ตอนที่ 27 : Hate you, I hate you Chapter 26 :: Disclose [100%]

Hate you, I hate you Chapter 26
Disclose
ยงฮวานั่งชื่นชมแหวนบนเรียวนิ้วอย่างไม่อาจละสายตาไปจากมันได้ เขาดีใจและคาดไม่ถึงว่าจะได้รับสิ่งนี้จากจูฮยอน แหวนวงนี้มีค่ากับเขามาก ไม่แน่ใจด้วยว่าคืนนี้จะนอนหลับได้หรือเปล่า
“ไปเซ็นสัญญามา ทุกอย่างราบรื่นดีใช่ไหม?”
ยงฮวาเอาแต่นั่งมองแหวนจนไม่ได้ยินคำถาม พฤติกรรมบ้าเห่อนั่นทำให้จูฮยอนปลาบปลื้มก็จริง แต่เขาก็ทำให้เธอเขินมากด้วยเหมือนกัน
“นี่นาย…งานวันนี้ราบรื่นดีใช่ไหม?” จูฮยอนย่องเข้ามากระซิบถามที่ข้างใบหู ทำเอายงฮวาถึงกับสะดุ้งตกใจ
“เมื่อกี้นี้ถาม…ถามว่าอะไรนะ?”
จูฮยอนเบ้หน้าพร้อมกับถอนหายใจ ได้แหวนไปวงเดียวถึงขั้นไม่สนใจอะไรอื่น ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ
“ฉันถามว่า วันนี้การเซ็นสัญญาเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ดี ไม่มีอะไร” ยงฮวาก้มหน้าก้มตาพูดตอบ ยังคงเอาแต่ชื่นชมแหวนไม่หยุดหย่อน จนทำให้จูฮยอนเริ่มออกอาการหงุดหงิด
“รักแหวนมากกว่ารักฉันแล้วหรอ?”
ยงฮวาเงยหน้ากลับขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม จูฮยอนเปลี่ยนไปมากจนทำให้เขาหัวใจพองโตได้ทุกที สองแขนแกร่งฉุดรั้งร่างบางลงมานั่งข้างๆ เขาจ้องมองเธอตาหวาน คนอย่างจองยงฮวาจะรักแหวนมากไปกว่าคนที่เขารักได้ยังไง
“ผมรู้สึกยังไง คุณเองรู้ดีที่สุด แล้วคุณล่ะ รักผมได้บ้างหรือยัง”
จูฮยอนหันหน้าหนีไม่กล้าสบสายตา ทำขนาดนี้แล้วถ้าจะยังไม่รู้ เธอก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้วเหมือนกัน
“ฉันเกลียดนาย ผู้ชายซื่อบื้อ”
ยงฮวาใช้สองมือประกบสองแก้มนุ่ม ออกแรงบดขยี้เนื้อผิวแก้มนั้นอย่างเต็มรัก นี่หรือคือการกระทำของคนที่เกลียดกัน
“ผมไม่เชื่อหรอก”
“ก็แล้วแต่ ผู้ชายซื่อบื้อเอ้ย” จูฮยอนลอยหน้าทำยั่วยุ แต่ยงฮวากลับคิดว่าพฤติกรรมของเธอน่ารักไม่มีที่ติเลย
“เมื่อไหร่จะเรียกผมดีดีเสียที เรียกเหมือนที่เขียนในกระดาษโน้ตน่ะ น่ารักดี ผมอยากให้คุณเรียกแบบนั้น”
จูฮยอนส่ายหน้าทำดื้อดึง คล้ายว่าตัวเองอาจจะเสียศักดิ์ศรีหากยอมทำตามที่เขาต้องการ
“จริงสิ เกือบลืมเลย ฉันอยากรู้ว่าทำไมนายถึงได้กลัวเรือ? เคยโดนทิ้งไว้บนเรือเหมือนมินฮยอกด้วยหรือเปล่า?”
“คังมินฮยอก เขาเคยโดนทิ้งไว้บนเรืออย่างนั้นหรอ?” ยงฮวาย้อนถาม เขาแสดงออกว่าสนใจอยากรู้เรื่องนี้มากจนทำให้จูฮยอนรู้สึกประหลาดใจ
“ก็ประมาณนั้น แต่รายละเอียดอะไรฉันไม่รู้หรอกนะ แม้แต่มินฮยอกเองก็บอกว่าจำไม่ค่อยได้เพราะตอนนั้นเขายังเด็กมาก น่าจะยังไม่ถึงห้าขวบเลยด้วยซ้ำ”
ไม่ถึงห้าขวบ ยิ่งได้ฟังยงฮวาก็ยิ่งอยากรู้ว่าคังมินฮยอกเป็นใครมาจากไหน สาเหตุที่เขากลัวเรือ จะมาจากเรือลำเดียวกันหรือไม่ หรือว่าเขาจะแค่เป็นหนึ่งในครอบครัวผู้ร่วมเดินทางของเขาในตอนนั้น
“เขามีพ่อแม่ หรือว่าพี่น้องไหม?”
“ก็บอกอยู่ว่าเขาถูกทิ้งเอาไว้บนเรือตั้งแต่ยังเล็กมาก ถ้าเขาจำได้ เขาคงไม่ประกาศตามหาพ่อแม่ของตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้หรอก”
“เขา…นี่เขาประกาศตามหาพ่อแม่ของตัวเองด้วยหรอ?”
“นายไปอยู่ไหนมา มินฮยอกประกาศตามหาพ่อแม่ของเขาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว แต่ว่าก็ยังเงียบมาจนถึงตอนนี้ ถ้านายพอจะรู้จัก หรือได้พบใครที่น่าจะร่วมชะตากรรมเดียวกันกับเขาในตอนเด็ก ก็บอกฉันได้นะ ที่ผ่านมาจองชินช่วยรักษาเขาอย่างเต็มที่ แต่ติดตรงที่ว่าเขาจำอดีตไม่ได้นี่แหละ ก็เลยยังเป็นปัญหาอยู่”
จงฮยอนถือโอกาสพาจุนฮีมากินข้าวที่บ้าน หลังจากพาเธอไปเยี่ยมชเวซองอึนที่โรงพยาบาลมาเรียบร้อยแล้ว
เห็นลูกชายพาผู้หญิงเข้าบ้านมาเป็นครั้งแรก อีกทั้งสาวน้อยคนนี้ยังไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน คนเป็นพ่อก็เอาแต่ยิ้มดีใจ อารมณ์ดีมีความสุข แอบคาดหวังว่าตนจะได้เห็นลูกชายคนเดียวแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาก่อนที่จะตาย
“ทานเยอะๆนะครับพ่อ ผมช่วยตักให้” จงฮยอนเอาอกเอาใจผู้เป็นพ่อไม่มีขาดตกบกพร่อง ทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มของท่าน เขาก็จะรู้สึกเขินทุกที
“ตักให้คุณหนูจุนฮีด้วยสิ วันนี้ลุงดีใจมากที่คุณหนูมาเที่ยวบ้านของเรา คราวหน้ามาอีกบ่อยๆได้เลยนะ ถ้าคุณหนูมาบ่อยๆ จงฮยอนคงจะมีความสุข”
จุนฮียิ้มกว้างรับคำเชื้อเชิญ อยู่ดีดีจงฮยอนก็ชวนมากินข้าวที่บ้านของเขาอย่างไม่ทันได้เตรียมใจมาก่อน เธอทั้งตื่นเต้นและรู้สึกกังวลไม่น้อย แต่เป็นเพราะพ่อของจงฮยอนดีต่อเธอมาก ความกังวลที่มีก็เลยลดน้อยลงไปได้มากพอสมควร
“คุณลุงชอบทานอะไรเป็นพิเศษบ้างคะ คราวหน้าหนูจะมาทำอาหารให้คุณลุงทานเอง”
เห็นจุนฮีพูดคุยกับพ่อของตนอย่างน่ารัก และบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ราบรื่นมากจนมีแต่รอยยิ้ม จงฮยอนก็ยิ่งพอใจ และรู้สึกว่าตัวเองคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจพาจุนฮีมาที่บ้าน
หลังจบจากมื้ออาหาร จงฮยอนรับอาสาพาจุนฮีเดินเล่นรอบตัวบ้าน บ้านหลังนี้เป็นบ้านสร้างใหม่บนที่ดินเดิมและเพิ่งจะย้ายกลับเข้ามาอยู่ได้ไม่นาน เหตุก็เพราะบ้านหลังเก่าที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่เด็กทั้งเก่าและโทรมมากแล้ว บวกกับพ่อของจงฮยอนเดินไม่ได้ เขาจึงอยากได้บ้านหลังใหม่ที่มีการออกแบบให้พ่อของเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น สังเกตได้ว่าในบ้านจะมีทั้งลิฟต์ไฟฟ้าและทางลาดชันสำหรับให้รถเข็นขึ้นลงได้อย่างสะดวกสบาย
“บ้านสวยจังค่ะ น่าอยู่มากเลยด้วย คุณลุงคงจะมีความสุขมาก”
ไม่ใช่แค่พ่อหรอกที่มีความสุข เขาเองก็มีความสุขด้วยเหมือนกัน
“ปกติถ้าพี่ไปทำงาน พ่อก็จะอยู่บ้านกับพยาบาลพิเศษ พอพี่กลับมาท่านก็จะบ่นว่าพยาบาลพูดน้อยไปบ้าง พูดมากไปบ้าง ทุกคนต่างบ่นว่าท่านจุกจิกจู้จี้ แต่กับเธอ…ดูท่านจะอารมณ์ดีตลอดเลยแถมยังดูใจดีอย่างเหลือเชื่อ เพราะฉะนั้นถ้ามีเวลา เธอจะต้องมาที่นี่บ่อยๆ พ่อของพี่จะได้อารมณ์ดียังไงล่ะ” จงฮยอนชักแม่น้ำทั้งห้า คาดหวังให้จุนฮีมาบ้านของเขาอีก และจุนฮีเองก็เหมือนจะเข้าใจในความต้องการของเขาดีมากเสียด้วย
“ปกติแล้ว…เคยพาคนอื่นมาบ้างไหมคะ? ก่อนหน้าที่ฉันจะมาที่นี่ พี่พาผู้หญิงมาหาคุณลุงกี่คนแล้ว?”
จงฮยอนแกล้งยืนนับนิ้ว ทำเอาจุนฮีถึงกับใจแป้ว เธอคาดหวังว่าตัวเองน่าจะเป็นคนแรก ไม่คิดว่าอย่างจงฮยอนจะมีผู้หญิงคนอื่น หรือมีคนที่คุยด้วยนอกไปจากเธอ
“มีแต่พยาบาล จะให้นับด้วยไหม? หลายคนมาก พี่จำไม่ค่อยได้หรอก แล้วแต่ว่าพ่อจะถูกใจใครมากเป็นพิเศษ แต่สงสัยว่าจากนี้เธอคงจะต้องมาที่นี่บ่อยๆแล้วล่ะ”
“หมายความว่า…ฉันเป็นคนแรกที่พี่พามาที่นี่งั้นหรอคะ?”
“อื้ม ก็ใช่น่ะสิ เธอเป็นผู้หญิงคนแรก ที่ทำให้พ่อของพี่มีความสุขด้วย” จงฮยอนขยับตัวเข้ามากระซิบบอกใกล้ๆ ไม่ว่าไปเยี่ยมแม่ของเธอกี่ครั้ง จุนฮีก็จะต้องได้พบกับความผิดหวังเสมอ ถึงแม้ก่อนหน้านั้นจะไม่เคยพูดอะไรเลย แต่วันนี้ชเวซองอึนกลับเอาแต่มองหน้าจุนฮีแล้วพูดชื่อซอแจวันออกมา
“พอที่จะ…สบายใจได้บ้างหรือยัง?”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ” จุนฮียิ้มรับ เธอรู้ว่าจงฮยอนหวังดี และอยากทำทุกอย่างให้เธอสบายใจ หากแต่ทุกครั้งที่คิดถึงแม่ เธอก็จะรู้สึกเศร้าทุกที
“พี่รับหน้าที่ทนายความประจำบ้านของฉันมานับตั้งแต่พี่เรียนจบ นอกจากคำสั่งเสียจากคุณป้าอินฮวาแล้ว ท่านได้บอกอะไรกับพี่อีกบ้างหรือเปล่าคะ?”
“….” จงฮยอนขมวดคิ้ว แต่ไหนแต่ไรมา จุนฮีไม่เคยถามอะไรทำนองนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถามคำถามแบบนี้ มันฟังดูแปลกมากเลยทีเดียว
“ถ้าเธอสงสัยอะไร ก็ถามพี่เลยดีกว่า ถ้าถามกว้างแบบนั้น พี่คงตอบเธอไม่ได้แน่ๆ”
“เกี่ยวกับพ่อของฉันค่ะ ฉันอยากรู้ว่าพ่อของฉันเป็นใคร?”
จงฮยอนตกใจจนหน้าถอดสี แต่เขาก็พยายามที่จะปั้นหน้านิ่ง ถึงจะรู้คำตอบแต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ตนจะสามารถพูดได้
จุนฮีแน่ใจว่าจงฮยอนจะต้องรู้ เธอเองถึงที่ผ่านมาจะพยายามลืม แต่สุดท้ายทุกอย่างที่ได้รับรู้กลับทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว กลัวว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายถูกเกลียดชังเข้าสักวัน
“นานแล้วค่ะ ฉันเริ่มดูแลแล้วก็เป็นฝ่ายรับฟังแม่มาตั้งนานแล้ว แม่บอกว่า…ฉันเป็นลูกสาวของท่านกับ…พ่อของพี่จูฮยอน แต่ว่าตอนนั้นฉันไม่เชื่อเลย จนถึงตอนนี้ฉันก็ไม่เชื่อด้วยเหมือนกัน ไม่จริงใช่ไหมคะ แม่ก็แค่เพ้อไปเรื่อยเปื่อย ทุกอย่างที่แม่พูดออกมา มันไม่จำเป็นจะต้องเป็นความจริงไปหมดทุกเรื่อง ใช่ไหมคะ?”
ร่างเล็กสั่นระริกจนทำให้จงฮยอนต้องช่วยปลอบประโลมด้วยความอบอุ่นจากอ้อมแขนแกร่ง สีหน้าใสซื่อและแววตาแสนเศร้าที่จุนฮีแสดงออก แท้ที่จริงแล้วคงอาจเป็นเพราะเธอซึมซับหลายเรื่องราวจากคำบอกเล่าของผู้เป็นแม่เอาไว้ก็เป็นได้
“อย่าคิดอะไรมากเลย บางเรื่องถึงได้รู้ไปเราก็คงทำอะไรไม่ได้”
“แต่ฉันกลัวว่าถ้ามันเป็นเรื่องจริง แล้วพี่จูฮยอนจะต้องโกรธแล้วก็เกลียดฉันมากแน่ๆ”
ได้รับคำยืนยันเองกับหูทำเอาซูโฮหัวใจแตกสลายจนต้องชุบหัวใจให้กลับฟื้นคืนชีวิตด้วยเครื่องดื่มมึนเมา
แทยอนกับมิยองไปไหนไม่ได้ ต้องช่วยกันนั่งเฝ้าท่านประธานของพวกเธอ เหตุก็เพราะกลัวว่าซูโฮจะเมาแล้วก็อาจจะก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาอีก
“พอได้แล้วนะซูโฮ เธอดื่มมากเกินไปแล้วนะ ไปกลับเถอะ เดี๋ยวพวกพี่ไปส่งเธอเอง”
“ไม่ครับ เท่านี้ยังไม่พอหรอก พี่ไม่รู้อะไรหรอกว่าตอนนี้ผมเหมือนคนตายที่กำลังจะกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่”
มิยองหันมองหน้าแทยอนแล้วต่างก็พากันส่ายหน้าเอือมระอา พวกเธอได้พบซูโฮเมื่อช่วงบ่ายๆ ตอนนั้นเขาเอาแต่เศร้าซึม ปิดห้องทำงานเงียบไม่ให้ใครเข้าไปรบกวน พอออกจากห้องทำงานมาได้ก็เอ่ยปากชวนให้พวกเธอสองคนมาที่นี่ด้วยกัน
“จูฮยอนบอกเลิกเธอไปตั้งนานแล้วนะ ป่านนี้แล้วยังจะเสียใจอีกหรอ?” มิยองถามขึ้นด้วยความเหนื่อยหน่าย อันที่จริงแล้วในสายตาของมิยอง ทั้งจูฮยอนและซูโฮต่างก็เป็นเด็กไม่รู้จักโตด้วยกันทั้งคู่ แต่ซูโฮหนักกว่าจูฮยอนมากหลายเท่าตัว
“ใช่ครับ ผมไม่ควรที่จะมาเสียใจอีกแล้ว แต่ที่ผมเสียใจวันนี้มันเป็นเพราะ…เพราะจูฮยอนบอกว่าเธอจะไม่หย่ากับนายยงฮวาเพราะว่า…เธอรักเขา”
“อะไรนะ!?” แทยอนกับมิยองร้องอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ พวกเธอสองคนมือสั่นไปหมด จะเป็นไปได้ยังไงที่จูฮยอนจะทำอย่างนั้น
“ผมไม่ได้พูดมั่วนะพี่ จูฮยอนน่ะ เปลี่ยนไปแล้ว เธอรักหลงไอ้บ้านั่นจนตาบอด คนอย่างยงฮวามันมีดีอะไร ทำไม…จูฮยอนถึงได้ชอบคนอย่างมัน?” ซูโฮพร่ำเพ้อทั้งน้ำตา ขณะที่สองสาวทำได้แค่นั่งอึ้งพูดไม่ออก เธอเชื่อว่าซูโฮไม่พูดมั่วๆแน่ ทุกครั้งที่ซูโฮเมา เขามักจะเผยความในใจออกมาจนหมดเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
….
จูฮยอนได้รับโทรศัพท์ในช่วงหัวค่ำ แทยอนโทรมาขอร้องให้เธอไปช่วยพาซูโฮกลับบ้านเพราะว่าตอนนี้เขาเมามาก
ยงฮวาอ่านเกมออกเพราะได้ยินเสียงแทยอนดังเล็ดลอดออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเมื่อไหร่ซูโฮจะโตเป็นผู้ใหญ่ให้สมกับตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาเสียที เมาทีไรเป็นต้องมีเรื่องตลอด
“ฉันออกไปเดี๋ยวเดียว แล้วจะรีบกลับมา”
“ผมจะไปกับคุณด้วย”
“….” ได้มองแววตาของเขาแล้วจูฮยอนรู้ดีว่าเป็นเรื่องยากหากจะห้ามไม่ให้เขาตามติดเธอไปด้วย
“ไม่เหนื่อยใช่ไหมล่ะ?”
“….” ยงฮวาส่ายหน้า ต่อให้ความจริงแล้วจะเหน็ดเหนื่อยหรืออ่อนเพลียแค่ไหน เขาก็จะไปกับเธอเสมอ
“ก็ได้ ไปด้วยกันจะได้กลับด้วยกัน”
ทั้งสองคนเดินจูงมือพากันออกจากบ้าน ยงฮวาไม่สามารถปล่อยจูฮยอนไปเพียงลำพังได้ ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไปกับเธอทุกที่
ตลอดทางจูฮยอนเล่าเรื่องความเป็นอยู่ของเธอในตอนที่ถูกส่งตัวไปเรียนหนังสือที่อังกฤษ ตอนนั้นเธอยังเด็กมากแล้วก็เพิ่งจะเสียพ่อไปยังไม่ถึงสองสัปดาห์ เธอเหงาแล้วก็เควิ้งคว้าง คิดว่าแม่ไม่รักถึงได้ผลักไสเธอออกมา
“ซูโฮเป็นเพื่อนคนแรก ถึงแม้ตอนนั้นเราจะต่างเป็นเด็กด้วยกันทั้งคู่ แต่เขาก็ดูแลฉันเป็นอย่างดี เราสองคนมีช่วงเวลาที่สนุกสนานด้วยกันเยอะมากๆ ไม่ต่างไปจากเพื่อนทั่วไปนักหรอก”
“แล้วทำไม…ถึงยอมเลื่อนขั้นคบเขาเป็นแฟนล่ะ?” ยงฮวาย้อนถาม ในความคิดของเขา ซูโฮทั้งเด็กและเป็นผู้ชายไม่เอาไหนแล้วก็ไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย เขากล้าพูดโกหกบอกว่าจูฮยอนเป็นของเขา ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ไม่รู้ว่านอกไปจากเขาแล้ว ซูโฮเคยไปพูดแบบนี้กับใครอีกหรือเปล่า
“แล้วทำไมนายถึงตัดสินใจคบกับคริสตัลล่ะ?”
“….” พอเป็นฝ่ายถูกถามบ้าง ยงฮวาก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ตรงไหน
“แต่ละคนมีเหตุผลไม่เหมือนกันหรอก บางทีมันก็แล้วแต่ช่วงเวลาหรือโอกาส คบกันได้ก็อยู่ต่อ คบกันแล้วไม่รอด ทุกอย่างมันก็จะจบลงเอง”
“พูดเหมือนคนมีประสบการณ์เยอะเลยนะ” เขาแอบจิกกัดเธอเล็กๆ
“แน่นอนสิ ถ้านับจำนวน ยังไงฉันก็ชนะเห็นๆ”
“นี่ยังจะกล้าคุยอีกหรอ ถ้าเป็นผมนะ ผมจะนั่งเงียบๆ แล้วก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย”
จูฮยอนมองค้อน แต่สุดท้ายก็ต้องยิ้มจนหน้าแดงเมื่อมือข้างหนึ่งถูกยงฮวาฉวยมาเกาะกุมไว้
“เวลาขับรถ ต้องขับสองมือสิ เดี๋ยวก็เกิดอุบัติเหตุหรอก”
ถึงจะยอมปล่อยมือ แต่ยงฮวาก็ไม่ได้ปล่อยหัวใจ เขาอยากมีเวลาอยู่กับจูฮยอนเยอะๆ อยากให้เธอทำตัวน่ารักว่านอนสอนง่ายแบบนี้ทุกวัน
“ผมอยากให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ซูโฮควรจะรู้ได้แล้วว่าเขาไม่ควรทำตัวแบบนี้อีก เพื่อนจะต้องรู้จักขอบเขตของคำว่าเพื่อน ไม่ใช่เอามาปนกันมั่วแบบนี้”
“ฉันรู้น่า ฉันจะพยายามพูดกับเขาดูใหม่ เมื่อตอนกลางวันนึกว่าคุยกันรู้เรื่องแล้วซะอีก”
ยงฮวาหันขวับมาจ้องหน้าจูฮยอนไม่กะพริบตา ที่เธอพูดมาเมื่อครู่นี้หมายความว่ายังไง
“อะไร…เมื่อตอนกลางวันไปเจอหมอนั่นมาด้วยหรอ?”
ยงฮวารับอาสาแบกซูโฮมาส่งถึงเตียงนอน คราวนี้มิยองกับแทยอนไม่ได้แยกตัวกลับไปก่อน แต่พวกเธอสองคนขอตามติดจูฮยอนกับยงฮวามาบ้านของซูโฮด้วย
นาฬิกาเรือนที่อยู่บนข้อมือของยงฮวาชี้ชัดทุกอย่าง ตอนนี้คำพูดของซูโฮสอดคล้องกับสิ่งที่พวกเธอทั้งสองคนเคยได้ไปเห็นมาด้วยทั้งสองตา นาฬิกาข้อมือผู้ชายเรือนที่อยู่ในห้องนอนของจูฮยอนเป็นของยงฮวาจริงๆ
“กลับกันเถอะค่ะ ดึกมากแล้ว” จูฮยอนชวนพี่สาวทั้งสองคนกลับพร้อมกับออกปากว่าจะให้ยงฮวาขับรถไปส่งถึงที่พัก หากแต่แทยอนกับมิยองกลับพากันนั่งเฉยไม่ยอมลุก
“โกรธที่หนูบอกให้ซูโฮเลิกจ่ายโบนัสหรอคะ ก็มันไม่ถูก หนูก็เลย… ”
“ช่างเถอะ ไม่ต้องอธิบายแล้ว เรื่องนั้นพวกเราเข้าใจเธอดี” แทยอนดึงมิยองลุกขึ้นมาอย่างปั้นปึ่ง จะบอกว่าโกรธก็คงโกรธ พวกเธอสองคนรู้สึกเคืองมากที่จูฮยอนไม่ยอมปริปากบอกอะไรพวกเธอเลย ไม่ว่าจะถามกี่ครั้งก็โกหกกลับมาตลอดว่าไม่มีอะไร
“ไม่ ฉันจะยังไม่ยอมกลับแน่ อธิบายมาสิว่าระหว่างเธอกับยงฮวา มันเป็นยังไงกันแน่” มิยองโพล่งออกมาอย่างเหลืออด ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง วันนี้พวกเธอสองคนจะต้องรู้เรื่องทั้งหมดให้ได้
“….” จูฮยอนหันมองสบสายตากับคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ลองพี่ๆพูดขึ้นมาแบบนี้ เธอคิดว่าซูโฮคงพูดเรื่องของเธอไปแล้วอย่างแน่นอน
“ซูโฮ…บอกอะไรกับพี่สองคนบ้างหรอคะ?”
“ก็พูดหมดเลยนั่นแหละ บอกว่าเธอจะไม่หย่า เพราะว่าเธอรัก…รักจองยงฮวา”
คนถูกชี้หน้ายืนสะดุ้งตกใจ ไม่คิดว่ามิยองกับแทยอนจะรู้ทุกอย่างรวดเร็วอย่างนี้ แต่พวกเธอรู้แล้วก็ดีเหมือนกัน จากนี้เขาจะได้ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ ทำตัวเหมือนกิ๊กของจูฮยอนอีก
“คืออย่างนี้ค่ะ…ฉันอธิบายได้นะคะ”
“งั้นก็อธิบายมาเลย ว่าระหว่างเธอกับยงฮวา เป็นยังไงกันแน่?” มิยองถามย้ำ ขณะที่แทยอนเอาแต่ยืนจ้องมองนาฬิกาข้อมือของยงฮวาไม่กะพริบตา
“ก็ไม่ยังไงหรอกค่ะ คือหนูก็แค่… ” จูฮยอนมือไม้สั่น เอาแต่ยืนกุมมือแน่น กลัวว่าพี่สาวทั้งสองคนจะโกรธ
ยงฮวาก้าวขึ้นมายืนอยู่เคียงข้าง ก่อนที่จะจับมือของจูฮยอนเอาไว้แน่น ถ้าเธอไม่คิดที่จะปิดบังเรื่องของเราอีกแล้ว เขาก็พร้อมที่จะแสดงความรักต่อเธอในทุกเมื่อ
“อย่าโกรธจูฮยอนเลยนะครับ ความจริงแล้วเธอกลุ้มใจแล้วก็เครียดมาก เพราะไม่รู้ว่าจะบอกกับพวกคุณสองคนยังไง”
“ก็เลยปิดบัง ทำตัวหลบๆซ่อนๆ เล่นละครตบตาเราอย่างนั้นหรอ?” แทยอนถามขึ้นมา ถามว่าโกรธจูฮยอนแค่ไหน พวกเธอโกรธยงฮวามากกว่าร้อยเท่า เขาเป็นผู้ชายแต่กลับเลือกที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเลยตามเลย ทำเหมือนไม่ให้เกียรติจูฮยอนเลยแม้แต่นิดเดียว
“คือหนูไม่ได้ตั้งใจค่ะ แต่หนูก็แค่ไม่พร้อม”
“ไม่พร้อมจนให้พวกเรามารู้ทีหลังงั้นหรอ เธอเห็นพี่สองคนเป็นคนอื่นไปแล้วสินะ” แทยอนกัดฟันถามด้วยความผิดหวัง ความจริงแล้วมันก็ไม่ผิดหรอกหากจูฮยอนจะทำอย่างนั้น เธอลืมไปว่าจูฮยอนโตมากแล้ว เธอโตมากพอที่จะเลือกทางเดินเองได้แล้ว
“เปล่านะคะ หนูไม่ได้คิดแบบนั้น หนูไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นเลย” จูฮยอนแย้งทั้งน้ำตา ที่ปิดบังก็แค่ไม่พร้อม ที่ไม่บอกก็เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน
“อย่าโกรธจูฮยอนเลยนะครับ ถ้าจะโกรธก็โกรธผมแทนแล้วกัน”
ยิ่งเขาออกรับแทนทำตัวเป็นพระเอกผู้แสนดี แทยอนกับมิยองก็ยิ่งหมั่นไส้คุณน้องเขยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขานี่แหละตัวดีที่สุด ไม่รู้เขาทำยังไงหรือหว่านล้อมจูฮยอนแบบไหน ทุกอย่างถึงได้ลงเอยแบบนี้
“นาย…ทำเสน่ห์ใส่จูฮยอนใช่ไหม?”
ยงฮวาถึงกับสะดุ้งโหยง ไม่อยากเชื่อว่ามิยองจะคิดแบบนี้
“จะบ้าหรือไงคุณ กรุณาอย่ากล่าวหากันแบบนี้นะครับ มันไม่สร้างสรรค์เลย”
“แล้วนายล่ะ สิ่งที่นายทำมันสร้างสรรค์ยังไงไม่ทราบ?” คราวนี้แทยอนเข้าข้างเพื่อนรักของเธอเต็มประตู
“แล้วผมผิดตรงไหน ผมจดทะเบียนสมรส เข้าพิธีแต่งงานประกาศตัวเป็นสามีของจูฮยอนอย่างถูกต้องทุกอย่าง มันแปลกมากหรอครับที่ผมกับจูฮยอนจะรักกัน”
‘รักกัน’ คำคำเดียวทำให้มิยองกับแทยอนถึงกับแทบจะลงไปดิ้นกับพื้น
“จูฮยอน…บอกพี่สิว่าไม่จริง!?”
“….” ยิ่งน้องสาวทำอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดตอบ แทยอนกับมิยองก็ยิ่งลมแทบจับ
เหมือนว่าการยอมรับความจริงจะเป็นสิ่งที่ดีเพราะจากนี้ต่อไปเราสองคนก็จะได้ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ แล้วยงฮวาก็จะได้ไม่ต้องน้อยใจกับเรื่องพวกนี้อีก ตอนนี้เรื่องเดียวที่ทำให้จูฮยอนต้องเป็นทุกข์ก็คือเรื่องของพี่สาวทั้งสองคน
“พี่แทยอนกับพี่มิยองจะต้องโกรธมากแน่ๆ”
ยงฮวาทาบทั้งสองมือไล้แก้มนุ่มก่อนที่จะบีบเบาๆเป็นการปลอบโยน เขาเชื่อว่าถึงแม้สองคนนั้นจะโกรธ แต่ก็คงโกรธได้ไม่นานนักหรอก
“ไหนคุณบอกเองว่าไม่มีใครเข้าใจคุณได้มากเท่าสองคนนั้นอีกแล้ว ถ้าพวกเธอเข้าใจและหวังดีกับคุณจริงๆ พวกเธอก็จะต้องรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุด”
จูฮยอนจ้องหน้ายงฮวาอย่างตัดรอน เขากำลังจะบอกว่าเธอคือสิ่งที่เขาต้องการที่สุด คนอย่างจองยงฮวามั่นใจได้มากกว่าที่เธอเคยคิด แต่ก็อาจจะจริงเพราะเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้เปิดใจยอมรับเขาเข้ามาอย่างง่ายดายแบบนี้ กว่าจะรู้ตัวอีกที เธอก็ถอนตัวไม่ได้เสียแล้ว
“คิดว่า…พี่ๆจะโกรธไม่นานจริงๆหรอ”
“อื้ม เชื่อผมเถอะ สองคนนั้นน่ะ ไม่มีทางโกรธคุณนานหรอก คนที่มีความรักเหมือนๆกัน จะต้องเข้าใจคนที่มีความรักได้ดีอยู่แล้ว”
จูฮยอนรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกต้อนให้ยอมรับความรู้สึกที่พยายามเก็บซ่อนเอาไว้ ความรักงั้นหรือ? เธอไม่เคยวิ่งหนีมันเลยด้วยซ้ำ ทุกวันนี้เธออยู่กับคนที่เธอรักตลอดเลย
“คราวนี้ ฉันจะลองเชื่อนายดูนะ”
ยงฮวายิ้มกว้างก่อนที่จะจูงมือพาจูฮยอนออกจากลิฟต์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขาจะอยู่กับเธอเสมอ ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ เขาก็จะไม่ทอดทิ้งเธอไปไหน
ซูโฮลืมตากลับขึ้นมานั่งเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่าง จูฮยอนบอกว่านั่นคือความรักอย่างนั้นหรือ ถึงตายเขาก็ไม่มีทางเชื่อ คนที่เกลียดกันมาตั้งแต่เด็กจะมารักกันได้ยังไง จูฮยอนต้องกลายเป็นเด็กบ้านแตกก็เพราะจองยงฮวากับพ่อ ไม่มีใครรู้จักจูฮยอนดีมากไปกว่าเขา สิ่งที่จูฮยอนรู้สึกในตอนนี้มันไม่ใช่ความรัก แต่เป็นเพราะเธอกำลังหลงหมอนั่นต่างหาก
“เธอถูกหมอนั่นมันหลอกแล้วล่ะ ฉันจะพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าคนอย่างจองยงฮวาไม่มีทางรักเธอจริงๆหรอก”
จุนฮีออกมารับพี่สาวพี่ชายกลับเข้าบ้าน เธอกลับมาถึงได้พักใหญ่แล้วแต่กลับพบว่าพวกเขาสองคนไม่อยู่ในบ้าน จงฮยอนก็เลยรับอาสาอยู่เป็นเพื่อนจนกว่ายงฮวาและจูฮยอนจะกลับมา
“นายมากับจุนฮีหรอ?”
“ไม่ใช่ครับ ผมแค่บังเอิญผ่านมา” จงฮยอนแก้ตัวพร้อมกับรอยยิ้มปนทะเล้น ซึ่งมันไม่แนบเนียนเลย ทั้งยงฮวากับจูฮยอนรู้ดีว่าเขาจะต้องตั้งใจมาที่นี่แน่ๆ
“จะอยู่ทานมื้อค่ำก็ได้นะคะ ฉันขอตัวก่อน” พูดจบจูฮยอนก็ขอแยกตัวกลับขึ้นห้องพัก เท่าที่สังเกตดูจากทีท่าของจงฮยอนแล้ว ยงฮวาคิดว่าจงฮยอนคงจะยังไม่เข็ด เขาจะกินได้แน่หรือในเมื่อกับข้าวที่มีอยู่ในตอนนี้เป็นฝีมือของจูฮยอนล้วนๆเลย
“กลับบ้านเลยก็ได้นะ จุนฮีจะได้รีบไปอาบน้ำนอน”
“นี่ก็ยังไม่ค่ำเท่าไหร่เลย ผมขอกินข้าวอีกสักมื้อ แล้วค่อยกลับแล้วกันนะครับ”
ในเมื่อพยายามช่วยทางอ้อมแล้ว แต่จงฮยอนไม่รู้ฟัง เพราะฉะนั้นจากนี้ยงฮวาคงทำได้แค่ปล่อยผ่านสถานเดียว
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ”
จูฮยอนทดลองส่งข้อความหาพี่สาวทั้งสองคนแต่ผลตอบรับก็คือความเงียบ ทั้งแทยอนและมิยองไม่ได้อ่านและไม่ได้ตอบข้อความกลับมา
เห็นเธอยังคงเอาแต่หมกมุ่นไม่สบายใจ ยงฮวาก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
“ทำใจให้สบายๆ เดี๋ยวพอเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง” เขาแย่งเอาโทรศัพท์ในมือของจูฮยอนมาเก็บใส่ลิ้นชัก วันนี้เป็นหยุดของคุณหมอแท้ๆ แต่ทั้งวันมาจนถึงตอนนี้ จูฮยอนยังไม่ได้พักเลย
“ไปอาบน้ำ จะได้รีบเข้านอน”
“ไม่เอา เมื่อยตรงนี้ นวดให้หน่อยสิ” จูฮยอนชี้มาที่ขมับของเธอ ในหัวของเธอมีแต่อะไรก็ไม่รู้ เธอรู้สึกอ่อนล้าและเหนื่อยมากจริงๆ
“ไหนขอดูหน่อยสิ”
ยงฮวาใช้ปลายนิ้วกดคลึงแผ่วเบา ตามด้วยประทับจุมพิตลงบนหน้าผากสวย ฉับพลันนั้นเองจูฮยอนรู้สึกได้เลยว่าเธอรู้สึกดีขึ้นอย่างทันตา
“ทุกครั้งที่ผมจูบหน้าผากของคุณ เท่ากับว่า…ผมบอกรักคุณ”
“ฉันรู้สิ ฉันฉลาดทุกเรื่องแหละ” จูฮยอนยิ้มรับหน้าแดง ยังไงก็ตามเพราะมีเขาอยู่เคียงข้าง เธอก็เลยยังคงยิ้มได้
“ที่ผ่านมานายคงเหนื่อยกับฉันมามากเลย เป็นเวรเป็นกรรมอะไรของนายนะ ถึงได้มารักคนที่ประหลาดๆแบบฉันเนี่ย”
ยงฮวาพ่นหัวเราะ ภรรยาของเขาถึงจะประหลาดไปบ้าง แต่เธอก็จัดว่าเป็นคนฉลาดสุดๆไปเลยด้วยเหมือนกัน
“ทำไมคุณถึง…อยากให้ผมตายทีหลังคุณล่ะ?”
จูฮยอนหันมองดวงตาของคนที่นั่งอยู่เคียงข้าง เธอคาดหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปในแบบที่เธอต้องการ ถ้าวันหนึ่งวันใดไม่มีเขาอยู่เคียงข้าง เธอจะต้องแย่แน่ๆ
“ฉันเป็นโรคประหลาด เกลียดการถูกทอดทิ้งให้ต้องอยู่เพียงลำพัง พ่อกับแม่พร้อมใจกันจากฉันไปในวันที่ฉันได้เกิดมา ทั้งที่ฉันเคยร้องขอจากพระเจ้าแล้วว่าขอให้พวกเขาได้อยู่ต่ออีกหน่อย แต่…ฉันก็ต้องผิดหวัง”
จูฮยอนในวัยสิบกว่าขวบเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ตอนนั้นเธอยังเด็กมาก ตอนที่รู้ว่าพ่อจากไปแล้ว เธอสวดมนตร์ขอพรจากพระเจ้าทุกวันขอให้พ่อฟื้นกลับขึ้นมาอยู่กับเธออีกครั้ง เธอทำแบบนั้นด้วยความใสซื่อ ทำด้วยความคิดในแบบเด็กๆ แต่เนิ่นนานวันเธอก็ต้องยอมรับกับการที่จะต้องอยู่คนเดียว
“อีกไม่นานพี่แทยอนกับพี่มิยองก็คงจะต้องแยกย้ายไปใช้ชีวิตครอบครัว แล้วก็มีลูก เมื่อก่อนพี่ๆคอยพูดกรอกหูฉันเสมอว่าให้ฉันรีบหาว่าที่สามีแล้วก็แต่งงานกับเขาซะ พวกพี่ๆจะได้หมดห่วง ฉันพยายามที่จะทำตามที่พี่ๆต้องการหลายครั้ง แต่สุดท้ายฉันก็ทำไม่ได้ ถึงรู้ว่าตัวเองเหมือนตัวภาระ แต่ว่า…ฉันจะต้องเหงามากขนาดไหนกัน ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วจะไม่เหลือใครเลยแม้แต่คนเดียว ขอให้ได้ยื้อเวลาอีกนิดหน่อย ฉันก็จะทำ”
“แต่ตอนนี้ คุณมีผมนะ”
“ใช่สิ ฉันมีนายแล้ว พี่ๆควรจะยินดีที่ฉันมีคนคอยดูแล แต่…ผลตอบรับมันออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย”
พูดไปพูดมาก็วกกลับมาเรื่องเดิม ยงฮวาคว้ามือของจูฮยอนมาเกาะกุมเอาไว้ แหวนบนเรียวนิ้วของเราสองคนสวยงดงามเสมอ ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่ ประกายของมันก็ไม่เคยลบเลือน
“ตราบใดที่คุณมีผม คุณก็จะไม่มีทางเหงา ไม่ต้องกลัวว่าจะแก่ตายแค่คนเดียวหรอก เพราะว่าผมก็จะแก่ไปพร้อมๆกับคุณด้วย, ความจริงแล้วผมแอบดีใจด้วยซ้ำที่พวกพี่ๆยังคงโกรธคุณอยู่แบบนี้ เพราะอะไรรู้ไหม…เพราะว่าพวกเธอจะได้ไม่มาขัดจังหวะเราสองคนไงล่ะ”
คำพูดนั้นทำให้จูฮยอนยิ้มได้ ทุกครั้งที่ยงฮวามอบอ้อมกอดหรือสัมผัสเนื้อตัวของเธอเพียงแค่เล็กน้อย เธอก็จะรู้สึกอบอุ่น ความหวาดกลัวที่เคยมีมันหายไปจนเกือบหมดเลยก็ว่าได้
“ถ้าอีกหน่อยเราสองคนมีลูกด้วยกัน คุณจะไม่มีเวลาเหงาเลยล่ะ สนใจไหมล่ะ อยากจะเป็นว่าที่คุณแม่เมื่อไหร่ก็สะกิดเรียกผมแล้วกัน”
จบประโยคนั้นยงฮวาถูกหยิกแก้มจนเนื้อแทบเขียว เขาช่างพูดมาได้ไม่อายปาก อยากมีลูกก็ให้สะกิดเรียก เขาเห็นเธอเป็นผู้หญิงในยุคไหนกัน
“ลงไปดูจงฮยอนเลย ถ้าเขากินข้าวเสร็จแล้วนายก็เก็บจานล้างด้วย จุนฮีเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ให้น้องรีบไปนอนพัก”
****************************100%*****************************
อย่าลืมคอมเม้นท์ให้กันนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น้องใช้ให้ล้างจาน 555
พี่ๆ ก็อย่าโกรธน้องนานสิคะ น้องแคร์พี่มากกก
แค่น้องมีแฟนเองนะ
ซูโฮจะทำอะไรเนี่ยจะเปลี่ยนจากแฟนเก่า เพื่อน เป็นตัวร้ายแล้วหรอ
แต่ก้คงเครียดน่าดู เพราะเปนพี่ๆทึ่รักมากและสนิท แทยอน มิยอง อย่าโกดนานนะ รู้ว่าห่วงน้อง
แต่ยงเปนคนดีจิงๆ รักซอมากๆ
อยากเปนแม่เมื่อไหร่สะกิดเรียก 5555คิดได้ไงเนี้ยยง
ตอนนี้จองยงกับซอจูกำลังหวานๆๆๆๆ
ขอซูโฮอย่าทำอะไรให้เรื่องแย่เลยนะ.
ส่วนพี่ๆ ก็หายงอนไวไวนะคะ
คุณภรรยาสั่งให้ลงไปเฝ้าน้องรีบๆเลยยงเดี๋ยวภรรยางอล
แหม ถึงจะไม่สะกิดก็บ่อยปะ
ปล.ไรเตอร์สู้ๆค่ะ