ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ฝันร้าย
    ‘นี่ชั้นอยู่ทีไหน’ เด็กสาวคนหนึ่งมองไปรอบด้านที่มีแต่สีขาวโพลนด้วยความตื่นตระหนก  เธอเดินสะเปะสะปะไปอย่างไร้จุดหมาย
    ‘มีใครอยู่มั๊ย  ใครก็ได้ช่วยตอบที’ เธอตะโกนไปตามทางที่เท้าก้าวย่าง  แม้จะรู้ดีว่าไม่มีเสียงใดตอบกลับมาอย่างแน่นอน  แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็พอจะขับไล่ความกลัวที่เกาะอยู่ในจิตใจของสาวน้อยให้ออกไปได้บ้าง  เธอเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย  โดยที่ไม่ทันสังเกตเลยว่า ความมืดกำลังไล่ตามผีเท้าของเธอมาติดๆ  ในที่สุดความมืดก็อยู่เบื้องล่างใต้ฝ่าเท้าของเธอ  หญิงสาวก้มลงและค่อยๆมองย้อนกลับไปด้านหลังเมื่อมีความรู้สึกเหมือนบางอย่างวิ่งผ่านแผ่นหลัง  เธอพบว่kสีขาวโพลนที่เห็นเมื่อครู่กลับกลายเป็นสีดำทมิฬของความมืด  แต่ยังไม่ทันที่เธอจะกันกลับมาความมืดก็กัดกินบริเวณที่เธอยืนอยู่จนหมดสิ้นเสียแล้ว
    ‘กรี๊ดดดด ดดดดด!!!!!!’ เสียงกรีดร้องดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
    ‘แฮ่กๆๆ’ รินะลุกพรวดขึ้นจากเตียงด้วยความตกใจ  เธอหอบแฮ่กๆด้วยความเหน็ดเหนื่อยราวกับเพิ่งผ่านการออกกำลังกายอย่างหนักมาหมาดๆ  ‘ฟู่!! แค่ฝันไปเท่านั้นเอง’ เธอพึมพำเบาๆกับตัวเองพร้อมกับปาดเหงื่อที่ชุ่มหน้าผาก  พลางสายตาก็เหลือบมองนาฬิกาปลุกเรือนใหม่ที่วางอยู่บนหัวเตียง  ‘เพิ่งตีสี่เองหรอ’  รินะทิ้งตัวลงเตียงอันอ่อนนุ่มอีกครั้งและพยามข่มตาให้หลับ  แต่เมื่อเปลือกตาปิดสนิทลงทีไรภาพในความฝันก็ย้อนกลับมาหลอกหลอนเธอทุกครั้งไป  ราวกับเป็นเรื่องจริงที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานีhจนเธอไม่สามารถจะหลับตาลงได้อีกต่อไป
      รินะตัดสินใจลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว  ขณะที่กำลังจัดแจงกับผมสีน้ำตาลอันยุ่งเหยิงของเธออยู่นั้นเสียงสตาร์ทรถและเสียงประตูรั้วก็ดังตามกันมาติดๆ  เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าบ้านหลังนี้เหลือเด็กสาวผู้นี้เพียงคนเดียว  แต่รินะก็ไม่ได้แยแสกับการอยู่คนเดียวเสียแล้ว  นั่นเป็นเพราะความเคยชินที่เผชิญมานานปีและคงไม่แปลกอะไรถ้ารินะจะบอกว่าเธอแทบจำหน้าพ่อแม่ของเธอไม่ได้ 
    จริงอยู่หรอกที่ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวอย่างรินะจะถูกเลี้ยงดูทะนุถนอมและฟูมฟักมาอย่างดีด้วยความรัก  แต่ก็หาเป็นความรักในทางที่ควรไม่  เพราะรักมากจึงต้องการให้ลูกได้สิ่งที่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านั้นต้องแลกด้วยแผ่นกระดาษที่เรียกว่าธนบัตร  ทั้งพ่อและแม่จึงทุ่มเทให้กับการทำงานเพื่อเงินจนลืมมอบสิ่งสำคัญให้กับรินะ .ความอบอุ่น..ที่เธอไม่เคยได้สัมผัสเลยมากว่าสิบปี  แต่ก็ด้วยเงินที่พ่อแม่หามาได้นั้นล่ะที่ทำให้ชีวิตอันเปล่าเปลี่ยวเดียวดายของรินะไม่ลำบากแต่อย่างใด  ทว่าความมั่งคั่งทางฐานะนั้นหรือจะมาเติมเต็มช่องว่างที่โหว่แหว่งในจิตใจของเด็กสาวได้
    รินะเดินลงบันไดมายังชั้นล่างในชุดเครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนชื่อดัง  หลังจากจัดการกับอาหารเช้าสไตล์ยุโรปที่แม่ของเธอจัดเตรียมทิ้งไว้ให้บนโต๊ะแล้วเธอก็เดินไปอ่านโน้ตแผ่นเล็กๆที่ผู้เป็นแม่มักจะติดอยู่หน้าตู้เย็นเป็นประจำ  ‘เย็นนี้มีประชุม รินะไม่ต้องรอทานข้าวเย็นนะลูก’  รินะดึงแผ่นกระดาษที่มีข้อความเดิมๆออก  เธอฉวยกุญแจบ้านเดินออกไป 
    แม้ดวงตะวันยังไม่ทอแสง  แต่รินะก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าการไปโรงเรียนน่าจะดีกว่าการที่ต้องอยู่ในบ้านใหญ่โตที่เยือกเย็นเช่นนี้    บรรยากาศตลอดทางที่ไปยังป้ายรถเมล์ช่างเงียบสงัดและวังเวงเพราะยังไม่มีใครออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด  ยามนี้อากาศเย็นยะเยือกจนรินะต้องกระชับสูทตัวนอกเข้ามาเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกาย  แสงไฟบริเวณป้ายรถเมล์สว่างสดใส  รินะนั่งรอรถเมล์ซักพักกว่ารถเมล์เที่ยวแรกจะวิ่งมาถึงและแน่นอนเธอเป็นลูกค้าคนแรกของวันนี้   
    รินะลงป้ายที่ใกล้โรงเรียนมากที่สุด  และก็เดินตรงไปยังหน้าประตูรั้วโรงเรียน
    ‘เอ๊ะ!  ประตูไม่ได้ล็อคอยู่หรอกหรอ .’ รินะเกิดความสงสัยขึ้นเมื่อเห็นกุญแจถูกเปิดออกในเวลาเช้ามากเช่นนี้  ‘ปกติมันจะเปิดตอนหกโมงนี่นา สงสัยวันนี้ภารโรงอารมณ์ดีมั้งมาแต่เช้าเชียว  แต่ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องนั่งรอข้างนอก’  รินะผลักประตูเข้าไปและงับประตูกลับดังเดิม 
    แม้จะเป็นเพียงโรงเรียนระดับมัธยมปลายแต่อาณาบริเวณของโรงเรียนก็กว้างขวางใหญ่โตมาก  อาคารเรียนของปี 1  อยู่เกือบด้านในสุด  รินะเดินผ่านสนามกีฬาอันว่างเปล่า  รอบข้างเงียบสนิทไร้สิ่งมีชีวิตใดๆนอกจากหญิงสาวที่กำลังสาวเท้าเอื่อยๆเดินไปตามทางอย่างสบายอารมณ์
    ‘อาคารก็เปิดแล้ว ดีจัง’ รินะเดินขึ้นไปตามบันไดที่มีแสงไฟสลัวส่องทาง  ห้อง1B อยู่ไม่ห่างจากบันไดที่เธอเดินขึ้นมามากนัก  ทั่วทั้งชั้นว่างเปล่า  รินะเปิดประตูห้องเป็นคนแรกตามเคย  หลังจากที่จัดแจงเปิดไฟในห้องและวางกระเป๋าลงเรียบร้อยแล้วเด็กสาวก็ทิ้งตัวลงบนที่นั่งของเธอ  ทันทีที่หย่อนตัวลงนั่งรินะก็สัมผัสได้ถึงลมเย็นเอื่อยๆที่ผสมกลิ่นอายบางอย่างชวนให้น่าหลงใหลยิ่งนัก  เธอเริ่มเคลิ้มและค่อยๆฟุบหน้าลงในที่สุด
    ‘รินะ  .รินะ .’  เสียงของบางสิ่งดังขึ้นแผ่วเบา  แต่สามารถสัมผัสได้ถึงความเย็นชาอย่างที่สุดของสิ่งนั้น
    ‘ .ใคร ..’
    ‘รินะ .จำชั้นไม่ได้หรอ .’  มันช่างเป็นเสียงที่ฟังดูคุ้นเคยเหลือเกินแต่ทำไมรินะถึงนึกไม่ออกนะว่าเป็นเสียงใครกันแน่
    ‘ ใคร เธอคือใคร ..’ รินะพยายามคิด  แต่ไม่ว่าคิดเท่าไหร่เธอก็ไม่อาจรู้ได้เรยว่าเจ้าของเสียงนี้คือผู้ใด
    ‘ชั้นเองรินะ  .ชั้นเอง .’
    ‘เธอคือใครกันแน่ .ออกมานะ’ หญิงสาวเริ่มเกิดความกลัวขึ้นภายในจิตใจกับการต้องคุยกับคนที่เธอไม่สามารถมองเห็นตัวได้
    ‘ชั้นอยู่ตรงนี้ ..อยู่นี่ไงรินะ’
    ‘ไหน ไม่เห็นมีใครเลยนี่นา  อย่ามาล้อเล่นนะ ’ รินะพยายามเพ่งมองไปยังเบื้องหน้า  แต่เธอก็ไม่เห็นสิ่งใดเลยนอกจากความมืดมิด
    ‘ไม่ได้ล้อเล่น  ชั้นอยู่ตรงนี้จริงๆ  แต่เธอมองไม่เห็นชั้นเองต่างหากล่ะรินะ’
    ‘ ที่นี่ที่ไหน .แล้วทำไมชั้นถึงมองไม่เห็นเธอ  มองไม่เห็นอะไรเลย’ รินะเอ่ยถามเจ้าของเสียงลึกลับนั้น
    ‘รินะ  เธอลืมแล้วจริงๆหรือ  เธอลืมที่นี่ เธอลืมชั้นไปแล้วหรือ  รินะ  ลองนึกทบทวนใหม่ดีดีสิ’
    ‘ ..’  รินะพยายามรวบรวมความทรงจำที่มีอยู่ทั้งหมด  แต่ก็ไม่พบเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าของเสียงผู้นี้เลย  ‘ ชั้นนึกไม่ออก  ชั้นนึกอะไรไม่ออกจริงๆ .’
    ‘ขอร้องล่ะรินะ  นึกให้ออกสิ  นึกให้ออกทีสิ’
    สมองของหญิงสาวทำงานหนัก  บัดนี้เธอรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงราวกับว่าสมองถูกบีบคั้นด้วยอะไรบางอย่าง  มันช่างทรมาน  รินะใช้มือทั้งสองข้างกุมขมับด้วยความเจ็บปวด  เธอทรุดตัวลงกับพื้น 
    ‘รินะ .รินะ .รินะ .’  ยิ่งได้ยินเสียงเรียกนี้  รินะยิ่งทวีความทรมานขึ้นเป็นเท่าตัวราวกับเป็นคลื่นเสียงที่รบกวนโสตประสาท  ความเจ็บปวดแผ่เข้าสู่ส่วนต่างๆของร่างกายอย่างรวดเร็วเสมือนร่างกายของเธอจะแตกสลายเป็นชิ้นๆ
    ‘รินะ รินะ .รินะ ’ เสียงนี้ยังคงรบกวนโสตประสาทของเธอต่อไป
    ‘ใครก็ได้ช่วยด้วย  พาชั้นออกไปจากที่นี่ที’ หญิงสาวไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้อีกต่อไป \'ไม่ .ไม่!!!!!!’  รินะกรีดร้องสุดชีวิต  เธอต้องการหนีออกไปจากดินแดนประหลาดแห่งนี้ให้เร็วที่สุด
.....จบตอน.....
    ‘มีใครอยู่มั๊ย  ใครก็ได้ช่วยตอบที’ เธอตะโกนไปตามทางที่เท้าก้าวย่าง  แม้จะรู้ดีว่าไม่มีเสียงใดตอบกลับมาอย่างแน่นอน  แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็พอจะขับไล่ความกลัวที่เกาะอยู่ในจิตใจของสาวน้อยให้ออกไปได้บ้าง  เธอเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย  โดยที่ไม่ทันสังเกตเลยว่า ความมืดกำลังไล่ตามผีเท้าของเธอมาติดๆ  ในที่สุดความมืดก็อยู่เบื้องล่างใต้ฝ่าเท้าของเธอ  หญิงสาวก้มลงและค่อยๆมองย้อนกลับไปด้านหลังเมื่อมีความรู้สึกเหมือนบางอย่างวิ่งผ่านแผ่นหลัง  เธอพบว่kสีขาวโพลนที่เห็นเมื่อครู่กลับกลายเป็นสีดำทมิฬของความมืด  แต่ยังไม่ทันที่เธอจะกันกลับมาความมืดก็กัดกินบริเวณที่เธอยืนอยู่จนหมดสิ้นเสียแล้ว
    ‘กรี๊ดดดด ดดดดด!!!!!!’ เสียงกรีดร้องดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
    ‘แฮ่กๆๆ’ รินะลุกพรวดขึ้นจากเตียงด้วยความตกใจ  เธอหอบแฮ่กๆด้วยความเหน็ดเหนื่อยราวกับเพิ่งผ่านการออกกำลังกายอย่างหนักมาหมาดๆ  ‘ฟู่!! แค่ฝันไปเท่านั้นเอง’ เธอพึมพำเบาๆกับตัวเองพร้อมกับปาดเหงื่อที่ชุ่มหน้าผาก  พลางสายตาก็เหลือบมองนาฬิกาปลุกเรือนใหม่ที่วางอยู่บนหัวเตียง  ‘เพิ่งตีสี่เองหรอ’  รินะทิ้งตัวลงเตียงอันอ่อนนุ่มอีกครั้งและพยามข่มตาให้หลับ  แต่เมื่อเปลือกตาปิดสนิทลงทีไรภาพในความฝันก็ย้อนกลับมาหลอกหลอนเธอทุกครั้งไป  ราวกับเป็นเรื่องจริงที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานีhจนเธอไม่สามารถจะหลับตาลงได้อีกต่อไป
      รินะตัดสินใจลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว  ขณะที่กำลังจัดแจงกับผมสีน้ำตาลอันยุ่งเหยิงของเธออยู่นั้นเสียงสตาร์ทรถและเสียงประตูรั้วก็ดังตามกันมาติดๆ  เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าบ้านหลังนี้เหลือเด็กสาวผู้นี้เพียงคนเดียว  แต่รินะก็ไม่ได้แยแสกับการอยู่คนเดียวเสียแล้ว  นั่นเป็นเพราะความเคยชินที่เผชิญมานานปีและคงไม่แปลกอะไรถ้ารินะจะบอกว่าเธอแทบจำหน้าพ่อแม่ของเธอไม่ได้ 
    จริงอยู่หรอกที่ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวอย่างรินะจะถูกเลี้ยงดูทะนุถนอมและฟูมฟักมาอย่างดีด้วยความรัก  แต่ก็หาเป็นความรักในทางที่ควรไม่  เพราะรักมากจึงต้องการให้ลูกได้สิ่งที่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านั้นต้องแลกด้วยแผ่นกระดาษที่เรียกว่าธนบัตร  ทั้งพ่อและแม่จึงทุ่มเทให้กับการทำงานเพื่อเงินจนลืมมอบสิ่งสำคัญให้กับรินะ .ความอบอุ่น..ที่เธอไม่เคยได้สัมผัสเลยมากว่าสิบปี  แต่ก็ด้วยเงินที่พ่อแม่หามาได้นั้นล่ะที่ทำให้ชีวิตอันเปล่าเปลี่ยวเดียวดายของรินะไม่ลำบากแต่อย่างใด  ทว่าความมั่งคั่งทางฐานะนั้นหรือจะมาเติมเต็มช่องว่างที่โหว่แหว่งในจิตใจของเด็กสาวได้
    รินะเดินลงบันไดมายังชั้นล่างในชุดเครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนชื่อดัง  หลังจากจัดการกับอาหารเช้าสไตล์ยุโรปที่แม่ของเธอจัดเตรียมทิ้งไว้ให้บนโต๊ะแล้วเธอก็เดินไปอ่านโน้ตแผ่นเล็กๆที่ผู้เป็นแม่มักจะติดอยู่หน้าตู้เย็นเป็นประจำ  ‘เย็นนี้มีประชุม รินะไม่ต้องรอทานข้าวเย็นนะลูก’  รินะดึงแผ่นกระดาษที่มีข้อความเดิมๆออก  เธอฉวยกุญแจบ้านเดินออกไป 
    แม้ดวงตะวันยังไม่ทอแสง  แต่รินะก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าการไปโรงเรียนน่าจะดีกว่าการที่ต้องอยู่ในบ้านใหญ่โตที่เยือกเย็นเช่นนี้    บรรยากาศตลอดทางที่ไปยังป้ายรถเมล์ช่างเงียบสงัดและวังเวงเพราะยังไม่มีใครออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด  ยามนี้อากาศเย็นยะเยือกจนรินะต้องกระชับสูทตัวนอกเข้ามาเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกาย  แสงไฟบริเวณป้ายรถเมล์สว่างสดใส  รินะนั่งรอรถเมล์ซักพักกว่ารถเมล์เที่ยวแรกจะวิ่งมาถึงและแน่นอนเธอเป็นลูกค้าคนแรกของวันนี้   
    รินะลงป้ายที่ใกล้โรงเรียนมากที่สุด  และก็เดินตรงไปยังหน้าประตูรั้วโรงเรียน
    ‘เอ๊ะ!  ประตูไม่ได้ล็อคอยู่หรอกหรอ .’ รินะเกิดความสงสัยขึ้นเมื่อเห็นกุญแจถูกเปิดออกในเวลาเช้ามากเช่นนี้  ‘ปกติมันจะเปิดตอนหกโมงนี่นา สงสัยวันนี้ภารโรงอารมณ์ดีมั้งมาแต่เช้าเชียว  แต่ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องนั่งรอข้างนอก’  รินะผลักประตูเข้าไปและงับประตูกลับดังเดิม 
    แม้จะเป็นเพียงโรงเรียนระดับมัธยมปลายแต่อาณาบริเวณของโรงเรียนก็กว้างขวางใหญ่โตมาก  อาคารเรียนของปี 1  อยู่เกือบด้านในสุด  รินะเดินผ่านสนามกีฬาอันว่างเปล่า  รอบข้างเงียบสนิทไร้สิ่งมีชีวิตใดๆนอกจากหญิงสาวที่กำลังสาวเท้าเอื่อยๆเดินไปตามทางอย่างสบายอารมณ์
    ‘อาคารก็เปิดแล้ว ดีจัง’ รินะเดินขึ้นไปตามบันไดที่มีแสงไฟสลัวส่องทาง  ห้อง1B อยู่ไม่ห่างจากบันไดที่เธอเดินขึ้นมามากนัก  ทั่วทั้งชั้นว่างเปล่า  รินะเปิดประตูห้องเป็นคนแรกตามเคย  หลังจากที่จัดแจงเปิดไฟในห้องและวางกระเป๋าลงเรียบร้อยแล้วเด็กสาวก็ทิ้งตัวลงบนที่นั่งของเธอ  ทันทีที่หย่อนตัวลงนั่งรินะก็สัมผัสได้ถึงลมเย็นเอื่อยๆที่ผสมกลิ่นอายบางอย่างชวนให้น่าหลงใหลยิ่งนัก  เธอเริ่มเคลิ้มและค่อยๆฟุบหน้าลงในที่สุด
    ‘รินะ  .รินะ .’  เสียงของบางสิ่งดังขึ้นแผ่วเบา  แต่สามารถสัมผัสได้ถึงความเย็นชาอย่างที่สุดของสิ่งนั้น
    ‘ .ใคร ..’
    ‘รินะ .จำชั้นไม่ได้หรอ .’  มันช่างเป็นเสียงที่ฟังดูคุ้นเคยเหลือเกินแต่ทำไมรินะถึงนึกไม่ออกนะว่าเป็นเสียงใครกันแน่
    ‘ ใคร เธอคือใคร ..’ รินะพยายามคิด  แต่ไม่ว่าคิดเท่าไหร่เธอก็ไม่อาจรู้ได้เรยว่าเจ้าของเสียงนี้คือผู้ใด
    ‘ชั้นเองรินะ  .ชั้นเอง .’
    ‘เธอคือใครกันแน่ .ออกมานะ’ หญิงสาวเริ่มเกิดความกลัวขึ้นภายในจิตใจกับการต้องคุยกับคนที่เธอไม่สามารถมองเห็นตัวได้
    ‘ชั้นอยู่ตรงนี้ ..อยู่นี่ไงรินะ’
    ‘ไหน ไม่เห็นมีใครเลยนี่นา  อย่ามาล้อเล่นนะ ’ รินะพยายามเพ่งมองไปยังเบื้องหน้า  แต่เธอก็ไม่เห็นสิ่งใดเลยนอกจากความมืดมิด
    ‘ไม่ได้ล้อเล่น  ชั้นอยู่ตรงนี้จริงๆ  แต่เธอมองไม่เห็นชั้นเองต่างหากล่ะรินะ’
    ‘ ที่นี่ที่ไหน .แล้วทำไมชั้นถึงมองไม่เห็นเธอ  มองไม่เห็นอะไรเลย’ รินะเอ่ยถามเจ้าของเสียงลึกลับนั้น
    ‘รินะ  เธอลืมแล้วจริงๆหรือ  เธอลืมที่นี่ เธอลืมชั้นไปแล้วหรือ  รินะ  ลองนึกทบทวนใหม่ดีดีสิ’
    ‘ ..’  รินะพยายามรวบรวมความทรงจำที่มีอยู่ทั้งหมด  แต่ก็ไม่พบเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าของเสียงผู้นี้เลย  ‘ ชั้นนึกไม่ออก  ชั้นนึกอะไรไม่ออกจริงๆ .’
    ‘ขอร้องล่ะรินะ  นึกให้ออกสิ  นึกให้ออกทีสิ’
    สมองของหญิงสาวทำงานหนัก  บัดนี้เธอรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงราวกับว่าสมองถูกบีบคั้นด้วยอะไรบางอย่าง  มันช่างทรมาน  รินะใช้มือทั้งสองข้างกุมขมับด้วยความเจ็บปวด  เธอทรุดตัวลงกับพื้น 
    ‘รินะ .รินะ .รินะ .’  ยิ่งได้ยินเสียงเรียกนี้  รินะยิ่งทวีความทรมานขึ้นเป็นเท่าตัวราวกับเป็นคลื่นเสียงที่รบกวนโสตประสาท  ความเจ็บปวดแผ่เข้าสู่ส่วนต่างๆของร่างกายอย่างรวดเร็วเสมือนร่างกายของเธอจะแตกสลายเป็นชิ้นๆ
    ‘รินะ รินะ .รินะ ’ เสียงนี้ยังคงรบกวนโสตประสาทของเธอต่อไป
    ‘ใครก็ได้ช่วยด้วย  พาชั้นออกไปจากที่นี่ที’ หญิงสาวไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้อีกต่อไป \'ไม่ .ไม่!!!!!!’  รินะกรีดร้องสุดชีวิต  เธอต้องการหนีออกไปจากดินแดนประหลาดแห่งนี้ให้เร็วที่สุด
.....จบตอน.....
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น