คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : [ChanBaek Fiction] Mug & Saucers [Part 4]
Author: Angel Midori
Rating: PG
Pairing:ChanBaek
แต่งจนจบตอนก็เพิ่งนึกได้ว่าพระนางฉันยังไม่ได้เจอหน้ากันเลยนิตอนนี้ -"- แต่ตอนหน้าจะไคลแมกซ์แล้วล่ะค่ะถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดตอนหน้าก็จะจบแ้ล้วล่ะค่ะ ถ้ายังไม่ก็ไม่เกินอีกตอนแน่ๆ 5555
ปล.ขอแอบเปลี่ยนวิธีเขียนชื่อของแพคกี้หน่อยนะคะส่วนตัวติดเรียกน้องว่าแพคฮยอนมากกว่าเลยเปลี่ยนมาเขียนตามที่ตัวเองเรียกจะถนัดกว่า
ปล2.ปุ้มเอาฟิค คริสเลย์ไปลงไว้ที่ KrisLay Fiction By KrisLay's Cottage นะคะ แต่เรื่องเหมือนกันเผื่อใครเห็นแล้วงง ๆ แต่ถ้าใครเคยอ่านฟิคไคลู่ By Your Side แล้วปุ้มเคยบอกว่าได้แรงบันดาลใจมากจากฟิคคริสเลย์ของเพื่อน ก็ลองไปตามอ่านฟิคเรื่องที่ว่าได้ที่นี่เช่นกันนะคะ http://writer.dek-d.com/dek-d/story/view.php?id=869977
----------------------------------------------------------------------------------------
“เสร็จแล้วนิ” โดคยองซูเอ่ยขึ้นมาหลังจากลงมานั่งที่ม้าหิน และชะโงกหน้าไปมองของที่อยู่ในมือของเพื่อนร่างสูง และพอชานยอลได้ยินเขาก็เงยหน้าขึ้นมาจากของในมือแล้วพยักหน้า
“แต่ไม่รู้มันดีไหม นายดูทีซิว่ามันโอเคหรือเปล่า” ชานยอลวางพู่กันลงพร้อมกับยื่นจานกระเบื้องในมือให้เพื่อนตัวเล็กดู คนตาโตก็ก้มมองพิจารณาแล้วก็พยักหน้าถี่ๆ
“สวยดีนิ”
“เหรอ ไม่มั่นใจเลย ฉันว่าฉันลงสีไม่ดี”
“แต่ฉันว่ามันโอเคแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นดูทีซิว่ามันเข้ากันไหม” ชานยอลวางจานกระเบื้องลงบนโต๊ะแล้วเขาก็เปิดหน้าจอมือถือเลื่อนหาภาพถ่ายแล้วยื่นให้คยองซูดู เพื่อนตัวเล็กหันซ้ายทีขวาทีดูรูปจากมือถือเปรียบเทียบกับเจ้าจานกระเบื้องที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ก็ดูเข้ากันนะ ฝีมือชานยอลดีออก”
“เหรอ?”
“อืม”คนตาโตพยักหน้าหงึกหงัก แล้วยิ้มกว้างให้ ซึ่งมันทำให้ความมั่นใจของปาร์คชานยอลมีมากขึ้นโข
“ขอบใจมาก” ชายยอลถอนหายใจแล้วยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงกันเป็นแผง
“แล้วต่อไปนายจะทำยังไงต่อชานยอล”
“ก็เหลือแต่เอาไปเคลือบแล้ว”
“แล้วเมื่อไหร่นายจะให้เจ้านั่น” เจอคำถามนี้ไป ปาร์คชอนยอนก็หุบยิ้มแทบไม่ทัน แล้วก็พ่นลมหายใจเบาๆ
“ไม่รู้ซิ”
“รีบๆ ให้เหอะ ฉันว่าเจ้านั่นต้องดีใจแน่ๆ”
“เฮ้อ!! จริงเหรอ บางทีเขาอาจหัวเราะฉันก็ได้ หรือไม่ก็ด่าเพราะว่าหน้าตามันแย่”
“จะบ้าเหรอ” โดคยองซูอุทานเสียงดังก่อนจะเอาสมุดโน้ตเล่มบางตีเบาๆ ลงไปที่เรือนผมสีอ่อนของคนตรงหน้า “เป็นฉันนะถ้าได้แบบนี้ฉันต้องดีใจมากแน่ๆ ก็นายอุตสาห์ทำให้นี่ อย่าคิดมากซิ”
“อืมม” ชานยอลถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเอนพิงหลังไปกับเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่
“รีบๆ ล่ะ อยากรู้แล้วล่ะเจ้านั่นจะว่ายังไงตอนเห็นมัน”
“ก็ว่าจะรีบให้ มันไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่ ก็อุตสาห์ทำจนเสร็จแล้วยังไงก็ต้องให้”
“อืมดีแล้ว”คยองซูยิ้มกว้างให้อย่างน่ารัก จนชานยอลอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบ อย่างน้อยกำลังใจดีๆ จากคยองซูก็ช่วยให้เขากล้าขึ้นบ้างถึงแม้ตอนนี้เขาจะรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมันดูผิดที่ผิดทาง และผิดเวลาก็ตาม..
แพคฮยอนเหลียวมองร้านค้าข้างทางด้วยความรู้สึกสนอกสนใจ จนสายตาไปสะดุดเข้ากับร้านขายเสื้อยืดร้านหนึ่งที่ดูเหมือนเจ้าของร้านจะออกแบบเอง เพราะมันดูหน้าตาแปลก แต่ลายเป็นแนวเดียวกันทั้งร้าน แพคฮยอนหยุดฝีเท้าและตั้งใจจะหันไปบอกคนที่มาด้วยให้แวะ แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายเดินนำเขาไปแล้ว
“คริสฮยอง ๆ ผมขอแวะร้านนี้ก่อนนะฮะ”คนตัวเล็กตะโกนเรียกรุ่นพี่ร่างสูงที่เดินห่างตัวเขาไปกว่าช่วงตัว คริสหันมาแล้วพยักหน้ารับรู้ คนตัวเล็กจึงรีบเดินเข้าไปดูเสื้อในร้านที่เล็งเอาไว้ ส่วนอี้ฟ่านเลือกจะยืนรออยู่นอกร้าน
“ตัวนี้ลายเท่ห์ แต่ตัวนี้สีสวย” แพคฮยอนยกเสื้อสองตัวมาเปรียบเทียบ เพราะเกิดถูกใจทั้งคู่ แต่เขาอยากซื้อแค่ตัวเดียว หากแต่พอจะหันไปหาคนช่วยตัดสินใจก็พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้เดินตามเขาเข้าร้านมา
คริสฮยองไม่เหมือนปาร์คชานยอล ถ้าเป็นปรกติเจ้าเพื่อนร่างโย่งคงเดินตามเข้ามาจนแทบจะสิงร่าง คอยพูดนั่นพูดนี่ คอยช่วยเขาตัดสินใจ แต่กับรุ่นพี่คริสต่างออกไป และเป็นความต่างที่แพคฮยองไม่คุ้นเอาเสียเลย
ไม่ใช่ว่าคริสฮยองจะไม่ดี เพียงแต่คริสฮยองดูจะสุขุม นิ่งเงียบ เป็นผู้ใหญ่ และจริงจัง คริสฮยองดูมีความเป็นผู้ชายในมุมที่เป็นผู้ชายมากเสียเหลือเกิน ซึ่งบางทีแพคฮยอนก็ไม่ชิน ก็ในกลุ่มเพื่อนฝูงส่วนใหญ่ของเขามีแต่พวกบ้าๆ บอๆ พูดมาก สนุกสนาน เขาไม่ชินกับผู้ชายที่ดูเหมือนเจ้าชายเลยสักนิด และมันยิ่งทำให้เขาคิดถึงเพื่อนสนิทอย่างปาร์คชานยอล บางทีเขาอาจจะเหมาะกับคนแบบนั้นมากกว่า
“เอาตัวนี้ฮะ” แพคฮยอนตัดสินใจยื่นเสื้อตัวที่เขาชอบลายตั้งแต่เห็นนอกร้านให้กับคนขาย แล้วพอจ่ายเงินเรียบร้อยเขาก็เดินออกมา
“เรียบร้อยไหม” คริสหันมาถามเมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินออกมาจากร้านแล้ว
“ฮะ”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวไปหาอะไรกินกัน” คนตัวสูงเอ่ย แล้วก็ก้าวเท้าเดินนำแพคฮยอนไป วันนี้เขาสองคนออกมาดูหนังกัน เป็นหนังแอคชั่นที่แพคฮยอนอยากดู ก็เลยชวนอีกฝ่ายมาเป็นเพื่อนเพราะเพื่อนคนอื่นในกลุ่มไปดูกันหมดแล้ว
แพคฮยอนเดินสาวเท้าตามร่างสูงๆ ไป สายตาของคนตัวเล็กยังคงมองข้างทาง สลับกับแผ่นหลังของคนข้างหน้า
ทำไมนะเขาถึงรู้สึกเหมือนว่าสถานที่เดิมๆ ที่มาประจำ มันกลับกลายไม่คุ้นเคยกับเขาเอาเสียเลยในตอนนี้
เสียงผู้คนที่เคยดังเซ็งแซ่ค่อยๆ ซาลงหลังจากเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเย็น ดวงตะวันสีส้มเริ่มจะเฉียดใกล้กับขอบฟ้า คลาสเรียนส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยก็มักเลิกกันแล้ว จะมีที่ยังมีเรียนกันอยู่ก็อยู่กันในแลปเสียมากกว่า จะเหลือก็มีพวกนักศึกษาขากิจกรรมทั้งหลายที่ต่างยังอยู่ในห้องชมรมของตัวเอง มีเหลือเพียงส่วนน้อยนักที่ยังนั่งเตร็ดเตร่กันอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัย
ที่โต๊ะนั่งม้าหินหลังคณะศิลปกรรม มีคนจับจองนั่งอยู่เพียงสองโต๊ะจากจำนวนร่วมสิบ ที่โต๊ะตัวหน้าสุดโดคยองซูนั่งเคาะปากกากับกระดาษบรรทัด 5 เส้นราวกับคนคิดอะไรไม่ออก ส่วนด้านตรงข้ามมีพยอนแพคฮยอน กำลังนั่งฟังเพลงและทำเสียงงุ๊งงิ๊งเบาๆ เหมือนร้องตามอยู่
“คยองซู ชานยอลไปไหน” แพคฮยอนปลดหูฟังออกจากหูตัวเอง แล้วยื่นหน้าไปมองตัวโน้ตบนบรรทัด 5 เส้นของคยองซู
“ไปซ้อมดนตรีกับวง”
“ไม่เห็นเจ้านั่นบอกฉันเลย พอเรียนเสร็จก็หายไปซะงั้น”
“มันบอกเมื่อเช้าไงว่าต้นเดือนหน้ามีแข่งเลยต้องอยู่ซ้อมทุกเย็น”
“ทำไมไม่เห็นรู้” แพคฮยอนเงยหน้าแล้วยู่ปากอย่างที่มองก็ดูออกว่ากำลังงอน
ก็จะไม่ให้คนตัวเล็กงอนได้อย่างไรในเมื่อเขาเป็นเพื่อนสนิทแท้ๆ เจ้าโย่งนั่นไม่เห็นบอกอะไรเขาเลย
“ก็เมื่อเช้าแพคกี้ไม่อยู่”
“เมื่อวานเจอกันไม่เห็นบอก” แพคฮยอนยังปั้นหน้ามู่ทู่อยู่
“เห็นบอกว่ารุ่นพี่เพิ่งโทรมาคุยเมื่อคืน แล้วเมื่อเช้านายไปไหนถึงไม่มาพร้อมชานยอลล่ะ”
“อ๋อ คริสฮยองมารับ” แพคฮยอนตอบโดยที่สีหน้ายังคงหงุดหงิดไม่พอใจอยู่ คยองซูทำได้แต่ส่ายหัวเบาๆ
ในฐานะที่เขาเป็นคนกลางเห็นแบบนี้ถึงอยากจะพูดจะบอกอะไรก็ทำไม่ได้ อยากจะทำตัวเป็นเข็มทิศชี้ทางให้กับเพื่อนสองคนจะได้รู้ใจตัวเองก็ทำได้แต่เก็บเงียบ เห็นแบบนี้ก็นึกอยากจะพูดบอกกันตรงๆ ไปเลยด้วยซ้ำเผื่อบางทีคนที่ไม่เคยคิดอะไรจะได้คิดได้บ้าง
“แล้วนี่ถามหาชานยอลทำไมเหรอ”
“อยากแกะเพลง จะให้เจ้านั่นเอากีตาร์มาแกะเพลงให้” แพคฮยอนตอบ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเหมือนอ่านข้อความ พออ่านเสร็จคนตัวเล็กก็รวบกองหนังสือหน้าตัวเองลงกระเป๋า และปลดสายหูฟังพี่พาดไหล่อยู่ลงม้วน คยองซูดูท่าทางแล้วเห็นว่าแพคฮยอนคงกำลังเตรียมตัวกลับบ้าน
“ไปรอให้ชานยอลแกะเพลงให้ที่หอซิ”
“ช่างมันเหอะ เราไม่รู้จะกลับดึกหรือเปล่า”
“อ้าวจะไปไหนล่ะ?”
“จะออกไปหาอะไรกินกับคริสฮยองน่ะ นี่พี่เขามารอแล้ว เราไปก่อนนะ แล้วนี่คยองซูรอจุนมยอนอยู่ใช่ไหม หรือจะออกไปพร้อมเรา”
“ไม่เป็นไรเรานั่งทำงานอีกสักพัก รอจุนมยอนกับชานยอล แล้วจะกลับพร้อมกัน”
“อืมๆ ถ้าอย่างนั้นเราไปก่อนนะ” แพคฮยอนโบกมือบ๊ายบายให้เพื่อนตัวเล็กตาโต คยองซูส่งยิ้มให้แต่พอลับหลังแพคฮยอนเขาก็ลอบถอนหายใจ เห็นแบบนี้แล้วเขาชักสงสารชานยอลขึ้นทุกที ความหวังดูจะริบหรี่ขึ้นทุกวันถ้าชานยอลยังปล่อยให้เป็นแบบนี้อยู่
เขาชักเข้าใจมากขึ้นแล้วล่ะว่าบางทีคนเราจะมองเห็นอะไรไม่ชัดหากของนั้นอยู่ใกล้ตาจนเกินไป หากแต่เมื่อออกห่างในระยะที่ที่พอเหมาะก็จะมองของชิ้นนั้นชัดขึ้น หากแต่ถ้าไกลมากไปของชิ้นนั้นก็จะยิ่งเลือนจากสายตา
ก็เหมือนชานยอลตอนนี้นั่นแหละที่เพิ่งมองเห็นชัด แล้วเขาก็หวังที่จะให้แพคฮยอนมองชานยอลในระยะสายตาของตัวเองสักทีเช่นกัน
ก๊อกๆ
เสียงเคาะกระจกดังเบาๆ จากหน้าต่างฝั่งผู้โดยสาร มันปลุกให้คนที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ต้องหันไปมอง ภาพตรงหน้าเป็นใบหน้าน่ารักยิ้มฟันเรียงกันจนดวงตาเรียวเล็กยิบหยี คนตัวเล็กขยับปากที่อ่านได้โดยไม่ได้ยินเสียงว่ากำลังเรียกชื่อเขาอยู่
อู๋อี้ฟ่านกดปลดล็อกประตูรถ แล้วแพคฮยอนก็รีบเปิดประตูเข้ามาทันที
“รอนานไหมฮะ”
คริสส่ายหัวเป็นคำตอบแทน
“นี่ผมรีบมาเลยนะกลัวฮยองนั่งร้อนรอในรถ เดี๋ยวจะไม่หล่อ”
“นี่มันเข้าหน้าหนาวแล้ว และพี่ก็เปิดกระจก” อี้ฟ่านเถียงแล้วหัวเราะเบาๆ นับวันยิ่งคบหากันก็พบว่าแพคฮยอนเป็นเด็กตลก คนตัวเล็กช่างสรรหาคำพูดมาทำให้เขาขำได้เสมอ เจ้าตัวเป็นเด็กร่าเริง ขี้อ้อน จนคนที่เกิดเป็นลูกคนเดียวอย่างเขายังคิดว่าถ้ามีน้องชายหรือน้องสาวแบบนี้ชีวิตคงสนุกดี
แต่ถ้าถามเขาลึกลงไปกว่านั้นว่ามองอีกฝ่ายอย่างคนรักหรือยัง หัวใจมันก็ตอบได้ทันทีว่ายังไม่ใช่..
“ฮยองจะพาผมไปไหนวันนี้”
“ไปที่ ๆ แพคฮยอนชวนพี่ไปไง”
“ร้านแถวจองโน?”
“อืม” คนตัวเล็กยิ้มกว้างจนเห็นฟันสวย เห็นแล้วใครก็อยากตามใจ
อี้ฟ่านสตาร์ทรถและค่อย ๆ ขับเคลื่อนมาโดยที่คนตัวเล็กนั่งกดเลือกพลงจากไอพอดที่เจ้าของรถเสียบไว้ฟังในรถ หากแต่ยังไม่ทันพ้นมหาวิทยาลัย เสียงมือถือของอี้ฟ่านก็ดังขึ้นมา แพคฮยอนเหลือบมองเพราะมันวางอยู่ข้างเกียร์รถจึงเห็นชื่อที่ปรากฏชัดบนมือถือ
ลู่หาน
“ฮัลโหล มีอะไรลู่หาน”
“อะไรนะนายพูดช้าๆ ซิ”
“โอเคๆ ฉันจะรีบไป”
น้ำเสียงตกใจที่พูดรัวเร็วของอู๋อี้ฟ่านทำให้แพคฮยอนมองค้างด้วยความประหลาดใจ คนตัวสูงกลับรถทันทีจนแพคฮยอนไม่ทันตั้งตัวร่างเล็กถูกเหวี่ยงจนแทบติดกับประตูรถตอนสารถีร่างสูงหักเลี้ยวมันกระทันหัน
“มีอะไรฮะ”แพคฮยอนเอ่ยตามเมื่อตัวเองกลับมานั่งได้ตามปรกติแล้ว
“อี้ชิงบาดเจ็บ”
“แล้วเป็นอะไรมากไหมฮะ” คราวนี้อี้ฟ่านไม่ได้ตอบคำถาม เจ้าตัวกัดฟันจนเห็นแนวกรามชัด สายตาจับจ้องเพียงแต่ทางข้างหน้า แล้วพอเมื่อรถคันหรูพุ่งเข้าจอดได้ที่หน้าคณะศิลปกรรมที่ทั้งคู่เพิ่งจากมา อี้ฟ่านก็วิ่งลงจากรถทันที
แล้วมาถึงตอนนี้แพคฮยอนก็ไม่รู้จะทำยังไง จะทิ้งรถไปก็ไม่ได้เขาทำได้แต่ยืนมองแผ่นหลังกว้างที่วิ่งจนเสื้อสีขาวปลิดปลิวไปตามแรงลมที่เจ้าตัวปะทะ
“อี้ชิงเป็นยังไงบ้าง” อี้ฟ่านตะโกนถามเมื่อเห็นลู่หานยืนหน้าซีดอยู่ที่หน้าห้องซ้อมเต้น เจ้าตัวดูจะทำอะไม่ถูก ยิ่งเห็นแบบนี้ใจของอี้ฟ่านก็แทบหล่นวูบ
“อี้ชิงปวดหลังเขาขยับตัวแทบไม่ได้เลยฉันไม่รู้จะทำยังไง ฉันไม่กล้าพยุงเขาลงไป ฉันไม่เอารถมาด้วย” ลู่หานอธิบายไปวิ่งตามหลังอี้ฟ่านไป คนตัวสูงพุ่งไปเปิดประตูห้องภาพที่เขาเห็นคือร่างขาวๆ นอนราบกับพื้น วงหน้าหวานซีดจากที่เคยขาวมากอยู่แล้ว และมันยิ่งดูน่ากลัว แนวฟันกดลงกับริมฝีปากล่างจนดูช้ำ เขามองก็รู้ว่าคนตรงหน้าคงเจ็บปวดมาก
“เจ็บมากไหม” อี้ฟ่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงอาทร เค้าเกลี่ยปลายนิ้วกับเรือนผมชื้นเหงื่อ คนตัวเล็กยังใส่แค่เสื้อกล้าม กางเกงวอร์มคงเจ็บเพราะซ้อมเต้นอีกแล้ว
อี้ชิงไม่ได้ตอบเขา คนหน้าหวานแค่เหลือบตามองด้วยดวงตาแดงกล่ำ และยิ่งกัดปากหนักขึ้นไปอีก
“เจ็บตรงไหน ขยับตัวได้หรือเปล่า”
คราวนี้อี้ชิงพยักหน้า แล้วชี้ไปที่ช่วงเอว
อี้ฟ่านถอนหายใจเบาๆ โรคเก่าประจำตัวของจางอี้ชิงกำเริบอีกแล้วซินะ ทั้งๆที่หมอย้ำเตือน อยู่เรื่อยๆ ว่าอย่าหักโหมแต่ดูเหมือนจะห้ามคนป่วยยากเหลือเกิน
“ลู่หานมาช่วยประคองที ฉันจะอุ้มอี้ชิง” คริสสั่งก่อนจะจับมือของคนตัวเล็กไขว้กับท้องไว้แล้วค่อยๆ ยกร่างของจางอี้ชิงขึ้นมาประคองแผ่นหลังด้วยแขน และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องอุ้มอีกฝ่ายไปมาแบบนี้
“ถ้านายยังไม่ดูแลตัวเอง ฉันบอกได้เลยว่าต่อไปนายต้องผ่าตัด” อี้ฟ่านตักเตือนด้วยน้ำเสียงนิ่ง และจ้องมองด้วยแววตาที่ใครๆ ก็บอกว่ามันมีเสน่ห์แต่น่ากลัว อี้ชิงเบือนหน้าหนีก่อนจะกัดริมฝีปากปากหนักขึ้น ตอนนี้เขานึกอยากจะร้องไห้เขาไม่อยากให้ใครมาดุว่าเขาในเวลานี้เสียหน่อย
อี้ฟ่านสาวเท้าเร็วๆ จนลงมาจากตึก ดีที่เป็นช่วงเวลาเกือบค่ำรถที่เขาจอดไว้หน้าตึกจึงไม่ได้รบกวนใครๆ มากนัก คนตัวสูงรีบเดินมาที่ตัวรถเมื่อแพคฮยอนเห็นจึงพุ่งไปเปิดประตูด้านหลังเพื่อให้อี้ฟ่านวางร่างในอ้อมแขนลง หากแต่ไม่เป็นเช่นนั้นเพราะคนตัวโตพยักเพยิดบอกให้ลู่หานเปิดประตูด้านที่นั่งข้างคนขับที่แพคฮยอนเปิดค้างไว้ให้กว้างแทน
“เสี่ยวลู่กดเอนหลังให้สุดเลยนะ” อู๋อี้ฟ่านเอ่ยสั่งก่อนจะวางร่างขาวลงนอนกับเบาะหลังจากลู่หานจัดที่ทางให้แล้ว ชายหนุ่มหันไปปิดประตูแล้ววิ่งขึ้นไปที่นั่งข้างคนขับทันที
ลู่หานกระโดนตามขึ้นรถไปเช่นกัน แล้วมันก็ไม่มีทางเลือกมากสำหรับแพคฮยอนที่ต้องเบียดขึ้นรถมาทั้งๆ ที่ ที่นั่งด้านหลังถูกเบาะที่จางอี้ชิงนอนอยู่ยึดพื้นทีไปเสียเกือบครึ่ง
แพคฮยอนกำลังสับสนเขาเหลือบมองคนบาดเจ็บที่หน้าซีดอยู่ อยากถามแต่ก็ไม่กล้าว่ารุ่นพี่เลย์เป็นอะไร แพคฮยอนมองลู่หานฮยองที่กำลังก้มลงไปมองคนเจ็บด้วยแววตากังวล
และมองมือของคริสฮยองก็จับกุมมือของเลย์ฮยองเอาไว้....และกุมเอาไว้ตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล
TBC.
ความคิดเห็น