ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] FICTION ROOM [CHANBAEK,KRISLAY,KAILU]

    ลำดับตอนที่ #9 : [ChanBaek Fiction] Mug & Saucers [Part 5]

    • อัปเดตล่าสุด 29 ต.ค. 55


    Mug & Saucers [Part 5] 

    Author: Angel Midori
    Rating: PG
    Pairing:ChanBaek

    -----------------------------------------------------------------------------------


    รถยนต์คันหรูจอดเทียบหน้าโรงพยาบาลในเครือของมหาวิทยาลัย พร้อมกับร่างสูงที่วิ่งปลิวลงไปจากรถของตัวเอง เจ้าตัวแทบจะอุ้มร่างขาวจัดนั่นแทนบุรุษพยาบาลดีที่ว่าเหล่าบุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นมารับร่างนั้นก่อนอู๋อี้ฟ่านจะลงมืออุ้มเอง

     

    “ลู่หานวานนายเอารถไปจอดที” เจ้าของรถร่างสูงตะโกนบอกเพื่อน หลังจากที่คนน่ารักสองคนเพิ่งตะเกียกตะกายลงมาจากเบาะหลังได้ ลู่หานทำหน้างงๆ จนเกือบจะทิ้งปากล่างอ้าค้าง แต่ก็ต้องยอมทำตามคำสั่งนั้นเพราะร่างสูงโปร่งของอู๋อี้ฟ่านวิ่งตามรถเข็นไปแล้ว

     

    เหลือแต่ร่างเล็กของพยอนแพคฮยอนที่ยังยืนนิ่งอยู่ คนตัวเล็กหันซ้ายหันขวาอย่างไม่รู้จะทำตัวยังไง ตอนนี้ลู่หานฮยองขึ้นรถและขับรถคันนั้นออกไปแล้ว ทางเลือกจึงมีทางเดียวคือตามร่างสูงของคริสฮยองไป

     

    พอเดินเข้าไปในตึกหน่วยตาเล็กก็เห็นอี้ฟ่านยืนติดต่ออยู่ที่เคาท์เตอร์และกำลังเขียนอะไรสักอย่างซึ่งเดาว่าคงเป็นข้อมูลของคนป่วย คนตัวเล็กเดินไปจนใกล้เคาท์เตอร์ และเห็นว่าร่างสูงนั้นกำลังรื้อหาของบางอย่างจากกระเป๋าสตางค์สีน้ำตาลที่ไม่คุ้นตาของแพคฮยอน

     

    “นี้ครับบัตรประกันของคนป่วย” อี้ฟ่านเอ่ยและยื่นบัตรนั้นให้พยาบาล แพคฮยอนจึงคิดว่ากระเป๋าใบนั้นคงเป็นกระเป๋าของเลย์ฮยอง พยาบาลรับบัตรใบนั้นไปแล้ว หากแต่ร่างสูงผมทองยังคงจับจ้องที่กระเป๋าใบนั้นอยู่

     

    ไม่รู้ว่าแพคฮยอนคิดไปเองหรือเปล่าแต่เขาเห็นว่าคริสฮยองหลับตาและกัดริมฝีปากก่อนจะค่อยๆ พับกระเป๋าใบนั้นเก็บ

     

    พอพยาบาลจัดการคืนบัตรต่างๆ ให้กับรุ่นพี่หน้าหล่อแล้ว เจ้าตัวก็เร่งฝีเท้าไปยังห้องที่จางอี้ชิงนอนให้หมอดูอาการอยู่ แต่คนตัวเล็กเลือกที่จะนั่งรออยู่ตรงด้านนอก จนเมื่อลู่หานกลับมาและลงมานั่งข้างๆ เพื่อรอคนป่วยด้วยกัน

     

    แพคฮยอนกำลังคิดว่าตัวเองควรจะกลับเลยหรือเปล่า หากแต่ทิ้งไปตอนนี้จะดูไร้มารยาทไหม แต่มีอะไรบางอย่างกระตุ้นเตือนเขาตลอดว่าควรกลับไปเสียเถิด ที่นี้ไม่ใช่ที่ของเขา หากแต่ไม่นานเท่าไหร่เตียงของคนป่วยก็ถูกเข็นออกมาโดยมีอู๋อี้ฟ่านเกาะเตียงนั้นมาด้วย เค้าเอ่ยบอกคนที่นั่งรอว่าจะพาจางอี้ชิงไปเอ็กซเรย์ ให้ลู่หาน และแพคฮยอนไปรอเขาที่ตึกออร์โธปิดิกส์ก่อน พอแพคฮยอนจะเอ่ยปากขอลาก็ไม่ทันทั้งคริสฮยองของคนตัวเล็กที่เดินเร่งฝีเท้าตามเตียงคนป่วยไปแล้ว ส่วนลู่หานฮยองก็เดินแยกไปอีกทาง แพคฮยอนจึงจำใจต้องเดินตามลู่หานฮยองที่น่าจะพอรู้จักลู่ทางไปตึกที่ว่านั่นดี

     

    “พี่ขอโทรศัพท์ไปแจ้งพี่ผู้จัดการ กับจงอินก่อนนะ” ลู่หานฮยองเอ่ยบอกหลังจากมาถึงที่ตึกแล้ว มันทำให้คนตัวเล็กต้องจำใจนั่งรออีกฝ่ายต่อไป รุ่นพี่หน้าหวานไม่ได้ใช้เวลาโทรศัพท์นานนักก็กลับมานั่งข้างๆ พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่

     

    “พี่โอเคไหม” ไม่รู้ว่าจะเลือกคำพูดแบบไหนดีมาแสดงความห่วงใย แพคฮยอนจึงเลือกถามแบบนี้ ลู่หานหันมาแล้วพยักหน้ารับเบาๆ

     

    “โอเคแหละ พี่ผู้จัดการบ่นนิดหน่อย แต่เพราะพี่เขาเป็นห่วงอี้ชิงนั่นแหละ พี่เองก็ผิดที่ไม่เตือนเขา”

     

    “พี่อี้ชิงเป็นอะไรฮะ” นี่เป็นครั้งแรกที่แพคฮยอนได้เอ่ยปากถามอาการของคนป่วยหลังจากจับผลัดจับผลูหลงมาอยู่ในสถานการณ์นี้กว่าครึ่งชั่วโมงได้

     

    “กล้ามเนื้อหลังอักเสบ โรคประจำตัวของเจ้านั่น ทั้งๆ ที่คิดว่าหายดีแล้วแท้ ๆ”

     

    “พี่เขาเป็นอยู่ก่อนแล้วงั้นเหรอฮะ”

     

    “อืม เป็นมาหลายเดือนแล้ว รักษาจนคิดว่าหายแล้ว แต่หมอก็ห้ามไว้ว่าอย่าเพิ่งหักโหม แต่เมื่อกี้แค่วอร์มอัพแท้ๆ ด้วยซ้ำ”ลู่หานบ่นเบาๆ พลางหมุนแหวนในข้อนิ้วเล่น

     

    “ถึงว่าคริสฮยองดูคล่องมากๆ เป็นผมๆ คงทำอะไรไม่ถูก”

     

    “อืม เขาเคยอุ้มอี้ชิงมาส่งโรงพยาบาลแบบนี้แล้วตอนแรกๆ ที่เป็น เจ้านั่นปวดหลังมากตอนกลางดึก อี้ฟ่านตกใจแทบแย่เลยล่ะคราวนั้น” รุ่นพี่หน้าหวานยังคงเล่าเสียงเรียบเรื่อยโดยที่ไม่ได้เงยหน้าจากแหวนเงินนั่น

     

    “คริสฮยองดูห่วงเลย์ฮยองมากนะฮะ”

     

    “ก็เขาเคยเป็นแฟนกัน” ลู่หานเอ่ยขึ้นมา และเจ้าตัวก็รีบเงยหน้าทำตาโตราวกับตกใจกับคำพูดของตัวเอง ซึ่งคนที่ได้ฟังเองก็ทำสีหน้าประหลาดใจไม่แพ้กัน

     

    ลู่หานรีบก้มหน้าก้มตาทำเหมือนเรื่องพลั่งปากนั้นลอยไปตามลมแล้ว หากแต่คนเพิ่งรับรู้กลับไม่อาจปล่อยมันไปได้

     

    แพคฮยอนรู้สึกแปลกๆ เมื่อได้รับรู้ความจริงนั้น มันบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกเช่นนี้คืออะไร มันรู้สึกวูบในอก จะว่าหึงหวงก็ไม่น่าจะใช่เพราะเขาไม่ได้รู้สึกโกรธหรือไม่พอใจ มันอาจเป็นความรู้สึกผิดหวังหรือเปล่าเขาก็ไม่แน่ใจอีกนั่นแหละ

     

    “เคยเป็นแฟนกัน แปลว่าตอนนี้เลิกกันแล้ว?” มันเป็นคำถามโง่ๆ ที่แพคฮยอนเผลอหลุดปากถามไปเหมือนอยากจะย้ำให้แน่ใจถึงสถานะของสองคนนั้น

     

    “ถ้ายังไม่เลิกกันอี้ฟ่านจะไปไหนมาไหนกับนายได้เหรอ” ลู่หานไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาตอนนี้คนหน้าหวานเปลี่ยนสายตาไปจับจ้องที่ฝ่ามือแทนเสียแล้ว

     

    “ไม่รู้มาก่อนเลยนะฮะ ว่าคริสฮยองกับเลยฮยองเคยคบกัน”

     

    “รู้กันแต่เพื่อนสนิท” คำตอบนั่นทำให้แพคฮยอนเข้าใจแล้วว่าเขาพลาดข่าวนี้ไปได้ยังไง แพคฮยอนมองรุ่นพี่หน้าหล่อมาร่วมปี ข่าวคราวกับคนอื่นๆ ก็มีลอยมาให้เขารับรู้บ้างแต่กับรุ่นพี่เลย์เขาไม่เคยแม้แต่จะได้ยินเลย ถ้าจะบอกว่าคริสฮยองเป็นแฟนกับลู่หานฮยองยังมีเค้าลางเสียมากกว่า

     

    “แล้วเลิกกันนานหรือยังฮะ”

     

    “เราอยากจะรู้ไปทำไม” คราวนี้ลู่หานเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วมอง ใบหน้าน่ารักนั่นไม่ได้บ่งบอกว่าไม่พอใจแต่น่าจะสงสัยเสียมากกว่า

     

    “เออ...”

     

    “อืมฮยองก็พอจะเข้าใจนะ นายชอบเจ้านั่นอยู่นี่ พวกเขาเลิกกันมาเกือบครึ่งปีแล้ว นายไม่ได้ทำให้พวกเขามีปัญหากันหรอกสบายใจได้ ตอนนี้อี้ฟ่านยังโสด”

     

    “แล้วทำไมพี่เขาเลิกกันล่ะฮะ”

     

    ลู่หานยกยิ้มบางๆ มุมปากก่อนจะหันหน้าหนีร่างเล็กของรุ่นน้อง “เรื่องพวกนี้ถ้านายอยากรู้อะไรอีกไปถามคริสฮยองของนายเหอะ มันเรื่องส่วนตัวของสองคนนั้น ฮยองตอบได้เท่าที่นายควรรู้”

     

    ลู่หานตอบแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นยืน และพอแพคฮยอนมองตามสายตาของรุ่นพี่ลู่หานจึงเห็นว่าคริสฮยองกำลังเดินมาพร้อมกับเตียงของคนป่วย ยิ่งเห็นสีหน้ากับท่าทางคริสฮยอง คำตอบมากมายมันไหลมายังประสาทรับรู้ของร่างเล็ก........เรื่องที่เคยรู้สึกตะขิดตะขวงในใจก็ดูคล้ายจะมีคำตอบขึ้นมาโดยทันที

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    คนตัวเล็กเดินลากฝีเท้าออกจากคอนวิเนี่ยนสโตร์พร้อมถุงใส่คิมบับที่ซื้อมาเพื่อประทังความหิว เพราะตั้งแต่ช่วงเย็นที่แสนวุ่นวายแพคฮยอนลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย จะมารู้สึกได้ว่าหิวก็ตอนที่นั่งซับเวย์กลับมายังหอเนี่ยแหละ

     

    แพคฮยอนเลือกที่จะขอตัวกลับบ้านในระหว่างที่ฮยองสองคนยังตัดสินใจกันอยู่ว่าใครจะอยู่เฝ้าเลย์ฮยอง แต่ถ้าให้เขาเดาจากท่าทีดื้อรั้นของคริสฮยองคืนนี้รุ่นพี่ร่างสูงคงจะเป็นคนเฝ้าอดีตคนรักของตัวเองเป็นแน่

     

    อดีตคนรัก....นึกแล้วมันคันในหัวใจของคนตัวเล็กพิกล

     

    แพคฮยอนถอนหายใจอย่างที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำไปทำไม แล้วเดินเข้าไปกดลิฟท์หากแต่ดูเหมือนสมองกับร่างกายมันชักไม่ไปในทางเดียวกัน เขาอยากกลับไปนอนพักผ่อนทำงานที่อาจารย์สั่งวันนี้ให้เสร็จ แต่เรียวนิ้วสวยกลับกดลงไปที่หมายเลข 5 แทน

     

    เพราะตอนนี้เขาอยากเจอปาร์คชานยอลมากที่สุด

     

    อาจเพราะบางทีเวลาอย่างนี้เขาก็นึกอยากจะหาใครสักคนมาระบายเรื่องที่เพิ่งเจอให้ฟัง นึกอยากจะโทรไปหาไอ้กั๊มจงเพื่อนผิวแทนเพื่อถามว่าเจ้าตัวรู้บ้างไหมว่ารุ่นพี่คนสนิทของตัวเอง กับรุ่นพี่คริสเคยคบหากัน แต่ก็คิดว่าต่อให้เจ้านั่นรู้ก็จะไปบ่นอะไรได้ เพราะสองคนนั้นเลิกกันแล้ว ไอ้เพื่อนตัวดีมันก็หวังดี แต่เจ้านั่นคงไม่รู้หรอกว่ามันชักเป็นเรื่องหวังดีที่ไม่น่าสนุกสำหรับเขาแล้ว

     

    เพราะมานึกย้อนตลอดเวลา จนถึงเมื่อเย็นนี้ อดีตคนรักของคริสฮยองยังคงมีอิทธิพลต่ออีกฝ่ายเสียเหลือเกิน เกินกว่าที่เขาจะก้าวข้ามไปได้ง่าย ๆ ถ้าคริสฮยองใส่ใจเขาบ้างก็คงไม่ปล่อยให้เขามาเดินเคว้งคว้างแบบนี้ แม้แต่ตอนเขาขอตัวลากลับ ฮยองยังไม่แม้แต่จะคิดเลยว่าเขาจะกลับยังไง ถึงเขาไม่ใช่สาวน้อยอ่อนแอ แต่ก็คิดว่าถ้าคนชอบพอกันก็น่าจะใส่ใจบ้างไม่ใช่หรือ แล้วที่ผ่าน ๆ มาบทสนทนาของเขากับคริสฮยองก็มักมีชื่อของเลย์ฮยองปนอยู่ แต่ก่อนเขาแค่นึกว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน เหมือนที่เขามักหลุดปากเล่าเรื่องของไอ้เพื่อนตัวโย่งของเขาเช่นกัน แต่ตอนนี้รู้แล้วล่ะว่าไม่ใช่

     

    ยิ่งคิดก็ยิ่งคันในหัวใจเพิ่มขึ้นไปอีก

     

    มารู้สึกตัวอีกทีตอนนี้แพคฮยอนก็มายืนอยู่หน้าประตูห้องของชานยอลเสียแล้ว และหลังจากที่เขากดกริ่งเรียกอีกฝ่ายไม่นาน หัวโต ๆ นั่นก็โผล่มายืนทำหน้างงอยู่หน้าห้องไม่ต่างจากคนมาเยือนที่ยังไม่รู้เลยว่าจะตอบอีกฝ่ายยังไงตอนถูกถามว่ามีอะไรหรือเปล่า

     

    “ซื้อมาฝาก” นั่นแหละที่แพคฮยอนพอนึกได้ คนตัวเล็กยกถุงพลาสติกใส่คิมบับที่มีอยู่แค่สองห่อมาโชว์ ชานยอลขมวดคิ้วข้องใจแต่ก็ยังเปิดประตูให้เพื่อนตัวเล็กเข้าไปในห้องของเขา

     

    แพคฮยอนพาตัวเองลงไปนั่งที่โต๊ะญี่ปุ่นกลางห้อง และเริ่มแกะคิมบับกินโดยไม่พูดไม่จา มีเจ้าของห้องนั่งมองด้วยความแปลกใจกับอาการแปลก ๆ ของคนที่ปรกติเคยพูดมาก

     

    “เห็นคยองซูบอกว่านายออกไปหาอะไรกินกับรุ่นพี่นั่นไม่ใช่เหรอ”

     

    “อืม”

     

    “แล้วทำไมดูยังหิวอยู่”

     

    “ก็ไม่ได้ไปกิน”

     

    “อ้าว” ชานยอลอ้าปากค้างอย่างงงๆ คนตัวเล็กเงยหน้ามองและหยิบคิมบับชิ้นนึงยัดปากกว้างๆ ที่มีฟันขาวเรียงกันเป็นพรืด

     

    “ก็ตอนกำลังจะออกไป ลู่หานฮยองโทรมาบอกคริสฮยองว่า เลย์ฮยองบาดเจ็บ คริสฮยองเลยต้องพาเลย์ฮยองไปหาหมอ ก็เลยไม่ได้ไปไหน”

     

    “อือม”ปาร์คชานยอลครางในลำคอเพราะว่าตอนนี้ยังเคี้ยวคิมบับอยู่ จนเมื่อกลืนไปแล้วเขาจึงตั้งคำถามต่อ“แล้วพี่เขาเป็นอะไรล่ะ?

     

    “ปวดหลัง ลู่หานฮยองบอกว่ากล้ามเนื้อหลังอักเสบเรื้อรัง”

     

    “ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม” ชานยอลยังคงถามด้วยความห่วงใยต่อรุ่นพี่ในคณะ แพคฮยอนส่ายหัวเบาๆ เป็นคำตอบ

     

    “ยังไม่รู้ ฉันกลับมาก่อนผลจะออก คริสฮยอง กับลู่หานฮยองยังรออยู่”

     

    “งั้นกลับมาคนเดียว?

     

    “อืม”คนตัวเล็กยัดคิมบับคำสุดท้ายเข้าปาก ก่อนจะลุกไปหยิบน้ำจากตู้เย็นมากินด้วยท่าทางคุ้นเคยราวกับเป็นเจ้าของห้อง หากแต่สิ่งที่ไม่คุ้นเคยมันเกิดขึ้นในความรู้สึกของชานยอลเสียมากกว่าตอนนี้

     

    วันนี้แพคฮยอนดูนิ่งกว่าปรกติ แถมสีหน้าก็ดูเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา มันผิดจากแพคฮยอนคนปรกติเอามาก ๆ ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดมากร่าเริง อย่างน้อยก็ต้องมีเหวี่ยงบ่น งุ๊งงิ๊งไปตามเรื่อง

     

    “มีอะไรหรือเปล่าว่ะ ทำไมวันนี้แปลกๆ”

     

    คนตัวเล็กเดินยู่ปากลงมานั่งข้างๆ ชานยอล แล้วก็กระดกแก้วน้ำเปล่าท่าทางราวกับกำลังกระดกวิสกี้ก็ไม่ปาน

     

    “วันนี้ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล ลู่ฮานฮยองเล่าให้ฉันฟังว่าคริสฮยองกับเลย์ฮยองเคยเป็นแฟนกัน”

     

    “จริงเหรอ” ชานยอลเบิกตาโต ด้วยความแปลกใจกับข่าวใหม่ที่เพิ่งได้ยิน

     

    “อืม”

     

    “แล้วเขาเล่าให้นายฟังทำไม” คราวนี้จากความแปลกใจกลับกลายเป็นความไม่เข้าใจแล้วว่ารุ่นพี่คนน่ารักนั่นจะขุดเอาเรื่องเก่า ๆ มาเล่าให้เพื่อนสนิทของเขาฟังด้วยจุดประสงค์อะไร

     

    “เผลอพูดมากกว่า เขาไม่ได้เล่าอะไรหรอก”

     

    “แล้วที่นายกลายเป็นหมาหงอยก็เพราะเรื่องนี้เหรอ”

     

    แพคฮยอนไม่ตอบหากแต่ยังคงยู่ปากจนปากเล็กน่ารักนั่นกลมดิก ตาเล็กๆ ก็เสไปมองรอบๆ ห้องแทน

     

    “เคยเป็นก็แปลว่าเลิกแล้วไม่ใช่เหรอ” พูดตรงๆ เลยว่าที่ปาร์คชานยอลพูดเองออกจากปากมันก็แทงใจเขาอยู่เหมือนกัน เขาควรจะดีใจถ้าแพคฮยอนจะไปกันได้ไม่ดีกับรุ่นพี่หน้าหล่อนั่น แต่เห็นท่าทางหมาหงอยของอีกฝ่ายเขาก็ดีใจไม่ลง  

     

    “อืม แต่วันนี้มันมีอะไรบอกฉันบางอย่างว่าเขายังตัดกันไม่ขาด”

     

    “คิดมากไปหรือเปล่า”

     

    “ไม่หรอก เท่าที่รู้จักกันมาฉันก็พอรู้สึกได้ว่าพี่เขามีใครอยู่ แต่แค่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเลย์ฮยอง คิดว่าอาจเป็นคนไกลกว่านี้ แต่นี่เขาอยู่ใกล้กันแค่นี้” แค่นี้ของแพคฮยอนเจ้าตัวเปรียบเทียบด้วยการจีบนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเตะกันแค่ไม่ถึงข้อนิ้วด้วยซ้ำ

     

    “แต่พี่เขาก็ยังคบนายไม่ใช่เหรอ” ชานยอลกล่าวเสียงงืมงำ พลางกดหัวซบลงกับท่อนแขนที่วางบนโต๊ะ ทั้งชีวิตไม่คิดเลยว่าต้องมาเป็นที่ปรึกษาปัญหาหัวใจให้กับคนที่เขามีใจให้แบบนี้

     

    ยิ่งพูดมันก็ยากจะซ่อนความรู้สึกเจ็บในหัวใจ

     

    “ก็แค่ดูๆ กัน ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ ฉันว่าฉันกับพี่เขาก็ไม่ได้สนิทกันมากขึ้นเท่าไหร่”

     

    “หรือนายจะหยุด”

     

    แพคฮยอนถอนหายใจเบาๆ มันเหมือนลงเรือไปแล้วจะถอยกลับก็ไม่ได้ยากแค่พายกลับไป หากแต่รู้สึกเสียดายวิวสวยๆ กลางน้ำที่ตัวเองหมายจะพายไปให้ถึง และกลัวว่าถ้ารีบถอดใจ จะเป็นการเสียโอกาสไปเองทั้งๆ ที่พายมากว่าครึ่งทางแล้ว

     

    และตอนนี้ยังไงเขาก็ยังชอบคริสฮยองอยู่นั่นแหละ แล้วก็ไม่คิดด้วยว่าจะเจอใครที่ดีได้เท่าคน ๆ นี้

     

    “ไม่รู้ซิ แล้วแต่พี่เขามั่ง เขาก็ดีนะ มานึกว่าฉันจะเจอใครที่ดีกว่านี้อีกไหมคงยาก”

     

    คำตอบเฉือดเฉือนหัวใจคนฟังใช่เล่น เขาอยากบอกขอร้องให้หยุด และให้คนตัวเล็กหันมามองเขาบ้าง ถึงเขาจะไม่ได้ดีไปกว่าอีกฝ่าย แต่เขาก็มั่นใจว่าเขาไม่ได้แย่ไปกว่านัก และเขาก็รักแพคฮยอน ไม่ใช่เหมือนรุ่นพี่คนนั้นที่มีตัวจริงอยู่แล้ว และมองคนตัวเล็กไว้เป็นตัวสำรอง

     

    “แพคฮยอน...”

     

    “หือม...”

     

    คนตัวเล็กหันหน้ามามองจ้องใบหน้าหล่อของคนตัวโตด้วยความสงสัย  เพราะคนตัวโตมองจ้องเขาจริงจัง และไม่ยอมปริปากอะไรเสียที

     

    “มีอะไร”

     

    “เปล่า”

    ปาร์คชานยอลนายมันป๊อด!! เขาอยากจะเขกหัวตัวเองซ้ำๆ ที่ไม่กล้าเสียที แต่มันยากนะที่จะพูดอะไรออกไป เขากลัว และไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตรงกับเขาไหม แล้วถ้าไม่ตรงซึ่งมีโอกาสสูงอยู่มากเสียด้วย เขากลัวจะทำให้แพคฮยอนจะลำบากใจ หรือสิ่งที่เป็นอยู่มันเปลี่ยนไป

     

    “ถ้าอย่างนั้นฉันกลับห้องดีกว่า งานยังไม่เสร็จเลย” คนตัวเล็กบ่นกระปอดกระแปด แล้วลุกขึ้นเกี่ยวกระเป๋าเป้ขึ้นพาดไหล่ อย่างน้อยการที่ได้ระบายให้ใครสักคนฟังไม่ต้องเก็บไว้จนอกแตกตายมันทำให้แพคฮยอนสบายใจขึ้นเยอะเลยล่ะ ยิ่งโดยเฉพาะเป็นปาร์คชานยอล ทำไมไม่รู้เวลาที่เขาไม่สบายใจแค่ได้คุย ได้เห็นหน้าเพื่อนร่างโย่งมันก็ทำให้เขาสบายใจขึ้นมากแล้ว

     

    “เฮ้ยกลับแล้วเหรอ ไม่ค้างเหรอ”

     

    “ก็บอกแล้วไงงานยังไม่เสร็จ”

     

    “เดี๋ยวช่วย” ชานยอลลุกขึ้นมาดึงกระเป๋าอีกคนไว้ ทั้งคู่ยื้อกันไปมาจนแพคฮยอนอ่อนใจ และในที่สุดก็ต้องยอม

     

    “ถ้าไม่ช่วยมึงตาย” นั่นเป็นคำสั่งเสียก่อนที่คนตัวเล็กจะวางกระเป๋าเป้ลงแล้วพาตัวเองเข้าไปอาบน้ำ ทิ้งปาร์คชานยอลได้แต่มองตามหลัง แล้วรื้อหนังสือ กับโน้ตบุ๊คของคนตัวเล็กออกมาจากกระเป๋าเพื่อเตรียมไว้ให้

     

    “เห็นไหมฉันดูแลนายดีขนาดนี้ ยังจะมีใครดีกว่าฉันอีก” คนตัวสูงงึมงำกับตัวเอง แล้วก็ซบหน้าลงกับท่อนแขนอย่างอ่อนแรง....

     

    ++++++++++++++++++++++++

     

    เที่ยงคืนแล้ว.....แต่เขายังนอนไม่หลับ ร่างสูงกว่า 185 ซม. นอนก่ายหน้าผากเงยหน้ามองฝ้าเพดานสีตุ่น ๆ ของห้องตัวเองอยู่ เสียงลมหายใจของคนข้างกายคอยบอกว่าอีกฝ่ายคงหลับลึกไปแล้ว ซึ่งตรงกันข้ามกับเขาที่หลับไม่ลง

     

    เมื่อตอนหัวค่ำหลังจากที่แพคฮยอนเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ เขาส่งข้อความไปปรึกษาเพื่อนสนิทที่ปรึกษาเรื่องหัวใจของเขาอย่างคยองซู อีกฝ่ายยุเขาสารพัดให้เปิดเผยความในใจ แต่มันก็ไม่มีโอกาสเอาเสียเลย จนคนตัวเล็กหลับไปแบบนี้ คยองซูบอกเขาว่าถ้าไม่กล้าที่จะพูด ก็หาวิธีอื่น เขาคิดไตร่ตรองมากว่าค่อนคืนก็คิดได้ว่า เขามีบางอย่างที่อยากให้แพคฮยอนแต่ก็ยังไม่ได้ให้ บางทีเขาอาจจะมอบมันให้พร้อมคำสารภาพจากใจของเขา

     

    ชานยอลลุกจากเตียงด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด เขาเดินไปดึงกล่องใส่จานกระเบื้องที่เขาตั้งใจทำให้อีกฝ่าย แล้วจับมันใส่ถุงกระดาษที่หน้าตาพอดูดีที่สุดเท่าที่เขามี คนตัวสูงนั่งลงที่ข้างโต๊ะแล้วหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาเขียนข้อความสั้นๆ ใส่ลงไปในถุงนั้น....

     

    เขาได้แต่คาดหวังว่าคนได้รับข้อความจะเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อถึง....ข้อความที่เขาต้องใช้ความกล้าที่จะไปให้

     

    +++++++++++++++++++++

    พยอนแพคฮยอนกำลังนั่งมองจานกระเบื้องสีน้ำตาลแดงที่วางอยู่ตรงหน้า ข้างๆ กันมีกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ วางอยู่ ของเหล่านี้เขาได้มาจากไอ้โย่งปาร์คชานยอล ที่เจ้านั่นยื่นให้เขาก่อนจะแยกไปซ้อมดนตรี หลังจากที่มาจากหอด้วยกัน

     

    ของพวกนี้มันกำลังทำให้เขาใจเต้นราวกับกินเครื่องดื่มชูกำลังไปเกินขนาด.....

     

    จานกระเบื้องที่มีลวดลายคล้ายกับแก้วกาแฟใบที่เขาเพิ่งซื้อมา ใบที่เขาอยากให้มันมีจานรองแก้วหนักหนาแต่ตอนนี้มันมีแล้วล่ะ ถึงแม้ลวดลายมันจะดูไม่สวยเท่า และสีที่ลงก็ดูไม่สม่ำเสมอ ซึ่งมันก็บอกได้ว่าฝีมือคนทำนั้นคงไม่ใช่มืออาชีพ

     

    ในถุงนั้นมีกระดาษโน้ตที่มีลายมือไม่เรียบร้อยเป็นเอกลักษณ์ของปาร์คชานยอลติดมาด้วย

     

    กระดาษนั้นบรรจุข้อความที่บอกว่าเจ้าโย่งนั้นเพนท์จากรองแก้วใบนี้ให้เขา เพราะอยากให้เขามีจานรองแก้วอย่างที่อยากได้

    ข้อความที่บอกว่า ถ้าแพคฮยอนเป็นแก้ว ปาร์คชานยอลก็อยากเป็นจานรองแก้ว ที่จะอยู่เคียงข้างกันและคอยดูแลช่วยเหลือแก้วให้ไม่เป็นอันตรายใด ๆ จนกว่าจานรองแก้วอย่างเขาจะแตกสลายไป

    ข้อความในบรรทัดสุดท้ายที่บอกว่า ถึงเขาจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่เขาเห็นพยอนแพคฮยอนเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับเขา....

     

    พยอยแพคฮยอนไม่ใช่คนโง่นะ........ แต่ในเวลานี้เขาไม่อยากตีความข้อความ และการกระทำเหล่านี้พลาดไป....

     

    นี่มันเกินไปสำหรับความหมายแค่เพื่อนกัน... ของที่เขาเคยคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่อีกฝ่ายกลับให้ความสำคัญ...มันทำให้เขาแทบสะอึกตอนหยิบมันออกมาจากถุง

     

    เรื่องบางเรื่องที่เขาเคยสะกิดใจ มันเริ่มกลับมาลอยฟุ้งในอกราวกับใครมากวนตะกอนที่ตกอยู่ให้ลอยขึ้นมา เรื่องเก่า ๆ ที่เคยชาชินมันเริ่มเป็นภาพร่างที่เด่นชัด และมันทำให้เขาแทบใจหาย

     

    นี่เขาเข้าใจยาก สายตาไม่ดี หรือแกล้งปิดใจกันนะ ถึงไม่เคยคิดจะรับรู้ ทั้ง ๆ ที่คนนอกอย่างคริสฮยองยังเคยเผลอพูดให้เขาสะดุ้ง แต่เขาก็ทำไม่ใส่ใจ..

     

    บางทีปาร์คชานยอลคงต้องมาอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เขาเข้าใจมากกว่านี้แล้วล่ะ เพราะเขามันสมองทึบ สายตาไม่ดี และบางทีก็เข้าใจยากจริงๆ 
     

    TBC.

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    ไม่ีจบง่าย ๆ จริงๆ ด้วย หากแต่ตอนนี้พ่อคนป๊อด ก็ได้พยายามสุดชีิวิตแล้วล่ะ เหลือลุ้นว่าคนรู้ตัวช้าจะว่ายังไงบ้าง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×