ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO Fiction] KISS GOODBYE [Kris+Lay,Krislay]

    ลำดับตอนที่ #7 : KISS GOODBYE [Chapter 6] 100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.07K
      9
      24 พ.ค. 56

    Titile: KISS GOODBYE [Chapter 6]
    Author: Angel Midori
    Genre: Romantic Drama
    Rating: PG
    Pairing: KrisLay


    Writer Talk : มาต่อครบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วนะคะ ..... ถ้าอ่านแล้วเรามาเมาท์มอยกัน หุหุ

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ที่หน้าร้านอาหารเกาหลีเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังนัก เด็กหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นพนักงานเสิรฟ ยืนกัดริมฝีปากอิ่มราวกับกำลังชั่งใจอยู่ที่หน้าร้าน เจ้าตัวหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กในมือขึ้นมาดูหลายครั้ง หากแต่กลับไม่กล้าที่จะกดต่อเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอ

     

    น้อยครั้งนักที่อี้ชิงจะโทรหาคุณหมอคริส เด็กหนุ่มเคยโทรก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายโทรมาแล้วเขาไม่ได้รับ หรือโทรถามย้ำข้อความของอีกฝ่ายเมื่อเวลาจะสั่งให้เขาซื้ออะไรติดมือไป

     

    แต่การโทรโดยธุระของตัวเองแบบนี้อี้ชิงไม่เคยเลยสักครั้ง

     

    “เลย์ถ้าทำธุระเสร็จแล้วก็รีบเข้ามาช่วยงานด้วย” เสียงตะโกนจากลูกชายเจ้าของร้านซึ่งเป็นพ่อครัวดังกระตุ้น อี้ชิงรีบขานรับ และก้มมองที่หน้าจอโทรศัพท์อีกที

     

    ชื่อของคุณคริสยังปรากฏอยู่บนหน้าจอ อี้ชิงกัดริมฝีปากพลางนึกว่า ยังไงเขาก็ต้องบอกอีกฝ่าย ถ้าไม่ได้บอกวันนี้ก็คงต้องบอกในวันเสาร์ที่จะเจอกัน แต่วันนี้อี้ชิงตื่นเต้น อยากจะบอกคุณหมอมากเสียเหลือเกิน คุณหมอคงไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องรบกวนมั่ง เพราะอีกฝ่ายเป็นคนสั่งให้เขาลางานเองนี่หน่า

     

    เด็กหนุ่มจึงกดปุ่มโทรออกไปที่เลขหมายนั้น

    .

    .

    .

     

    เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นในระหว่างที่นายแพทย์อู๋อี้ฟ่านกำลังเดินออกจากห้องพักเพื่อเตรียมตัวผ่าตัดเล็กในอีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้า คุณหมอหนุ่มหยิบมันขึ้นมาดูชื่อคนที่โทรเข้า และเขาก็ต้องประหลาดใจ

     

    ร้อยวันพันปี เด็กคนนี้ไม่เคยโทรหาเขา

     

    คริสอู๋เลิกคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะรีบรับสายนั้น

     

    “มีอะไรหรือเปล่าเลย์”

     

    “เออ....เออ” เด็กหนุ่มตอบเขาด้วยน้ำเสียตะกุกตะกัก จนเขาแปลกใจหนักกว่าเดิม

     

    “ตกลงมีอะไร”

     

    “เออผมคุยกับคุณลุงเจ้าของร้านแล้วนะฮะ”

     

    คำตอบที่ได้มาทำให้คริสออกจะงง ว่าเขาไปเกี่ยวอะไรกับนายจ้างของอี้ชิง หากแต่เพียงชั่วแวบเดียวเขาก็นึกได้ ว่าเรื่องนี้มันคงเกี่ยวกับเรื่องที่เขาให้อี้ชิงไปลางานเมื่อสองวันก่อน

     

    “เขาว่ายังไง”

     

    “ผมลาได้แค่สามวันครับ แต่วันจันทร์เป็นวันหยุดของผมอยู่แล้ว ผมหยุดนานกว่านี้ไม่ได้เพราะที่นี่ไม่มีคนช่วย วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์คนเยอะมาก”

     

    “อืม สี่วันก็ยังดี” ถึงแม้จะไม่ได้ตามที่ต้องการแต่คริสอู๋ก็อดยิ้มไม่ได้ อย่างน้อยการเที่ยวของเขา ก็ยังมีเพื่อนไปด้วย และที่สำคัญเขากำลังวางแผนการอะไรบางอย่างสำหรับการไปเที่ยวคราวนี้ และมันเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มปลายสายด้วย

     

    “เออฮะ แต่ว่าตกลงเราจะไปไหนกันฮะ”

     

    “เดี๋ยวเธอก็รู้” นายแพทย์อี้ฟ่านไม่ตอบนอกจากยิ้มพรายให้กับปลายสาย ตอนนี้เขาอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้กับสิ่งที่เขากำลังจะทำ

     

    “.......”

    “นั่นแหละเดี๋ยวเธอก็รู้ พรุ่งนี้เธอว่างไหม ฉันอยากให้เธอมาหาฉันที่คอนโดหน่อย”

     

    “ฮะ” อี้ชิงถามด้วยความข้องใจ พรุ่งนี้เป็นวันอังคาร ปรกติคุณหมอไม่เคยเรียกเขาไปหาในวันธรรมดา นอกจากเมื่อครั้งที่เจ้าตั้วเพิ่งกลับจากอเมริกาเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน

     

    ฉันถามว่าพรุ่งนี้พอจะว่างมาหาฉันหรือเปล่า

     

    เออว่างฮะ แต่อาจจะดึกหน่อยนะฮะ ร้านปิด 4 ทุ่ม

     

    “อืม แค่นี้แล้วกันฉันต้องเตรียมตัวผ่าตัดแล้ว” นายแพทย์คริสตอบก่อนจะกดสายโทรศัพท์นั้นทิ้ง และจับมันยัดลงกระเป๋ากางเกง

     

    หากแต่ปลายสายที่โทรมายังคงยืนยิ้มกับโทรศัพท์เครื่องเล็กในมือ อี้ชิงไม่เคยฝัน ไม่เคยหวัง ว่าจะมีวันแบบนี้ วันที่เขาได้ใช้เวลากับคุณหมอคริสมากกว่าแค่หนึ่งคืนในหนึ่งอาทิตย์ ได้ไปเที่ยวร่วมกัน มีความทรงจำร่วมกัน ได้มองหน้า ฟังเสียงของอีกฝ่าย ยาวนานกว่าทุกครั้ง

     

    และเนิ่นนานเท่าไหร่แล้วที่อี้ชิงจะได้มีโอกาสใช้เวลาร่วมกับใครสักคน หลังจากที่เขาถูกทิ้งอย่างโดดเดี่ยวแบบนี้


    อี้ชิงรู้ว่าการรักคนที่ไม่ควรรักมันเจ็บปวด รักคนที่ทำเช่นไรก็เอื้อมไม่ถึงมันทรมาน รักคนที่ไม่ได้มองเราเช่นคนรักมันมีแต่รอความผิดหวัง และรักคนที่ได้แต่เฝ้ารอวันที่จากกันมันทุกข์ระทมอยู่ในใจ

     

    แต่อี้ชิงไม่นึกเสียใจที่ได้รักคนอย่างคุณหมอคริส คนๆ นี้เป็นคนที่สมควรรัก คนที่จับดึงอี้ชิงออกจากความอ้างว้าง ให้แสงสว่างบนเส้นทางที่เปลี่ยวเหงา

     

    ผู้กองคิมอาจเป็นเหมือนแผนที่ ๆ จะนำทางให้อี้ชิงไปถึงยังความตั้งใจที่หวังไว้ หากแต่บนเส้นทางชีวิต คนที่ทำให้อี้ชิงสามารถต่อสู้กับเส้นทางที่ยากลำบาก ทำให้อี้ชิงมีพลัง และความหวัง คือคนที่หยิบยื่นคบไฟ และผ้าห่มอุ่นๆ ใส่มือของเขา คนๆ นั้นคือคุณหมอคริส

     

    >>>>>>Kiss Goodbye<<<<<<


    เสียงประตูห้องที่ถูกเปิดออกปลุกให้คนที่กำลังก้มหน้าอ่านวารสารการแพทย์ต้องเงยหน้าขึ้นมา ชายหนุ่มเจ้าของห้องเหลือบมองเด็กหนุ่มที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องด้วยความเงียบก่อนจะเปลี่ยนสายตาไปยังนาฬิกาที่แขวนประดับที่กำแพงห้อง

     

    สี่ทุ่มกว่าๆ ปรกติเวลาเด็กหนุ่มมาหาเขาในวันเสาร์ ไม่เคยมาดึกขนาดนี้ คริสข้องใจเล็กๆ ว่า งานที่ร้านอาหารของเด็กหนุ่มเลิกค่ำ หรือเจ้าตัวต้องไปทำงานพิเศษอื่นอีก

     

    ปรกติเลิกงานกี่โมง

    อี้ชิงเลิกคิ้วสงสัยกับคำถามในระหว่างกำลังเดินไปวางโอมุกกุกที่เค้าแวะซื้อมาในครัว เพราะอี้ชิงเห็นว่าอากาศวันนี้หนาว ถ้าคุณหมอได้ทานอะไรอุ่นๆ ก็น่าจะดี

     

    ร้านปิด 4 ทุ่มฮะเด็กหนุ่มหยุดตอบคำถามคนตัวโตก่อนจะเข้าไปในครัว ดวงตาคู่โค้งยังเจือความสงสัยกับคำถามอยู่

     

    ทุกทีเห็นมาถึงหัวค่ำกว่านี้

     

    ถ้าเป็นวันเสาร์ผมขอกลับเร็วฮะ ส่วนใหญ่วันเสาร์ร้านปิดเร็วด้วยเพราะขายดี

     

    อืม นายแพทย์คริสอู๋ครางเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะโบกมือให้คนตัวเล็กเข้าครัวไป พอเด็กหนุ่มหันหลัง รอยยิ้มบางๆ ก็ประดับบนใบหน้าหล่อเหลาของคุณหมอหนุ่ม

     

    ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกพึงใจกับคำตอบนัก คำตอบที่บอกว่า เลย์ไม่ได้ไปแวะทำงานพิเศษที่ไหน และเด็กนั่นก็เหมือนจะให้ความสำคัญกับเวลาที่เป็นของเขามากกว่างานปรกติ

    .

    .

    .

    .

     

    ซื้ออะไรมา นี่ดึกแล้ว อู๋อี้ฟ่านถามไปอย่างงั้นตอนที่เห็นว่าเด็กหนุ่มถือชามใบใหญ่มาวางหน้าเขา โอมุกกุกกำลังส่งควันหอมฉุยออกมาจากชาม คนตัวเล็กวางถ้วยใบเล็กไว้ข้างหน้าคุณหมอตัวโตเพื่อให้กินลูกชิ้นปลาเสียบไม้นั้นง่ายขึ้น หากแต่ตอนที่เด็กหนุ่มยื่นมือไปวางถ้วย นายแพทย์หนุ่มจึงเห็นพลาสเตอร์แผ่นเล็กๆ ติดอยู่ตรงข้อพับของเด็กหนุ่มร่างขาวจัด

     

    ที่แขนเป็นอะไร นายแพทย์อู๋เอ่ยถาม ตามประสบการณ์รอยแผลบริเวณนี้มักเกิดจากการเจาะเลือด คงไม่ใช่แผลเป็นทั่วไป

     

    อ๋อ ไม่ได้เป็นอะไรฮะ ผมไปบริจาคเลือดมา พอดียังไม่ได้แกะพลาสเตอร์ออก

     

    ไปบริจาคที่ไหน

     

    โรงพยาบาลแถวร้านฮะ เขาเปิดรับบริจาคเลือดพอดี ตอนเช้าเลยแวะเข้าไป

     

    อืม ปีนี้บริจาคเลือดได้ปีแรกซินะ นายแพทย์หนุ่มยกถ้วยขึ้นมาซดน้ำซุปเบาๆ ระหว่างรอคำตอบ อี้ชิงพยักหน้ารับก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา

     

    แต่ผมบริจาคเลือดเป็นครั้งที่ 2 แล้วนะฮะ เมื่อสามเดือนก่อนผมเห็นที่โรงพยาบาลติดป้ายรับบริจาคผมเลยลองไปถามดู คราวนี้ผมเห็นว่าบริจาคมาเกิน 3 เดือนแล้วเลยไปบริจาคอีกที เด็กหนุ่มเล่าด้วยน้ำเสียงมีความสุข ซึ่งมันทำให้คนฟังอดยิ้มตามไม่ได้

     

    เด็กหนุ่มตรงหน้าของอู๋อี้ฟ่านนั้นเป็นเด็กดี นายแพทย์หนุ่มรับรู้ได้จากการกระทำ คำพูด มารยาทต่างๆ เลย์เป็นเด็กดีเสียจนยากที่จะเชื่อได้ว่าเด็กหนุ่มต้องมาหาเงินด้วยการเป็นเด็กขายบริการ และเขาแทบจะคิดภาพไม่ออกว่าเด็กที่ดิ้นรนทำงานหนัก เวลาว่างก็แทบจะไม่มี จะเจียดเวลาไปบริจาคเลือด เพียงเพราะเห็นป้ายประกาศเชิญชวนของทางโรงพยาบาล แต่เด็กคนนี้ก็ทำมาแล้ว

     

    แต่จริงๆ สำหรับเลย์ เด็กคนนี้ก็ไม่ได้เหมือนเด็กขายตัวกร้านโลกทั่วไปเท่าไหร่ บางครั้งเด็กคนนี้ก็ฉลาดพูด และทำตัวดีเกินกว่าที่จะคิดได้ว่าอีกฝ่ายจะมาทำงานแบบนี้ ดีเสียจนบ่อยครั้งที่เขาเสียดายอนาคตของเด็กหนุ่ม

     

    เออ แล้ววันนี้คุณหมอเรียกผมมาทำไมฮะ

     

    แล้วคิดว่าเรียกมาทำไมล่ะ คนตัวโตยกยิ้มที่มุมปากเจ้าเล่ห์ ซึ่งมันทำให้คนฟังต้องกัดริมฝีปากตัวเองแน่น

     

     

    อี้ชิงรู้ดีว่าสำหรับเขาแล้วคุณหมอจะต้องการอะไรอีกนอกจากเรื่องบนเตียง....

     

    ขมวดคิ้วทำไมมือใหญ่กดตรงหว่างคิ้วก่อนจะหัวเราะเบาๆ วันนี้ฉันแวะมานอนที่นี่ ก็เลยชวนมาอยู่เป็นเพื่อน วันนี้ฉันเหนื่อยด้วยไม่อยากมีอะไรกับเธอหรอก แต่ไม่ต้องคิดมากเดี๋ยวฉันจ่ายค่าเสียเวลาให้

     

    มะ...ไม่ต้องหรอกฮะ เสียงเล็กๆ รอดจากริมฝีปากอิ่ม คำพูดพวกนี้ถึงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ตั้งใจดูถูกเขา แต่ฟังทีไรมันก็ทำให้เขาอดรู้สึกเหมือนโดนดูถูกไม่ได้

     

     จริงเหรอ ก็ดี นายแพทย์คริสอู๋ยักไหล่ ก่อนจะก้มไปกินโอมุกกุกที่เจ้าตัวถืออยู่ ไอ้นี่อร่อยดี วันหลังซื้อมาอีกนะ แล้วของวันนี้เดี๋ยวฉันจ่ายให้

     

    ผมบอกว่าไม่ต้องไงฮะ เด็กหนุ่มตอบเสียงแข็ง และมันทำให้คนตัวโตจ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแปลกใจ

     

    ทำไมทำเสียงแบบนั้น แล้วไม่ต้องมาใจดีกับฉันเลย์ ของนี่ฉันกินฉันจ่ายให้เธอได้ ฉันไม่อยากเอาเปรียบเธอ

     

    แต่มันไม่ได้แพงอะไรนี่ฮะ

     

    แล้วเธอมีเงินมากมายนักเหรอ นายแพทย์หนุ่มกดเสียงต่ำเป็นเชิงบังคับ ก่อนที่เขาจะหยิบกระเป๋าเงินสีดำราคาแพงออกมาและหยิบเงินให้ เด็กหนุ่มเลือกจะนั่งนิ่งแต่ก็โดนอีกฝ่ายคว้าข้อมือขาวขึ้นมาและจับเงินยัดใส่มือให้

     

    อย่าทำให้ฉันลำบากใจเลย์ แค่คำพูดแค่นี้มันก็แทบทำให้มือไม้ของเด็กหนุ่มหมดแรง คนตัวเล็กจำใจต้องกำเงินนั้นเพราะความหวาดกลัว กลัวว่าถ้าคุณหมอลำบากใจ และรำคาญเขา อาจจะเบื่อเขาก็ได้.......

     

    ต่อให้ตัวเองอยากจะสลัดสถานะของเด็กขายบริการที่คุณหมอจ่ายได้ด้วยเงินทิ้ง แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ เพราะอี้ชิงกลัวว่าตัวเองจะถูกทอดทิ้ง เขายอมให้สถานะที่แสนน่ารังเกียจนั้นยื้อยุดความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณหมอไว้เสียดีกว่า

     

    จางอี้ชิงเลือกจะเก็บเงินนั้นใส่กระเป๋ากางเกง โดยไม่ได้มองว่ามันเป็นเงินเท่าไหร่ คนตัวเล็กนั่งจิบน้ำซุปเงียบๆ กับพื้นตรงหน้าโซฟาตัวใหญ่ที่คุณหมอเจ้าของห้องนั่งอยู่ ความเงียบปกคลุมในห้องนั้นสักพัก อี้ชิงก็ถูกดึงเข้ามาสู่บทสนทนาอีกครั้ง

     

    จริงๆ ที่เรียกมามีของจะให้ เสียงทุ้มๆ ของคุณหมอกล่าวนิ่ง อี้ชิงเงยหน้ามองคนที่นั่งยิ้มบางๆ อยู่ คุณหมอเอี้ยวตัวไปหยิบถุงใบใหญ่มาวางตรงหน้าอี้ชิง เด็กหนุ่มก้มลงมองในถุงหูหิ้วใบโตที่เพิ่งถูกยื่นมาให้ก็เห็นซองพลาสติกอยู่ข้างในอีกหลายใบ พอคนตัวเล็กลองหยิบขึ้นมาก็เห็นว่าเป็นขนมขบเคี้ยวและผลไม้แห้ง ซึ่งที่ซองเต็มไปด้วยภาษาจีน

     

     

    น้องชายฉันไปหาปู่กับย่าที่กวางโจว เลยซื้อไอ้ขนมพวกนี้มาเยอะ ฉันเลยเอามาฝากเธอ เผื่อเก็บไว้กินได้ เวลาหิวๆ น้ำเสียงนั้นกล่าวอาทรจนคนฟังใจอ่อนวูบ หากแต่ในประโยคพวกนั้นมีบางอย่างทำให้จางอี้ชิงนึกสะกิดใจ

     

    คุณปู่คุณย่าของคุณหมออยู่กวางโจว อยู่ประเทศจีนเหรอฮะ จางอี้ชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น คนตัวเล็กดูจะสนใจเรื่องคุณปู่คุณย่าของคุณหมอมากกว่าขนมที่วางอยู่ข้างหน้าเสียอีก

     

    อือ

     

    คุณปู่คุณย่าของคุณหมอเป็นคนจีนเหรอฮะ

     

    อืม ถามทำไม

     

    แล้วคุณหมอก็เป็นคนจีนเหรอฮะ น้ำเสียงที่ถามยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก ท่าทางสนใจใคร่รู้นั้นยิ่งทำให้อู๋อี้ฟ่านยิ่งข้องใจ

     

    ฉันเป็นลูกครึ่ง แม่เป็นเกาหลี พ่อเป็นจีน จางอี้ชิงแทบจะกลั้นยิ้มไม่ได้ เขากำลังคิดว่านี่เป็นความบังเอิญหรือโชคชะตาที่ทำให้เขากับคุณหมอมาเจอกัน...ลูกครึ่งเกาหลี จีน ที่นี่ไม่ได้มีมากมายนัก แต่เราสองคนก็ได้เจอกัน

     

    คุณหมอเคยอยู่ที่จีนไหมฮะ

     

    ไม่เคยหรอก มีแวะไปหาปู่ย่าบ้าง แต่ไม่เคยอยู่ถาวร จริงๆ บ้านเกิดฉันคืออเมริกา เหมือนฉันเคยเล่าให้เธอฟังแล้วใช่ไหม และพอพ่อกับแม่เรียนจบปริญญาเอกก็กลับมาอยู่ที่เกาหลี จนตอนฉันเรียนแพทย์เฉพาะทางฉันถึงกลับไปเรียนที่อเมริกา

     

    คนตัวเล็กนั่งฟังตาแป๋วเสียจนคุณหมอนึกแปลกใจ ปรกติเด็กน้อยของเขาไม่ค่อยแสดงท่าทีสนใจอะไรมากขนาดนี้ น่าแปลกที่สนใจเรื่องครอบครัวของเขา หากแต่พอมานึกแล้วก็คิดว่าก็ดีเหมือนกันที่อีกฝ่ายสักถามเขาเรื่องพวกนี้เพราะมันอาจจะทำให้เขาเข้าเรื่องที่จะถามเด็กหนุ่มได้ง่ายขึ้น

     

    แล้วเธอล่ะ บ้านเกิดเธออยู่ที่ไหน คงไม่ใช่ที่โซลนี่ใช่ไหม เพราะวันก่อนเธอบอกว่าเธอหยุดเรียนแล้วมาอยู่ที่โซล

     

    เออ... เด็กหนุ่มมีท่าทีอึกอัก เขาไม่แน่ใจว่าจะตอบคุณหมอตัวโตแบบไหนดี ระหว่างบ้านเกิดที่แท้จริงของเขา หรือบ้านที่เขาเติบโตขึ้นมา

     

    ตกลงว่ายังไง คุณหมอเร่งรัดจนเด็กหนุ่มสะดุ้งตัวเบาๆ

     

    เออ นัมกูฮะ เด็กหนุ่มละล่ำละลักตอบ เขาเลือกตอบบ้านที่เขาอยู่มาเกือบทั้งชีวิตมากกว่าบ้านเกิดที่แท้จริง ใจจริงเด็กหนุ่มอยากเล่าเรื่องของตัวเอง อยากแสดงออกอย่างตื่นเต้นที่จะได้บอกคุณหมอว่าเขาทั้งคู่มีเชื้อชาติเดียวกัน แต่จางอี้ชิงยังไม่กล้าพอ เด็กหนุ่มยังไม่อยากเปิดเผยเรื่องส่วนตัวทั้งหมดให้อีกฝ่ายรู้......

     

    เพราะกลัว....กลัวว่าความเปลี่ยนแปลงใด ๆ จะกระทบความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงนี้ให้ยิ่งไม่มั่นคงกว่าเดิม

     

    นัมกู คยองจูนะเหรอ

     

    ฮะ

     

    อู๋อี้ฟ่านครางงึมงำในลำคอ และเขาก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มอีก ซึ่งมันทำให้เด็กหนุ่มโล่งใจ เพราะกลัวว่าถ้าอีกฝ่ายถามอะไรมากกว่านี้เขาควรจะตอบแบบไหน

     

    ฉันอิ่มแล้วล่ะ เอาชามไปเก็บเหอะ แล้วเดี๋ยวฉันขออ่านหนังสือก่อนถ้าเธอง่วงก็ไปนอนก่อนได้นะ คุณหมอเอ่ยบอกกับเด็กหนุ่ม คนตัวเล็กพยักหน้ารับแล้วรีบปลีกตัวหลบไปเพราะกลัวจะถูกซักไซ้อะไรอีก

     

     

    >>>>>>Kiss Goodbye<<<<<<

     

    หิมะที่โปรยปรายมาบางๆ เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของการเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างแท้จริง คนที่นั่งอยู่ในรถที่ถึงแม้จะถูกควบคุมอุณหภูมิไว้จนพอเหมาะหากแต่ก็ยังอดรู้สึกหนาวไม่ได้

     

    ร่างที่เล็กกว่าเด็กหนุ่มวัยเดียวกันทั่วไป นั่งกอดเสื้อแจ็คเก็ตตัวหนาที่คลุมร่างตัวเองเอาไว้ พลางเหลียวมองทิวทัศน์ข้างทางที่กำลังวิ่งผ่านสายตา

     

    และเนื่องจากหิมะที่ลงบางๆ ทำให้คนเป็นสารถีไม่อาจขับเคลื่อนยนต์กรรมหรูได้รวดเร็วนัก วิวข้างทางจึงเด่นชัดในสายตาของคนที่กำลังมองมันอย่างมีความสุข

     

    มีความสุขจนบางครั้งอดเผลอยิ้มไม่ได้ แล้วในบางทีก็ยังเผลอเอ่ยถามเมื่อเห็นสิ่งแปลกตากับนายแพทย์หนุ่มที่ขับรถอยู่

     

    คริสอู๋เหลือบมองร่างเล็กข้างกายอยู่เนืองๆ นานๆ ทีจะเห็นเลย์ปลดหน้านิ่งๆ นั้นทิ้ง และเผยรอยยิ้มออกมา ยิ้มแบบนี้ดูดีมากกว่าหน้าตายๆ มากมาย หากแต่คนตัวเล็กกลับไม่ชอบที่จะยิ้ม

     

    “หิวหรือยัง” คุณหมอหนุ่มเอ่ยถามคนที่ดูลดความตื่นเต้นกับวิวข้างทางลงแล้ว คริสเห็นคนตัวเล็กนิ่งเงียบไป เลยคิดเอาว่าอาจเพราะหิวจนหมดแรง

     

    “ยังฮะ”

     

    “ถ้าอย่างนั้นรอให้ไปถึงแล้ว ค่อยหาอะไรกินแล้วกัน” อี้ชิงพยักหน้ารับ พลางเหลียวมองกรอบหน้าหล่อเหลาของคุณหมอหนุ่ม ที่วันนี้ไม่ได้ใส่แว่นสายตาเช่นทุกที่ หากแต่ชายหนุ่มเลือกใส่แว่นกันแดด สีดำ ที่ยิ่งขับให้อีกฝ่ายดูมีเสน่ห์มากขึ้น

     

    มีเสน่ห์จนอี้ชิงไม่กล้าที่จะมองตรงๆ

     

    ถึงแม้อี้ชิงจะชอบเวลาที่คุณหมอใส่แว่นสายตากรอบดำ เพราะมันทำให้อีกฝ่ายดูหล่อเหลาแบบผู้ใหญ่ แต่เวลาที่อีกฝ่ายไม่ใส่แว่น สายตาหวานเชื่อมเป็นประกายนั่นก็หลอมอี้ชิงได้ไม่ยากเช่นกัน แต่มาวันนี้ต่อให้ไม่เห็นแววตาหวาน ๆ คุณหมอคริสก็ยังคงหล่อเหลา แถมยังดูเท่มากขึ้นไปอีก

     

     

     

    เด็กหนุ่มหันไปยิ้มเขินกับกระจก กับความคิดเหล่านั้น และเมื่อคิดได้ว่าตัวเองได้มีสิทธิครอบครองร่างกายงดงามของคนข้างๆ ได้ใกล้ชิดแนบสนิทกับอีกฝ่ายหลายต่อหลายครั้ง แก้มแดงก็ระเรื่อสีขึ้นมา

     

     

    “ง่วงหรือเปล่า” อยู่ดีๆ คนขับก็ถามขึ้นมาอีก

     

    คนที่อายอยู่รีบปกปิดแก้มแดงๆ ของตัวเองโดยการหันไปมองกระจกข้างอย่างสุดตัวพลางส่ายหัวดิก

     

    อี้ชิงอยากเขกหัวตัวเองแรงๆ ที่คิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้ ช่างน่าอายจะตาย

     

    “เออ...ไม่ง่วงฮะ” เด็กหนุ่มตอบเบาๆ ในระหว่างที่ยังซ่อนความอายของตัวเองกับกระจกสีขุ่น

     

    “เห็นเงียบไปนึกว่าง่วง ถ้าจะนั่งเป็นเพื่อนคนขับรถ ก็อย่าเงียบซิ เดี๋ยวฉันง่วง ชวนฉันคุยบ้าง”

     

    “อ๋อฮะ” เด็กหนุ่มทำหน้าตาเหรอหรา ก่อนจะยกคิ้วสูงราวกับครุ่นคิดอะไร “เออ แต่ผมไม่รู้จะชวนคุณคุยอะไร”

     

    ไอ้ท่าทางเหล่านั้นคริสเห็นแล้วก็อดยิ้มขำไม่ได้ เลย์เป็นเด็กที่ตลกดี

     

    หากแต่ในระหว่างที่คนตัวเล็กพยายามคิดจะหาเรื่องคุยเพื่อแก้ง่วงให้กับคุณหมอสสุดหล่อ สายตาของจางอี้ชิงก็เหลือบมองเห็นป้ายบอกทาง

     

    ป้ายที่ทำให้เจ้าตัวหัวใจเต้นรัวขึ้นมาได้ ป้ายที่บอกว่าเขากำลังจะเดินทางเข้าสู่จังหวัดคยองจู

     

    เด็กหนุ่มหันรีหันขวางพลางคิดว่าควรจะถามอีกฝ่ายดีไหมว่าทำไมคุณคริสถึงพามาที่นี้ แต่ลองคิดใคร่ครวญดีๆ ที่คยองจูมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่มาก คุณคริสคงบังเอิญแค่พาเขามาเที่ยวเฉยๆ

     

    อี้ชิงยังคงมองข้างทางต่อมาเรื่อยๆ หัวใจมันเต้นเร้าแปลกๆ เมื่อรู้สึกเหมือนกับว่าสถานที่ ๆ รถคันหรูขับผ่านมันเริ่มคุ้นตา จนเวลาอีกพักใหญ่ ป้ายเด่นชัดที่แจ้งบอกว่าเขากำลังเข้าสู่เขต “นัมกู” ได้เคลื่อนเข้าสู่สายตา

     

    ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นเบิกค้าง อี้ชิงหันหน้าไปมองคนที่ชวนเขามาด้วยใจระทึก

     

    คุณหมอคริสพาเขามาที่นี่ทำไม?

     

    “คุณคริสมาทำอะไรที่นี่ฮะ”

     

    คุณหมอหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะผินหน้ามามองใบหน้าที่แสดงว่ากำลังประหลาดใจอย่างที่สุด

     

    “พาเธอมาทำธุระของเธอ”

     

    “ธุระอะไรของผม” เด็กหนุ่นเอ่ยเสียงดังด้วยความตกใจ และสายตาที่มองคุณหมอคริสก็ปนหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

     

    “เรื่องการเรียนของเธอ ฉันพาเธอมาจัดการเรื่องใบรับรองการศึกษานั่น ฉันเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากๆ ที่ทำให้เธอหมดโอกาสดีๆ ว่างๆ เธอก็มาจัดการให้มันเสร็จๆ ไปเสีย หลังจากนี้ถ้าเธอมีโอกาสจะได้ไปเรียนไฮสคูลให้มันจบ”

     

    เสียงพูดจริงจังของคุณหมอคริสมันทำให้คนที่ฟังอยู่ละจากความรู้สึกหวาดกลัว แต่กลับกลายเป็นว่ารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกแทน ก้อนอะไรบางอย่างมันตีตื้นขึ้นมาจนทำให้อี้ชิงรู้สึกแน่นในอก

     

    “เธอยังอายุน้อย ฉันไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่ได้เรียนต่อ แต่ตอนที่เราคุยกันฉันรู้สึกว่าเธอไม่ได้อยากทิ้งมัน ฉะนั้นเรื่องใบรับรองนั่นถ้ามันมีปัญหาก็ไปจัดการมันเสีย แล้วถ้าฉันช่วยอะไรเธอได้ฉันก็จะช่วย”

     

    “ทำไมคุณรู้ว่าผมอยู่ที่นี่” อี้ชิงพยายามควบคุมน้ำเสียงที่กำลังสั่นเพื่อถามคลายความข้องใจ

     

    “ลืมไปหรือไงว่าฉันถามเธอวันก่อน จริงๆ ที่เรียกไปวันนั้นก็ตั้งใจจะถามเธอนั่นแหละเพียงไม่ได้บอกตรงๆ ให้เธอเซอร์ไพรส์ไง” นายแพทย์คริสอู๋ตอบและหัวเราะในลำคอเบาๆ

     

    ถ้าถามว่าจางอี้ชิงเซอร์ไพรส์อย่างที่อีกฝ่ายต้องการไหม คงตอบได้ว่าเซอร์ไพรส์มาก ตอนนี้อี้ชิงกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เด็กหนุ่มนั่งป้ายน้ำตาที่ไหลละแก้มใสราวกับเด็กอายุไม่กี่ขวบ ท่าทางแบบนั้นมันทำให้คริสอดหัวเราะ และขยี้หัวเล็กๆ นั่นเสียจนยุ่งไม่ได้

     

    “ที่ร้องไห้นี่เพราะกลัวพาเธอส่งกลับมาเรียนหรือยังไง”

     

    “เปล่าฮะ ฮึก ๆ”

     

    “แล้วร้องทำไม”

     

    “ไม่มีใครดีกับผมขนาดนี้มาก่อน ขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ ฮะ ผมอยากได้มันมากจริงๆ ผมอยากเรียนหนังสือ” เสียงสะอื้นสลับกับคำพูดขอบคุณมันทำให้คนฟังรู้สึกใจสั่น

     

    อี้ชิงดูน่าสงสารมากเหลือเกินเมื่อพูดประโยคนั้น เขารู้สึกดีใจที่เลือกทำแบบนี้ ลึกๆ เขาเองก็รู้สึกผิดกับการที่ใช้เงินซื้ออีกฝ่ายมาเพื่อสนองความสุขของตน และยิ่งรู้ว่าอี้ชิงยังอายุน้อยเหลือเกินเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดหนักขึ้นไปอีก คริสวาดหวังว่าสิ่งที่เขาทำครั้งนี้ จะทำให้อี้ชิงจะได้มีโอกาสที่ดีในชีวิต ไม่ต้องทำอะไรแบบนี้อีกต่อไป

     

    “หยุดร้องไห้ได้แล้วเด็กน้อย แล้วบอกทางฉันทีว่าบ้านเธอ หรือว่าโรงเรียนของเธออยู่ไหน”

     

    เด็กหนุ่มพยายามกลั้นก้อนสะอึกที่ล้นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคนั้น

     

    อี้ชิงส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะตอบ “ที่นี้ไม่มีบ้านของผมแล้วล่ะฮะ แต่ผมพาคุณไปที่โรงเรียนของผมได้”

     

    คริสอู๋เหลือบมองแววตาเศร้าสร้อย ที่แสดงออกมาหลังจากเอ่ยประโยคนั้น เขาสัมผัสถึงความเจ็บปวดที่ถ่ายทอดออกมาจากคำพูด และท่าทางเหล่านั้นได้

     

    เด็กผู้ชายที่เขาเก็บมาได้ในคืนฝนตกคืนนั้น ........... ทำไมถึงดูน่าสงสารเหลือเกินนะ

     

    >>>>> TBC <<<<<

     

    เป็นยังไงบ้างค่ะสำหรับเรื่องสถานที่พักผ่อน และเรื่องเซอร์ไพรส์ของคุณหมอ ปุ้มไม่ได้คาดหวังที่จะเขียนบทพระเอกแสนดีเป็นเทพบุตรอะไรมากมายนัก แต่คาเรคเตอร์ของคุณหมอนั้นเป็นคนขี้สงสาร เป็นผู้ใหญ่ใจดี ชอบที่จะช่วยเหลือคนอื่น (แต่ติดเจ้าชู้นิดๆ) ฉะนั้นเรื่องที่คุณหมอทำนั้นเขาทำเพราะเขาทำแล้วมีความสุข คุณหมอมีความเป็นมนุษย์ุปุถุชนธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาซ่อนอยู่ เพราะเป็นคนที่ไม่เพิกเฉยเวลาเห็นใครสักคนลำบาก หากแต่เขาทำสิ่งเหล่านั้นไปโดยอัตโนมัติ โดยไม่รู้ตัว มันเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียปนๆ กันอยู่ ปุ้มรักคาเรคเตอร์แบบนี้ของพระเอกเรื่องนี้ของปุ้มมาก 555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×