะเดียวกันจูฮยอนกลับคิดว่าเขาทำทั้งหมดเพื่อเอาหน้าเพราะอยากประจบแม่ของเธอมากกว่า เธอโมโหอาละวาด ขว้างปาข้าวของใส่เขาจนหัวแตก จากนั้นแม่ก็เลยรีบมาพาเขากลับไป
ซอจูฮยอนที่น่ารักกลายเป็นเด็กอารมณ์ร้าย ยิ่งเมื่อพ่อที่เคยรักเคยดูแลเอาใจใส่ไม่รักไม่เหลียวแลเหมือนอย่างที่เคย เธอก็ยิ่งเจ็บปวด ตอนนั้นเธอรู้สึกว่าตัวเองเกลียดพ่อ จนเคยคิดที่จะหนีออกจากบ้านตามคำชวนของพี่สาวข้างบ้านอย่างแทยอนกับมิยอง แต่พอเห็นพ่อนอนจมกองอ้วกแล้วก็เอาแต่บอกว่า ‘ขอโทษ’ ที่ทำให้ลูกต้องผิดหวัง ตอนนั้นเด็กสิบขวบอย่างเธอคิดว่าตัวเองเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งเลยว่าพ่อเองก็เจ็บมากด้วยเหมือนกัน
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เจ้าของห้องยิ้มรับคนที่เปิดประตูเข้ามาหา ก่อนหน้าจองชินรู้สึกกังวลกลัวว่าจูฮยอนจะเสียใจเรื่องแม่จนทำงานไม่ได้ แต่เขาก็คิดผิดเพราะดูเหมือนว่าจูฮยอนจะไม่ยอมให้ความเศร้าเสียใจอยู่เหนือความรับผิดชอบของเธอเลย
“พี่ยงฮวาบอกว่า ถ้าคนไข้หมดแล้วให้เธอไปที่บ้านด้วย”
จูฮยอนหุบรอยยิ้ม เธอหลงดีใจที่วันนี้ไม่มีคนโรคจิตมาคอยตามตื้อตามวุ่นวาย แต่ที่ไหนได้ ลีจองชินกลายเป็นร่างทรงของเขาไปเสียแล้ว
“ฉันรู้หรอกน่าว่าวันนี้เปิดพินัยกรรม ถ้าเขาโทรกลับมา บอกเขาด้วยนะว่าฉันไม่ยอมยกสมบัติให้เขาหรอก วันนี้ฉันจะไปเฉดหัวเขาออกจากบ้าน”
จองชินยืนหัวเราะจนตัวงอ พูดถึงยงฮวาทีไร จูฮยอนก็มักจะอารมณ์ขึ้นทุกที
“เมื่อวันงาน…ซูโฮเค้าดูเป็นห่วงเธอมากเลยนะ”
“เขาดีกับฉันมาก จนฉันคิดว่า…ตัวเองอาจดีไม่พอสำหรับเขา”
เหตุผลเดียวกันอีกแล้ว ตอนที่เราสองคนเลิกกัน จูฮยอนก็ใช้เหตุผลนี้
“เธอก็ชอบคิดแบบนี้ตลอด เป็นโรคจิตหรือไง วันๆเอาแต่คิดว่าตัวเองไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้”
“บางที…ฉันก็คิดเหมือนกัน ว่าฉันอาจจะเป็นบ้าเหมือนน้าซองอึนก็ได้” พูดจบจูฮยอนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนลืมความเศร้า เมื่อก่อนตอนที่โกรธยงฮวาหนักๆ แล้วไม่รู้ว่าจะไประบายที่ไหน เธอจะไปที่ริมแม่น้ำแล้วก็เหวี่ยงหินก้อนหนักๆไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะมากได้ คนอย่างจูฮยอนจิตแข็งมากพอตัว เธอหวังว่าสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าจะช่วยทำให้เธอสามารถกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้สักที
“ตายแล้ว…ฉันต้องแต่งหน้าหน่อย วันนี้ทาลิปสีอะไรดี?” เธอเปิดกระเป๋าเครื่องสำอางให้จองชินช่วยเลือก เมื่อก่อนจูฮยอนไม่ใช่คนติดเครื่องสำอางหรือชอบแต่งหน้าแต่งตัวตามแฟชั่นมากขนาดนี้ แต่จองชินคิดว่าเขาเข้าใจดีว่าทำไมอยู่ดีดีจูฮยอนถึงได้เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
“พี่ยงฮวาไม่ชอบผู้หญิงที่ทาลิปสติกสีแดง”
“งั้นเอาสีแดง แดงสดๆ เหมือนกับเพิ่งไปกินเลือดมา… ”
ยงฮวาไม่ค่อยพอใจมากเท่าไหร่นักที่ได้รู้ว่าคิมแทยอนกับฮวังมิยองได้รับเชิญมาร่วมเป็นพยานในการเปิดพินัยกรรมในวันนี้ด้วย จงฮยอนเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการบอกเวลานัดหมายกับพวกเธอเสร็จสรรพ แถมทั้งสองสาวยังมาถึงก่อนจูฮยอนอีกต่างหาก
จุนฮีเพิ่งจะเสร็จจากการดูแลแม่ของเธอ ท่านยอมนอนหลับพักผ่อนโดยง่ายไม่เอะอะโวยวายก็เพราะเธอให้ท่านกินยานอนหลับ
“เป็นอะไรหรือเปล่าจุนฮี หน้าซีดๆ ไม่สบายหรอ?” ยงฮวาถามน้องสาวด้วยความห่วงใย ในแต่ละวันจุนฮีต้องคอยดูแลแม่ของเธอตลอดจนแทบจะปลีกตัวไปไหนไม่ได้ จุนฮีน่าสงสาร เธอควรจะได้ใช้ชีวิตแบบเด็กวัยรุ่นทั่วไปแต่เธอกลับเลือกที่จะอยู่ดูแลแม่ของเธอแทบจะตลอดเวลา
“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ ฉันแค่นอนไม่ค่อยหลับ” พูดไปก็ปาดคราบน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นทางยาว จงฮยอนหันมองคราบน้ำตานั้นด้วยความสงสาร จุนฮีคงเสียใจที่ต้องมาเสียป้าที่เคารพรักไม่ต่างไปกับแม่แท้ๆของตัวเอง ตั้งแต่ได้พบเธอ เขานึกไม่ออกเลยว่ามีเรื่องไหนบ้างที่จะสามารถทำให้จุนฮีหัวเราะได้ เธอเติบโตขึ้นมาในอ้อมอกของชเวอินฮวา พอเริ่มรู้ความก็เริ่มถามว่าแม่กับพ่อของเธอคือใคร เด็กตัวเล็กๆ ได้เห็นแม่ของตัวเองครั้งแรกก็ถึงกับเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด ไปเรียนหนังสือก็ถูกเพื่อนล้อหาว่ามีแม่เป็นคนบ้า ส่วนพ่อก็ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน
ทนายความหนุ่มส่งผ้าเช็ดหน้าให้หญิงสาวได้ซับน้ำตา จุนฮีรับไว้ อีกทั้งยังไม่ลืมเอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ
จูฮยอนเดินกรีดกรายเข้ามาถึง วันนี้เธอแต่งตัวสวยเต็มอัตรา ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม กระเป๋า รองเท้า ยังคงเป็นสีดำสนิทเข้าชุดกันหมดไม่มีแตกแถว
“ฉันมาแล้วค่ะ ทุกคน…โอ๊ะ! พี่ๆก็มาด้วยหรอคะ?” เธอโผเข้าหาพี่สาวข้างบ้าน ขณะที่ยงฮวาถึงกับนั่งกุมขมับเพราะรู้สึกปวดหัว ถึงจะยังอยู่ในระหว่างไว้ทุกข์แต่ปากของจูฮยอนกลับแดงเหมือนเพิ่งไปกินเลือดใครมาก็ไม่รู้
“พี่ยงฮวา…เป็นอะไรครับ พี่ก็นอนไม่ค่อยหลับเหมือนจุนฮีด้วยหรอ? ยังไหวอยู่ใช่ไหมครับ”
คำถามของจงฮยอนพาซื่อจนทำให้ยงฮวาถึงกับปั้นหน้าไม่ถูก ก็แค่ตกตะลึงกับสีลิปสติก สีหน้าของเขามันออกมากขนาดนั้นเลยเชียวหรือ
“มาครบแล้วนี่…เปิดพินัยกรรมได้หรือยัง?” ยงฮวาเบี่ยงเบนประเด็น
จงฮยอนมองสำรวจตรวจนับบุคคลสำคัญ ความจริงแล้วแม่ของจุนฮีควรที่จะมาร่วมรับฟังด้วย แต่เพราะอาการป่วยที่อาจก่อเกิดความโกลาหลจนอาจส่งผลให้คนอื่นๆตกอยู่ในความไม่ปลอดภัย ดังนั้นพินัยกรรมจึงสามารถเปิดได้แม้ชเวซองอึนจะไม่ได้มาร่วมรับฟังก็ตามที
“คุณซอจูฮยอนพร้อมหรือยังครับ?”
จูฮยอนยิ้มหวานรับ เธอพร้อมนานแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกตื่นเต้น อดกลัวว่าแม่จะหน้ามืดยกทุกอย่างให้ยงฮวาไปคนเดียว ซึ่งยงฮวาเองก็จับสังเกตถึงสีหน้าของเธอได้ ยงฮวาไม่เคยหวังอยากได้อะไร เขายอมรับว่าคงรู้สึกใจหายหากจะต้องเก็บกระเป๋าเดินออกไปจากบ้านหลังนี้จริงๆ แต่ต่อให้แม่ของจูฮยอนจะไม่ให้อะไรเขาเลย เขาก็ไม่โกรธท่านหรอก จูฮยอนสมควรได้ทุกอย่างตามที่เธอต้องการ เขาไม่เคยคิดหวังคิดอยากได้อะไรเลยจริงๆ
“จากนี้…ผมจะเริ่มอ่านพินัยกรรมแล้วนะครับ”
ทุกคนต่างลุ้นระทึกเพียงแค่จงฮยอนเตรียมจะเปิดซองเอกสาร นับตั้งแต่ ชเวอินฮวาล้มป่วยจนทำงานไม่ได้ กิจการทั้งหมดล้วนมียงฮวาเป็นหัวแรงหลัก เขาคนเดียวสามารถชี้ขาดได้ทุกอย่าง ไม่เพียงแค่มีอำนาจตัดสินใจ แต่ยงฮวายังเป็นคนหนุ่มมากความสามารถอีกด้วย
“ผมจะเริ่มแล้วนะครับ”
จูฮยอนนั่งจิกโซฟา เธอตื่นเต้นมากแต่ก็ต้องชักสีหน้าทำเหมือนไม่หวั่นกลัวอะไรเลยทั้งสิ้น
จงฮยอนร่ายยาวนับตั้งแต่รายละเอียดทั้งหมดบนหัวกระดาษ ตอนที่ชเวอินฮวาเขียนพินัยกรรมฉบับนี้ ตอนนั้นจงฮยอนก็อยู่ด้วย เขาเป็นคนจัดพิมพ์รายละเอียดทุกอย่างตามที่อินฮวาต้องการ ทุกอย่างเป็นความลับ ตราบจนถึงวันที่สมควรจะเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดให้กับทุกคนที่มีส่วนได้รับรู้ทั้งหมด
“ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของข้าพเจ้า ได้แก่ บ้านพร้อมที่ดินประจำตระกูล บ้านพักตากอากาศ กิจการทุกอย่างได้แก่ ห้างสรรพสินค้า โรงแรม และร้านอาหารในเครือกว่า 49 แห่ง รถยนต์ทุกคัน ที่ดินเปล่าจำนวน 35 ไร่… ”
รายการทรัพย์สมบัติถูกแจกแจงอย่างละเอียดยิบติดกันเป็นหางรถไฟ สิ่งเดียวที่จูฮยอนอยากรู้จนใจจะขาดก็คือ…แม่ยกทุกอย่างนั่นให้ใคร?
“ข้าพเจ้าขอยกทรัพย์สมบัติตามรายการทั้งหมดในข้างต้นให้กับ…นายจองยงฮวา บุตรชายบุญธรรมของข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
…!!
จูฮยอนตาโต ทั้งโกรธทั้งโมโหจนตัวสั่น แต่เธอก็พยายามสะกดจิตตัวเองว่าเธออาจจะหูฝาดไปก็ได้
สายตาหลายคู่ที่มุ่งตรงมาที่ตนทำให้ยงฮวาถึงกับนั่งไม่ติดที่ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนั้น เขาคิดว่ามันจะต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ คนอย่างป้าอินฮวาไม่มีวันทอดทิ้งจูฮยอนอย่างแน่นอน
“นายอ่านผิดหรือเปล่า…จงฮยอน” ยงฮวาถามขัดจังหวะ
“ใช่ค่ะ…ใช่ คุณทนายอ่านผิดหรือเปล่าคะ?” มิยองห้ามปากตัวเองไม่ได้ จะเป็นไปได้ยังไงที่แม่ของจูฮยอนจะทำอย่างนั้น
คุณทนายหนุ่มหน้าใสยิ้มคั่นคำถาม เขาไม่ได้อ่านผิดเลยแม้แต่ตัวอักษรเดียว ทุกอย่างคือความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้
“ยังไม่จบนะครับ ยังมีรายละเอียดอีกมากพอสมควร ผมอยากให้ทุกคนตั้งสติให้ดี ตั้งใจฟังที่ผมจะอ่านต่อไปนี้ให้จบก่อน แล้วจากนั้นถ้ามีคำถาม ผมยินดีตอบทุกข้อเลยครับ”
ทุกคนยอมอยู่ในความสงบทำใจที่จะยอมรับฟังต่อ ขณะที่จูฮยอนถอดใจนับตั้งแต่รู้ว่าแม่ยกทุกอย่างให้ยงฮวาหมด ถึงเธอจะเป็นลูกแท้ๆ แต่ถ้าแม่เลือกแล้ว เธอก็ยินดีที่จะยอมรับ ทรัพย์สมบัตินอกกายเธอไม่ต้องการ วันนี้เธอยอมให้ยงฮวาเป็นผู้ชนะ เธอหวังแค่ว่าจากนี้เราสองคนคงจะไม่ได้พบหรือยุ่งเกี่ยวอะไรกันอีก ทั้งชีวิตเธอคาดหวังเพียงเท่านี้
“น้องสาวของข้าพเจ้า…ชเวซองอึนให้อยู่ในความดูแลของจองยงฮวา รวมไปถึงจุนฮีหลานสาวของข้าพเจ้า มีสิทธิ์อาศัยอยู่ในบ้าน มีสิทธิ์ได้รับการศึกษาตามแต่ที่เธอต้องการ โดยให้จองยงฮวาเป็นผู้ดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งค่าเล่าเรียน เงินรายเดือนส่วนตัว หรืออื่นๆตามความเหมาะสม, คิมแทยอนและฮวังมิยองจะได้รับค่าใช้จ่ายรายเดือนทุกเดือนจนกว่าจะแต่งงานมีครอบครัว หรือหากมีความต้องการจะศึกษาต่อให้จองยงฮวารับหน้าที่ดูแลรับผิดชอบจัดสรรค่าใช้จ่ายให้ตามความสมควร ส่วนบุตรสาวเพียงคนเดียวของข้าพเจ้า…นางสาวซอจูฮยอนมีสิทธิ์ได้รับทรัพย์สมบัติทั้งหมดเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของทั้งหมดที่นายจองยงฮวาได้รับ ทั้งนี้ยังมีสมุดบันทึกที่ข้าพเจ้าเขียนไว้ทั้งหมดก่อนที่จะล้มป่วย ตราบเมื่อนางสาวซอจูฮยอนตกลงยอมแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกับนายจองยงฮวา และทั้งสองคนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเป็นระยะเวลาหนึ่งปี… ”
…!!
ตกใจครั้งแรกไม่ทำให้เกือบช็อคเท่ากับครั้งนี้ จูฮยอนกับยงฮวาเอาแต่ส่ายหน้า ไม่อาจยอมรับกับความเป็นจริงที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
“ไม่จริง! ฉันไม่แต่งค่ะ ไม่มีวันที่ฉันจะยอมแต่งงานกับคนคนนี้แน่นอน”
“ผมก็เหมือนกัน ผมไม่เอาอะไรเลยก็ได้ ผมยอมเดินออกไปตัวเปล่า คนอย่างผม ไม่มีวันยอมเอาอนาคตมาทิ้งไว้กับผู้หญิงบ้าๆอย่างคุณแน่”
“….” จูฮยอนโกรธจนอยากจะกรีดร้อง เพียงแค่เธอลุกพรวดขึ้นมา ก็ทำเอาทุกคนถึงกับพากันตกใจ
“พูดใหม่อีกทีสิ เมื่อกี้นี้นายว่าใครเป็นผู้หญิงบ้าๆนะ?”
“….” ยงฮวาอึกอักพูดไม่ออก ยอมรับว่าตัวเองหลุดคำพูดที่ฟังดูแรงมากเกินไป
จุนฮีรับอาสาเดินมาส่งจงฮยอนถึงรถ กว่ายงฮวากับจูฮยอนจะยอมสงบศึกและแยกย้ายกันไปคนละมุม เล่นเอาทุกคนถึงกับเกือบจะหูแตก
“งานหนักเลยนะคะ ฉันรู้สึกเหมือนว่าหูจะอื้อๆด้วยล่ะค่ะ”
จงฮยอนส่งยิ้ม ยังดีที่ท่ามกลางความตึงเครียดเขายังมีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มน้อยๆของจุนฮีด้วย
“ถ้ายังไงพี่กลับก่อน ถ้าพวกเขาตกลงกันได้แล้ว โทรบอกพี่ด้วยแล้วกันนะ อันนี้เบอร์โทรศัพท์ใหม่ของพี่เอง โทรได้ตลอดเลยนะ”
จงฮยอนดีกับเธอมาก เขาเป็นคนเดียวที่อยู่ใกล้ๆแล้วทำให้รู้สึกสบายใจ ความรู้สึกที่มีไม่เหมือนกับที่เธอมีให้กับยงฮวาแต่มันพิเศษมากกว่านั้น จะบอกว่าเธอแอบชอบจงฮยอนก็ได้ เธอชอบเขามาก ชอบมาตั้งแต่ตอนที่ได้พบเขาครั้งแรก
อินฮวาเป็นห่วงลูกสาว ที่ผ่านมาคนเป็นแม่เอาแต่โทษตัวเองที่ไม่มีโอกาสเลี้ยงดูและมอบความรักให้กับจูฮยอนอย่างที่ควรจะเป็น ถึงเนื้อความในพินัยกรรมจะทำให้จูฮยอนผิดหวังหรือยิ่งมีแต่จะทำให้เข้าใจผิดเธอมากขึ้น แต่คนเป็นแม่ไม่มีทางเลือก เพราะรู้อยู่แล้วว่าจูฮยอนไม่ชอบยงฮวาเอามากๆ เพราะฉะนั้นเธอจะต้องไม่ยอมแต่งงานกับเขาตามที่เธอต้องการ ส่วนยงฮวาถึงไม่เต็มใจแต่งแต่ถ้าจูฮยอนยื่นคำขาดว่าเธอยินดีที่จะแต่งงาน คนอย่างยงฮวาย่อมขัดใจขัดความต้องการของจูฮยอนไม่ได้แน่ๆ ดังนั้นสิ่งเดียวที่จะทำให้จูฮยอนยอมตอบตกลงแต่งงานก็เห็นจะเป็นสมุดบันทึกประจำวันและข้อผูกมัดแนบท้ายพินัยกรรมนั่นเอง
ที่ผ่านมาสิ่งที่จูฮยอนอยากรู้มากที่สุดก็คือ…เรื่องราวปัญหาระหว่างพ่อกับแม่ อินฮวาเขียนทุกอย่างไว้ในสมุดบันทึกทั้งหมด คนเป็นแม่คิดว่าระยะเวลาหนึ่งปีหลังจากนี้ถือเป็นการเตรียมตัวเตรียมใจ เธอหวังว่าจูฮยอนจะกล้าแกร่งมากพอเมื่อได้ล่วงรู้ความเป็นมาเป็นไปทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา
ยงฮวาเป็นคนเก่งเป็นคนดีที่เธอคิดว่าไม่มีวันทำร้ายหัวใจของเธอได้ นับวันที่จูฮยอนเริ่มเติบใหญ่ คนเป็นแม่ได้เห็นได้ฟังมามากมายจนนับจำนวนคนรักของลูกสาวไม่ไหว เธอเป็นห่วงกลัวว่าจูฮยอนจะถูกผู้ชายเลวๆหลอกให้ต้องช้ำใจเหมือนเธอที่ครั้งหนึ่งเคยไว้ใจและคิดว่าคนที่อยู่ด้วยกันเป็นคนดีที่ไม่มีวันทำร้ายเธอกับลูกได้ แต่สุดท้ายเขาก็ทำร้ายเธอ ทำร้ายทุกคนอย่างแสนสาหัส
ยงฮวานั่งหน้าเครียดบอกบุญไม่รับ ในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ของจูฮยอนถึงเขียนพินัยกรรมแบบนั้น ท่านระบุชัดเจนว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธไม่รับทรัพย์สมบัติได้ ถ้าเขาปฏิเสธก็เท่ากับว่าทั้งบ้านและทรัพย์สินทั้งหมด รวมไปถึงทุกคนที่เขาต้องรับผิดชอบจะต้องออกจากบ้านตัวเปล่า
จูฮยอนปรึกษากับพี่สาวทั้งสองคนด้วยความว้าวุ่นใจ ความจริงแล้วเรื่องทรัพย์สมบัติเธอไม่ติดใจเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เธอคิดว่ามันมีความสำคัญมากสำหรับเธอก็คือสมุดบันทึกประจำวันของแม่
“หนูอยากได้แค่สมุดบันทึกค่ะ หนูแค่อยากรู้ว่าพ่อกับแม่เลิกกันทำไม”
“ถ้าอยากได้สมุดบันทึก งั้นเราแค่แอบย่องเข้าบ้านคุณจงฮยอนก็ได้ เลือกตอนที่เขานอนหลับ หรือไม่ก็…ตอนที่เขาไม่อยู่บ้าน หรือไม่ก็…แอบดักตีหัวเลย”
แต่ละเรื่องที่มิยองคิดได้ทำให้แทยอนรู้สึกปวดหัว
“ถ้าทำอย่างเธอว่า พวกเราโดนจับเข้าคุกหมดแน่”
“งั้นทำไงดีคะ หนูไม่อยากแต่งงานกับหมอนั่นนะ อยู่กับคนแบบนั้นตั้งปีนึงชีวิตของหนูจะเป็นยังไงเนี่ย?” จูฮยอนทรุดนั่งลงกับพื้น อยากรู้เรื่องของแม่กับพ่อก็อยากรู้ แต่จะให้ทนอยู่กับคนอย่างยงฮวา เธอจะทนอยู่กับเขาได้ยังไง
“ไม่ต้องคิดถึงพวกพี่เลยนะ คิดถึงแต่ตัวเองพอ เราสองคนได้งานทำแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เงินของเธออีกแล้ว”
มิยองนั้นรู้สึกเสียดายทั้งเงินและโอกาสจนอยากจะเอ่ยปากพูดแย้ง แต่มานึกดูแล้วที่ผ่านมาแม่ของจูฮยอนดีกับพวกเรามาก ชีวิตในวัยเด็กของเธอกับแทยอนทั้งหนักหน่วงและยากลำบาก แต่เดิมทีมิยองมีบ้านอยู่ที่นิวยอร์ค พ่อแม่พาเธอมาเที่ยวเกาหลีตั้งแต่ยังเล็กมากแล้วโชคไม่ดีเกิดประสบอุบัติเหตุจนทำให้พ่อแม่เสียชีวิต มิยองในตอนนั้นมีอายุไม่ถึงสิบขวบ เธอได้รับบาดเจ็บ ซ้ำยังไม่มีญาติมาทำเรื่องรับไปเลี้ยงดู มารู้ภายหลังเมื่อไม่กี่ปีมานี้ว่าญาติๆเอาทรัพย์สมบัติของพ่อกับแม่ไปแบ่งกันและใช้ไปจนหมดแล้ว เธอต้องอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วก็มีแทยอนเป็นเพื่อน ด้วยความที่เราเด็กกว่าใครทั้งหมดจึงมักจะถูกกลั่นแกล้งเป็นประจำ ผู้ดูแลไม่เคยเหลียวแลหรือใส่ใจช่วยแก้ปัญหา โดนแกล้งหนักๆเข้าเมื่อทนไม่ไหวก็เลยพากันหนีออกมา ประจวบเหมาะกับที่บ้านหลังติดกับบ้านของจูฮยอนเป็นบ้านร้าง เธอกับแทยอนหลบซ่อนตัวอยู่ในนั้น แล้ววันหนึ่งก็ได้พบกับจูฮยอนด้วยความบังเอิญ
ทั้งมิยองและแทยอนต่างดีใจและรู้สึกขอบคุณที่แม่ของจูฮยอนมีน้ำใจคิดถึงพวกเธอ ที่เติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ล้วนมาจากความช่วยเหลือจากแม่ของจูฮยอนทั้งสิ้น หมดเวลาที่จะรบกวนท่านแล้ว ถ้าทางข้างหน้าพอจะมีที่ให้พวกเธอก้าวเดิน พวกเธอก็คงจะไปตามทางของตัวเองในสักวันหนึ่ง แต่อย่างน้อยๆถ้าจะไปก็คงไปต่อเมื่อแน่ใจว่าจูฮยอนจะไม่เหงา ไม่คิดถึงหรือไม่ต้องการพี่สาวอย่างพวกเธออีกแล้วจริงๆ
จูฮยอนพยายามที่จะคิดทบทวนอย่างรอบคอบ ถ้าเธอไม่ยอมแต่งงาน แทยอนกับมิยองก็จะไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินหรือได้รับทุนการศึกษา แถมยังพัวพันไปถึงจุนฮีและน้าของเธอด้วย ทุกคนจะต้องลำบากกันหมดถ้วนหน้า
“หนูจะลองตกลงกับเขาดูค่ะ ยังไงก็น่าจะต้องลองคุยกันก่อน” สิ่งที่จูฮยอนต้องทำก็คือไม่ให้คนอื่นต้องลำบากเพราะเธอ ยงฮวาเองเคยลั่นวาจาว่าเกลียดเธอ เราสองคนต่างก็ ‘เกลียด’ กันจูฮยอนคิดว่าเธอน่าจะต่อรองกับเขาได้
“ทำอะไรก็ได้ โดยที่ไม่ต้องคิดถึงพวกเรานะ พี่สองคน…โตแล้ว”
แทยอนไม่อยากเชื่อว่านั่นจะเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของมิยอง ถึงที่ผ่านมามิยองจะชอบพูดชอบคิดชอบทำแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่วันนี้เธอดีใจจริงๆที่เพื่อนคิดได้ เลือกที่จะคิดถึงเรื่องของตัวเองทีหลัง
“พี่โตแล้ว หนูก็โตแล้วด้วยเหมือนกัน อย่าห่วงเลยนะคะ หนูเอาตัวรอดได้แน่ๆ” จูฮยอนยิ้มกว้าง ถึงที่ผ่านมาเธอจะต้องสูญเสียทั้งความรักจากพ่อและแม่ แต่เธอโชคดีที่มีพี่สาวที่น่ารักถึงสองคนคอยอยู่ข้างๆ
…ฮวังมิยองกับคิมแทยอน คือพี่สาวที่พระเจ้าประทานให้กับเธอ
ยงฮวาตกใจที่อยู่ดีดีจูฮยอนก็เปิดประตูพรวดเข้ามาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง อยู่ดีดีเขาก็กลายเป็นคนขวัญอ่อน กลัวการตัดสินใจของจูฮยอนขึ้นมา
“นายยังเกลียดฉันอยู่ใช่ไหม?”
คำถามแรกทำเอายงฮวาถึงกับอึ้ง คล้ายว่าเส้นเอ็นรอบใบหน้าอาจจะกระตุกและหดตัวเร็วมากกว่าปกติ กว่าจะรู้สึกตัวว่าตัวเองพยักหน้ารับคำถามนั้นก็เล่นทำเอาใจสั่นไปหมด
“ฉันก็เกลียดนายเหมือนกันแหละ” จูฮยอนเชิดหน้าทำหยิ่ง จองยงฮวาเป็นผู้ชายหัวโบราณเรื่องมากที่สุดที่เธอเคยได้พบเจอ เมื่อเขายืนยันว่ายังคงเกลียดเธอเหมือนที่เธอเองก็เกลียดเขา จูฮยอนคิดว่าคงไม่เป็นไรถ้าการแต่งงานจะเป็นแค่เพียงสัญลักษณ์ ทุกอย่างไม่จำเป็นจะต้องสมจริง แค่ทำให้พอเป็นพิธี จบแล้วก็แยกย้ายกันไป แถมคนอื่นยังไม่ต้องเดือดร้อนวุ่นวายอีกด้วย
“ถ้าอย่างนั้น…พรุ่งนี้เราไปจดทะเบียนสมรสกัน”
“ฮะ! จะบ้าหรอคุณ”
“ฉันไม่ได้บ้า นายอย่าคิดหลงตัวเองว่าฉันพิศวาสนายนักหนา นายก็รู้ว่าฉันอยากได้แค่สมุดบันทึกของแม่ หลังเราจดทะเบียนกันครบหนึ่งปี ฉันยกสมบัติให้นายหมดเลยก็ได้ แค่ทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย นายก็อยู่ของนาย ฉันก็อยู่ของฉัน ต่างคนมีหน้าที่อะไรก็ทำไป ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย”
“คุณพูดง่ายไปแล้วนะ” จูฮยอนเอาแต่พูดๆในสิ่งที่เธอต้องการ เธอตัดสินไปเรียบร้อยแล้วว่าเขาอยากได้ทรัพย์สมบัติของเธอ ซึ่งเขาไม่เคยคิดแบบนั้นเลย
“ทำไม? ไม่พอใจหรอ นี่มันง่ายที่สุดแล้วนะ ทุกอย่างในห้องนี้ ทุกคำพูดที่เราสองคนพูดกันจะเป็นความลับ เรารู้กันแค่สองคน นายจะกลัวอะไร ฉันเป็นผู้หญิงแท้ๆยังไม่กลัวเลย พอหย่าจากนาย ฉันก็แค่กลับมาเป็นตัวเอง นายก็เหมือนกัน ไม่เห็นจะมีอะไรยากเลย ฉันยอมให้นายมีแฟนระหว่างนี้ด้วยก็ได้”
ที่พูดมาทั้งหมดทำให้ยงฮวารู้สึกซาบซึ้ง คล้ายว่าจูฮยอนจะใจกว้าง แต่ความจริงก็คือ เธอคงเสียดายแฟนคนปัจจุบันของเธอมากกว่า ที่บอกว่ายอมให้เขามีใครก็ได้ มันคือผลประโยชน์ของตัวเธอเองล้วนๆ
“ช่วยหาข้ออ้างที่มันดีกว่านี้หน่อยได้ไหม เช่นว่าต้องยอมแต่งงานเพราะกลัวว่าพี่สาวข้างบ้านของคุณจะไม่ได้เงิน หรือถ้าจะดูดีขึ้นมาอีกหน่อยก็คือกลัวจุนฮีกับน้าของคุณต้องลำบาก”
จูฮยอนโกรธจนอยากจะเต้น แต่เธอก็ต้องข่มใจเก็บระงับอาการ ยงฮวาพูดถูก นั่นล่ะคือเหตุผลที่แท้จริง
“จบนะ พรุ่งนี้เจอกันตอนบ่าย ตอนเช้าฉันลงตรวจแล้วจะรีบมา นายก็อย่าลืมนัดคุณจงฮยอนด้วย ฉันจะให้เขามาเป็นพยาน”
ยงฮวายืนตัวแข็งทื่อ เขาต้องสั่งตัวเองหลายครั้งให้นั่งลงคล้ายว่าสมองอาจจะกำลังเบลอเข้าขั้นโคม่า จูฮยอนพูดๆจบแล้วก็กลับออกไป ถ้าเธอไม่ทิ้งกลิ่นน้ำหอมเอาไว้ เขาอาจจะคิดว่าตัวเองฝันไปแล้วก็ได้
“ป้าครับ ทำไมถึงทำกับผมอย่างนี้ ป้าไม่สงสารผมบ้างเลยหรอ ลูกสาวป้าน่ะ…ผม…เราสองคนเข้ากันไม่ได้หรอกนะครับ” เวลานี้ยงฮวาอยากล้มตัวลงนอนแล้วไม่ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอีกเลย สิ่งที่เคยคิดว่าจะมีความสุข แท้จริงมันมีแต่ความวุ่นวายและความเจ็บปวดเต็มไปหมด ตอนที่รู้ว่าพ่อตัดสินใจแต่งงานใหม่ ตอนนั้นพ่อบอกว่าเขาจะได้มีแม่และมีน้องสาวที่น่ารัก เขายังจำได้อยู่เลยว่าสีหน้าของพ่อตอนนั้นดูมีความสุขมากแค่ไหน
หลังการตัดสินใจจูฮยอนถึงกับนอนไม่หลับ เธอพยายามปลอบตัวเองว่าแค่กระดาษแผ่นเดียวคงไม่ถึงกับทำให้ชีวิตของเธอต้องเปลี่ยนแปลงอะไรนัก ยงฮวาเองก็ไม่กล้าโต้แย้งอะไร ถึงเขาจะปากพล่อยชอบจิกกัดเธอบ่อยครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยขัดใจเธอเลย ถึงไม่อยากทำหรือไม่พอใจมากแค่ไหน เขาก็ต้องเป็นฝ่ายยอมทนเสมอ
คุณหมอซอจูฮยอนเกือบจะนั่งหลับสัปหงกแต่เธอก็ถึงกับหายง่วงเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นซูโฮมายืนอยู่ตรงหน้า
เราสองคนได้พบกันทุกวันที่งานศพของแม่ แต่เธอกลับไม่มีเวลาพูดคุยกับเขามากนัก
“เธอควรจะกลับบ้านไปนอนพักบ้าง”
“ฉันทำงานตามเวลาของฉันน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันชาร์ตแบตมาเต็มดีแล้ว”
ซูโฮส่งกาแฟร้อนให้ ขนาดแม่ตายแต่จูฮยอนก็ยังไม่ได้พักเลย เขาเป็นห่วงเธอมาก งานของจูฮยอนยุ่งมากเกินไปจริงๆ
“ฉันเป็นห่วงเธอนะ แล้วเรื่องวันนั้นฉันก็… ”
“ฉันขอโทษนะ แต่ฉันมาคิดดูแล้ว…ฉันคิดว่าเราสองคนกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะ”
แค่ได้มองสีหน้าและทีท่าของจูฮยอนในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ซูโฮคิดว่าเขารู้แน่อยู่แล้วว่าจูฮยอนจะต้องพูดแบบนี้ จูฮยอนไม่ใช่ผู้หญิงง่ายๆทั่วไป มองภายนอกเหมือนจะมีผู้ชายมาติดพันแทบจะตลอดเวลา แต่สุดท้ายเธอจะเป็นฝ่ายถอนตัวออกไปเองทุกที
“ถ้าเธอไม่สบายใจ เราแต่งงานกันเลยก็ได้ ฉันคิดยังไง เธอก็รู้อยู่แล้วนี่” ถ้าไม่รักคงไม่ยอมทนมาได้เป็นสิบปี ซูโฮรู้จักจูฮยอนดีและเขาก็รักเธอมากด้วย
“ฉันแต่งงานกับนายไม่ได้หรอก เพราะว่า…วันพรุ่งนี้ฉันจะไปจดทะเบียนสมรสกับจองยงฮวาเพราะหวังอยากได้สมบัติของแม่ครึ่งนึง ฉันบอกนายขนาดนี้แล้ว นายยังคิดอยากแต่งงานกับฉันอีกไหม?”
…!!
จูฮยอนรู้ตัวเสมอว่าเธอนิสัยไม่ดีเอาเสียเลย แต่เธอไม่อยากทำร้ายเพื่อน ไม่อยากให้ความหวัง ไม่อยากทำให้ซูโฮเจ็บมากไปกว่านี้ เธอผิดเองที่ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นอยู่เรื่อย เธอเสียใจทุกครั้งที่เห็นทุกคนต้องเสียใจกับการกระทำโง่ๆของเธอ
“เธอกำลังพูดเล่นอยู่ใช่ไหม จองยงฮวา เธอเกลียดเขาจะตาย ช่วยหาข้ออ้างที่มันสมเหตุสมผลหน่อยสิ”
ยงฮวาก็พูดแบบนี้ พวกเขาสองคนน่าเบื่อพอกัน ชอบตอกย้ำความรู้สึกนึกคิดของเธออยู่เรื่อย
“ฉันพูดเรื่องจริงนะ พรุ่งนี้ตอนบ่ายจะตามไปดูด้วยก็ได้ ฉันไม่ห้าม”
“จูฮยอน ถ้าเธออยากได้สมบัติก็แค่แต่งงานกับฉัน เธอก็รู้ว่าฉันมีพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าเธอต้องการหรืออยากได้อะไร ฉันให้เธอได้หมดทุกอย่างอยู่แล้ว”
จูฮยอนนั่งกุมขมับ ถ้าไม่เพราะว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เธอคงลุกขึ้นมาชกหน้าเขาแล้ว
“แม่นายสอนให้อวดร่ำอวดรวยแบบนี้หรอ? ถ้าจะพูดแบบนี้ ถอดรองเท้ามาตบหน้าฉันเลยเถอะ”
ยงฮวายืนจับเวลา อีกไม่เกินสิบนาทีจะบ่ายโมงตรง เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองจะต้องเป็นฝ่ายมายืนรอทั้งที่ใจไม่ได้นึกอยากจดทะเบียนสมรสกับจูฮยอนเลยด้วยซ้ำ
จูฮยอนมาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย ทันทีที่ตรวจคนไข้หมด เธอรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาลบคราบเครื่องสำอางออกจนหมดสิ้น เสื้อผ้าสวยเลิศเลอที่สวมใส่ เธอถอดออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ธรรมดาๆ แต่ครั้นจะเดินออกมาพบปะกับผู้คนทั้งที่ไม่ได้แต่งหน้า เธอก็ยังต้องไว้หน้าตัวเองด้วยการเอาผ้าคลุมไหล่มาคลุมผมปกปิดรอบใบหน้าโทรมๆของเธอเอาไว้
“คุณจงฮยอนล่ะ? เขามาหรือยัง?”
“….?”
อยู่ดีดีไม่รู้ว่าใครมาถามหาจงฮยอน แต่จะว่าไปแล้วน้ำเสียงของเจ้าหล่อนออกจะคุ้นหูมากเลยทีเดียว
“คุณ!” ยงฮวาแทบไม่อยากเชื่อสายตา จากซอจูฮยอนสวยครบเกินลิมิตในเวลาปกติ ตอนนี้สภาพที่ได้เห็นทำให้เขาพูดไม่ออกเลยจริงๆ
จูฮยอนก้มมองสำรวจตัวเองตามสายตาที่ยงฮวาจ้องมองมา เธอรู้ว่าตัวเองในตอนนี้น่าเกลียดมากแค่ไหน ความจริงแล้วเธอควรจะแต่งหน้าสักนิดหน่อยแต่ตอนนี้เธอคิดว่าสภาพนี้แหละเหมาะที่สุดแล้ว
“ฉันกลัวเจ้าหน้าที่จะจำฉันได้ คนที่นี่เป็นคนไข้ของฉันตั้งหลายคน คิดดูสิว่าถ้าพวกเขารู้ว่าฉันมาจดทะเบียนสมรสกับนาย ฉันจะเอาหน้าไปไว้ไหน?”
“นี่กลัวอายจนถึงขั้นต้องลงทุนขนาดนี้เลยหรอ?” ยงฮวาถามเสียงสูง
“ทำไมอ่ะ นายไม่อายหรือไง แบบนี้แหละดีแล้ว พอวันพรุ่งนี้ฉันแต่งตัวสวยไปทำงาน ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าวันนี้ฉันมาทำอะไร”
ยงฮวายืนกัดริมฝีปากตัวเองจนปากสั่น เขาเองก็เป็นผู้เสียหายเหมือนกัน ยังไม่คิดเยอะเหมือนเธอเลย
“ขอยืมแว่นกันแดดหน่อย ฉันลืมเอามา”
เธอมีผ้าคลุมผมผืนใหญ่จนเกือบจะห่มได้ทั้งตัวอยู่แล้ว แค่แว่นกันแดดอันเล็กๆ คงไม่ได้ช่วยอะไรนักหรอก
“แว่นผมก็อยู่กับคุณไง ผมไม่มีแล้ว คราวหน้าช่วยหยิบมาคืนด้วยนะ”
“ของแค่นี้ทำเป็นทวง นายกินข้าวฝีมือแม่ของฉันไปตั้งสิบกว่าปี คายออกมาเลย ถ้าคายออกมาไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาทวง” ร่างบางสะบัดหน้าเดินนำลิ่วไปก่อน ยงฮวาถอนหายใจก่อนที่จะก้าวเดินตาม นึกแล้วก็อดขำไม่ได้กับสภาพน่าเกลียดน่าชังของซอจูฮยอนในตอนนี้
“เด็กไม่รู้จักโต นี่รักษาคนไข้หายบ้างหรือเปล่าเนี่ย?”
จงฮยอนมาถึงก่อนและมารออยู่ด้านในนานแล้ว ทนายความหนุ่มมาจัดเตรียมสถานที่และเอกสารรอคนทั้งคู่ ถึงจูฮยอนจะเดินเข้ามาก่อน แต่เขากลับจำเธอไม่ได้
“คุณจงฮยอน ฉันมาแล้วค่ะ”
เห็นจงฮยอนยืนทำหน้าเหวอเหมือนไม่รู้จักกัน ยงฮวาซึ่งเดินตามมาก็ถึงกับกัดริมฝีปากกลั้นหัวเราะ
“นี่ฉันเอง คุณจำฉันไม่ได้หรอคะ?”
“อ่า…คุณ…คุณซอจูฮยอนเองหรอครับ?”
จูฮยอนรู้สึกเคืองที่จงฮยอนเอาแต่ทำตะลึงเหมือนไม่เคยพบเจอคนไม่ได้แต่งหน้า การแสดงออกของเขาทำให้เธอสูญเสียความมั่นใจไปไม่น้อย หากแต่ทันทีที่เห็นรอยยิ้มของคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง จูฮยอนก็ฝืนที่จะยืนกรานทำตามความตั้งใจของเธอต่อ
“ทำไมคะ ฉันดูน่าเกลียดมากจนจำกันไม่ได้เลยหรอ?”
“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ อาจเพราะผมไม่ชินมากกว่า”
“นายโกหกทำไม บอกไปเลยสิว่าซอจูฮยอนในตอนนี้ขี้เหร่มากจนรับไม่ได้”
แน่นอนว่าจงฮยอนไม่กล้าพูดตามยงฮวาหรอก จูฮยอนเองก็เช่นกัน เธอเลือกที่จะสงบปากสงบคำ ก่อนที่จะเดินถอยหลังตั้งใจกลับมาบดขยี้เท้าของยงฮวาแรงๆ จนทำให้เขาถึงกับร้องไม่ออก
“ถ้าพูดไม่เข้าหูอีกคำเดียว ฉันจะชกปากนาย พ่อคนหล่อ…ตาย”
**********************************100%**********************************
นี่ขนาดไม่ได้อยู่ด้วยนะคะ ยังขนาดนี้เลย
พยายามอยากให้มันดราม่าปนฮาค่ะ แต่ไม่รู้จะฮาขึ้นบ้างรึเปล่า
ฮาไม่ฮายังไง อย่าลืมคอมเม้นท์ให้ไรเตอร์ด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เพราะนึกไม่ออกว่าจะรักกุนได้ไง คู่กัด
ยงงงง แกนี่ปากอย่างใจอย่างอ่ะเปล่า
ลุ้นคะ รอติดตามทางออกของ 2 คนนี้
น้องซอจะดูวีนเหวี่ยง กับยงคนเดียวจริง ๆ
ยัยเด็กไม่รู้จักโต ของพี่ยง 555
ขอบคุณมากๆ คะ
เตรียมปูเสื่อ ขนม ผ้าห่ม หมอน รอหน้าจอเลย
ความวุ่นวายกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าแล้ว
ไรเตอร์สู้ๆ
ตะลึงนี้ทำยังกะน้องขี้เหล่มากนะนั้น
ยงจะจัดการกับซอได้หรือเปล่าเนี่ย
จริงๆเข้าใจเลยคะว่าคุณแม่น้องคงห่วงน้องซอมากและคิดว่ามีแต่ยง
ที่จะดูแลน้องได้ ถึงได้เขียนเงื่อนไขในพินัยกรรมอย่างนี้แน่ๆเลย
พี่จงจำไม่ได้นี่คือตลกค่ะ แต่อิยงนี่ไม่ชอบสาวปากแดงใช่ไหม
ปากกับใจไม่ตรงกัน จริงๆแล้วชอบสินะที่ซอไม่แต่งหน้า
ขอบคุณมากๆ ค่ะ