ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] FICTION ROOM [CHANBAEK,KRISLAY,KAILU]

    ลำดับตอนที่ #7 : [KrisLay Shot Fiction] Birthday Gift

    • อัปเดตล่าสุด 10 ต.ค. 55



    Titile: Birthday Gift [special for Yixing birthday]
    Author: Angel Midori
    Genre: Romantic 
    Rating: PG
    Pairing:Krislay[WuYifan&ZhangYixing]


    Note : เป็นฟิคตั้งใจเขียนมาเป็นของขวัญวันเกิดให้อี้ชิงคนน่ารัก แต่ก็เลทไปมาจนป่านนี้ เป็นฟิคไม่มีอะไรเลย มีแค่อยากแต่ง อยากระบายความเวิ่น ทั้งๆ ที่พล็อตก็ไม่มี 5555 ถือว่าอ่านเอาสนุกแล้วกันเน้อ



    --------------------------------------------------------------------------







    “จะออกไปนอนข้างนอกเหรอ” ลู่หานวางโทรศัพท์ในมือที่กำลังนอนดูคลิปในยูทูปลง และชะโงกข้ามไหล่ตัวเองเพื่อเอ่ยถามรูมเมท ที่เดินถือหมอนและผ้าผ่านเตียงเขาไป

     

    “อืม”

     

    “ข้างนอกหนาวออก นายชวนน้องมานอนที่ห้องก็ได้นี่”

     

    “เจ้านั่นไม่เข้ามาแน่ๆ นายก็รู้”

     

    “ถ้าอย่างนั้นก็บอกให้จงแดมานอนเตียงนายก็ได้แล้วนายกับน้องได้นอนในห้อง ที่ห้องรับแขกเย็นจะตาย เดี๋ยวเจ้านั่นก็ไม่สบายอีก”

     

    “นายก็รู้ว่าพูดแล้วเขาเชื่อที่ไหน แถมเป็นคนขี้ร้อนขนาดนั้นอากาศแบบนี้ยิ่งอยากไปนอนที่เย็นๆ” คนพูดส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะเดินไปยังหน้าประตู

     

    “ตุ้ยจางก็แบบนี้ ชอบตามใจอี้ชิง” คนพูดพูดเหมือนตำหนิแต่แววตากลับเป็นประกาย แถมยังอมยิ้มเพิ่มเข้าไปอีก เห็นแบบนี้คนถูกตำหนิก็รู้ว่ากำลังโดนแซวอยู่

     

    “แต่ถ้าไม่ตามใจอี้ชิงแล้วจะไปตามใจใครล่ะเน้อ ไปๆ เหอะ เดี๋ยวน้องมันหลับไปก่อน แผนนายจะเสีย” คนหน้าหวานหัวเราะเสียงใสก่อนจะพลิกตัวเองกลับไปนอนหงายอีกครั้ง โดยยังคงหัวเราะคิกคักอยู่

     

    “พูดมากน่าเสี่ยวลู่” ร่างสูงกว่า 187 เซ็นติเมตรส่ายศีรษะเบาๆ แล้วตัดสินใจเปิดประตูห้องที่เขาแล้วเพื่อนหน้าอ่อนกว่าวัยแชร์กันอยู่ออกไป ลมเย็นๆ จากห้องรับแขกมาปะทะใบหน้าเป็นการต้อนรับ อู๋อี้ฟ่านหันไปมองว่าสายลมเย็นๆ นั่นมีที่มาจากไหนก็เห็นว่าประตูระเบียงของห้องรับแขกถูกเปิดไว้อยู่ และที่ระเบียงก็มีร่างของใครสักคนยืนอยู่ตรงนั้น

     

    แค่มองจากตรงนี้ และแม้ตรงนั้นจะมีเพียงแค่แสงที่สะท้อนจากตึกตรงข้าม กับแสงจันทร์ เขาก็รู้ว่าร่างนั้นเป็นใคร อี้ฟ่านโยนหมอนที่ติดมือเขากองรวมกับกองฟูกที่ถูกวางไว้อย่างไม่เป็นระเบียบกลางห้องรับแขก เขาสาวเท้าเบาๆ ตรงไปยังระเบียงโดยระมัดระวังที่จะไปรบกวนอารมณ์ของคนที่ยืนพิงขอบระเบียงอยู่

     

    ลมหนาวยิ่งสัมผัสผิวได้ชัดเจน เขาส่ายศีรษะอีกครั้งเมื่อเห็นว่าร่างเล็กตรงนั้นสวมเพียงแค่เสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงสามส่วนตัวโคร่ง

     

    ทำไมถึงชอบอากาศเย็นเสียเหลือเกินนะ

     

    “เอ๊ะ!!

     

    เสียงอุทานตกใจเมื่ออยู่ดีๆ สัมผัสเย็น ๆ ก็มาโอบร่างจากด้านหลัง และจากความเย็น และสัมผัสลื่นมือก็เปลี่ยนเป็นความอุ่น อ้อมแขนหนาสวมกอดทับเนื้อผ้าลื่นของผ้าไหมเนื้อดีและค่อยๆ เลื่อนมาจับมือของคนตัวเล็กเอาไว้ 

     

    จางอี้ชิงรู้ดีว่าคนที่กล้าทำแบบนี้มีอยู่คนเดียว ตุ้ยจาง’

     

    “มายืนทำอะไรตรงนี้”

     

    “ยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย”

     

    “อากาศเย็นมากแล้วเดี๋ยวก็ป่วยอีก เพิ่งจะหายแท้ๆ”

     

    จางอี้ชิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอนตัวเองพิงไปกับคนที่กอดเขาอยู่ อี้ชิงรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้เขาล้มหงายลงไปแน่ๆ

     

    “คืนนี้ฟ้าสวยดีนะฮะ”

     

    “แต่ไม่คุ้มสักนิดถ้านายจะไม่สบายอีก”

     

    “ตุ้ยจางขี้บ่น” อี้ชิงหัวเราะคิกคัก หากแต่มันกลับหยุดลงกระทันหันเมื่ออีกฝ่ายหยุดเขาด้วยริมฝีปากอุ่นๆ

     

    คนถูกขโมยจูบแทบจะเด้งตัวขึ้นมาทันที แล้วหันหน้าไปคาดโทษคนขี้ขโมย

     

    “พูดกับพี่ไม่ดีก่อนนะ” อี้ฟ่านยกยิ้มร้ายก่อนจะดึงคนที่ยืนยู่ปากแก้มแดงให้เข้ามาใกล้ เขาขยับผ้าห่มเนื้อหนาออกจากไหล่ของคนตัวเล็กกว่าแล้วพาดมันบนไหล่ของเขาก่อนจะกอดร่างของจางอี้ชิงให้ซบกับอกแล้วดึงผ้าห่มให้คลุมทั้งตัวเขาเองและตัวของคนในอก

     

    “แค่นี้ก็อุ่นแล้ว ทีนี้นายอยากยืนชมท้องฟ้าต่อก็ทำได้แล้ว”

     

    “ไม่อยากแล้วล่ะ” อี้ชิงดันตัวเองจากอกกว้าง แต่ก็ยังถูกบังคับกลายๆ ด้วยอ้อมกอดที่ไม่ปล่อยเขาไป

     

    “พี่บอกแล้วว่าเดี๋ยวไม่สบาย”

     

    “แต่แบบนี้มันใกล้ไป” จางอี้ชิงก้มหน้าเอ่ยอู้อี้ จนคนได้ยินอดหัวเราะกับท่าทีเขินอายอย่างน่ารักไม่ได้ อี้ฟ่านคล้ายอ้อมกอดให้หลวมขึ้นจนอีกฝ่ายสามารถหมุนตัวให้หันหน้าออกจากอกของเขาได้ และคราวนี้เขาก็ดึงให้ร่างนั้นพิงศีรษะกับอกของเขาอีกครั้ง

     

    “สบายจัง” คนตัวเล็กเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ก่อนจะปล่อยน้ำหนักให้พิงไปที่ตัวของคนตัวใหญ่กว่าทั้งหมด คนถูกพิงไม่ได้บ่นหากแต่กลับยิ้มอย่างมีความสุขและกอดร่างนั้นกระชับขึ้นไปอีก ผิวกายที่พ้นเนื้อผ้าของอี้ชิงเย็นราวกับยืนตากลมมานานแล้ว อี้ฟ่านเลยลูบที่แขนนั้นเบาๆ และกดศีรษะของตัวเองวางลงบนเรือนผมของอีกฝ่าย  เขาอยากจะวางคางลงที่ไหล่ และสูดกลิ่นหอมจางๆ ของอี้ชิง แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบเพราะเจ้าตัวรู้สึกว่ามันจั๊กจี้

     

    “อี้ชิง”

     

    “ฮะ”

     

    “วันนี้งอนพี่ไหม”

     

    จางอี้ชิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เขาพยายามนึกว่าวันนี้ตุ้ยจางทำอะไรที่จะทำให้เขางอนได้แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก

     

    “ผมจะงอนพี่ทำไม ผมไม่เห็นจะนึกออกเลยว่าพี่ทำอะไรให้ผมงอนได้”

     

    อี้ฟ่านเดาออกเลยล่ะว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังทำหน้ายังไง เพราะตอนนี้ศีรษะกลมที่เขาวางคางไว้อยู่มันเอียงเล็กน้อย ตอนนี้อี้ชิงคงทำหน้าเอ๋อๆ งงๆ หากแต่ดูน่ารักอย่างที่เขาชอบอยู่แน่ๆ เสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสเห็น


    “ก็ที่คนอื่นให้ของขวัญนาย แต่พี่ยังไม่ให้”

     

    “เรื่องนี้เนี่ยนะ” อี้ชิงพลิกตัวเองมากระทันหันชนิดที่ว่าอี้ฟ่านไม่ได้ทันตั้งตัว จนเขาเกือบจะเอาคางกระแทกลงหัวอีกฝ่ายไปเต็มๆ  แล้วพออี้ฟ่านตั้งตัวได้เขาก้มมองก็เห็นอี้ชิงจ้องเขาตาแป๋วอยู่

     

    “อืม ก็คนอื่นๆ ให้ของขวัญวันเกิดนายหมดแล้วเหลือพี่คนเดียว นายอาจรู้สึกว่าพี่ไม่ให้ความสำคัญนาย”

     

    “ตุ้ยจางคิดมาก ผมไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย แล้วก็มีคนไม่ให้ของขวัญผมอีกตั้งหลายคน จงอิน เซฮุน ชานยอล ดีโอ พวกนี้ก็ยังไม่ได้ให้เลย”

     

    “มันไม่เหมือนกัน พี่ไม่เหมือนพวกนั้น”

     

    “ไม่เหมือนกันยังไง” อี้ชิงเอียงคอมองเหมือนข้องใจหนักหนา

     

    “นายก็รู้พี่เป็นแฟนนายนะ แต่พวกนั้นเป็นน้อง” แก้มขาวเมื่อกี้ถูกริ้วสีแดงค่อยๆ ไล่ลามขึ้นมาหลังจากได้ยินประโยคนั้น

     

    ทำยังไงก็ไม่ชินเสียทีกับคำว่าแฟน ทั้งๆที่ตกลงคบกันมาก็หลายเดือนแล้ว

     

    “ที่พี่ยังไม่ได้ให้ เพราะพี่ยังไม่เจอของที่ถูกใจ พี่ไม่อยากซื้ออะไรส่ง ๆ ให้นาย แต่อยากซื้อของที่รู้สึกว่ามันเหมาะกับนายมันมีค่า นายเข้าใจพี่ใช่ไหม” เสียงทุ้มนุ่มอธิบายออกมา พร้อมกับจับกุมมือเล็กเอาไว้ จางอี้ชิงยืนมองคนตรงหน้าที่กำลังอธิบายด้วยแววตาจริงจัง จริงจังเสียจนเขาแทบจะหลุดยิ้มออกมา

     

    เรื่องแค่นี้ตุ้ยจางก็ต้องจริงจังด้วยเหรอ?

     

    “อืม ผมเข้าใจ แล้วผมก็ไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ นะ พี่อย่าคิดมากซิ ก็เหมือนจุนมยอนนั่นแหละ ผมไม่เคยคิดน้อยใจเขาเลย ที่ผมให้ของขวัญเขาทุกปีเพราะว่าเราเป็นเพื่อนกัน แต่ผมไม่คิดว่าจุนมยอนจะคิดมากเลยนะ แล้วผมก็ไม่ได้สนใจจริงๆ ว่าเขาจะให้ของขวัญผมหรือไม่ เรื่องแค่นี้ผมไม่เก็บมาคิดน้อยอกน้อยใจหรอก พี่ก็เหมือนกันอย่าคิดว่าผมจะคิดมากซิ”

     

    พอได้ยินคำตอบจากคนตัวเล็ก แทนที่อี้ฟ่านจะสบายใจ กลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมันกระตุกในใจแทนเสียอย่างนั้น

     

    “ไม่คิดสักนิดเลยเหรอ”

     

    “อืม”

     

    “จริงๆ นะ”

     

    “อืม”

     

    คราวนี้คนตัวโตเริ่มถอนหายใจ แล้วก็ดึงร่างเล็กมากอดกระชับ

     

    “พี่นี่ยังไงกัน พอผมบอกว่าไม่คิดอะไร พี่ยิ่งทำหน้าไม่พอใจ” อี้ชิงบ่นอู้อี้อยู่กับอก และพยายามที่จะเงยหน้ามองร่างสูง ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเงยมาตอนนี้ดีไม่ดีก็จะเห็นแต่คางของอีกฝ่ายเสียเปล่า ๆ

     

    “ก็ถ้านายไม่คิดอะไรเลย มันเริ่มทำให้พี่คิดว่า จริงๆ นายแคร์พี่หรือเปล่า”

     

    คำพูดน้อยอกน้อยใจที่เอ่ยออกมาของคนรักมันทำให้อี้ชิงรู้สึกวูบในอก เขาไม่ใช่คนคิดมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่แคร์อะไร เขาก็แค่มองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ไปเพราะคิดว่าคิดมากไปก็มีแต่จะทำให้เครียดก็แค่นั้น

     

    “พี่คิดมากอีกแล้ว”

     

    “พี่คิดมากอยู่แค่ไม่กี่เรื่อง แล้วหนึ่งในเรื่องนั้นคือเรื่องของนายนะอี้ชิง”

     

    คนตัวเล็กเอื้อมแขนตัวเองไปกอดกระชับร่างของคนรักให้แน่นขึ้นไปอีก แล้วเคาะหน้าผากของตัวเอกกับอกหนาเบาๆ เหมือนจะง้องอนขอโทษอีกฝ่าย

     

    “ผมรู้ แต่พี่อย่าคิดมากซิ ผมไม่ได้คิดน้อยใจพี่ แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้แคร์พี่ พี่ก็น่าจะรู้ว่าผมเป็นแบบไหน ผมเป็นจางอี้ชิงเด็กเอ๋อของพี่ไง บางทีผมก็ไม่รู้หรอกว่าผมควรต้องทำตัวแบบไหน หรือเผลอไปทำอะไรลงไป” อี้ชิงซุกตัวเองกับอ้อมกอดราวกับลูกแมวขี้อ้อน แล้วคำพูดแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ล่ะที่อี้ฟ่านแพ้อย่างราบคาบ

     

    “ขอโทษที่พี่คิดมากคนดี” อี้ฟ่านก้มลงจุมพิตเบาๆ ที่เรือนผม ก่อนจะเกี่ยวปลายคางอี้ชิงให้เงยหน้ามองเขา

     

    พอเห็นตาแดงๆ ของอีกฝ่าย ใจของอี้ฟ่านก็อ่อนยวบ เขาเผลอทำให้อี้ชิงเสียใจอีกแล้วซินะ ทั้งๆ ที่รู้ว่า อี้ชิงมักจะอ่อนไหวกับเรื่องงาน และเรื่องมิตรภาพ ความสัมพันธ์แค่ไหน อี้ชิงไม่เคยโกรธ หรืองอนใครง่ายๆ แต่กลับกลัวที่จะทำให้คนอื่นโกรธ หรือเสียใจ

     

    “พี่ขอโทษ พี่จะไม่พูดกับเราแบบนี้อีกแล้ว” ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆ ที่แก้มขาวของอีกฝ่าย แต่คนตาแดงดูจะยังคงทำสีหน้าไม่ดีอยู่ดี

     

    “แต่ผมทำให้พี่รู้สึกไม่ดี”

     

    “พี่มันบ้าเอง เราก็รู้ว่าพี่ชอบเรียกร้องความสนใจจากเรา แล้วพี่ก็หึงเรื่อยเปื่อยนั่นแหละ”

     

    “พี่หึง พี่หึงใคร” คราวนี้จากสีหน้าเสียใจ อี้ชิงเปลี่ยนสีหน้าเป็นงงงวยได้ชนิดทันควัน แล้วมันก็ทำให้อี้ฟ่านมองแล้วนึกขำกับความซื่อ และความเด็กของคนตรงหน้า

     

    “จุนมยอน”

     

    “ห๊า” คราวนี้อี้ชิงงงเป็นไก่ตาแตกเลยล่ะ

     

    “ก็วันนี้ตอนที่เจ้านั่นร้องไห้ ตอนที่ขอโทษนายที่เขาจำวันเกิดนายไม่ได้ แล้วพวกนายกอดกันมันทำให้พี่รู้สึกหึงนิด ๆ”

     

    “หึงนิด ๆ” อี้ชิงก็ยังงงอยู่ดีแหละว่ามันมีเรื่องอะไรให้ควรหึง

     

    “อืม ก็ไม่รู้ซิพี่รู้ว่าเราเป็นคนอ่อนโยน ใส่ใจกับเพื่อนทุกคน แล้วพอได้ฟังแบบนี้มันทำให้พี่รู้สึกว่าพี่พิเศษน้อยลง แล้วเห็นจุนมยอนเสียอกเสียใจหนักหนาพี่ก็แอบคิดว่าเจ้านั่นมันคิดอะไรกับนายหรือเปล่า”

     

    อี้ชิงหลุดหัวเราะพรืดออกมาทันทีที่ได้ยินคำอธิบายของคนขี้หึง แล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคักจนต้องหลบหน้าคนที่ยืนหน้าเข้มจ้องมองอยู่

     

    “ขำอะไร”

     

    อี้ชิงพยายามกลั้นหัวเราะ หากแต่รอยยิ้มยังคงเปื้อนใบหน้าอยู่จนอี้ฟ่านเริ่มรู้สึกอายนิด ๆ ที่เห็นอีกฝ่ายขำเขาขนาดนั้น

     

    “พี่คิดมากอะ คิดมากตลอดเลย อย่างจุนมยอนเนี่ยพี่ก็รู้ว่าเขาเป็นคนเซ็นซิทีฟยิ่งกว่าผมด้วยมั่งบรรยากาศตอนนั้นมันพาไป เราไม่ได้มีอะไรกันสักหน่อย”

     

    “ก็รู้แต่ยังหึงไง”

     

    “ตุ้ยจาง” อี้ชิงเรียกเหมือนอ่อนใจ จนอีกฝ่ายที่ยืนทำหน้าจริงจังต้องดึงมากอดเอาไว้

     

    “ขอโทษ”

     

    “ไม่ต้องขอโทษหรอก ผมเข้าใจ” อี้ชิงเอ่ยพร้อมส่งยิ้มให้ “เข้าใจแต่ก็อยากบอกว่า ผมไม่อยากให้พี่คิดแบบนี้อีก พี่ก็รู้ว่าพี่สำคัญกับผมมากแค่ไหน พี่เป็นทั้งตุ้ยจางของพวกเรา เป็นพี่ชาย เป็นเพื่อน แล้วก็....เป็นคนรักของผม”

     

    อี้ชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มเขินอาย จนเห็นลักยิ้มกดลึก แก้มขาวนวลตาที่อี้ฟ่านชอบมอง แล้วรู้สึกภูมิใจเสมอว่าลักยิ้ม และผิวขาวนวลนี้เป็นของเขา ตอนนี้กลายเป็นสีชมพูอ่อนๆ ไปแล้ว และยิ่งมองก็ยิ่งน่ารัก จนไม่กล้าที่จะทำตัวงี่เง่าต่อ

     

    “พี่รู้ แล้วจะพยายามไม่คิดมากอีก”

     

    พอได้คำตอบแบบนี้ คนตัวเล็กก็ยิ่งยิ้มกว้างน่ารักเข้าไปใหญ่ จนคนมองอดรนทนไม่ไหวต้องบรรจงกดปลายจมูกลงไปประทับที่ลักยิ้มนั้น

     

    “เดี๋ยวใครเห็นนะ” อี้ชิงดุเบาๆ หลังจากแมวตัวโตแอบขโมยหอมไปแล้ว แค่ไม่กี่นาทีทั้งขโมยหอมเขาจูบเขา ถ้าพี่ผู้จัดการมาเห็นได้โดนดุแน่ๆ

     

    “หลับกันหมดแล้ว และเราก็ควรต้องไปนอนด้วย” อี้ฟ่านยิ้มราวกับมีความสุขหนักหนาแล้วเขาก็ดึงผ้าห่มออกจากร่างของทั้งคู่ และดึงมือคนตัวเล็กให้เดินตามเข้ามาในห้องรับแขก

     

    ฝูกหมอนที่กองอยู่ต่างคนต่างช่วยกันจัดพอให้มันนอนได้ แล้วเมื่อจัดเสร็จทั้งคู่ก็ลงนอนเคียงกันกลางห้องรับแขก อี้ชิงชอบนอนที่นี่เพราะมันเย็นสบายกว่านอนในห้องตัวเอง แล้วจงแดเองก็ไม่ชอบอากาศเย็นเพราะมันจะทำให้เสียงของเขามีปัญหา อี้ชิงเลยตัดปัญหาด้วยการมายึดห้องรับแขกนอน แล้วไป ๆ มาๆ อี้ฟ่านก็เลยต้องย้ายตัวเองจากเตียงอุ่นๆ สุดโปรดมานอนเป็นเพื่อน หรืออีกนัยก็คือหาเรื่องมานอนกอดคนรักนั่นแหละ

     

    “อี้ชิงอยากได้อะไรเป็นของขวัญ” คนตัวโตดูจะยังไม่เลิกหมกหมุ่นกับเรื่องของขวัญ เพราะวันนี้เขารู้สึกเสียหน้ามากที่โดนคนอื่นล้อเรื่องที่เขาเป็นคนเดียวในกลุ่มเอ็ม ที่ยังไม่ได้ให้ของขวัญอี้ชิง

     

    “ไม่ต้องให้ก็ได้ ถ้าพี่ไม่รู้จะซื้ออะไร”

     

    “ฟังเหมือนถ้าพี่ไม่มีปัญญาคิด พี่ก็ไม่ต้องให้ก็ได้อะไรแบบนั้นเลย”

     

    คราวนี้อี้ชิงยื่นปากจนยู่ เพราะเริ่มเบื่อคนขี้บ่น คิดมากเสียแล้ว

     

    “โอเค ๆ พี่ไม่ถามแล้ว แต่จริงๆ พี่ก็มีเตรียมไว้ให้บ้างแล้วนะ”

     

    “อะไรฮะ”

     

    “อยากรู้ตอนนี้จริงๆ เหรอ”

     

    คนถูกถามพยักหน้าทันที แล้วมันก็ทำให้คนเสนอของขวัญต้องอมยิ้ม อี้ฟ่านเขยิบเข้ามาใกล้ จนลมหายใจร้อนรดที่ปลายจมูกโด่งของอี้ชิง

     

    แล้วพอจะเอ่ยถามอีกครั้งก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะพอรู้ตัวอีกทีสัมผัสอุ่นก็แนบลงที่ริมฝีปากอิ่มของอี้ชิงทันที อี้ฟ่านจุมพิตเลาะเล็มที่กลีบปากอิ่มที่มักเอ่ยวาจาน่ารักให้เขาได้ยินเสมอจนขึ้นสีช้ำ ชายหนุ่มค่อยๆ ดูดดึงริมฝีปากล่างของอี้ชิงราวกับกำลังชิมเยลลี่รสหวานล้ำ และจากแค่เลาะเล็มริมฝีปาก เขาก็เปลี่ยนองศามามอบจูบที่แนบชิดจนอีกฝ่ายเผลอครางเบาๆ  ปลายนิ้วสวยเกี่ยวพันกับเรือนผมสีทองของอี้ฟ่านจนยุ่งเหยิงไปตามแรงอารมณ์ หากแต่ก็ดูจะไม่พอ และยากเหลือเกินที่จะถอดถอนของขวัญที่เขาตั้งใจมอบให้กับคนรักได้ในเวลานี้ เพราะยิ่งได้ชิม ได้ลิ้มรส เขาก็ยิ่งหลงไหล รสชาดของอี้ชิงเหมือนนม เหมือนรสของนมหวาน ซึ่งติดลิ้นจนไม่อยากจะเลิกลิ้มรส

     

    อี้ฟ่านกดจูบลุกล้ำ จนปลายลิ้นของทั้งคู่สัมผัสเกี่ยวพันกัน เขาเปลี่ยนองศาไปตามแรงปรารถนา และยิ่งเมื่อกลิ่นหอมของร่างในอ้อมกอดสัมผัสเข้าสู่โสต ก็ยิ่งทำให้อี้ฟ่านยากจะควบคุมตัวเอง กลิ่นของอี้ชิงเป็นกลิ่นอ่อนๆ กลิ่นหอมราวกับกลิ่นวานิลา และเมือยิ่งได้สัมผัสก็ยิ่งทำให้หลุ่มหลง

     

    “อื้อ...... พอก่อนฮะ” เสียงขอร้องปนหอบ พร้อมทั้งมือเล็กดึงกระตุกชายเสื้อของอี้ฟ่าน ทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดล่วงเกินคนน่ารักของเขา หากแต่ก็แค่เลิกจูบ เพราะอี้ฟ่านยังคงแนบริมฝีปากกับแก้มใสทั้งสองข้างเบาๆ และเขาก็กดปลายจมูกที่ขมับสวยหมายสูดกลิ่นหอมที่เขาแสนหลงไหล ถึงอยู่ด้วยกันทุกวี่วันก็ใช่จะได้กอดจูบแบบนี้บ่อยๆ ทั้งๆ ที่เขาอยากจะทำทุกเช้าเย็นด้วยซ้ำ แล้วถ้ามีโอกาสแล้วมีหรือที่จะปล่อยไปง่ายๆ

     

    “พอก่อนไงฮะ” อี้ชิงเอ่ยของร้องราวกับเสียงลูกแมว แล้วก็ดูมีพลังในการห้ามปรามน้อยเสียเหลือเกิน

     

    “ไม่ชอบเหรอ” อี้ฟ่านเอ่ยถามทั้งๆ ที่ยังคงละไล้ปลายจมูกลงยังไหปลาร้าสวยของคนรัก ตัวของอี้ชิงนุ่มนิ่มราวกับตุ๊กตา แถมผิวยังขาวเนียนราวกับหินอ่อน เมื่อได้อยู่ใกล้มันก็ยากจะห้ามใจที่จะสัมผัส

     

    “อืออ... ไม่ใช่แบบนั้นนะฮะ แต่..อืมม..มันห้องรับแขก”

     

    อี้ชิงพยายามขอร้องซึ่งไม่รู้อีกฝ่ายฟังอยู่หรือเปล่า หรือคิดแต่จะล่วงเกินเขา แล้วถ้าขืนปล่อยไว้ได้เกิดปัญหาแน่ๆ คนตัวเล็กเลยต้องกำหมัดแล้วทุบลงซ้ำๆ ที่หลังของคนตัวใหญ่กว่าเพื่อให้หยุดปล้ำจูบเขาเสียที

     

    “โอ้ยย ๆ พี่รู้แล้ว ๆ “

     

    “รู้แล้วก็เลิกซิฮะ...” อี้ชิงดุเบาๆ โดยที่เสียงยังคงสั่นอยู่ ก็อยู่ดีเล่นมาจู่โจมเขาเสียเกือบเผลอปล่อยเลยตามเลยไปเสียแล้ว

     

    อี้ฟ่านลุกขึ้นมาก้มมองใบหน้าแดงกล่ำของคนรัก ที่แม้แต่ห้องรับแขกไม่ได้เปิดไฟ ก็เห็นได้จากแสงสะท้อนจากระเบียง แล้วยิ่งผิวของอี้ชิงขาวจัดขนาดนี้ก็ยิ่งเห็นได้ง่าย

     

    “เป็นยังไงบ้างของขวัญของพี่”

     

    “เนี่ยนะฮะของขวัญ”

     

    “อืมม”

     

    “ผมไม่ได้อยากได้สักหน่อย”

     

    “แต่พี่อยากให้ อยากให้มากกว่านี้ด้วย”

     

    ทั้งสายตากรุ่มกริ่ม ทั้งริมฝีปากแดงที่ยังแวววาวจากจุมพิต แล้วไหนจะคำพูดชวนคิดลึกพวกนั้นอีก นี่คิดจะให้อี้ชิงอายให้ตายเลยหรือไง

     

    “ผมจะนอนแล้ว” อี้ชิงเอ่ยเสร็จก็พลิกตัวพร้อมทั้งเอาหน้าร้อนๆ แนบกับหมอน เพื่อจะหลบหน้าคนขี้ตู่ ของขวัญแบบนี้ใครจะอยากได้กัน แถมให้ที่ไหนไม่ให้เล่นมาปล้ำจูบเขากลางห้องรับแขกแบบนี้ ถ้าใครเผลอเปิดประตูออกมาได้ยุ่งแน่ๆ แล้วปรกติที่นอนกอดกันมันก็ทำให้เขาอายจะแย่อยู่แล้วเวลาโดนล้อ

     

    “ครับ กู๊ดไนท์” อี้ฟ่านก้มลงไปจุมพิตที่ศีรษะกลม ก่อนที่เขาจะเอนตัวเองลงนอนแล้วดึงร่างเล็กให้เข้ามาในอ้อมกอด ซึ่งอี้ชิงก็ไม่ได้ขัดขืนเพราะรู้ว่าขัดขืนไปก็ไร้ประโยชน์

     

    “จางอี้ชิง” อยู่ดีๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยกระซิบข้างใบหู

     

    “ฮะ”

     

    “สุขสันต์วันเกิดนะครับ”

     

    อี้ชิงพลิกตัวมามองคนที่เพิ่งเอ่ยอวยพรวันเกิดให้เขาทั้งๆ ที่มันผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว ทั้งคู่มองจ้องกัน และอี้ชิงก็ซุกตัวเองเข้าไปกอดตอบร่างหนานั่นแทนคำพูด เพราะเมื่อครู่ตอนที่สบตากัน ทั้งแววตา และรอยยิ้ม ของอี้ฟ่านมันทำให้อี้ชิงรู้สีกมีความสุขมากเหลือเกิน

     

    เพราะสิ่งเหล่านั้นมันเหมือกำลังเอ่ยบอกเขาว่า “รัก”

     

    “อี้ชิง”

     

    “ฮะ”

     

    .”I love you

    .

    .

    love you too ฮะ

     

    Special

     

    คนหน้าตาน่ารักสองคนกำลังกอดอกมองกองผ้าห่มกองใหญ่กลางห้องรับแขกอยู่พร้อมหัวเราะคิกคัก มันจะไม่มีอะไรเลยถ้ามันเป็นแค่กองผ้าห่ม แต่นี่ในกองผ้าห่มดันมีคนอยู่ด้วยนี่ซิ

     

    ก็ตอนนี้คู่รักประจำบ้าน ตุ้ยจางกับอี้ชิงเล่นกอดกันกลมดิก ทั้งๆ ที่สายจนป่านนี้แล้ว เมื่อคืนคงนอนคุยกันเสียจนดึกเลยป่านนี้ยังไม่ยอมตื่น

     

    "เมื่อคืนคงสวีทกันน่าดู ถึงยังไม่ตื่น เมื่อคืนนี้ก่อนออกมานอนที่นี่อี้ฟ่านถึงกับโพสภาพคู่ลงเว่ยป้อเลยล่ะ" ลู่หานหันมากระซิบกระซาบที่ข้างหูเพื่อนแก้มป่อง


    "จริงอะ่"


    "อืม"


    "เยอะเน้อ"ลู่หานแทบกลั้นหัวเราะไม่ทันเมื่อได้ยินประโยคแซวจากมินซอก "อืมเยอะ" คราวนี้ทั้งคู่ถึงกับยืนอุดปากตัวเองเพราะกลัวเสียงหัวเราะจะไปปลุกคนที่ตัวเองนินทาอยู่


     

    “เออ คราวที่แล้วตอนออกไปซื้อของช่วงซูซอกกับอี้ฟ่านก็ลืม” 

     

    “ลืมอะไร” มินซอกเอ่ยถามออกมาหลังจากหยุดหัวเราะได้แล้ว

     

    “ลืมให้อี้ฟ่านซื้อฉากกั้นไง จะได้เอาไว้มากั้นเวลาอี้ชิงอยากนอนที่ห้องรับแขกแล้วเจ้านั่นชอบเนียนตามออกมา มาตั้งบังเอาไว้หน่อยจะได้ไม่ประเจิดประเจ้อแบบนี้ไง”

     

    “เออก็จริง วันนี้นายก็บอกคริสซิ เห็นเขาบอกว่าวันนี้จะออกไปดูของขวัญให้อี้ชิง”

     

    “เหรอ งั้นก็บอกให้ซื้อฉากกั้นนี่แหละเป็นของขวัญให้น้องมัน”

     

    “จะดีเหรอ” มินซอกเอ่ยถามทั้งๆ ที่มองตาก็รู้ว่าแกล้งถาม

     

    “ดีซิถ้าอี้ฟ่านรู้วัตถุประสงค์ให้การใช้ เจ้านั่นคงรีบไปซื้อเลยล่ะ”

     

    “แต่อี้ชิงอาจไม่ชอบเท่าไหร่”

     

    “เออเน้อ แต่เชื่อเหอะคริสชอบแน่” ลู่หานพยักหน้าถี่อย่างเห็นด้วยที่สุดกับความคิดของเพื่อนสนิท แถมยังหัวเราะคิกคักตามมาอีก

     

    “แต่ตอนนี้ปลุกสองคนนี้ก่อนพี่ผู้จัดการจะมาก่อนเหอะ” มินซอกกล่าวพร้อมทั้งยักคิ้วเหมือนเป็นการส่งสัญญาณที่รู้กันดีระหว่างทั้งคู่

     

    “อืม” ว่าแล้วพี่ใหญ่หน้าเด็กทั้งคู่ก็วิ่งพุ่งเข้าไปแถมยังพาร่างไม่เล็กของตัวเองโดดทับลงไปที่คนนอนหลับอย่างมีความสุขอีกต่างหาก

     

    ลู่หาน กับมินซอกไม่ได้อิจฉานะก็แค่หมั่นไส้ก็แค่นั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×