คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : [KrisLay] The Moon and The Sun [Part 6] 100%
The Moon and The Sun [Part 6]
Author: Angel Midori
Genre: Romantic Drama
Rating: PG-13
Pairing: Krislay feat. KaiLu Chanbaek
ยังไม่เลิกแต่งนะคะ เห็นหายไปนานจะคิดว่าเลิกแต่งเรื่องนี้ พอดีอยู่ในช่วงไม่พร้อม 555 แต่พยายามค่อยๆ ปั้นอย่างช้าๆ จากฟิคดราม่าเบาๆ ชักกลายเป็นฟิคท่องเที่ยวพิกล แต่อีกไม่กี่ตอนจะจบแล้วล่ะคะ
ปล. ปุ้มบนบางสิ่งบางอย่างไว้ ถ้าได้อย่างที่ขอจะแต่งฟิคยาวคริสเลย์นะคะ ตอนนี้กำลังร่างเรื่องให้จบอยู่ ถ้าเรื่องที่บนสำเร็จจะมาลงฟิคยาวที่ว่าเดือนหน้าค่ะ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“สวยจัง” จางอี้ชิงอุทานเสียงดังอ้าปากค้าง ทันทีที่เท้าของเขาก้าวไปยืนหน้าจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ ดวงตาสุกใสเป็นประกาย หากแต่มันทำให้คนข้างกายอดหัวเราะเสียงดังไม่ได้กับท่าทีตื่นเต้นแบบนั้น
“ขำอะไร” อี้ชิงหันไปถามหน้ามุ่ย แต่ไม่ได้ทำให้คนหัวเราะอยู่จะหยุดได้อี้ฟ่านทำได้แค่กัดริมฝีปากแต่ใบหน้าก็รู้ว่ายิ้มเยาะอีกฝ่ายอยู่
“ไม่ขำได้ยังไง อยากให้เห็นหน้าตัวเองเมื่อกี้ อ้าปากกว้างกลัวกรามจะค้าง”
จางอี้ชิงยิ่งทำหน้าบึ้งเข้าไปอีกก่อนจะงึมงำบ่นว่าอีกฝ่ายนิสัยไม่ดีเบาๆ คนตัวเล็กเลิกสนใจเพื่อนร่วมทางที่ทำให้เขาอายและก้าวเท้าเข้าไปยังบริเวณจัตุรัส รอยยิ้มระบายบนใบหน้าอีกครั้ง ก่อนเจ้าตัวจะหยิบกล้องถ่ายรูปคอมแพคมาถ่ายรูปวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่อยู่เบื้องหน้า
วิหารสีขาวทรงโดมขนาดใหญ่สถานที่ๆ อี้ชิงใฝ่ฝันว่าสักวันจะมาเห็นด้วยตาของตัวเองตอนนี้อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว รอยยิ้มประดับใบหน้า ดวงตารูปโค้งมีประกายสะท้อนกับแสงแดดจ้าของวาติกัน อี้ชิงสูดลมหายใจแรงๆ เข้าปอดราวกับอยากกักเก็บอากาศวาติกันเอาไว้เป็นความทรงจำ ภาพของจางอี้ชิงตอนนี้กำลังปรากกฎอยู่บนหน่วยตาของอี้ฟ่าน ชายหนุ่มค่อยๆ หยิบกล้อง DSLR ของตัวขึ้นมาและแอบถ่ายอดีตคนรัก และเมื่อเขากดเลื่อนดูภาพที่เพิ่งถ่ายไปมันทำให้อี้ฟ่านอดยิ้มไม่ได้
ภาพสวย วิวสวย และมันสวยที่สุดเมื่อองค์ประกอบของรูปนั้นมีจางอี้ชิงอยู่
“เข้าไปข้างในกันเหอะ” อี้ชิงเอ่ยเร่ง เจ้าตัวก้าวเท้าฉับๆ ไม่รอคนตัวโตเลยสักนิด พอมาถึงจุดขายตั๋วสำหรับขึ้นไปชมยอดโดม คนตัวเล็กก็ทำท่าอึกอักรอให้อี้ฟ่านมาช่วยตัดสินใจ และซื้อให้ อี้ฟ่านอมยิ้มมองท่าทางไม่มั่นใจของคนตัวเล็ก เขาชอบเวลาที่อี้ชิงตัดสินใจไม่ได้ และต้องรอให้เขาช่วยเหลือ เขาชอบท่าทางประหม่าอย่างน่ารักของอดีตคนรัก และเขาชอบที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นที่พึ่งพาได้ของอี้ชิง
“อี้ฟ่านนี่เขาเขียนว่ามี 2 ราคาใช่ไหม”
“อืม 7 ยูโร ถ้าขึ้นลิฟท์ไปก่อน แล้วค่อยขึ้นบันไดต่อ กับ 4 ยูโร ถ้าขึ้นบันไดไปเองทั้งหมด”
“แล้วเอายังไงดีล่ะ” อี้ชิงเคาะนิ้วชี้กับปลายคางซึ่งเป็นท่าประจำเวลาคนตัวเล็กกำลังคิด มันทำอี้ฟ่านอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือใหญ่ไปโยกศีรษะเล็กๆ เบาๆ ด้วยความเอ็นดู
“อย่างกเลยขึ้นลิฟท์ไปเหอะ ขนาดขึ้นลิฟท์เรายังต้องเดินขึ้นบันไดอีก 300 กว่าขั้นนะ”
“ไม่ได้งกสักหน่อย ขึ้นลิฟท์ก็ขึ้นลิฟท์ อี้ฟ่านไปซื้อตั๋วซิ” อี้ชิงผลักคนตัวโตเบาๆ แต่อี้ฟ่านก็แกล้งไม่ขยับตัว
“ไปซื้อเองดูไหม” เขารู้ว่าอี้ชิงกลัวการพูดภาษาอังกฤษ คนตัวเล็กส่ายหัวดิกทันที
“ขี้แกล้ง” อี้ชิงบ่นเบาๆ แต่มันก็ทำให้ร่างสูงได้ยิน อู๋ฟ่านหัวเราะลงคอก่อนจะเดินไปจัดการเรื่องตั๋วเพื่อขึ้นสู่โดมของวิหาร
พอได้ตั๋วมาแล้วทั้งคู่ก็ค่อยๆ ขึ้นลิฟท์ไปจนถึงจุดที่ต้องเดินขึ้นบันไดกว่าสามร้อยขั้นเพื่อไปยังจุดสูงสุดของยอดวิหาร อี้ชิงก้าวท้าวเดินช้า ๆ โดยคนตัวเล็กยังคงมีท่าทีตื่นเต้นตลอดเวลา ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อไปถึงจุดที่มองเห็นภายในของวิหารได้ อี้ชิงชี้ชวนอู๋ฟ่านให้ดูรูปปั้น ภาพเขียน สถาปัตยกรรมสไตล์บาโรกภายในวิหารด้วยท่าทีตื่นเต้น และมันเรียกรอยยิ้มซึ่งคนตัวโตแทบจะนับไม่ได้แล้วว่าเขายิ้มให้กับอี้ชิงมากเท่าไหร่ตั้งแต่เริ่มเดินทางด้วยกันเป็นเวลาสองวันมานี้
อี้ชิงชอบศิลปะ เจ้าตัวจะยิ้มกว้าง ตื่นเต้น และมีความสุขเมื่อได้เห็นความงดงามของศิลปะ ไม่ว่าจะแขนงไหน เขาดีใจที่มีโอกาสได้พาอี้ชิงมาที่นี่ด้วยตัวเอง อย่างน้อยเขาก็ได้เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำที่ดีของอี้ชิง
จากจุดที่สามารถมองเห็นภายในวิหารได้ ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงทางเดินแคบที่สองฝั่งกำแพงกลายเป็นแนวโค้งของโดม บางช่วงการเดินต้องเดินเอียงตัวเนื่องจากรอยโค้งมันทำให้การเดินช้าลง อี้ฟ่านอดไม่ได้ที่จะถามไถ่ว่าอีกฝ่ายยังคงไหวอยู่ไหมทั้งๆ ที่เขารู้ว่าอี้ชิงเป็นคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่มันอดห่วงไม่ได้ว่าอาการเจ็บปวดจะบั่นทอนกำลังของคนตัวเล็กในตอนนี้หรือเปล่า
“ไหวนะ?”
“ไหวซิ เดินแค่นี้เอง อี้ฟ่านเหอะ เหงื่อออกเลยดูซิ เห็นไหมไม่ชอบออกกำลังกาย” คนตัวเล็กหันมาใช้นิ้วมือขาวเกลี่ยผมที่ปรกหน้าผากของอดีตคนรักก่อนจะซับเม็ดเหงื่อปลายแขนเสื้อ ท่าทางที่ทำไปโดยธรรมชาตินั้นทำให้หัวใจของอู๋อี้ฟ่านเต้นแรง มันเต้นแรงเสียยิ่งกว่าการเดินขึ้นบันไดนับร้อยขั้นเสียอีก คนตัวโตพยายามที่จะไม่แสดงออกเพราะกลัวว่าอี้ชิงจะรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ เขาได้แต่อมยิ้มและปล่อยให้คนตัวเล็กซับเหงื่อเขาเบาๆ ก่อนจะหันหลังและเดินนำเขาต่อไป
ชายหนุ่มอมยิ้มและมองแผ่นหลังเล็กตามไป ตอนนี้จางอี้ชิงคงไม่ได้ใจแข็งราวกับกำแพงเมืองจีนเหมือนก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหม อย่างน้อยการกระทำ รอยสัมผัส ก็ยังคงบอกเขาได้ว่าคนตัวเล็กยังคงมีความผูกพันกับเขาอยู่มาก
.
.
.
.
“อี้ฟ่าน!!” จางอี้ชิงเอ่ยเรียกอดีตคนรักเสียงดัง มือขาวกวักถี่ โดยอีกมือยังยึดเกาะกับแนวขอบรั้ว คนตัวโตที่ยังหอบเหนื่อยค่อยๆ เดินตามเสียงเรียกก่อนที่จะมองเห็นภาพตามปลายนิ้วของอี้ชิงที่ชี้ไปเบื้องหน้า
ภาพของจัตุรัสเซ็นต์ปีเตอร์อยู่เบื้องหน้าเขา และเมื่อมองตรงไปบ้านเรือน หมู่อาคารสีขาวทอดยาวไปจนสุดสายตา กรุงโรมตอนนี้อยู่เบื้องล่างของเขา
“สวยใช่ไหม สวยมากเลย นั่นอนุสาวรีย์กษัตริย์วิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 2 ใช่ไหม” คนตัวเล็กเอ่ยละล่ำละลักด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น อี้ฟ่านพยักหน้าเบาๆ เออออตามไปเพราะเขาเองก็ได้แต่เดาว่าคงใช่ เพราะก็อ่านหนังสือดูภาพไม่ต่างจากอี้ชิง คนตัวเล็กเงยหน้าและสูดอากาศลงปอดสุดแรงอีกครั้ง ก่อนจะหันมายิ้มกว้างจนรอยยิ้มกดลึกให้กับคนที่ร่วมทางมาด้วยกัน
“ขอบคุณนะ ที่พาฉันมา”
“ขอบคุณเช่นกันที่มาด้วยกัน”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คริสอู๋กำลังนอนเหยียดขาอยู่บนเตียงเดี่ยวสีขาว บนเตียงเต็มไปด้วยเศษกระดาษและแผนที่ ผมที่ยาวละต้นคอถูกรวบไว้ด้านหลัง เจ้าตัวใส่แว่นตากรอบดำนั่งขีดโน่นนี่ลงไปบนสมุดบันทึกที่ถืออยู่
เวลาแบบนี้แหละที่จางอี้ชิงรู้สึกว่าอดีตคนรักนั้นมีเสน่ห์ ไม่ใช่อี้ฟ่านที่ดูเท่ห์ เหมือนเจ้าชาย แต่เป็นอี้ฟ่านในแบบเซอร์ ๆ ที่มีน้อยคนจะได้เห็น
อี้ชิงขยี้ผ้าขนหนูกับผมชื้น ที่เพิ่งไดร์ออกมาจากห้องน้ำหมาดๆ เขาแอบยืนมองอี้ฟ่านอยู่พักใหญ่อย่างที่ไม่รู้จะวางตัวยังไง เมื่อคืนนี้กว่าจะกลับมาที่ห้องก็มืดพอเขาอาบน้ำก็ลงนอนหลับไปก่อนอี้ฟ่านจะออกมาจากห้องน้ำ แต่เนื่องจากวันนี้กลับมาเร็ว พอออกจากห้องน้ำก็เห็นอีกคนยังไม่ได้เตรียมตัวจะอาบน้ำต่อจากเขา
“จะอาบน้ำเลยไหม”
“ยังหรอก”
“ทำอะไรอยู่เหรอ” อี้ชิงทรุดลงนั่งที่ฝั่งของเตียงตัวเอง และมองไปที่ตักของอี้ฟ่านที่มีหนังสือวางกองอยู่
“เช็คข้อมูลอีกที ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่”
“ไหนขอเราดูหน่อย” อี้ชิงเอ่ยพลางยืนมือขาวไปตรงหน้า คนตัวโตยื่นสมุดจดที่ตัวเองจดโน่นนี้ไว้ลวกๆ จนเต็มหน้าให้ อี้ชิงพลิกไปมาสองสามหน้า แล้วยกนิ้วขึ้นมาเกาหัวด้วยความไม่เข้าใจ
“อ่านไม่รู้เรื่องเลย นี่คือทางที่เราจะไปโรงแรมที่จองใช่ไหม” อี้ชิงจิ้มไปที่หน้ากระดาษที่มีรอยปากกาเขียนไว้ยุ่งเหยิงมีเพียงแค่ชื่อโรงแรมที่พอจะเดาได้ กับตัวอักษรที่พอจะบอกได้ว่าเป็นชื่อถนน
“อืมใช่ อี้ชิงอ่านไม่เข้าใจเหรอ”
คนตัวเล็กสะบัดหน้าพรืด ก่อนจะย้ายตัวเองลงนั่งกับพื้น และวางสมุดจดลงกับเตียง อี้ชิงหันไปขอหนังสือคู่มือท่องเที่ยว กับแท็บเล็ตจากคนตัวสูงก่อนจะ วาดปากกาลงบนกระดาษเป็นตาราง
สมุดจดที่อี้ชิงเปิดอ่าน คนตัวโตเขียนการเดินทางไปจุดต่างๆ แบบลวก ๆ โดยที่ไม่ได้วางแผนเอาไว้ว่าจะไปจากจุดไหนไปที่ไหน ตอนอยู่ที่โรมอาจจะยังไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่เพราะที่พักใกล้แหล่งท่องเที่ยว แล้วการเดินทางไม่ไกล แล้วเป็นตัวอี้ชิงเองที่กำหนดว่าอยากจไปไหน รวมถึงตัวเองก็มีหนังสือคู่มือที่ติดมา แต่การที่พรุ่งนี้พวกเขาจะต้องไปฟอเรนซ์กัน ซึ่งอี้ชิงไม่ได้มีข้อมูลมาก จะอาศัยคู่มือที่อี้ฟ่านทำมามันดูจะใช้ยากเสียแล้ว
คนตัวเล็กวาดตารางแบ่งช่องเป็นชื่อสถานที่ และช่องวิธีการเดินทาง แบ่งอีกช่องเอาไว้สำหรับหมายเหตุเพิ่มเติม อี้ชิงให้อี้ฟ่านช่วยกันดูว่าจากสถานที่หนึ่งมีสถานที่ไหนที่อยู่ใกล้แล้วไม่เสียเวลาเดินทางมาก อี้ชิงเขียนชื่อสถานที่ท่องเที่ยวจากจุดต่อจุด ก่อนจะค่อยๆ เขียนวิธีการเดินทางลงอีกช่อง อี้ฟ่านนั่งมองคนตัวเล็กกัดริมฝีปากเบา ๆ เวลาเขียน หรือวาดรูปต่าง ๆ ประกอบลงไปให้เข้าใจง่าย ด้วยความทึ้ง ปนรู้สึกอายที่กับผลงานของตัวเอง
“ไม่ไปอาบน้ำก่อนล่ะ เดี๋ยวเราทำต่อเองได้” อี้ชิงเงยหน้ามาบอกคนที่นั่งจ้องตัวเองอยู่
“รู้สึกแย่ เหมือนที่ทำมามันไม่ดี”
“คิดมาก ไม่ใช่มันไม่ดีหรอก มันก็ใช้ได้ แค่เราทำให้มันดูง่ายขึ้นเอง ถ้าอี้ฟ่านไม่รวบรวมข้อมูลพวกนี้มาก่อน เราก็ทำไม่ได้ถูกไหม อย่าคิดมากซิ” คนน่ารักปลอบด้วยยิ้มหวาน มันหวานจนอี้ฟ่านอดยิ้มตอบไม่ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงดึงคนน่ารักมากอดแล้วหอมแก้มให้หนำใจ แต่ตอนนี้แค่จะเอื้อมมือไปจับยังไม่กล้าที่จะทำ มันเหมือนอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม แต่คว้าไปกลับไม่ถึง
หรือจริงๆ เขาไม่กล้าคว้าเพราะกลัวไปเอง
“ไปอาบน้ำจะได้รีบนอน พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้านะ” อี้ชิงเอ่ยเร่งอีกครั้งก่อนจะหันไปยุ่งกับสมุดโน้ตต่อ อี้ฟ่านรับในลำคอก่อนจะเอื้อมมือใหญ่ไปลูบที่เรือนผมหยักศก อี้ชิงไม่ได้แสดงท่าที่หลบหลีก คนตัวโตจึงยีมันเบาๆ ก่อนลุกจากไป
หากแต่เมื่อพ้นสายตา มือเรียวสวยกลับยกขึ้นมาลูบที่เรือนผมของตัวเองที่ยังรู้สึกถึงสัมผัสที่เพิ่งจากไปได้ ลูบเบาๆ และอมยิ้มกับตัวเอง
++++++++++++++++++++++++++++
เสียงประตูรถไฟถูกปิดลงหลังจากที่คนทั้งคู่มาถึงที่นั่งไม่นานนัก อี้ชิงหอบเบาๆ หลังจากวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อให้ขึ้นรถไฟให้ทัน พวกเขาตื่นสายไปเล็กน้อยและนั่นทำให้ต้องรีบทำเวลาอย่างที่สุดจากที่พักมายังสถานีรถไฟ และโชคดีที่ทั้งคู่ยังทันเที่ยวรถรอบแรกที่จะเดินทางไปยังเมืองฟอเรนซ์
“อ่ะน้ำ” อี้ฟ่านยื่นกระบอกน้ำที่เขาพกติดเป้ไว้ให้คนตัวขาว อี้ชิงส่ายหัวโบกมือตอบเป็นสัญญาณว่ายังไม่ต้องการ คนตัวโตจึงยกมันขึ้นดื่มแทน ทั้งคู่นั่งติดกันบนรถไฟสายด่วนที่เริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานี ความเงียบเข้าครอบครองพื้นที่ตรงนั้น อี้ชิงที่นั่งอยู่ติดริมหน้าต่างหันไปมองวิวภายนอกของรถไฟ โดยมีคนที่นั่งข้างๆ จ้องมองใบหน้าขาวนวลอีกที
“ระหว่างนั่งเฉยๆ เรามาเล่นเกมกันดีไหม” อู๋อี้ฟ่านเอ่ยขึ้นมาระหว่างที่รถไฟเคลื่อนขบวนออกจากสถานราวๆ สิบนาที
“เกม เกมอะไร” ร่างขาวยกคิ้วขมวดด้วยความสงสัย แต่เห็นอีกฝ่ายยิ้มธรรมดา ๆ จึงไม่คิดว่าอี้ฟ่านจะอยากเล่นอะไรแผลงๆ
“เกมตอบคำถาม”
“เกมตอบคำถาม? คืออะไร”
“ก็ถ้าใครถามอะไรอีกฝ่ายต้องตอบ ตอบอะไรมาก็ได้ ผลัดกันถามคนละคำถาม” จางอี้ชิงรู้แล้วล่ะว่ามันไม่ใช่แค่เกม อู๋อี้ฟ่านกำลังเล่นจิตวิทยาบางอย่างกับเขา ซึ่งจริงๆ อี้ชิงก็รู้ว่าในทริปนี้สักวันอี้ฟ่านคงหยิบยกเรื่องความสัมพันธ์ที่แตกร้าวระหว่างพวกเขาขึ้นมาพูดเป็นแน่
“ถ้าตอบว่าไม่เล่นล่ะ”
อี้ฟ่านยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะตอบว่าเขาไม่บังคับ แต่ก็อยากให้อี้ชิงลองเล่นเกมนี้ดู...
เกมที่จางอี้ชิงก็รู้ว่าโอกาสที่เขาจะพ่ายแพ้นั้นมันสูง เพราะตลอดเวลานับตั้งแต่เดินทางมาด้วยกันเขาก็แทบจะแพ้กับความตั้งใจของตัวเองอยู่แล้ว
“ก็ได้ เราเล่นด้วย ดีกว่าไม่มีอะไรทำ แล้วใครจะเริ่มก่อนล่ะ” จางอี้ชิงแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วตอบรับ พอได้ยินว่าอีกฝ่ายยอมเล่นด้วยคนตัวสูงก็ยิ้มทันที
อู๋อี้ฟ่านนั่งคิดเพียงนิดก่อนจะเลือกวิธีเป่ายิงฉุบเป็นเครื่องตัดสิน อี้ชิงออกกรรไกรซึ่งอี้ฟ่านออกกระดาษ โอกาสในการเปิดเกมจึงเป็นของคนตัวเล็กก่อน
“ถามอะไรดีนะ” จางอี้ชิงกัดปลายเล็บในระหว่างท้าวคาง ตาคู่สวยมองไปด้านนอกหน้าต่าง ก่อนจะหันมายิ้มให้คนที่นั่งรอคำถามอยู่
“ชอบอะไรที่โรมที่สุด”
อู๋อี้ฟ่านยิ้มเพียงนิดก่อนจะเหยียดขาให้ท่านั่งสบายขึ้น เขาทำท่านึกเพียงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากตอบ “อาหาร”
“เห็นแก่กินนิ เอาจริงๆ ซิ” อี้ชิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเร่งให้อี้ฟ่านตอบจริงจังกว่านี้
“ถ้านับแค่โรม ก็โคลอสเซี่ยม แต่ถ้ารวมวาติกันด้วย ฉันชอบ ภาพ The last judgment ที่โบสถ์ซิสติน ได้เห็นด้วยตาตัวเอง แล้วทึ้งให้ฝีมือของไมเคิล แองเจิลโลจริงๆ”
“อ่าใช่ รูปปั้นปีเอตะในโบสถ์เซ็นต์ปีเตอร์ก็สวยจริงๆ รอยผ้า สีหน้าเหมือนจริงอย่างกับไม่ได้แกะจากหิน”
“อืม เขาเก่งมาก แล้วตอนนี้เรากำลังเดินทางไปดูเดวิสตัวจริงฝีมือแองเจิลโล่ที่ฟอเรนซ์”
“เดวิส ตัวจริงๆ เขาคงสวยมากแน่ๆ เลยเน้อ” อี้ชิงยิ้มจนตาหยี หน้าตาเต็มไปด้วยความสุข ดวงตาเป็นประกายใส อี้ฟ่านกำลังย้อนคิดไปว่าเรื่องศิลปะ จริงๆ ไม่ใช่เรื่องที่เขาสันทัดเลย แต่เพราะอี้ชิงชอบเขาก็เลยซึมซับ เมื่อก่อนตอนคนกับใหม่ ๆ เรื่องศิลปะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทั้งคู่ชอบคุยกัน แต่เพราะหลายๆ อย่างมันทำให้หัวข้อการสนทนาในระยะหลังๆ มันกลับไม่สนุกอย่างเมื่อก่อน ...
อะไรนะที่ทำให้ความสัมพันธ์เหล่านั้นมันเปลี่ยนไป
“ตาอี้ฟ่านถามแล้วล่ะ”
“อืมแล้วอี้ชิงล่ะชอบอะไรที่โรม”
“เล่นก๊อปปี้คำถามคนอื่นเหรอ”
“เปล่าก็แค่อยากรู้เหมือนกัน”
“ไม่รู้ซิตอบยากชอบหลายอย่างพอๆ กัน อี้ฟ่านก็รู้ว่าเราชอบไปหมดมันเลือกยาก แต่ถ้าที่ได้เห็นแล้วทึ่งสุดก็คง น้ำพุจตุมหานที มันสวยกว่าที่เราคิดไว้มากเลย” จางอี้ชิงเอ่ยถึงน้ำพุกลางจัตุรัสนาโวนา ฝีมือของแบร์นินี่ด้วยน้ำเสียงมีความสุข ทั้งคู่ยกคำถามเกี่ยวกับเรื่องสถานที่ อาหาร ขึ้นมาถามกันไปเรื่อยๆ จนถึงคำถามหนึ่งที่อี้ชิงเป็นคนตั้งคำถามขึ้นมาก่อน และมันทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไป คำถามที่ว่า เพราะอะไรอู๋อี้ฟ่านถึงตัดสินใจชวนเขามาที่นี่
“เอาจริงๆ ใช่ไหม”
อี้ชิงพยักหน้าถี่กับคำถามของอู๋อี้ฟ่าน
“มาเพื่อหาโอกาสคืนดีกัน และถึงแม้จะไม่สามารถทำได้ ก็แค่อยากได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันก่อนจะไม่มีโอกาสอีก” น้ำเสียงเบาหวิวจากริมฝีปากสีสดเอ่ยแผ่วราวกับสายลม ถึงแม้อี้ฟ่านไม่พูดอี้ชิงก็รู้อยู่แก่ใจ แต่พอได้ฟังมันยิ่งสะท้อนใจคนตัวเล็กขึ้นไปอีก...
ดวงตาคู่สวยจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของอดีตคนรัก รอยยิ้มยังไม่จาง แต่อี้ชิงก็รู้ว่ามันไม่สดใส และตอนนี้อี้ชิงก็พร้อมแล้วกับคำพูด หรือการกระทำใด ๆ ที่อี้ฟ่านจะทำเพื่อให้เขาคืนดีด้วย และเขาก็ไม่คิดจะปิดใจเช่นกัน ลองเปิดใจคุยกันดูอีกสักที เพราะนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะคุยกันเรื่องนี้แล้ว
“ตานายถามแล้วล่ะ”
อู๋อี้ฟ่านจ้องดวงหน้าหวานนิ่งก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “อาจจะมีหลายเหตุผลที่ทำให้อี้ชิงตัดสินใจเลิกกับฉัน และฉันก็อยากรู้ทุกเหตุผลบอกฉันได้ไหม บอกทุกเหตุผลว่าอะไรที่ฉันทำให้อี้ชิงเสียใจ”
++++++++++++++++++++ 60% +++++++++++++++++++++
ร่างขาวนั่งมองหน้าอดีตคนรักนิ่งสายตามีแววครุ่นคิด อี้ชิงเคยคิดว่าเขาจะไม่ย้อนกลับไปพูดเรื่องเก่าๆ พวกนั้นอีกแล้วเมื่อมาถึงจุดที่เลือกจะสิ้นสุดกัน ซึ่งตอนนี้เขาเองก็ไม่อยากจะเอ่ยรื้อฟื้นขึ้นมาอีกถ้ามันเป็นไปได้
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
“ไม่เลยอี้ชิง มันยังไม่ผ่านไปไหน ถ้ามันเป็นเรื่องที่แค่ผ่านไปเธอคงไม่ยึดติดเอาไว้แบบนี้ คนทำผิดก็ควรมีสิทธิรู้ว่าตัวเองทำความผิดอะไร ก่อนจะถูกตัดสินโทษ ขอร้องล่ะ อย่าปิดโอกาสฉันแบบนี้”
จางอี้ชิงหลับตาและถอนหายใจ คำพูดขอร้องจากอดีตคนรักมันทำให้เขาใจอ่อนยวบ
“มันมีเหตุผลอยู่ไม่กี่อย่าง ซึ่งเราเคยคุยกันแล้ว เรื่องแรกคือเรื่องงานของเรา ที่อี้ฟ่านไม่อยากให้ทำ แต่เราไม่มีทางที่จะทิ้งไปได้ มันทำให้รู้สึกว่าทัศนคติเราต่างกันมาก อี้ฟ่านไม่เข้าใจเรา อีกเรื่องคือเรากลัวว่าความสัมพันธ์ของเราถ้ามีใครรู้เราสองคนจะลำบาก แล้วไม่ได้ลำบากแค่สองคน แต่คนอื่นๆ ก็จะโดนหางเลขไปด้วย เรามีเพื่อนร่วมวง ทีมงาน ผู้ใหญ่ เราไม่อยากให้เขาเสียใจ”
“ถ้าเรื่องแรกฉันเคยบอกอี้ชิงแล้วว่า เราพร้อมจะยอมรับและเข้าใจการตัดสินใจของอี้ชิง ที่ผ่านมาที่ฉันทำเพราะเป็นห่วงแค่นั้น ไม่เคยคิดจะบังคับอี้ชิงอะไรมากมายถ้าไม่อยากเลิกก็ไม่ต้องเลิก ส่วนเรื่องที่สอง ฉันคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ฉันเข้าใจถ้าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม เจอกันน้อยลง แต่ฉันรับไม่ได้ถ้าเราจะเลิกกัน แล้วตอนนี้ ก็ไม่ใช่ว่าใครจะรู้ว่าเราเคยเป็นแฟนกัน มีไม่กี่คนที่รู้ อย่างนั้นต่อไปทำไมจะปิดไม่ได้ ฉันยอมที่จะอยู่ห่างอี้ชิงบ้าง แต่ฉันไม่อยากเลิกกับอี้ชิง” น้ำเสียงมุ่งมั่นนั้นทำให้คนฟังถอนหายใจ น้ำหนักที่กดอยู่บนอกยิ่งกดหนักขึ้นไปอีก อู๋อี้ฟ่านที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ดูมีเหตุผล และไม่ใช้อารมณ์ และเหตุผลที่ยกมามันกำลังทำให้จางอี้ชิงคิดวุ่นวาย
“มันมีเหตุผลหนึ่งที่เราไม่เคยบอกอี้ฟ่าน แต่มันสำคัญมากจนรู้สึกว่า มันคงยากที่เราสองคนจะใช้ชีวิตด้วยกันอีก ตอนนั้นเราป่วย เราเครียดนะ แต่ยังไงเราก็ไม่มีทางที่จะเลิกล้มความฝัน สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนั้น เราไม่ต้องการคำแนะนำใด ๆ ถึงแม้อี้ฟ่านจะหวังดีกับเรา แต่ที่เราต้องการที่สุดคือความเข้าใจ ปลอบใจเรา เข้าใจเรา เป็นกำลังใจให้ แค่นั้นที่ต้องการ ไม่ต้องหยิบยื่นอะไรมากมายเลยสักนิด แต่อี้ฟ่านก็ไม่ได้ทำ” ดวงตาหวาน ดูเศร้า เจ้าตัวเมินหน้าหนีจากดวงหน้าหล่อเหลาเพื่อหันไปมองวิวนอกหน้าต่าง ส่วนคนที่ฟังประโยคตัดพ้อนั้นถึงกับตัวชา ความรู้สึกว่าตัวเองผิดดูค่อยๆ ลามไล้ไปทั่วร่างกาย มือใหญ่กว่าจะยกขึ้นมาจับมือสวยได้มันใช้เวลานานเหลือเกินในความคิดของอู๋อี้ฟ่าน
“ขอโทษ” ชายหนุ่มบีบมือนั้นเบาๆ เสียงพูดแหบเครือ เขาขอโทษด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ เพราะในตอนนั้นเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอดีตคนรักจะรู้สึกอย่างไร
คนป่วยต้องการกำลังใจ ใครๆ ก็รู้ แต่ในตอนนั้นเขากลับไม่ได้หยิบยื่นให้ ทั้งๆ ที่เป็นคนที่อยู่ข้างกายที่สุดแท้ๆ เขารู้แต่ว่าเขาพยายามหาทางที่ดีที่สุดเพื่อคนรัก แต่ลืมที่จะทำให้อีกฝ่ายผ่านช่วงเวลานั้นไปได้อย่างมีความสุข เขาปล่อยให้อี้ชิงผ่านมันไปอย่างทุกข์โศก ทุกข์ทั้งอาการบาดเจ็บของตัวเอง แล้วยังความกดดันที่เขาโยนใส่ลงไปอีก
“ขอโทษจริงๆ ฉันลืม ตอนนั้น” อี้ฟ่านบีบมือเล็กซ้ำๆ หากแต่คนตัวเล็กกลับยังไม่ยอมหันหน้ากลับมา เขามองสะท้อนกระจกของบานหน้าตา เห็นตาของอดีตคนรักมีน้ำตาคลอ และเริ่มแดง ร่างสูงค่อยๆ โน้มร่างเล็กนั้นมากอดไว้ อี้ชิงไม่ได้ฝืนตัว แต่ก็ไม่ยอมที่จะหันหน้ากลับมา
“เรารับคำขอโทษนะ แต่มันแก้ไขอะไรไม่ได้ ตอนนั้นเราเสียใจ และเสียความรู้สึกมากจริงๆ คนที่เราอยากพึ่งพามากที่สุดกลับทำให้เราเครียดมากที่สุด อี้ฟ่าน เราไม่อยากเจอแบบนั้นอีก”
“ไม่ทำ จะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว จริงๆ สัญญา”
ดวงหน้าสวยกำลังเลอะไปด้วยน้ำตา ยามเมื่อนึกถึงวันที่เขาเจ็บปวดแทบแย่แต่ถูกทิ้งไว้ลำพังในห้องนอน โดยคนที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้ใส่อารมณ์และเดินหนีจากไปมันเจ็บปวดมาก ถ้าให้กลับไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นอีกจางอี้ชิงไม่มีทางที่จะยอมแน่ๆ
“อย่าสัญญาเลย เพราะถ้าผิดสัญญาอีกเราจะยิ่งเจ็บกว่าเดิม เราเองก็ทำให้อี้ฟ่านไม่พอใจ คอยแต่ทำให้หงุดหงิด อี้ฟ่านเองก็ทำให้เราเจ็บ ถึงรักกันแต่มันก็ไม่พอใช่ไหมล่ะ”
อู๋อี้ฟ่านเอื้อมมือไปจับดวงหน้าสวยที่พิงกระจกให้หันมามองเขา แววตาปวดร้าวยังประดับอยู่ให้รู้สึกผิดและเจ็บ ร่างสูงกดหน้าผากลงกับหน้าผากขาวของอิ้ชิงก่อนจะกระซิบเบาๆ หากแต่เน้นคำหนัก
“จะไม่ผิดสัญญา จะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว ใช่ความรักมันไม่พอ แต่ถ้าเราทำอะไรผิดอี้ชิงบอกเราก็พร้อมจะแก้ไข และเราก็ยินดีที่จะรับฟังอี้ชิงทุกเรื่องเช่นกัน เรากำลังเอาความเข้าใจมาเพิ่มเติมกับความรัก ถ้าอี้ชิงให้โอกาสเราก็ค่อยๆ แก้ไขมันไปด้วยกัน อย่าประหารฉันด้วยความผิดเพียงครั้งแรกเลย” น้ำเสียงทุ้มนั้นกำลังสะกดอี้ชิง ดวงตาสวยหลับตาลง หัวใจเต้นช้าแผ่ว ....
จริงๆ ที่เขาต้องการมาตลอดจากอู๋อี้ฟ่าน ก็เพียงเท่านี้ไม่ใช่หรือ ต้องการแค่ความเข้าใจต่อกัน
หากแต่ในระหว่างความคิดของจางอี้ชิงกำลังตีกัน เสียงประกาศจากคนขับก็ดังขึ้น อี้ฟ่านดึงหน้าผากของตัวเองออกจากอี้ชิง เสียงประกาศที่จับใจความได้ว่ารถไฟกำลังจะถึงสถานี ผู้คนเริ่มหยิบข้าวของ พนักงานเริ่มเดินกันขวักไขว่
จางอี้ชิงกำลังมองภาพพวกนั้นและถอนหายใจ....
ขอเวลาหน่อยแล้วกันนะอี้ฟ่าน ขอเวลาที่จะให้คำตอบ เรายังอยู่ด้วยกันอีกหลายวันนี่หนา
++++++++++++++++++++++++ TBC++++++++++++++++++++++++++
นี่มัน 40 เปอร์เซ็นต์จริงเหรอ 5555555 คือตอนคิด ๆ เอาไว้ว่าจะเวิ่นเว้อยาวกว่านี้แต่พอแต่งแล้วอ่านไปก็คิดว่าจะเอาน้ำใส่ทำไมเยอะเอาเนื้อเลยเหอะ เลยกลายเ็ป็น 40 เปอร์เซ็นต์แสนสั้น
ตอนหน้าถ้าไม่มาต่อช่วงวีคต้นเดือนก็อาจขอทิ้งยาวนิดนึงนะคะ เพราะไปผจญภัยช่วงจักรีถึงสงกรานต์หลายวัน
ความคิดเห็น