คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : [KaiLu Fiction] บันทึกลับเด็กเสี่ยลู่!! [บันทึกที่ 4] 100%
Author: Angel Midori
Genre: Romantic Comedy
Rating: PG-13
Pairing: KaiLu or Lukai ? feat. Krislay,Chanbaek
Note : ฟิคมีภาษาหยาบคายบ้างเล็กน้อย ต้องขออภัยแต่จำเป็นต้องใส่เพื่ออรรถรสนะคะ (ปรกติไม่ค่อยอยากใช้แต่แนวนี้ต้องมีบ้าง)
์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Luhan's boyfriend diary [Part 4]
ตอนนี้กระผมคิมจงอินกำลังนั่งเขียนไดอารี่อยู่ในเพนท์เฮาส์ของพี่ลู่ ปรกติผมไม่เคยเขียนมันที่ห้องพี่ลู่มาก่อนเพราะกลัวพี่ลู่มาเห็นแต่เนื่องจากช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมามันมีเรื่องวุ่นวายมากมาย แล้ววันนี้พอจะว่างเลยเปิดมาเขียนเสียหน่อยกลัวนานไปจะลืมเขียน…..
อาทิตย์ที่ผ่านมาที่ผมบอกว่ามันแสนวุ่นวาย วันนี้มันเพิ่งจบลงเสียที จบลงตรงที่วันนี้งานกีฬามหาวิทยาลัยแข่งเป็นวันสุดท้าย และกีฬาบอลของสีเราก็ชนะ นั่นก็หมายถึงพี่ลู่คนเก่งของผมได้เหรียญทองด้วย แต่กว่าจะได้เหรียญทองนี่ผมมีเรื่องจะเล่าเยอะเลยล่ะ
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมไปปูซานมา ไปทำไมน่ะเหรอ ที่ผมไปก็เพราะเหตุผลเพราะพี่ลู่นั่นแหละ แต่ไม่ใช่ว่าผมไปปูซานกับพี่ลู่หรอกนะ ผมไม่ได้ไปกับเขาแต่ผมจำเป็นต้องไปกับผู้ชายที่ผมไม่ได้อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยสักนิด ผู้ชายตัวยังกะหอโทรทัศน์ที่ต้องกลายมาเป็นรูมเมทของผมตลอด 2 วันที่ปูซาน ผู้ชายที่ชื่อ คริสอู๋!!
แค่ชื่อคริสอู๋ ก็คงรู้แล้วล่ะว่าผมต้องทนทุกข์แค่ไหนที่ต้องอยู่ด้วย แต่ผมมันมีทางเลือกซะเมื่อไหร่ล่ะ ก็ในเมื่อผมไม่มีปัญญาจองโรงแรม ไฮโซสุดหรูที่ปูซานได้เอง และเพราะได้บุญบารมีลูกชายมาเฟียอย่างคริสอู๋ถึงจองโรงแรมนั้นได้ แล้วไอ้โรงแรมนี้ก็ดันเป็นโรงแรมเดียวที่ติดกับแคมป์เก็บตัวนักบอลของคณะศิลปกรรมกับวิศวะ มหาวิทยาลัยผม แถมไอ้โรงแรมนี้ก็ดันเต็มในช่วงนี้อีก จะจองได้ก็ต้องจองห้อง Suite เท่านั้น
ใช้แล้วล่ะที่ผมจำเป็นต้องมาพักโรงแรมบ้านี่ก็เพราะพี่ลู่มาเข้าแคมป์เก็บตัวนักบอลนั่นแหละ ผมขอให้พี่เขาไม่ต้องมาเขาก็บอกเกรงใจคนอื่น แล้วเขาก็อยากมาเสียเหลือเกิน พอผมจะตามไปด้วยไอ้พี่ซีวอนมันก็ห้ามมันบอกคนไม่ใช่นักกีฬาไม่มีโควตาให้
ผมนั่งคิดนอนคิด เดินคิด ยองๆ คิด ทุกวิธี ก็คิดได้อย่างเดียวว่าผมจะตามมาเอง พอบอกพี่ลู่ พี่ลู่ก็ห้ามผม บอกว่าแค่สองสามวัน ผมจะตามไปเฝ้าเหมือนเป็นผู้ปกครองเด็กประถมทำไม
พี่ลู่ไม่เข้าใจแฟนหล่อๆ เลยสักนิด!!
หากแต่พอผมตกลงปลงใจว่ายังไงก็ต้องมาโดยที่ไม่บอกพี่ลู่ ก็ดันเกิดปัญหาว่าโรงแรมนี้ไม่มีห้องเหลือเพราะมีสัมมนาบ้าบอ อบต. อะไรไม่รู้ พอผมเอาไปโอดครวญใส่พี่อี้ชิงคนน่ารัก พี่เขาก็เลยขอให้อิพี่อู๋ช่วยเพราะตระกูล อิพี่อู๋แกทำธุรกิจโรงแรมเชนจ์เดียวกันกับโรงแรมนี้ แล้วก็สำเร็จ แต่สำเร็จแบบเจ็บหนักเลยล่ะ เพราะมันเหลือแต่ห้อง Suite ยังไงผมก็ต้องจ่ายอ้วกต่อให้ลดแล้ว พี่อู๋แกเลยคิดแผนว่าแกจะช่วยจ่ายค่าห้องให้ เพราะแกจะมาเดทกับพี่อี้ชิง เรื่องมันก็เป็นแบบนี้...แต่ว่ามันก็ไม่จบสวยเสียทั้งหมด ไม่อย่างนั้นคริสอู๋คงไม่พาร่างเสาไฟฟ้ามานอนห้องเดียวกับผมแน่ๆ
เพราะที่เป็นแบบนั้นก็เนื่องจาก ไอ้พยอนแพคเพื่อนรักมันรู้แผนนี้ มันเลยไปอ้อนพี่อี้ชิงขอตามมาด้วย มันบอกเกิดมาชาตินี้คงไม่มีปัญญานอนห้อง Suite ได้นอนฟรีทั้งทีเลยอยากมา มารมากครับเพื่อน...ไอ้พี่อู๋แทบจะยกเลิกทริป ดีที่แกกลัวเมียเลยยกเลิกไม่ได้ แล้วก็เลยต้องพาไอ้แพคกี้ติดมาด้วย แล้วในเมื่อห้องมันมีแค่สองห้องนอน พี่อี้ชิงแกเลยเอาแพคกี้ไปนอนด้วย แล้วทิ้งแฟนร่างยักษ์ไว้กับผม
ผมอยากได้ไหม .... ทำไมไม่ถามความเห็นผมบ้าง!!
พวกเราสี่คนเดินทางโดยรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูคันใหม่เอี่ยมของเสี่ยคริสอู๋ ใจของผมไปถึงปูซานตั้งแต่ตีห้าตอนไปส่งพี่ลู่ขึ้นรถบัสที่มหาลัย แต่บนความเป็นจริงอิพี่อู๋แกขับรถชมวิวเรื่อยเฉื่อยจีบเมียไปเรื่อยทางไม่แคร์ผมกับไอ้แพคกี้เลยสักนิด ผมอยากร้องไห้ และคิดไปตลอดทางว่าทำไมผมไม่เอามาเซราติพี่ลู่มาผมได้เหยียบไปถึงปูซานมันทีเดียว พอผมบ่นมากๆ อิพี่อู๋ก็ด่าประชดผมว่าผมมีปัญญาจ่ายค่าน้ำมันหรือไง .... เจ็บไปถึงลิ้นปี่ เออซิผมมันไม่รวยเท่าพวกพี่ แต่ค่าน้ำมันผมมีจ่ายนะเว้ยเฮ้ย!!
พอมาถึงโรงแรม ผมก็ไม่ได้มีอารมณ์ชมความสวยของโรงแรม ของห้อง Suite สักเท่าไหร่ เพราะผมไปถึงก็ย่องไปส่องแคมป์เก็บตัวของพี่ลู่ทันที ตามจุดประสงค์หลัก โดยมีร่างเล็ก ตะแมะแคระของพยอนแพคฮยอนตามมาด้วย
สภาพแคมป์เก็บตัวของทีมบอลนั้นเป็นอาคารนอนรวม ย้ำว่าอาคารนอนรวมเหมือนไว้เข้าค่ายลูกเสือสามัญ ผมเห็นแล้วเครียดมากคิดว่าพี่ลู่ของผมจะทนได้ยังไงในสภาพแบบนี้ ผมแทบจะไปลากพี่ลู่ออกมาจากแคมป์นั่นทันทีที่เห็น แต่ก็ทำได้แค่ฝัน เพราะแค่ผมก้าวเท้าเข้าไปแถวแคมป์ ยังไม่ทันเจอพี่ลู่ ไอ้รุ่นพี่ซีวอนมันก็เชิญผมออกมาแล้ว
เจ็บปวดมาก!!
ตั้งแต่นั้นผมเลยทำได้แค่นั่งอยู่ริมหาด มองทีมบอลเปลือยอกวิ่งแตะบอลอยู่ริมหาดไกลๆ มันทำร้ายจิตใจแค่ไหนคุณคิดดูที่ผมต้องเห็นแฟนผมถอดเสื้อวิ่งเล่นกับผู้ชายอื่นเป็นฝูง
พอผมบ่น แพคกี้มันก็บอกว่าผมเว่อร์ ก่อนพี่ลู่จะเจอผมเขาก็ใช้ชีวิตแบบนี้อยู่แล้ว ผมอย่าทำเป็นสาวน้อยงี่เง่าขี้หึงไปหน่อยเลย ก็แค่แฟนหนุ่มเปลือยอก พี่อี้ชิงยังใส่เสื้อกล้ามเดินโชว์กล้ามแขน(ที่มีมากกว่าอิพี่อู๋) อยู่บนห้องอยู่เลย แล้วจะไปห่วงพี่ลู่ทำไม
แพคกี้มันไม่รู้อะไรหรือไง ดูหน้าพี่ลู่ก่อน ว่ามันเหมาะจะนุ่งแต่กางเกงขาสั้นวิ่งไปวิ่งมามากหรือไง แล้วดูแฟนที่รักของผม แค่ตัวขาวๆ หน้าหวานๆ ก็มากพอ นี่ยังรวบผมเกล้าจุกอีกต่างหากมันน่ารักเกินกว่าที่ผมจะเผื่อแผ่ให้คนอื่นเห็นนะ ถ้าจะน่ารักผมก็อยากให้เขาน่ารักกับผมคนเดียวพอแล้ว
“แพคกี้กูจะไปหาพี่ลู่” ผมกระแทกกล้องส่องทางไกลลงกับพื้นทราย ไอ้ตัวเล็กที่นั่งข้างๆ ผมสะดุ้งเฮือกทันที
“กัมจงมึงรอก่อนซิ เกิดโผล่ไปตอนนี้พี่ลู่เขาได้โกรธมึงนะ”
“แล้วให้กูมานั่งเฉยๆ แบบนี้กูจะมาทำไมวะ แบบนี้นอนอยู่บ้านก็ได้มั่ง”
“ก็จริง แต่มึงดูนะ คนอื่นเขาก็ไล่เตะบอลกันเฉยๆ ไอ้พี่ซีวอนเขาก็ไม่ได้เขาใกล้แฟนมึงเลยสักนิด ที่มึงมานี่มึงจะมากันพี่เขาไม่ใช่เหรอตอนนี้เขายังไม่อะไรกันก็อย่าเพิ่งออกตัวแรงให้โดนด่า”
ผมหันไปมองตามที่แพคฮยอนมันพูด สายตาผมเลื่อนไปมองหน้าไอ้รุ่นพี่ซีวอน ใช่ครับเขาไม่ได้เข้าใกล้พี่ลู่สักนิดแต่เขาจ้องแฟนผมไม่วางตาเลยล่ะ
“แพคกี้มึงดู ไอ้นั่นมันจ้องแฟนกูขนาดนั้น”
“แฟนมึงสะทกสะท้านไหมล่ะ กูไม่เห็นพี่ลู่จะสนใจพี่เขาเลย ถ้าเขาจะสนใจไอ้พี่ซีวอนนี่เขาคงสนใจนานแล้ว พี่ลู่เขาคงไม่อยากเป็นเมียใครมั่ง” แพคกี้พูดเสร็จก็หัวเราะหึๆ ผมอยากจะจับเอาหัวมันมุดดินจริงๆ คิดว่าไม่มีชานยอลแล้วจะหมดคนล้อผม ไอ้นี่ดันติดเชื้อไอ้ชานยอลขึ้นมาอีก
ผมนั่งมองแล้วก็ถอนหายใจ หยิบกล้องส่องทางไกลมาส่องใหม่อีกที พี่ลู่กับทีมบอลแบ่งทีมกันเตะบอลริมชายหาดไม่นานเขาก็เลิก แล้วก็เดินเขาแคมป์กันไป ผมเริ่มหงุดหงิดแล้วคิดว่าจะเอายังไงดี จะตามเขาเข้าแคมป์ไปดีไหม หรือไปตั้งตัวก่อนที่โรงแรมของผม
“กัมจง กูหิวว่ะไปหาอะไรกินกัน” นั่นไงไม่ต้องให้ตัดสินใจเองมีคนตัดสินใจให้ผมเรียบร้อย
ผมเลยเดินหน้าหงิกตามไอ้เตี้ยหมาตื่นเข้าโรงแรมมา พอถึงห้องก็ไม่เห็นพี่สองคนแล้ว แต่มีโน้ตเขียนทิ้งเอาไว้ว่าให้ตามไปที่ห้องอาหาร เพราะเสี่ยคริสอู๋จะเลี้ยงมื้อใหญ่
อย่าว่าผมตะกละเลยนะ.........แต่พออ่านโน้ตจบนี่หายโมโหเป็นปลิดทิ้ง ผมกับไอ้แพคกี้นี่วิ่งกันแย่งเข้าห้องน้ำอาบน้ำเลยทีเดียว
ผมใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำ ผิดกับพยอนแพคฮยอนที่มันมัวแต่บรรจงแต่งตัว ไดร์ผม ทาครีม ฯลฯ ชนิดที่ว่าผมนึกว่าผมมาปูซานกับออนนี่ที่บ้าน ผมนั่งค้อนมันหลายทีมันก็ไม่มีท่าทางจะใส่ใจ พอผมด่ามันว่าจะแต่งตัวไปให้ใครดูลงไปก็เจอผู้ชายแค่เฮียคริสกับพี่อี้ชิง มันยังหน้าด้านตอบมาได้ว่าเฮียคริสก็ยังดี พี่อี้ชิงมันก็ได้ (ผมจะโทรไปฟ้องปาร์คชานยอล!!)
“เสร็จแล้ว” พยอนแพคมันเดินออกมาจากห้อง เดินยิ้มกริ่มน้ำหอมฟุ้งออกมาจากห้องมาเรียกผมที่นั่งกดโทรทัศน์เล่นอยู่
“ไม่เห็นว่าที่มึงแต่งจะต่างจากเดิมตรงไหนเลย เสียเวลาชะมัดนี่พี่อี้ชิงส่งไลน์มาเรียกตั้งหลายทีแล้ว”
“กัมจงมึงตาไม่ดีหรือเปล่า นี่กูเซทผมตั้งนานนะ” มันพยายามเขย่งให้ผมดู ผมเบ้หน้าใส่มันก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้อง
พวกเราเดินมาทางร้านอาหารริมหาด พอบอกพนักงานต้อนรับหน้าร้านเขาก็พาเรามาด้านในโต๊ะริมทะเลสุดๆ หากแต่บนโต๊ะมันไม่ได้มีแค่พี่อี้ชิง กับเฮียคริสนะซิครับ ตัวบางๆ ผมทองๆ นั่นคุ้นมาก คุ้นสุดๆ นั่นพอหันมาใช่เลย
พี่ลู่มาที่นี่ได้ยังไงวะ!!
ผมก้าวเท้าไปหาคนที่ยิ้มปากกว้าง จนเห็นริ้วรอยที่หางตาเป็นเส้นๆ พี่ลู่ดูจะไม่สะท้าน ไม่ตื่นเต้น ไม่หงุดหงิด ไม่ทำตัวเหมือนเพิ่งรู้ว่าผมมาเลยสักนิด แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าถ้าเจอกันง่ายๆ แบบนี้แล้วผมจะหลบจะซ่อนทำไมทั้งวันกันวะครับ
“ทำไมลงมาช้าจัง” พี่ลู่ถามผมตอนผมเพิ่งวางก้นลงบนเก้าอี้ข้างพี่ลู่
“ไอ้แพคกี้แต่งตัวช้า”
“มึงโทษกูเหรอ”
“หรือไม่จริง” ผมกดเสียงต่ำหันไปพูดกับไอ้ลูกหมา แล้วมันก็รีบหุบปากฉับอย่างรู้สถานการณ์ว่าตอนนี้ผมเริ่มตึง
“แล้วพี่มานี่ได้ยังไง”
“อี้ชิงชวนมา บอกว่ามื้อนี้อี้ฟ่านจะเลี้ยง” ผมเลยหันไปมองพี่อี้ชิงประมาณว่าพี่ทำอะไรทำไมไม่เห็นบอกผมก่อน
“ลู่หานโทรมาพอดี” พี่อี้ชิงรีบแทรกพูดแต่คนที่รีบไม่แพ้กันก็คือแฟนหนุ่มพี่อี้ชิง “ก็แค่บอกว่าลู่ไปว่าอยู่ไหน แล้วกำลังจะกินข้าว ลู่บอกอาหารที่แคมป์ไม่อร่อยก็เลยชวนมา”
ผมเลยหันไปมองหน้าน่ารักของคุณแฟนพี่ลู่ก็ยังยิ้มไม่สะทกสะท้านอยู่
“อาหารหน้าตาแย่ แต่พอกินไปแล้วรสแย่กว่าหน้าตาอีก กำลังเบื่อโทรมาก็พอดีกันเลย นี่พี่สั่งอาหารที่จงอินชอบไว้เพียบเลยนะ”
ไอ้เรื่องที่พี่ลู่พูดอยู่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากรู้แล้วอยากเข้าใจสักนิด ผมแค่อยากเข้าใจว่าพี่ลู่รู้ไหมว่าผมมาด้วย แล้วผมมาด้วยแบบนี้พี่ลู่ช่วยแสดงออกสักนิดว่ารู้สึกยังไง ไม่ใช่ทำตัวเหมือนรู้อยู่แล้ว ทำตัวเหมือนเรามาด้วยกันเสียอย่างนั้น นี่ผมวางแผนแทบตายเลยนะคุณแฟนครับ
“แล้วพี่รู้อยู่แล้วเหรอว่าผมมาด้วย” อยากรู้อะไรต้องถามครับแม่สอนผมไว้
“ตอนแรกไม่รู้ เพิ่งมารู้ตอนมาถึงแล้ว”
“แล้วพี่ไม่โกรธผมเหรอ เพราะพี่ห้ามผมไม่ให้มา”
พี่ลู่หัวเราะคิกคักก่อนจะตอบผม “ก็มาแล้วจะให้ไล่กลับหรือไง อีกอย่างมาคิดดีๆ นาย
“พอเลยพวกมึงเลี่ยนว่ะ ไอ้ลู่อย่าจีบเมียที่โต๊ะกินข้าวไม่มีมารยาท”
เชดดดดดดดดดด พูดจาไม่เพราะไอ้คุณ
“คนขี้อิจฉาก็อย่างนี้แหละจงอิน”
“ใครอิจฉามึงลู่ กูจะไปอิจฉามึงทำไม แฟนมึงดูซิตัวเบ้อเริ่ม หน้าท้องซิกแพคยิ่งกว่ามึงอีก แถมดำ ดูอี้ชิงของกูขาว ตัวเล็ก น่าทะนุถนอม”
“แต่กล้ามใหญ่กว่ามึงที่ขี้เกียจแม่แต่จะเดินขึ้นตึก”
“อี้ชิงเค้าเป็นนักเต้น นักกีฬามาเทียบกับกูที่ต้องหล่อแมน สไตล์ผู้บริหารได้ยังไง ไอ้เตี้ยนี่” ไอ้พี่คริสด่าพี่ลู่ที แพคฮยอนถึงกับสะดุ้ง แล้วดูที่มันวิจารณ์ผมราวกับผมไม่มีตัวตนบนโต๊ะอาหาร สักพักพอคำว่าไอ้เตี้ยเริ่มหนักข้อขึ้นแพคฮยอนที่เงียบมานานเพราะยัดอาหารเข้าปากอยู่ถึงกับร่วมมือกับพี่อี้ชิงเบรกเพื่อนรักชาวจีน คริสอู๋กับลู่หานให้เลิกปะทะฝีปากกันเสียที
ผมยังคงนั่งนิ่งอยู่ ผมบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงดี มันตึงๆ ยังไงไม่รู้ มันดีแหละที่พี่ลู่ไม่โกรธไม่งอนผม แต่เขาทำเหมือนกับว่ารู้อยู่แล้วว่าผมต้องมา แต่ถ้ารู้อยู่แล้วทำไมต้องทำให้ผมกังวล แล้วความรู้สึกอึดอัดที่ผมแบกมาตั้งหลายวันมันคืออะไร ถ้าพี่ลู่จะง่ายๆ ขนาดนี้
“จงอินทำไมเงียบอะ” พี่ลู่แกะหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์อบชีสมาวางที่จานผมแล้วถามผมเบาๆ ผมไม่ตอบอะไร แต่ก็จิ้มหอยที่พี่ลู่แกะให้มากิน
“โกรธอะไรพี่หรือเปล่า”
“เปล่า”
“แล้วทำไมไม่คุยกับพี่ล่ะ”
“ปรกติผมก็ไม่ได้ช่างพูดอยู่แล้ว”
“แต่ก็ไม่เงียบแบบนี้นี่” พี่ลู่เริ่มเบะ เฮ้ยนี่จะร้องไห้หรือป่าวถ้าผมยังตึงใส่เนี่ย
“มันคงงอนมึง” ผมสะดุ้งเฮือกตอนได้ยินคำพูดไม่รื่นหูดังมาจากปากของอู๋อี้ฟ่าน
“งอนเรื่องอะไร” พี่ลู่ถามตาแป๋ว
“ผมไม่ได้งอน” ผมตะโกนตอบเสียงดังจนทั้งโต๊ะสะดุ้งผมเลยรีบหุบปาก ไอ้คำว่า งง ว่างอนนี่มันหยาบคายมากๆนะถ้ามาใช้กับผม ผู้ชายแมน ๆ แบบผมใครเขางอนกัน เรื่องงอนเอาไว้ให้ผู้หญิงกับกระเทยเขาใช้กันเหอะ ผมแค่ตึง แค่หงุดหงิดพี่ลู่ก็แค่นั้น
“นี่ไม่เรียกว่างอนหรือไง ที่มึงทำอยู่จงอิน ลู่มันถามอะไรก็ไม่ตอบ หนังหน้าหงิก” ใครช่วยกระซิบบอกพี่คริสมันทีซิครับว่าบันทึกนี่ผมเป็นตัวเอก มันอย่าพยายามเด่นแย่งบทสนทนาผม
“ผมไม่ได้งอน ผมจะงอนพี่ลู่เรื่องอะไรกัน”
“อืมแล้วงอนพี่เรื่องอะไรล่ะ”
แอะคุณแฟนผมนี่ยังไงบอกไม่ได้งอนก็ไม่ได้งอนไงล่ะ
“มันคงงอนที่ว่าพี่ไม่เห็นตื่นเต้นเลยที่มันมา มันอุตส่าห์ทำตัวเป็นคนโรคจิตเอากล้องส่องทางไกล ที่เค้าไว้ส่องม้าแข่งไปแอบส่องดูพี่ มันกลัวพี่จะว่ามัน แล้วพอมาเจอพี่ก็เจอง่ายๆ แถมพี่เฉยๆ อีก มันคิดฉากเปิดตัวตอนเจอพี่ไว้ตั้งเยอะเลยยังไม่ได้ใช้ ถ้าพี่ด่ามันหน่อยมันคงพอใจ หรือไม่ก็เจอหน้าแล้วทำเป็นแบบตกใจสักนิดมันได้รู้สึกตื่นเต้น” ไอ้เตี้ยพยอนพูดราวกับนั่งกลางใจผม ผมไม่ได้ขนาดนั้นแต่แค่เฟลนิด ๆ แต่ผมย้ำว่าผมไม่ได้งอน
“อ๋อเรื่องแค่นี้เอง พี่ขอโทษแล้วกันถ้าทำให้นายผิดหวัง หายงอนพี่นะ”
“ผมบอกพี่แล้วไงผมไม่ได้งอน!!”
“โอเคไม่งอนก็ไม่งอน หรือถ้าไม่พอใจเอาแบบนี้ไหมจงอินออกไปเดินมาใหม่ เดี๋ยวพี่ได้ทำท่าตกใจตอนเห็นจงอิน”
“พี่ลู่ผมไม่ได้บ้านะ” พี่ลู่หัวเราะเบาๆ แล้วก็เอาหัวมาพิงที่ไหล่ผม เขาถูหัวเล็กๆ กับไหล่ผมไปมา นี่แหละวิธีอ้อน วิธีง้อของคุณลู่หาน
“ผมไม่ได้อะไรมากหรอก ช่างมัน” ผมหันไปจิ้มแกะขาปูมาแล้วก็ส่งเข้าปากพี่ลู่เขางับไปเคี้ยวงับๆ แล้วส่งยิ้มให้ผม
โอเคเราดีกันก็ได้ ดีกันง่ายๆ แบบนี้แหละ
“อะอี้ชิงขาปูเดี๋ยวฉันป้อนให้อี้ชิงนะ” ผมหันไปตามเสียงทุ้มๆ คริสอู๋พยายามยื่นขาปูเข้าปากพี่อี้ชิง พี่อี้ชิงส่ายหัวดิกใหญ่....
พี่คริสพอเหอะพี่อย่ากวนติงผมไปมากกว่านี้เลย แฟนพี่เขาไม่อยากเล่นกันพี่หรอก
.
.
.
.
.
.
พอพวกเรากินอาหารเสร็จก็แยกย้ายกัน แพคกี้เกาะพี่อี้ชิงไปเดินเล่น โดยมีพี่คริสเดินตาม มองๆ ไปเหมือนครอบครัวสามคนสามีภรรยาแปลกๆ
ส่วนผมเดินมาส่งพี่ลู่ที่แคมป์ แต่จริงๆ ผมกำลังพยายามจะกล่อมพี่ลู่ให้มานอนกับพวกผมที่โรงแรม ไม่อยากให้กลับเข้าแคมป์ไปในที่ๆ คลาดจากสายตาผม แต่พี่ลู่ก็ไม่ยอม
เอายังไงดีฉุด ลักพาตัว หรือปล้ำเลยดีไหม ถ้าไม่ยอมเชื่อกันอีกเนี่ย
******************************** 60%**********************************
“ไปนอนที่โรงแรมกับผมเหอะนะ” ผมจับมือพี่ลู่ดึงไว้ให้เขาหันหน้ามาหาผม พี่ลู่หัวเราะเบาๆ ตอนที่ผมยังคงตื้อเขาด้วยประโยคเดิม ๆ แล้วพี่ลู่ก็ขยับตัวมาชิดเขาค่อยๆ แกว่งมือที่เราจับกันไว้ โดยที่ยังยิ้มกว้างอยู่
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ พรุ่งนี้พี่ต้องตื่นมาซ้อมตี 5 แล้วห้องที่โรงแรมก็เต็มแล้วพี่ไปนอนจะลำบากกัน”
“ลำบากที่ไหน ก็ไล่เฮียกลับไปนอนกับพี่อี้ชิง แล้วให้เฮียไล่แพคกี้มานอนโซฟาก็แค่นั้น”
“ใจร้ายกับเพื่อนจัง”
“มันตัวเล็กนิดเดียวเอง โซฟาตัวเบ้อเริ่ม นะครับ ไปนอนโรงแรมกันเหอะ ไปนอนรวมๆ กันแบบนั้นนอนก็ไม่สบาย ผมไม่อยากให้พี่ต้องไปนอนรวมกับไอ้พวกนั้นด้วย” พี่ลู่กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะหัวเราะขึ้นมา
“พี่นอนกับพวกนั้นบ่อยๆ สมัยยังอยู่ทีมบอล พวกนั้นเด็กทีมบอลมหาลัยส่วนใหญ่ พี่นอนได้น่า จงอินนี่อย่าคิดมากซิ งานกิจกรรมที่ต้องทำร่วมกัน พี่จะไปถือสิทธ์ทำอะไรพิเศษกว่าคนอื่นได้ยังไง ขืนอยากทำอะไรก็ทำแบบนี้มันก็ไม่ต้องมีกันกฏระเบียน จงอินนี่ จงอินนี่โตแล้วต้องเข้าใจซิ พี่นอนที่แคมป์แค่สองวันเอง เราอยู่ห่างกันแค่นี้ เดี๋ยวกลางวันไปดูพี่ซ้อมก็ได้” พี่ลู่พูดกับผมอย่างกับกำลังสอนเด็กอยู่ ไม่ใช่ผมไม่เข้าใจเรื่องกฏ ระเบียบ เรื่องความรับผิดชอบอะไรพวกนั้น แต่ถึงเข้าใจผมก็มีเหตุผลของผม
“พี่ไม่เข้าใจผม” ผมกระแทกเสียงแล้วก็ดึงมือตัวเองกลับ พี่ลู่ยังจ้องผมด้วยตาแป๋วๆ และยิ้มไม่สะทกสะท้านอารมณ์เคืองของผมเหมือนเดิม
“เข้าใจซิ เข้าใจว่าเราห่วง ห่วงเรื่องซีวอน” พอพี่ลู่พูดจบ ผมถึงกับสะดุ้ง
“ไม่ต้องทำตาโต พี่รู้อยู่แล้ว แต่เรื่องซีวอนนั่นนะ เขาไม่มีผลอะไรต่อพี่หรอก จริงๆ นะ” พี่ลู่เดินเข้ามากอดผม แล้ววางหัวเล็กๆ ที่อก ผมกอดพี่ลู่กลับแล้วกระชับแน่นๆ จริงๆ กอดไว้แบบนี้ก็ดีผมไม่อยากให้พี่ลู่มองหน้าผม ผมรู้สึกอายยังไงไม่รู้ที่พี่ลู่รู้ว่าที่ผมคอยตามเขาอยู่นี่เพราะผมหึงเขากับไอ้รุ่นพี่ซีวอน ไม่ใช่แค่ห่วงเรื่องความเป็นอยู่อย่างเดียว
“ผมรู้ว่าพี่ไม่คิดอะไรกับเขา แต่ผมไม่ไว้ใจเขา พี่ไปอยู่กับเขาแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นผมก็ไม่รู้ เขาชอบพี่มานาน แล้วดูชอบพี่มากด้วย เกิดเขาทำอะไรพี่ผมจะไปช่วยพี่ได้ยังไง”
“พี่ดูแลตัวเองได้นะ ในทีมเองก็เพื่อนพี่ทั้งนั้น อย่าห่วงเลย ซีวอนเขาก็เพื่อนพี่เขาไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก จงอินน่าอย่าคิดเยอะซิ เมื่อก่อนเราไม่ได้เป็นแบบนี้นะ”
ใช่เมื่อก่อนผมไม่ใช่คนคิดมากอะไรแบบนี้ มีแฟนคนก่อนๆ ก็ไม่เป็น แต่กับพี่ลู่ผมรู้สึกหวง รู้สึกกังวลง่ายชะมัด ผมเปลี่ยนไปเยอะนะเนี่ย
ผมกระชับกอดพี่ลู่แน่นขึ้นและกดจมูกลงไปหอมที่ผมทองๆ ของพี่ลู่
“ถ้าพี่รู้ว่ามีคนมาชอบผม เขาตั้งใจจีบผมจริงจัง พี่จะยอมปล่อยผมให้มีโอกาสอยู่กับเขาเหรอ” ผมพูดงึมงำ กับเรือนผมสีทองของพี่ลู่ พี่ลู่นิ่งไปนิดนึงก่อนจะดันตัวเองออกจากอกของผม
“พูดซะพี่ไปไม่เป็นเลย จงอินอะ จงอินก็รู้ว่าพี่ก็คงไม่อยากยอมแต่มันก็ต้องดูใช่ไหมล่ะว่ามันจำเป็นไหม เอางี้พรุ่งนี้พี่จะมานอนที่โรงแรมกับจงอินแล้วกัน คืนนี้พี่ขอกลับไปนอนแคมป์ก่อนโอเคไหม” พี่ลู่เอียงคอนิด ๆ กระพริบตาปริบๆ น่ารัก ผมอมยิ้มกับท่าทางของพี่เขา แล้วก็พยักหน้า ก็โอเคถือว่าเป็นข้อตกลงแบบเดินกันคนละครึ่งทาง
.
.
.
.
.
“จงอิน...”
“หือม” ผมครางในลำคอระหว่างที่เดินจับมือกับพี่ลู่อยู่ริมชายหาด อีกไม่กี่เมตรก็จะถึงแคมป์แล้ว ผมยังไม่อยากปล่อยมือพี่ลู่ไปเลย
“จริงๆ ไม่ใช่ว่าพี่ไม่อยากไปอยู่โรงแรมกับจงอินนะ พี่อยากไปมากเลยล่ะ แต่ก็มีหลายอย่างที่พี่ต้องรับผิดชอบ ทั้งๆ ที่พี่อะดีใจมากรู้ไหมทั้งเรื่องที่จงอินตามมา เรื่องที่จงอินหึงพี่” พี่ลู่หยุดพูด และก็หันมามองผม ดวงตาพี่ลู่มีประกายระยิบระยับสะท้อนแสงดวงไฟข้างทาง จนถ้าคิดมากมันเหมือนตาของพี่ลู่มีน้ำตาคลอเลยล่ะ
“พี่น่ะเป็นฝ่ายที่รักจงอินก่อน บางทีพี่ก็ไม่มั่นใจ พี่ไม่รู้ว่าจงอินรักพี่มากแค่ไหน พี่กลัวว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายเดียวที่รักจงอินมาก แต่ตอนนี้พี่รู้แล้วล่ะว่าจงอินก็รักพี่เหมือนกัน”
“พี่ทำไมพูดแบบนี้ ถ้าผมไม่รักพี่ผมจะตกลงเป็นแฟนพี่เหรอ” ผมพูดเสียงดุ แอบรู้สึกเสียใจนิด ๆ ที่พี่ลู่คิดแบบนั้น
“ก็ถ้าพี่ไม่บอกรักจงอิน จงอินจะขอพี่เป็นแฟนไหม หรือจงอินจะรักพี่ไหมล่ะ”
ผมดึงคนคิดมากเข้ามาใกล้ตัว แล้วก้มลงหอมที่หน้าผาก “ก็แค่ผมรู้ตัวช้าเอง แต่ถ้าพี่ไม่ขอผม สักวันผมก็ต้องรู้ตัว” ผมคิดเอาว่าคงเป็นอย่างนั้นนะ จริงๆ ผมก็รู้สึกอะไรบางอย่างกับพี่ลู่มาพักแล้วเพียงแค่มันไม่ชัดเจน แต่พี่ลู่เป็นคนทำให้มันชัดเจนขึ้น ผมถึงได้รู้ตัวเร็วไงล่ะ
“อย่าคิดมากซิ อย่าคิดว่าพี่เป็นฝ่ายรักผมข้างเดียว เพราะผมก็รักพี่มาก ผมไม่เคยรักใครมากเท่าพี่จริง ๆ นะ”
“จริงใช่ไหม”
“จริงครับ” ผมพยักหน้าแล้วก้มลงจูบเปลือกตาพี่ลู่เบาๆ แสงวิบวับบนดวงตาของพี่ลู่กำลังกลายเป็นหยดน้ำตา ผมไม่ชอบให้พี่ลู่ร้องไห้ แม้แต่มันจะเป็นการร้องไห้เพราะดีใจก็เหอะ
หลังจากที่ผมผละจากเปลือกตาของพี่ลู่ เขาก็เขย่งตัวเองขึ้นมาโน้มคอผม ผมหลับตารอริมฝีปากน่ารักนั่นประทับจูบมาที่ริมฝีปากของผม เราจูบกันเบาๆ รอบตัวมีเพียงเสียงคลื่น จูบหวานดำเนินไปช้าๆ เหมือนรู้ดีว่าว่าถ้าเลิกจูบกัน คืนนี้เราจะต้องจากกัน
.
.
.
“ส่งแค่นี้พอแล้วจงอินนี่ พี่เดินเข้าไปเองได้ นายเหอะพี่ห่วงนะต้องเดินกลับคนเดียว”
“ไม่ต้องห่วงผมหรอก ริมหาดไม่ได้มืดเสียหน่อย แล้วเป็นหาดส่วนตัว คงไม่มีพวกอันตรายหรอก พี่รีบเข้าไปเหอะดึกแล้ว”
“อืม” พี่ลู่เขย่งจุ๊บผมเร็วๆ ก่อนจะรีบเดินแล้วหันมาโบกมือให้ผม อาคารที่พักของพี่ลู่อยู่ไม่ห่าง มีคนนั่งเล่นอยู่ข้างหน้าบ้าง แต่ผมไม่เห็นไอ้รุ่นพี่ชเว พี่ลู่เดินเข้าไปทักเพื่อนในทีม พอผมเห็นว่าโอเคแล้วก็เลยรีบเดินกลับมา
ถึงจะโชว์แมนว่าเดินคนเดียวได้ไม่เป็นไร แต่เดินเงียบๆ มืดๆ แบบนี้มันก็หวิวๆ เหมือนกัน
พอถึงห้องพัก ผมก็เสียบคีย์การ์ดเข้าไป และเมื่อก้าวเท้าเข้าไปในส่วนห้องรับแขกภาพที่ผมเห็นก็คือ พยอนแพคฮยอนกำลังนอนหนุนตักพี่อี้ชิงอยู่ ทั้งคู่กำลังจ้องจอแท็บเล็ตที่อยู่ในมือแพคฮยอน เหมือนกำลังดูหนังอะไรกันสักเรื่อง ต่างคนต่างใส่หูฟังกันอยู่คนละข้าง แล้วเมื่อผมหันหน้าไปอีกทางก็เห็นเฮียคริสกำลังนอนอยู่บนโซฟาหน้าระเบียง สายตามองมาทางผมก่อนจะเปลี่ยนไปมองแฟนตัวเองกับเพื่อนผม
ผมมองสองคนนั้นด้วยความแปลกใจ ว่าสนิทสนมกันถึงขั้นนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วก็เดินเข้าห้องตัวเองไป แต่ยังไม่ทันปิดประตู ประตูก็ถูกดึงให้เปิดอีกครั้ง แล้วร่างโย่งๆ นั่นก็เดินตามผมเข้ามาทันที
“ไปส่งลู่มันถึงไหนวะนานจัง”
“ก็ถึงแคมป์นี่แหละ แต่เดินคุยกันเรื่อยๆ แล้วทางพี่เหอะทำไมแพคกี้มันนอนหนุนตักแฟนพี่แบบนั้น”
“นี่แหละที่จะปรึกษา” เฮียคริสทำหน้าเครียด ก่อนจะพาตัวเองลงนั่งบนเตียง
“มึงชวนเพื่อนมึงมานอนกับมึงได้ไหมกัมจง กูอยากนอนกับแฟนกู”
“ก็พี่อี้ชิงเขาจัดห้องแบบนี้นี่”
“ก็นี่ไงกูขออยู่ กูชักไม่ไว้ใจเพื่อนมึงแล้ว แพคกี้มันก็น่ารักดี แต่นี่มันมากเกินไป อี้ชิงชอบเด็กขี้อ้อนด้วย พอแพคกี้มันอ้อนนิดอ้อนหน่อยก็ยอมหมด กูกลัวใจวะ สนิทๆ กันมาก แฟนกูมันจะกลับมาแมน”
ขอโทษผมหัวเราะได้ไหมวะเนี่ย
“พี่อี้ชิงกลับมาแมนพี่ก็เปลี่ยนตัวเองไปเคะซิจะยากอะไร”
“ไว้ให้มึงทำคนเดียวเหอะกัมจง มึงดูสภาพกูบ้าง เทียบกับอี้ชิงแล้วมันเคะไหวไหมมึงนี่พูดน่าตบปาก”
ผมทั้งหัวเราะทั้งฉุนที่พี่คริสมันด่าผม แต่หนักไปทางขำมากกว่า ท่าทางเครียดของพี่คริสมันจริงจังจนน่าหัวเราะจริงๆ นะ
“มันไม่อะไรมากมั่งพี่ แพคกี้มันก็เป็นแบบนี้ พี่เองก็เคยโดนมันอ้อน อย่าคิดมากน่าผมว่าพี่อี้ชิงไม่น่าจะกลับใจง่ายๆ”
“เอาอะไรมารับประกันวะ” พี่อู๋แกเริ่มหงุดหงิด หยิบหมอนขึ้นมาแล้วซุกหน้าลงไป เห็นแล้วก็สงสารปนเข้าอกเข้าใจ คืนนี้ผมก็ต้องแยกจากแฟนเหมือนกัน ทั้งๆ ที่บรรยากาศน่านอนกอดแฟนแท้ๆ
“โอเคพี่เดี๋ยวผมไปชวนแพคกี้มันมานอนกับผม”
พี่อู๋เงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้างทันที แถมขอบคุณผมมากมายแล้วติดสินบนผมด้วยการบอกว่าเดี๋ยวกลับไปจะเลี้ยงผมมื้อใหญ่ คนไม่เห็นแก่กินแบบผมรีบย้ำทันทีว่าชัวร์แน่ๆใช่ไหม
ผมเปิดประตูออกไป ยืนค้ำหัวสองคนนั่น พี่อี้ชิงเงยหน้าขึ้นมาก่อน แล้วตามด้วยไอ้เตี้ยแพค
“แพคคืนนี้มึงนอนห้องกูแล้วกัน”
“ทำไมอ่ะ จะให้กูย้ายทำไมกูจัดของ ๆ กูแล้วนะ” ไอ้แพคเอ่ยบ่นงุงิ ส่วนผมยืนอึ้ง แล้วคิดว่าเออจะให้มันมานอนกับผมทำไมวะ ในเมื่อผมก็อยากกำจัดมันไปจากห้องผม คนอะไรเวลานอนแล้วชอบครางงุ๊งงิ๊งเป็นลูกหมา
“ก็เวลามึงนอนมึงชอบละเมอทำเสียงเหมือนลูกหมา มึงควรเกรงใจพี่อี้ชิงเขามานอนกับกูดีกว่า”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่นอนได้ เสื้อผ้าของแพคกี้ก็อยู่ห้องพี่แล้ว ไม่ต้องย้ายให้ลำบากหรอก ถ้าจงอินง่วงจะไปนอนก่อนก็ได้ พี่กับแพคกี้ยังดูหนังกันไม่เสร็จ” พี่อี้ชิงคนใจดีพูดจาหวานหู โดยมีแพคกี้พยักหน้าหงึกหงักตาม ผมไม่รู้จะเอาไม้ไหนไปช่วยพี่อู๋เลยต้องล่าถอยมา
“ผมช่วยพี่เต็มที่ได้เท่านี้” ผมบอกเฮียคริสตอนที่เดินเข้าไปในห้อง พี่คริสที่ยืนแอบฟังอยู่ทำได้แต่เดินโซซัดโซเซไปที่เตียง
“มึงช่วยอะไรได้มากจริงๆ กัมจง เท่าที่มึงทำกูทำเองก็ได้ นึกว่ามีแผนดีกว่ากว่านี้” อิพี่อู๋โอคครวญชวนให้ผมอยากลุกขึ้นมาเตะ แต่ก็สงสารเกินกว่าจะถือสา
“ทำไมแฟนพี่เขาถึงไล่พี่มานอนกับผมล่ะ”
“อี้ชิงบอกว่าอยากนอนกับแพคกี้น้องคุยสนุกดี”
“อ๋อ...เบื่อพี่”
“ไม่ใช่แล้วมึง อี้ชิงเขาเป็นคนใจดี แพคกี้มันบอกว่ามึงชอบบ่นมันเวลานอนละเมอ อี้ชิงเขาเลยให้แพคกี้ไปนอนกับเขา”
“โอเคๆ ผมเข้าใจแล้ว เอางี้คืนนี้พี่นอนห้องนี้ไปก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ลู่จะมานอนกับผม พี่ก็หาข้ออ้างกลับไปนอนกับพี่อี้ชิงเอาแล้วกัน เดี๋ยวผมจะไปบอกแพคกี้มันอีกทีให้มันเลิกทำตัวเป็นก้างขวางคอชาวบ้าน”
“โอเคก็ได้” พี่โย่งแก่พยักหน้าทำหน้าเซ็งๆ แล้วก็ทุ่มตัวลงไปกับที่นอน ผมอดหัวเราะกับท่าทางจะเป็นจะตายของพี่แกไม่ได้ พี่คริสมันฮาดีจริงๆ นะครับเอาเข้าจริง ไอ้มาดคุณชาย หน้าตาหล่อเฉียบนี่มันเป็นภาพลวงตาชัดๆ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากคืนแรกของพวกเราผ่านไป ความหวังที่ผมหวังไว้อย่างสวยงามก็เป็นอันต้องผิดหวัง อย่างชนิดน่าโมโหสุด ๆ
ตอนกลางวันทุกอย่างยังปรกติผมยังไปนั่งเล่นดูพี่ลู่ซ้อมด้วยความหวังว่าคืนนี้เราจะไปสวีท หวานชมดาวด้วยกันริมหาด แต่บนความเป็นจริงคือพอตกค่ำอาจารย์ประจำทีมฟุตบอลก็เปิดปาร์ตี้ พี่ลู่ไม่ยอมมานอนกับผมที่โรงแรมเพราะอยากอยู่ปาร์ตี้กับเพื่อน กับรุ่นพี่ รุ่นน้อง ผมพูดไม่ออกทำได้แต่ปล่อยพี่แกไป ข้อดีมีแค่ผมนั่งเฝ้าพี่ลู่ได้ ไม่ถูกไล่กลับ แต่ไป ๆ มา ๆ จากที่ผมเฝ้าพี่ลู่กลายเป็นพี่ลู่ต้องเฝ้าผม
ผมเมานั่นแหละ เมาไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย ตื่นมาอีกทีอยู่บนที่นอน ที่โรงแรมแล้ว ข้างตัวของผมไม่มีพี่ลู่ มองไปอีกเตียงมีแต่คริสอู๋ พอถามว่าผมกลับมาได้ยังไง ไอ้พี่คริสกับคำรามใส่ผมยังกับหมาอัลเซเชียนบอกว่าเขาไปแบกมานะซิ เมื่อคืนผมเมาปลิ้น จะให้นอนที่แคมป์ก็ไม่สะดวก พี่ลู่เลยโทรเรียกพี่คริสให้มารับผมมาที่โรงแรม ส่วนที่พี่ลู่ไม่มาด้วยเพราะรถพี่ลู่ต้องกลับโซลแต่เช้ามืด กลัวมานอนโรงแรมแล้วตื่นไม่ทัน แต่พี่อี้ชิงบอกว่าพี่ลู่ฝากฝังผมมากมาย กังวลที่ไม่ได้มาดูแลผม แต่ถึงแบบนั้นฟังแล้วผมก็ยังรู้สึกตึงอยู่ดี พี่ลู่ทิ้งผมได้ยังไง!!
ผมโทรหาพี่ลู่ทันที ที่ฟังพวกพี่คริส พี่อี้ชิง แพคกี้เล่าจบ พอพี่ลู่รับก็ได้แต่ขอโทษขอโพยผม แล้วบอกว่าเมื่อคืนเขาก็เมา เขาดูแลผมไม่ได้ เพื่อนก็ดึงไว้ เลยส่งผมมากับพี่คริส เขาไม่ได้อยากทิ้งผมงั้นงี้ แก้ตัวสารพัด แต่ผมก็ยังไม่หายเคือง ผมวางโทรศัพท์ทิ้งทันที พี่ลู่ทำผมหงุดหงิดหลายเรื่องแล้วนะ กลับไปเราต้องเคลียร์กัน แต่ตอนนี้ผมคงต้องเคลียร์กับไอ้พี่อู๋ก่อน เพราะมันยืนมองเหมือนจะฆ่าผม ก็เพราะผมเมามันเลยทำให้แผนที่ผมสัญญากับพี่คริสไว้ว่าจะช่วยกล่อมแพคกี้มันให้มานอนกับผมล้มไม่เป็นท่า
แต่พี่ครับพี่ต้องเข้าใจผมนะตอนนี้สถานะการณ์เราถูกแฟนทำให้ผิดหวังเหมือนกันเลยนะ
++++++++++++++++++++++++++
หลังจากที่พวกเรากลับมาจากปูซานได้สามวันก็ถึงวันงานกีฬามหาวิทยาลัย ตลอดสามวันผมกับพี่ลู่ไม่ได้มีโอกาสเคลียร์กันจริงจัง เป็นเพราะผมรู้สึกว่าพี่ลู่ผิด ผมเลยอยากให้พี่ลู่รู้ตัวว่าผมไม่พอใจมาก ผมเลยไม่คุยกับพี่ลู่ คิดว่าเอาไว้ไอ้เรื่องานกีฬาบ้าบอนี่เสร็จค่อยเอาไว้คุยกัน ตอนนี้อารมณ์ผมยังไม่ดีอยู่คุยไปเดี๋ยวอาจทะเลาะกันได้ ผมไม่อยากทะเลาะกับพี่ลู่หรอก
แต่พี่ลู่เองก็พยายามง้อผม โทรหา มานั่งเฝ้า แต่ผมก็บอกตามนั้นว่าเอาไว้หลังงานกีฬาค่อยมาคุย ตอนนี้พี่ลู่ไปยุ่งกับกิจกรรมของพี่ลู่ดีกว่า พี่ลู่ก็ทำหน้าเศร้า จนผมอดสงสารไม่ได้ แต่คนเราต้องมีการลงโทษเสียบ้างถูกไหมครับ จะมาทิ้งๆ ขว้างๆ ผิดสัญญากับผมแบบนั้นได้ยังไง
“กัมจงมึงเลิกทำหน้าเป็นตูดได้ไหม” ชานยอลหันมาบ่นกับผม ในระหว่างที่เรากำลังนั่งกันอยู่บนอัฒจันทร์ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลประเพณีของมหาวิทยาลัย โดยคู่ชิงเป็นสีชมพู กับสีฟ้า ซึ่งไอ้สีฟ้านี่คือสีที่คณะของผมอยู่ในสีด้วยร่วมกับอีกสามคณะ (ซึ่งมันก็รวมวิศวะเจ้าปัญหาด้วยนั่นแหละ)
สีฟ้าเป็นต่ออยู่ในอัตราครึ่งควบลูก เฮ้ย!! ไม่ใช่เราไม่ควรใช้อัตราเปรียบเทียบแบบนี้ เอาเป็นว่าสีฟ้าเป็นต่ออยู่เพราะมีผู้เล่นทีมมหาลัยอยู่หลายคน ซึ่งมันก็รวมพี่ลู่อดีตนักบอลเก่าเอาไว้ด้วย
ผมพยายามทำหน้านิ่งๆ ตอนที่มองพี่ลู่เดินลงสนามไป ทั้งๆ ที่ผมอดตื่นเต้นไม่ได้ ก่อนหน้านี้สีฟ้าลงแข่งไป 4 นัดผมได้ดูจริงๆ แค่สองนัดแรกพี่ลู่ลงไปเล่นแต่ไม่เต็มเวลา แต่พอเข้ารอบมาผมก็ไม่ว่างมาดู ไม่ว่างจริงๆ นะครับไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ยังเคืองพี่ลู่อยู่
ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งมองด้วยสีหน้าคูลๆ ที่ชานยอลไม่เข้าใจแล้วเรียกว่าหน้าตูด ผมก็เห็นพี่ลู่หันมาทางผม เขาโบกมือมาให้ ผมไม่แน่ใจว่าโบกให้ผมแน่หรือเปล่า ผมได้แต่ทำหน้ากระอักกระอ่วน จะทำยังไงดีจะยกตอบดีไหมหรืออะไรยังไง จนพี่ลู่เขาเอามือลงแล้วทำหน้าเจื่อนๆ ผมก็รู้สึกใจหาย พี่ลู่ต้องเสียใจแน่ๆ ที่ผมไม่ยกมือตอบเขาแต่ผมไม่รู้นี่ว่ายกให้ผมหรือเปล่า
“ไอ้ใจร้าย”เป็นเสียงด่าทอข้ามหัวปาร์คชานยอลมาทางผม แล้วพอหันไปก็เห็นพยอนแพคกี้ยื่นหน้ามา
“มึงทำพี่ลู่เสียใจ เดี๋ยวเขาก็ไม่มีกำลังใจเตะบอลหรอกมึงอะ มึงจะงอนอะไรกันนักกันหนากัมจง”
“กูไม่ได้งอน กูจะรู้ได้ยังไงว่าพี่เขาโบกมือให้กู นี่นั่งกันเป็นพัน”
“แล้วเขาจะโบกมือให้ใครถ้าไม่ใช่มึง ต่อให้เขาโบกให้เพื่อน มึงเป็นแฟน มึงก็ต้องเสนอหน้ารับไว้ก่อนอย่าให้เขาเสียหน้า” นี่ตรรกะอะไรของมันครับ แล้วพอด่าเสร็จมันก็หลบหน้าเขาไปทิ้งให้ปาร์คชานยอลมองผมต่อด้วยสายตาเชิงด่าทอ มองแบบนี้ด่ากูตรงๆ เลยก็ได้
“จริงๆ มึงก็เกินไปนะจงอิน พี่เขาดูจะเสียใจมากที่มึงงอนเขา” คิมจงแดที่นั่งอีกข้างของผมเอ่ยเบาๆ พลางจิบชาร้อนกระป๋องไปด้วย
“คิมจงแดครับ ผมบอกแล้วว่าผมไม่ได้งอน แค่กำลังใช้มาตรการตักเตือนแฟนผมแค่นั้น”
“เออไม่งอนก็ไม่งอนครับดำ”
“ลามปามกูดำที่ไหน” ผมหันไปตบหัวมันแต่มันว่องไวราวกับไปฝึกวิชาจากหวงจื่อเทามา มันหลบฝ่ามือของผมไปได้เฉียดฉิว แล้วในระหว่างที่ผมกับจงแดตีกันอยู่เสียงนกหวีดก็เป่า
เกมส์รอบชิงชนะเลิศเริ่มขึ้นแล้วล่ะครับ....
ครึ่งแรกผ่านไปแบบเนือยๆ ด้วยสกอร์ 0-0 รวมกับการที่พี่ลู่ยังไม่ลงผมเลยยิ่งรู้สึกว่าเกมส์มันไม่สนุกเอาเสียเท่าไหร่ แต่พอเข้าครึ่งหลังความตื่นเต้นมันค่อยเพิ่มขึ้น ตอนที่ผมเห็นกรรมการยกป้ายเปลี่ยนตัว แล้วพี่ลู่ก็วิ่งลงไป
คราวนี้เกมส์ค่อยหน้าดูขึ้นแล้ว
จากครึ่งแรกที่ไม่เน้นบุกครึ่งหลังเหมือนไม่มีอะไรจะเสีย ต่างก็เปิดเกมส์มากขึ้น พี่ลู่ลงมาเป็นกองหน้าเพิ่มอีกคน มีหลายจังหวะที่เกือบมีโอกาสทำประตูแต่ก็พลาดไป จนเข้านาทีที่ 50 กว่าๆ สีชมพูก็ทำประตูนำเราขึ้นมาก่อน.....
ตอนแรกผมดูมันอย่างไม่คิดอะไรมาก แต่พอเห็นความทุ่มเทของทีม ของพี่ลู่ผมก็ไม่อยากให้พวกเขาแพ้ ผมเชียร์จนสุดเสียงตอนที่สีเราได้ฟรีคิก แล้วในที่สุดมิดฟิลด์ของเราก็เตะมันเข้าประตูจนตามตีเสมอได้ มันช่วยต่อลมหายใจของเราอีกหน่อยในเกมส์นี้ จนเข้านาทีที่ 85 รุ่นพี่ซีวอนที่เล่นตำแหน่งกองหลังก็โยนบอลขึ้นมา พี่ลู่รับได้จากฝั่งขวาของสนามแล้วเขาก็ลากตัดเข้ามาตรงกลาง พี่ลู่เลี้ยงบอลผ่านมิดฟิลด์ตัวรับของทีมคู่แข่ง สลัดกองหลังทิ้งมาได้จนเข้ามาในกรอบเขตโทษ เหลือเพียงแค่พี่ลู่กับผู้รักษาประตูฝ่ายตรงข้าม มันเป็นวินาทีที่ผมแทบจะไม่หายใจ โกลด์ฝ่ายตรงข้ามกำลังวิ่งเข้ามาตัดบอล แต่พี่ลู่กระดกมันข้ามหัวโกลด์ไปได้ แล้วมันก็พุ่งเข้าไปตกในตาข่ายของประตูฝ่ายตรงข้าม..
โกลดดดดดดดดดดดดดดดดด์
ใช่แล้วล่ะตอนนี้ทีมสีฟ้าได้ประตูที่สองแล้ว ได้จากการทำประตูของ ลู่หาน แฟนผม!!
ผมตะโกนเสียงดังอย่างชนิดคุมสติไม่ได้ ผมวิ่งออกไปจากที่นั่งจนแทบไปชิดกับขอบรั้ว ผมเห็นไอ้พี่ซีวอนวิ่งเข้ามากอดพี่ลู่ แต่ตอนนั้นผมไม่คิดเรื่องหึงเลยแม้แต่นิดเดียว ผมคิดแต่อยากจะแสดงความยินดีกับพี่ลู่คนเก่งของผม
แล้วพอเพื่อนร่วมทีมปล่อยพี่ลู่ลง เขาก็วิ่งมาทางอัฒจันทร์ฝั่งที่ผมอยู่ เราสบตากัน พี่ลู่ยกมือชูนิ้วโป้งให้กับผม ก่อนจะวิ่งมาหยุดที่ด้านหน้าอัฒจันทร์แล้วพี่ลู่ก็ยกชายเสื้อฟุตบอลขึ้นจนเห็นเสื้อยืดสีขาวข้างใน.... แต่มันไม่ขาวธรรมดาเพราะว่ามันถูกเขียนด้วยหมึกสีดำบนเสื้อยืดว่า
“For U Kim Jongin”
ตอนนั้นผมจำได้ลางๆ ว่าผมร้องเฮ้ยดังลั่น เสียงฮือดังหึ่งรอบตัวผม มีมือหนัก ๆ ตบผมอยู่ที่ไหล่บ้างหลังบ้าง แล้วก็ตามด้วยเสียงหัวเราะไร้สติของปาร์คชานยอล
“เชี่ย พี่ลู่หานของมึงแน่ว่ะ กล้ามากๆ”
“นี่เปิดตัวแรงนะมึง รู้กันทั้งมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว”
“โอ้ยน้ำตาจะไหล”
“มึงซึ้งเหรอแพคกี้”
“เปล่ากูขำ พี่ลู่โครตรักจงอินมันเลยนะเนี่ยถึงกล้าทำอะไรน่าอายขนาดนี้”
“กัมจงมึงอย่านิ่ง อย่าเพิ่งซึ้ง ฮาฮ่าๆๆ”
“พี่ลู่แม่มโครตจะแมนอะ”
“พี่คะ ๆ พี่ลู่หานกับพี่จงอินเป็นแฟนกันเหรอค่ะ”
นั่นคือบางประโยคที่ผมได้ยินผ่านหูตอนนั้น ถ้าถามตรงๆ ผมแทบจะจับใจความอะไรสำคัญไม่ได้ตั้งแต่เห็นประโยคบนเสื้อพี่ลู่ ผมจำได้แต่ว่าพอพี่ลู่ลดเสื้อทีมลงก็ถูกกรรมการไล่ ก่อนวิ่งกลับไปเขาหันมาส่งจูบให้ผมอีกที ผมยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอะไรดี รู้แต่ว่าหน้าผมร้อนมากเหมือนจะไหม้ ผมอยากเอาหัวมุดลงไปบนพื้นอัฒจันทร์ ผมไม่โกรธพี่ลู่นะ มันก็ปลื้มอยู่ แต่ผมก็ไม่ได้อยากได้อะไรแบบนี้ มันฮือฮาไป มันเด่นไป พี่ลู่ที่รักครับถามผมสักคำไหมว่าอยากได้ไหม
แล้วที่นี้ผมจะเหลืออะไรให้แก้ตัวได้อีก..............
พี่ลู่ทำอย่างกับผมเป็นเมียนักฟุตบอลที่เพิ่งคลอดลูกในช่วงแข่งบอลโลกขนาดนี้...
ต่อไปคนทั้งมหาลัยมันคงคิดแบบเดียวกับที่เพื่อนผม กับเพื่อนพี่ลู่มันคิดอยู่แน่ๆ
พี่ลู่ครับ..................... ผมรักพี่แต่เราต้องเคลียร์กันจริงๆ แล้วล่ะ ผมชักอยู่ยากแล้ว
TBC.
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แต่งๆ ไปก็คิดว่านี่ฉันทำเพื่อนความสะใจของตัวเองใช่ไหมที่เห็นจงอินเหวอ เอ๋อ มันดูตลกขึ้นทุกวัน แต่ที่ทำนี่เพราะรักนะ ยิ่งเมื่อวานได้พลังมากขึ้นจากแฟนแอคที่ไปเดทกันสองคน นั่่งดินเนอร์กันโดยมีเสี่ยลู่กอดคอเด็กเสี่ยไปด้วยนี่ยิ่งองค์พลังความอยากแกล้งจงอินก็มีมากขึ้น 5555555
ใครแวะผ่านมาอ่านติฉินนินทา เอ้ยติชมกันได้นะคะ การได้อ่านคอมเมนท์โดยเฉพาะเรื่องนี้มันช่วยเรื่องการนำไปเป็นไอเดียในการกลั่นแกล้งพระเอกได้ดีมาก 555
ความคิดเห็น