ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO Fiction] KISS GOODBYE [Kris+Lay,Krislay]

    ลำดับตอนที่ #8 : KISS GOODBYE [Chapter 7]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.91K
      9
      8 มิ.ย. 56

    Titile: KISS GOODBYE [Chapter 7]
    Author: Angel Midori
    Genre: Romantic Drama
    Rating: PG
    Pairing: KrisLay


    Writer Talk : ตอนนี้ขอไม่คุยอะไรมากนะคะ ลงตอนดึกแล้ว เพียงแต่จะบอกไว้ว่าตอนหน้าเปิดมามี NC อะคะ ถ้ายังไงจะขอ NC ไว้อ่านก่อนเลยก็ให้ลง อีเมล์เอาไว้ที่หน้านี้ chapter 7 หรือ chapter 8 ก็ได้คือขอตอนปุ้มลงตอนใหม่แล้วเลือกได้สอง chapter ขอย้ำนะคะ ว่าลงอีเมล์ด้วยไม่ลงจะส่งให้ไม่ได้ แล้วอย่าลงเมล์อย่างเดียวนะคะไม่งั้นอาจงอน 555


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     

    ในห้องโดยสารที่เงียบงันของพาหนะคันหรูที่กำลังบดล้อวิ่งผ่านถนนของหมู่บ้านเล็กๆ และกำลังลัดเลาะผ่านเขตชุมชนเข้าสู่เส้นทางที่มีไร่ชาเขียวอยู่สองข้างทาง ซึ่งเมื่อทิ้งสายตาไปไกลๆ ก็จะเห็นยอดชาชูใบสีเขียวจัดสะท้อนกับแสงอาทิตย์ ราวกับพื้นพรมสีเขียวสุดลูกหูลูกตา

     

    ในห้องโดยสารไม่มีบทสนทนาจากคนที่นั่งอยู่ นอกจากประโยคบอกทางเสียงแผ่วจากคนที่เคยอยู่อาศัยที่นี่เท่านั้น

     

    “เลี้ยวซ้ายข้างหน้าก็ถึงแล้วฮะ” อี้ชิงเอ่ยบอกกับคริสก่อนที่เขาจะหักเลี้ยวตามที่เด็กหนุ่มบอก และเพียงครู่เดียวเขาก็เห็นป้ายของสถานศึกษาอยู่ด้านซ้ายมือ

     

    “ที่นี่ใช่ไหม?

     

    “ใช่ฮะ”

     

    อี้ชิงมองไปที่อาคารสีขาวเบื้องหน้า หัวใจของเขาเต้นช้าลงราวกับหยุดนิ่ง วันเวลาที่เคยใช้กับสถานที่แห่งนี้กำลังไหลย้อนกำซาบคืนมาช้า ๆ

     

    ไม่รู้ว่าตอนนี้เพื่อนๆ ของเขาจะเป็นเช่นไรบ้าง ตอนนี้เทอมสุดท้ายแล้วทุกคนคงยุ่งกับการเตรียมตัวเพื่อจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยกัน

     

    แต่อี้ชิงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว

     

     

    “ผมมาติดต่อธุระเรื่องเอกสารรับรองครับ” นายแพทย์หนุ่มเปิดกระจกรถ และแจ้งความประสงค์ของตัวเองกับป้อมยามหน้าโรงเรียนก่อนที่จะแลกบัตรเข้าไปสู่ในตัวโรงเรียน

     

    รถยนต์คันหรูค่อยๆ แล่นผ่าน สนามกลางของโรงเรียนที่ตอนนี้ไม่มีนักเรียนมากนัก เพราะคงเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังเรียนอยู่ มีเพียงเด็กกลุ่มหนึ่งที่น่าจะเรียนวิชาพละศึกษากำลังวิ่งอยู่ในสนามบอล

     

    “แล้วไปยังไงต่อ” คริสอู๋เอ่ยถามเด็กหนุ่มข้างตัวที่นั่งเหม่ออยู่ อี้ชิงสะดุ้งเบาๆ ก่อนที่จะดึงสติตัวเองกลับมายังประโยคคำถาม

     

    “เราคงต้องไปห้องทะเบียนฮะ”

     

    “แล้วมันอยู่ตรงไหน”

     

    เด็กหนุ่มชี้นิ้วไปยังอาคารที่อยู่เบื้องหน้าลานจอดรถขนาดเล็กที่คริสเพิ่งหยุดรถ

     

    “เธอจะไปเองหรือให้ฉันไปด้วย”

     

    คำถามของนายแพทย์หนุ่มนั้นทำให้อี้ชิงต้องคิดหนัก.......

     

    เขาไม่อยากรบกวนคุณหมอมากกว่านี้ หากแต่อีกใจก็นึกอยากให้ไปด้วย เพราะอี้ชิงไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรยังไงกับเรื่องแบบนี้

     

    “เออ...........”

     

    “ฉันไปด้วยดีกว่า นั่งในรถเฉยๆ ไม่รู้จะทำอะไร” คริสอู๋กล่าวพลางดึงเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว แล้วก้าวลงจากรถทันที การกระทำเหล่านั้นทำให้อี้ชิงที่ไม่ทันตั้งตัวต้องรีบกุลีกุจอลงจากรถตาม

     

    ชายหนุ่มพยักพเยิดให้อี้ชิงนำเขาไป เด็กหนุ่มจึงเดินนำด้วยความไม่มั่นใจนัก อี้ชิงพานายแพทย์หนุ่มเดินขึ้นไปยังบริเวณชั้นสามห้องริมสุดซึ่งมีป้ายที่หน้าห้องบอกเอาไว้ว่าเป็นห้องฝ่ายทะเบียน

     

     

    “ฉันรออยู่ตรงนี้แล้วกัน”คริสชี้ไปที่ที่นั่งที่อยู่ด้านนอก ซึ่งคงไว้สำหรับคนที่มาติดต่อนั่งรอ อี้ชิงจึงจำเป็นต้องพยักหน้ารับ แล้วก็หันรีหันขวางอยู่พัก ก่อนจะตัดสินใจเข้าไปในห้อง

     

    ถึงยังไงอี้ชิงก็ยังเป็นแค่เด็กอายุ 17 การที่ต้องพูดคุยติดต่อเรื่องอะไรที่เป็นทางการมันก็ทำให้เจ้าตัวประหม่าได้ไม่น้อย แต่เขาจะหวังพึ่งใครไม่ได้ เขารู้ดีว่าการช่วยเหลือมาถึงขนาดนี้มันมากพอแล้ว

     


    คริสอู๋นั่งมองตามหลังเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้าไปในห้องที่อยู่เบื้องหน้า เขามองก็ดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังลังเล แต่เขาก็เลือกที่จะนั่งรออยู่ตรงนี้.......

     

    เพราะหน้าที่ ๆ เหลือเด็กคนนั้นควรต้องจัดการเอง เขาไม่อยากก้าวก่ายเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ หรือกับคนอื่นๆ มากกว่านี้ เพราะแค่นี้ก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำมันในฐานะอะไรแล้ว

     

    คริสรู้ว่าตัวเองตัดสินใจทำเช่นนี้ก็เพราะเรื่องมนุษยธรรม ในเมื่อเขารับรู้ว่าเด็กผู้ชายคนหนึ่งมีปัญหา และเขามีสิทธิจะหยิบยื่นทางออกให้ได้ เขาคงทำนิ่งเฉยไม่ได้ และอีกอย่างเขาก็อยากชดใช้ความผิด...กับการสนับสนุนให้เด็กวัยแค่นี้ต้องมาทำงานขายบริการ

     

    ฉะนั้นเรื่องที่เขาทำอยู่ คริสคิดว่ามันก็แค่เรื่องมนุษยธรรมเท่านั้น ....

     

     

    ศัลยแพทย์หนุ่มไล่สายตาไปเรื่อยๆ เขามองภาพชีวิตที่เคลื่อนไหวในมุมต่างๆ ของโรงเรียนแล้วพลันนึกว่า ตอนที่เลย์ยังเรียนอยู่ที่นี้ เด็กคนนั้นจะเป็นเช่นไร

     

    พูดน้อยแบบนี้ไหม ร่าเริงกว่านี้หรือเปล่า แล้วยิ้มมากกว่านี้หรือไม่

     

    “เออขอโทษค่ะ”

     

    เสียงแปลกหูที่ดังขึ้นดึงให้คุณหมอคริสออกสู่ภวังค์ ชายหนุ่มรีบหันหน้ามาตามเสียงก็พบหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างตัวเขา

     

    “ครับ”

     

    “คุณเป็นผู้ปกครองของอี้ชิงหรือคะ”

     

    “อะไรนะครับ” นายแพทย์หนุ่มเลิกคิ้วสงสัยกับคำถามเค้าได้ยินไม่ถนัด แต่กำลังคิดว่าอีกฝ่ายอาจกำลังหาคน แต่คงไม่ใช่เขา

     

    “เออคุณเป็นผู้ปกครองของเด็กที่เพิ่งเข้าไปในห้องทะเบียนเพื่อทำเรื่องขอเอกสารรับรองการศึกษาหรือเปล่าค่ะ”

     

    “เลย์เหรอครับ”

     

    หญิงสาววัยกลางคนยกคิ้วขมวดด้วยความข้องใจ ก่อนที่เธอจะค่อยๆ นึกได้ว่าเด็กชายในห้องอดีตลูกศิษย์ของเธอนั้นมีชื่อเล่นที่คนทั่วไปมักเรียกกันว่า เลย์ ซึ่งง่ายกว่าชื่อจริงของเด็กคนนั้น เธอเลยเผยรอยยิ้มขึ้นมาก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

     

    “ค่ะ เลย์ใช่ เด็กคนนั้นชื่อเลย์ คุณเป็นอะไรกับเขาคะ ใช่ผู้ปกครองไหมคะ”

     

    คำถามที่โยนมานั้นทำให้ชายหนุ่มตะกุกตะกักที่จะตอบ คำว่าผู้ปกครองคงใช้กับเขาไม่ได้ ส่วนเขาเป็นอะไรกับเด็กคนนั้น เขาก็นึกไม่ออก

     

    “เออ........ผมเป็นนายจ้างของเขาครับ” นายแพทย์หนุ่มพยายามหาคำอธิบายความสัมพันธ์ที่ใกล้เคียงที่สุดในเหตุการณ์เฉพาะหน้าอย่างนี้

     

    “อ๋อเหรอคะ แล้วคุณพาเด็กคนนั้นมาจัดการเรื่องเอกสาร เพื่อจะไปเรียนต่อใช่ไหมคะ”

     

    นายแพทย์หนุ่มจำเป็นต้องพยักหน้ารับไปก่อนเช่นกัน เขากำลังสงสัยว่าคนๆ นี้เป็นใคร และทำไมถึงมาซักถามเรื่องส่วนตัวเช่นนี้

     

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

     

    “เด็กคนนั้นโชคดีนะคะที่มีเจ้านายที่ใจดีแบบนี้ ดิฉันเสียดายเขามากที่หยุดเรียนไป เห็นเขาจะได้กลับมาเรียนก็ดีใจ เด็กคนนั้นเรียนดีมากเลยนะคะ”

     

    “อ๋อครับ”

     

    พอทราบเหตุผลจากอีกฝ่ายแล้ว คริสก็พอจะเริ่มเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นครูของเลย์

     

    “เขาน่าสงสารมากด้วยค่ะ พ่อแม่ก็ไม่มีแล้ว และยังไม่ได้เรียนต่ออีก ดิฉันขอบคุณแทนเขาด้วยแล้วกันนะคะ”

     

    “อ๋อไม่เป็นไรครับ เออแล้วคุณเป็นครูของเขาเหรอครับ”

     

    ผู้หญิงคนนี้ยิ้มให้กับคริสก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ให้ “ค่ะ ดิฉันเคยเป็นครูประจำชั้นของเขา”

     

    “อ๋อครับ”

     

    “เออ ดิฉันขอตัวก่อนแล้วกันนะคะ กำลังจะมีสอน” คุณครูท่านนั้นโค้งให้กับคริสเสียจนชายหนุ่มต้องรีบยืนมาโค้งรับ คริสมองตามหญิงวัยกลางคนท่านนั้นไปจนเธอเดินลับมุมตึก ทิ้งไว้แต่คำพูดเหล่านั้นยังวนเวียนให้คริสต้องนึกถึง

     

    เขาเคยเดาเอาไว้ว่าเลย์อาจเป็นเด็กกำพร้าจึงต้องมาใช้ชีวิตแบบนี้ หากแต่พอมาได้ฟังความจริงก็นึกใจหายและเห็นใจ

     

    เขาเองก็กำลังสงสัยเรื่องพ่อแม่ของเด็กคนนี้ว่าจากเจ้าตัวไปเช่นไร.....แต่เมื่อมานึกอีกทีเขาก็ไม่อยากรื้อฟื้นความรู้สึกแย่ของอีกฝ่ายขึ้นมา .... และเขาก็ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องของเด็กคนนี้ถ้าหากเลย์อยากเล่าอยากบอก คงเลือกเล่าเลือกบอกเรื่องพวกนี้ให้เขาฟังไปนานแล้ว

     

    >>>>>Kiss Goodbye<<<<<

     

    เด็กหนุ่มนั่งมองแผ่นกระดาษที่อยู่ในมือด้วยความรู้สึกสับสนปนเป ทั้งสุข ทั้งเศร้า อี้ชิงเคยคิดหลายหนที่จะกลับมาที่นี่เพื่อจะจัดการเรื่องนี้ หากแต่ก็ไม่มีโอกาส และเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะกลับมาเรียนได้ในเร็ววันนี้อีกด้วยจึงทำให้เขาปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปราวกับสายลม

     

    และตอนนี้คงต้องนึกขอบคุณ คนที่อยู่ข้างๆ ที่พาเขามา กระดาษที่มีผลการเรียน และลายเซ็นต์ของผู้อำนวยการโรงเรียนนั้น ทำให้เด็กหนุ่มสัญญากับตัวเองว่าเขาจะนำมันมาใช้ให้สมดั่งความตั้งใจของคนที่ช่วยเหลือเขาให้ได้สักวัน

     

     

    หากแต่วันนี้ สิ่งที่คุณหมอคริสทำให้กับเขานั้นยิ่งตอกย้ำให้เด็กหนุ่มรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนดี และเป็นคนดีมากเสียด้วย

     

     

    แล้วเพราะเป็นเช่นนี้ จึงไม่ยากที่จะทำให้เขาตกหลุมรักคุณหมอได้มากขนาดนี้

     

     

    ก่อนหน้านี้คุณหมอเคยบอกเขาว่าที่เลือกเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งก็เพราะรายได้ดี แต่อี้ชิงรับรู้ได้ว่าไม่ใช่แค่นั้น เพราะถึงงานที่คลินิกจะเยอะแค่ไหน แต่คุณหมอก็ยังเลือกจะทำงานที่โรงพยาบาล เพราะที่นั้นคุณหมอจะได้ช่วยเหลือคนที่ต้องการรับการรักษาจริงๆ ไม่ใช่มาหาหมอเพียงเพราะต้องการปรับแต่งรูปหน้า หรือรูปร่างเพื่อเพิ่มความสวยงามเท่านั้น

     

    คุณหมอเคยเล่าถึงความทุกข์ยากของคนที่ได้รับบาดเจ็บแล้วต้องรับการผ่าตัดตกแต่งให้ฟังอยู่บ้าง และมันทำให้อี้ชิงจับต้องได้ว่า คุณหมอเลือกทำมันเพราะอยากช่วยเหลือคนอื่น

     

    คุณหมอคริสเป็นคนใจดี หากแต่เลือกที่จะไม่แสดงออกหรือพูดมันออกมาตรงๆ

     

    “วันนี้เราพักแถวนี้ก่อนแล้วกัน”

     

    “ฮะ”

     

    เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมา ทำให้อี้ชิงเผลอตอบรับกลับไป เพราะตัวเองยังมัวแต่เหม่อคิดถึงเรื่องของอีกฝ่ายอยู่ และไม่ทันที่อี้ชิงจะถามย้ำ คนเสียงนุ่มก็ถามคืนกลับมาเสียแล้ว

     

    “แถวนี้มีโรงแรมที่ไหนบ้าง เอาดีๆ หน่อย เธอแนะนำได้ไหม”

     

    “เออ ถ้าอย่างนั้นคงต้องขับเข้าไปในเมืองฮะ”

     

    “ก็ดี”

     

    นายแพทย์หนุ่มหักรถเลี้ยวกลับไปตามเส้นทางที่เจ้าเครื่อง GPS ได้แนะนำไว้ อี้ชิงยังคงจับจ้องเสี้ยวหน้าหล่อเหลานั้นอยู่

     

    พลางคิดว่าจะทำอะไรได้บ้างที่จะตอบแทนความช่วยเหลือที่แสนซาบซึ้งนี้

     

    >>>>>Kiss Goodbye<<<<<

     

    เสียงลิฟท์โดยสารแจ้งบอกชั้น ก่อนที่มันจะเปิดออกตามความต้องการของผู้ที่โดยสารมา ศัลยแพทย์หนุ่มเลือกที่จะหิ้วกระเป๋าเดินทางของเขาเองโดยไม่ใช้บริการพนักงานของทางโรงแรม ซึ่งทำให้อี้ชิงก็ต้องทำเช่นเดียวกัน

     

    คุณหมอคริสดูอารมณ์ดีมาก เขาเดินผิวปากเบาๆ พลางเหลือบมองเลขห้องให้ตรงกับคีย์การ์ดที่ได้รับมา

     

    หากแต่คนเดิมตามกลับมีแววตาประหม่าปนอยู่

     

    “เจอแล้ว” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ย ก่อนที่สอดคีย์การ์ดเข้าไปที่ประตูบานที่มีเลขห้อง 153 ประดับอยู่

     

    จางอี้ชิงเดินตามเข้าไปในห้องนั้น คนตัวเล็กกวาดตามองไปรอบๆ ห้องพัก ที่นี่ไม่ได้หรูหรามาก หากแต่ก็ดีมากแล้วสำหรับอี้ชิง

     

    และครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่อี้ชิงได้เข้าพักในโรงแรม ครั้งแรกนั้นคนที่พาเขาไปก็คือคนตรงหน้าเช่นกัน

     

    พอกลับมานึก เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน อี้ชิงพบกับคนๆ นี้มาเกือบ 8 เดือนแล้ว เป็น 8 เดือน ที่มีเรื่องราวหลายอย่างที่พลิกผันชีวิตของอี้ชิงจนแทบนึกไม่ออกว่าจะเกิดขึ้นได้กับเขา

     

    เด็กหนุ่มค่อยๆ เดินเข้าไปวางกระเป๋าเคียงข้างกับกระเป๋าสีดำของคุณหมอซึ่งวางไว้หน้าเตียงหลังใหญ่ ตอนนี้คุณหมอคริสเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้ว หากแต่อี้ชิงกลับเลือกจะทรุดนั่งลงกับเตียงนิ่ม

     

    นั่งเพื่อจะตัดสินใจว่าสิ่งที่คิดจะทำนั้นควรจะทำไหม ที่ผ่านมาถึงเขากับอีกฝ่ายจะมีสัมพันธ์กันลึกซึ้ง แต่อี้ชิงก็ไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน

     .

    .

    .

    “หิวอะไรหรือเปล่า”

     

    คุณหมอหนุ่มเดินออกมาจากห้องน้ำ โดยในมือถือผ้าขนหนูพื้นเล็กติดมาด้วย บนรูปหน้ายังมีหยดน้ำเกาะจนไหลลงบนเสื้อโปโลสีขาว ชายหนุ่มเช็ดซับราวกับไม่ใส่ใจกับความปราณีต และอี้ชิงก็นั่งจ้องมองภาพนั้นด้วยแววตาสั่นไหว

     

    “ไม่ฮะ”

     

    อี้ชิงตอบคำถามนั้นเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นมายืนเบื้องหน้าของคนตัวสูง ร่างขาวจัดจับผ้าผืนที่คุณหมอคริสกำลังเช็ดหน้าอยู่ออกจากมือใหญ่ และค่อยๆ ดึงมันมาไว้ในมือของตัวเอง

     

    คริสขมวดคิ้วกับท่าทางแบบนั้น หากแต่ความสงสัยก็หายไปเมื่ออี้ชิงซับผ้าผืนนั้นลงกับข้างแก้มของเขา เด็กหนุ่มค่อยๆ ซับผ้าเนื้อนิ่มไปตามโครงหน้าของเขาด้วยท่าทางตั้งใจและอ่อนโยน การกระทำเหล่านั้นทำให้คนที่ถูกปรนนิบัติอยู่อดยิ้มบางๆ ไม่ได้

     

    อี้ชิงมองเห็นรอยยิ้มนั้น มองเห็นแววตาเอ็นดูที่กำลังมองเขาอยู่ เด็กหนุ่มจึงคล้องแขนตัวเองกับไหล่กว้าง ก่อนจะยืดตัวขึ้นเพื่อประทับจุมพิตกับรอยยิ้มนั้น จูบเบาๆ ราวกับสายลม จูบที่เหมือนจะถ่ายทอดว่าตัวเองแสนมีความสุขกับรอยยิ้มและสายตาที่ได้รับมากแค่ไหน

     

    และเมื่อประทับรอยจุมพิตแล้ว เด็กหนุ่มก็ยังคงไม่ละไปไหนไกล ริมฝีปากนุ่มนิ่มนั้นยังคลอเคลียอยู่ข้างแก้มของคุณหมอรูปหล่ออยู่

     

    คริสอู๋แปลกใจกับสิ่งที่อี้ชิงกระทำ หากแต่เขาก็ไม่นึกขัด เพราะรู้สึกดีกับสัมผัสที่ได้รับ

     

    ชายหนุ่มปล่อยให้อี้ชิงไล้ริมฝีปากไปทั่วใบหน้าของเขาด้วยความเคลิบเคลิ้ม จนกลีบปากอิ่มนั้นกลับมาทักทายที่ริมฝีปากของเขาอีกครั้ง หากแต่มันแตกต่างจากครั้งแรก เพราะตอนนี้คนตัวเล็กกำลังไล้เลียริมฝีปากของเขาจนเสียวซ่าน และสักพักฟันซี่เล็กๆ นั่นก็ขบเม้นเบาๆ ที่กลีบปากล่างของคริสราวกับเรียกร้องรสสัมผัสที่ดูดดื่มกว่านี้

     

    เมื่อเรียกร้องขนาดนี้ มีหรือที่จะไม่ตอบสนอง

     

    คริสอู๋แนบริมฝีปากลงกับกลีบปากสีกุหลาบ และเมื่อถูกตอบรับอี้ชิงก็ยิ่งรุกเร้า คนตัวเล็กโหมจูบไล่จนอีกฝ่ายครางเสียงนุ่มในลำคอ จูบที่ราวกับกระหายจนอีกฝ่ายต้องตอบสนองด้วยความกระหายอยากไม่ต่างกัน และจนเมื่อลิ้นเล็กเริ่มเกี่ยวพันกับลิ้นของร่างสูง คนถูกไล่จึงรุกกลับบ้าง

     

    คริสโอบเอวเล็กและรั้งจนแนบสนิทกับกายแกร่ง เขาพลิกให้หลังของเด็กหนุ่มปะทะกับความเย็นเยียบของพื้นผนัง คริสสอดลิ้นเกี่ยวพันจนเด็กหนุ่มหายใจกระชั้น หากแต่อี้ชิงก็ไม่ยอมที่จะละจากจุมพิตที่เต็มไปด้วยรสแห่งความปรารถนา

     

    จูบแนบจูบ สัมผัสแนบสัมผัส มือไม้ต่างเคล้นคลึงผิวกายของอีกฝ่ายด้วยความโหยหา กายที่แนบชิดไม่ต่างจากใบหน้าที่คลอเคลียกันจนอากาศมิอาจผ่านไปได้

     

    และหากเมื่อใดที่คริสละริมฝีปากออกเพื่อให้อีกฝ่ายได้หายใจ คนตัวเล็กก็จะรุกไล่เรียกร้องสัมผัสราวกับอยากให้จุมพิตนั้นเป็นนิรันดร์

     

    และด้วยรสชาติหวานซ่านที่อีกฝ่ายกำลังปรนเปรอให้ จึงทำให้คริสลืมไปเสียสิ้นว่า....

    เด็กหนุ่มนั้นเคยอ่อนเดียงสากับเรื่องพวกนี้เสียจนไม่เคยแสดงความปรารถนาเช่นนี้มาก่อน..

    ซึ่งแตกต่างจากการกระทำตอนนี้ลิบลับ...แตกต่างจนถ้าคิดนึกคงอยากที่จะรู้เหตุผล

     

    >>> TBC <<<


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×