คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : [KaiLu Fiction] By Your Side [Special One] 100%
Author: Angel Midori
Genre: Romantic
Rating: PG
Pairing: KaiLu
Note : ฟิคเรื่องนี้จะเขียนโดย base on true story คือเอาโมเมนท์จริงมาแปลงเป็นนิยายนะคะ เหมือนเป็นไดอารี่บันทึกโมเมนท์ของคู่นี้ั จากมโนของคนแต่งเอง
์
หายศีรษะไปนานเนื่องจากงานเยอะ คิดว่าจะหยิบเรื่องไหนมาแต่งต่อ ก็มานึกได้ว่า โมเมนท์ไคลู่ช่วงนี้เยอะอีกแล้ว
ถ้าไม่รีบแต่งต้องลืมแน่ๆ เลยขอแต่งเรื่องนี้ก่อน ยังไม่ครบ 100 เปอร์เซ็นต์นะคะ กำลังค่อยๆ เรียบเรียงเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วจะพยายามไม่หายไปนาน จะรีบมาต่อ และต่ออีกสองเรื่องภายในวีคหน้าแน่ค่ะ
อืมมแต่จริงๆ ไรท์เตอร์จะหายไปคงไม่เป็นไรม่างงง บรรยากาศแถวนี้ดูวังเวงพิกล เมนท์ขยับในอัตราต่ำ ๆ !! (รำพึงเบาๆ)
ต่ำจนคิดว่าเอะหรือเพจเราเสีย เพราะเข้าไม่ได้หลายวันอยู่ 55555
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เสี่ยวลู่ฮยองสำหรับผมเขาคือใคร....
เค้าเป็นสมาชิกในวง…
พี่ชาย...
เพื่อนเล่น....
และคนที่ผมชอบ
ผมตอบไม่ได้หรอกว่าผมชอบฮยองเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ผมรู้ว่าผมชอบที่จะคอยมองหาเขา มีความสุขที่ได้พูดคุยเล่นด้วย ถึงแม้ตอนแรก ๆ ผมออกจะติดรำคาญนิดๆ ด้วยซ้ำ เพราะเสี่ยวลู่ฮยองเป็นคนไม่อยู่นิ่ง เขาช่างสักช่างถาม เวลาผมนั่งนิ่งๆ เขาก็จะคอยชวนคุย เล่นนั่นเล่นนี่เหมือนเด็ก ทั้งๆ ที่ตอนนั้นผมน่ะเพิ่งขึ้นไฮสคูลอยู่ด้วยซ้ำ แต่เขาเรียนมหาลัยแล้ว
แต่ไปๆ มาๆ ผมก็ชิน และถึงแม้ผมจะแสดงออกเหมือนไม่สนใจเขา แต่ผมก็ตั้งใจฟังเขา ถึงแม้ผมจะทำตัวนิ่งๆ แต่ผมก็ยอมที่จะเล่นกับเขาได้ หากแต่ผมเป็นคนขี้อาย อย่างที่คนอื่นคาดไม่ถึงเลยล่ะ และบ่อยครั้งที่ผมมักอายเวลาที่มองตาแป๋วๆ ของเสี่ยวลู่ฮยอง ผมรู้สึกทำอะไรไม่ถูกผมเลยซ่อนมันไว้ด้วยท่าทีนิ่งๆ แต่จริงๆ ผมเองออกจะชอบปฏิกริยาที่ฮยองแสดงเวลาที่ผมเล่น หรือคุยกับเสี่ยวลู่ฮยอง ฮยองจะยิ้มกว้าง ดวงตามีความสุขมาก แล้วมันก็ทำให้ผมรู้อีกอย่างว่าถ้าเมื่อไหร่ผมลองจ้องตาฮยอง และยิ้ม ยิ้มแบบที่ใครๆ บอกว่ามันดูเจ้าชู้ ฮยองจะหลบตาผม และหูแดง
นั่นแปลว่าเสี่ยวลู่ฮยองกำลังเขิน ซึ่งเวลาเขาเขินฮยองจะน่ารักมากกว่าปรกติจากที่น่ารักอยู่แล้ว
ผมมีความสุขเมื่อเวลาได้พูดคุย แกล้ง เสี่ยวลู่ฮยอง เป็นความสุขในแบบที่ไม่เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ แม้แต่กับแทมิน หากแต่สิ่งเหล่านั้นผมได้ปล่อยให้มันผ่านมาเรื่อยๆ โดยทำเหมือนมันเป็นเรื่องเคยชิน หรือเป็นเรื่องปรกติ จนเมื่อมารู้ตัวอีกทีผมถึงรู้ว่าจริงๆ มันไม่ได้ปรกติหรอก มันไม่ปรกติเลยกับความรู้สึกนี้ เพราะที่มันเกิดขึ้นนั่นก็เพราะผมชอบลู่หานฮยอง
และเมื่อไม่กี่วันก่อนเซฮุนถามผมว่าผมคบกับเสี่ยวลู่ฮยองอยู่หรือเปล่า ผมไม่ได้ตอบน้อง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะจริงๆ ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไง ว่าเราคบกันในสถานะแบบไหน หากแต่ผมก็พอใจกับความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ความสัมพันธ์ในแบบที่ผมกับเสี่ยวลู่ฮยองรู้กันสองคน
ผมรู้ว่าฮยองชอบผม และผมก็ชอบฮยอง แต่ผมยังไม่อยากผูกมัดกันด้วยคำว่าคนรัก ผมชอบสิ่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ คือเราเป็นทุกอย่างเท่าที่จะเป็นได้ เป็นเพื่อน พี่น้อง คนที่ต้องทำงานด้วยกัน คนรัก คู่กัด เพื่อนเล่น เพื่อนสนิท และอีกหลายๆ อย่าง
หากแต่ผมก็คาดว่าสักวัน เราสองคนคงจะเรียกได้ว่าคนรักอย่างเต็มปากเมื่อเราพร้อม
“จงอิน” เสียงน่ารักตะโกนเรียกผมในระหว่างที่คนเรียกเร่งฝีเท้ามาหาผม ในมือของเสี่ยวลู่ฮยองเต็มไปด้วยเสื้อแจ็คเก็ต ผ้าพันคอ หมวก จนมันแทบจะม้วนกันเป็นก้อนเดียวกัน
ผมยืนนิ่งรอเขาที่หน้าประตูทางออกจากตึก ซึ่งตอนนี้น่าจะเลยเที่ยงคืนแล้ว และเหลือเราแค่สองคนจากสมาชิกใน EXO ทั้งหมดที่เหลืออยู่ ผมซ้อมเต้นรูทีนโคโรกราฟเพลงใหม่ตามปรกติที่ผมมักซ้อมเสร็จหลังคนอื่น ส่วนเสี่ยวลู่ฮยองขออยู่ซ้อมต่อด้วยในฐานะที่เสี่ยวลู่ฮยองต้องรับผิดชอบไลน์เต้นของฝั่งเอ็มซึ่งมีโคโรกราฟเดียวกับผมบางส่วน จริงๆ ปรกติจะมีอี้ชิงฮยองอยู่ซ้อมด้วย แต่วันนี้อี้ชิงฮยองกลับไปก่อน เลยเหลือแต่ผมกับเสี่ยวลู่ฮยอง จริงๆ ฮยองจะกลับไปพร้อมคนอื่นๆ ก็ได้ แต่ผมรู้ว่าเขารอผม เพราะต่อให้เขากลับไปเขาก็จะโทรจี้ให้ผมเลิกซ้อมอยู่ดีถ้ามันเกินตีหนึ่งแล้ว
“ไปกันเหอะดึกมากแล้ว” ฮยองพูดพร้อมส่งยิ้มกว้างให้ผม ดวงตาคู่ใสออกจะเริ่มปรือนิด ๆ คงเพราะง่วง ซึ่งตรงข้ามกับผมที่ยิ่งดึกผมยิ่งไม่ง่วง แต่ถ้าตอนเช้าละก็ผมแทบไม่ตื่น ผมหันไปจะกดเปิดประตู แต่ก็เหลือบเห็นว่าฮยองกำลังวุ่นวายกับการใส่เสื้อแจ็คเก็ตโดยที่มือยังคงถือข้าวของและเป้ใบแพงนั่นอยู่ ผมเอื้อมมือไปหยิบของในมือเล็กออกมาถือ ฮยองยิ้มขอบคุณก่อนจะสวมเสื้อแจ็คเก็ตวอร์มสีแดงขาว ซึ่งคล้ายกับที่ผมใส่อยู่เพียงแต่ของผมเป็นสีดำขาว ผมหยิบหมวกไหมพรมสีแดงสวมลงบนเรือนผมหยักศกสีทองของคนตรงหน้า และสุดท้ายก็เอาผ้าพันคอสีขาวผืนยาวพันให้จนแน่นหนา ลู่หานฮยองยืนกัดริมฝีปาก หลบตาผม แต่แก้มกลับขึ้นสีแดงจัด ผมมองและแอบหัวเราะเบาๆ กับท่าทางแบบนั้น แล้วผมก็แกล้งดึงชายผ้าพันคอเข้ามาหาตัวผม ซึ่งทำให้ร่างเล็กนั่นก็ถูกดึงตามมาด้วย
“ยืมผ้าพันคอแบ่งใช้ได้ไหม ผมไม่ได้เอามา” ผมก้มหน้าลงไปถาม พลางคลายผ้าพันคอผืนยาวออก และแกล้งที่จะให้ปลายอีกด้านของผ้าพันที่คอผม อีกด้านพันที่คอฮยอง หากแต่คนที่ยืนก้มหน้าหูแดงอยู่กลับไวกว่า ฮยองดึงเป้ออกจากมือผมและรีบล้วงเอาผ้าพันคออีกผืนออกมา
“เอาอันนี้ไปซิ ผ้าผืนเดียวพันสองคนจะเดินกันยังไง” ปากก็ทำเป็นบ่น แต่หน้านี่ยังบอกชัด ๆ เลยว่าเขิน
ผมรับผ้าพันคอนั้นมาถือไว้ ฮยองก็เลยรีบดึงผ้าที่พันเราทั้งคู่กลับไป หากแต่ผมก็ไม่ทำอะไรกับผ้าสีน้ำเงินในมืออยู่ดี
“พันให้หน่อยซิ” ผมยื่นผ้าในมือให้ฮยอง
“เรื่องอะไร”
“เมื่อกี้ผมยังมีน้ำใจพันให้ฮยองนะ” คนขี้อายเมื่อกี้ ยู่ปาก และแลบลิ้นเล็กๆ ใส่ผม แต่มือก็ยังรับผ้าพันคอสีน้ำเงินกลับไป เขาเขย่งมาคล้องผ้าและจัดมันจนกระชับกับคอของผมอย่างดี เจ้าตัวยืมมองและอมยิ้มหลังจากพันผ้าเสร็จแล้ว ราวกับภูมิใจหนักหนา
“ฮยองเอาผ้าพันคอมาทำไมสองผืน”
เจ้าของผ้าสองผืนแกล้งยู่ปากกรอกตาไปมาทั้งๆ ที่แก้มแดง “ก็คนเขามีการเตรียมพร้อม”
”จริงๆ คือไม่ได้จัดกระเป๋าก็บอกมาเหอะ”
“ไปกันได้แล้วฮยองง่วงแล้ว ถามอะไรอยู่ได้ ป่านนี้พี่ผู้จัดการนั่งรอในรถจนแข็งไปแล้วมั่ง”
“ในรถมีฮีทเตอร์” ผมตอบก่อนจะกดปุ่มผลักประตูออกไป
“จงอิน” ผมหันไปมองคนที่อยู่ดีๆ เรียก แล้วเจ้าตัวก็รีบแทรกตัวเองลอดแขนผมออกไป
“จริงๆ แล้วผ้าผืนนั้นฮยองจะให้นายอยู่แล้ว” ผมไม่ทันมองหรอกว่าตอนนี้ลู่หานฮยองทำหน้าแบบไหน เจ้าตัววิ่งดุ๊กดิ๊กหนีผมไปยืนที่ลานจอดรถข้างตึกเสียแล้ว ผมเลยทำได้แต่หัวเราะเบาๆ แล้วกระชับผ้าพันคอผืนพิเศษนี่ให้แน่นขึ้นไปอีก
ตอนนี้อากาศน่าจะติดลบเกิน -5 หิมะโปรยเป็นปุยขาว ตัดกับความมืดของช่วงเวลาเกือบตีสอง พื้นถนนข้างตึกมองไม่เห็นพื้นปูนแล้ว เพราะตอนนี้หิมะได้จับจองไปจนหมด ผมยกมือขึ้นมาแบกลางอากาศให้หิมะตกลงที่มือ นี่อีกไม่กี่วันก็จะคริสมาสต์แล้วซินะ
“จงอินใส่ถุงมือซิ” ลู่หานฮยองตะโกนบอกผม ผมเลยพยักหน้ารับก่อนจะล้วงถุงมือจากกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตมาสวม ผมเดินมาช้าๆ โดยยังคงให้ความสนใจกับหิมะอยู่ ผมเตะหิมะเล่นไปเรื่อยๆ และก้มลงไปจับมันปั้นเป็นก้อนแล้วขว้างออกไปให้โดนต้นไม้
ผมคงหัวเราะเสียงดังไปหน่อย จึงทำให้แฟน ๆ ที่ยังทนรอพวกเราอยู่ ออกมาจากใต้ตึกมายืนแอบมองดูเรา แต่ผมก็ไม่สนใจ ผมยังเตะหิมะเล่น และส่งเสียงเรียกให้ฮยองมาเล่นด้วย ฮยองส่ายหัวเบาๆ แต่ไม่ได้ห้ามผม ผมเลยเล่นต่อ ผมรู้สึกปลดปล่อยจากความเหนื่อยล้า ความเครียดของกล้ามเนื้อ และรู้สึกเหมือนได้กลับมาเป็นคิมจงอิน ไม่ใช่ “ไค EXO” เป็นแค่คิมจงอินที่ยังมีความเป็นเด็กอยู่ ผมหันไปสบตาฮยอง เขายิ้มกว้างให้ผม ดวงตาวิบวับเหมือนลูกกวางนั่นยิ้มจนตาเป็นขีด เขามองผมเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก ผมรักสายตาแบบนั้นของเขา สายตาที่มีทั้งความรัก และความเอ็นดูให้กับผม
ผมยิ้มกว้างตอบกลับไป น่าจะกว้างที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ และเดินไปหาเขา ผมเอื้อมมือไปจับมือที่เล็กกว่าผม และซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะเดินกันไปที่รถ ผมคิดว่าคงไม่มีแฟน ๆ คนไหนเห็นเพราะรถบังเราไปครึ่งตัว พวกเขาคงเห็นเราแค่หัวเท่านั้น เราสองคนเข้าไปในรถโดยที่ไม่พูดอะไรกัน ฮยองเมเนเจอร์บ่นนิดหน่อยที่เราออกมาช้า แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ ผมหลับตาลงและพิงหัวตัวเองกับไหล่ของเสี่ยวลู่ฮยองเหมือนทุกครั้ง แต่พิเศษกว่าเดิมนิดนึงตรงที่มือของเราสองคนยังจับกันในกระเป๋าเสื้อของผม และแม้ผมจะหลับตาผมก็ยังเห็นภาพรอยยิ้มของคนที่ผมพิงไหล่อยู่ชัดเจน
+++++++++++++++++++++++++ By Your Side +++++++++++++++++++++++++++++
ตอนนี้ผมกำลังมองออกไปจากหน้าต่างจากห้องนอนของผมที่แชร์กับคยองซูฮยอง พวกเราเพิ่งกลับมาถึงหอ หลังจากไปร่วมแสดงในงานเคาท์ดาวน์ของสถานีโทรทัศน์ วันนี้อากาศหนาวจัดมาก แต่เราก็ยังต้องไปโชว์ที่เวทีกลางแจ้ง มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ ผมและทุกคนไม่เคยแสดงในอากาศหนาวแบบนี้มาก่อน ถึงมันจะค่อนข้างแย่แต่มันก็สนุก แล้วยิ่งสนุกมากขึ้นก็ตอนที่จุนมยอนฮยองถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกเพราะเนื่องจากแพ้เกมส์ มันขำมากที่เห็นพี่เขาต้องทำแบบนั้น มันเป็นท่าถอดเสื้อที่ดูไม่เท่ห์เอาเสียเลย แต่มันก็ทำให้เราขำกันจนรู้สึกว่าความหนาวลดลง เสียดายที่มีแต่พวกเรา 6 คน ผมอยากให้พี่ๆ ในกลุ่ม M ได้มาเห็นความเปิ่นของจุนมยอนฮยองเสียจริงๆ แต่ว่าวันนี้ตอนที่เราเคาท์ดาวน์กันอยู่ที่โซล พี่ๆ ที่เหลือต้องไปเคาท์ดาวน์กันที่ประเทศจีน ตามตารางงานที่แยกกัน
ผมละสายตาจากหิมะสีขาวที่ขอบหน้าต่างมาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอ่านข้อความอวยพรปีใหม่จากคนที่อยู่ไกลคนละประเทศ ทั้งๆ ที่เมื่อวานยังอยู่ด้วยกันอยู่ เสี่ยวลู่ฮยองอวยพรปีใหม่ให้ผม ระหว่างที่รอขึ้นแสดง แล้วเขาก็เล่าว่าวันนี้เขาได้เจอรุ่นพี่นักร้องดังๆ มากมาย พี่เขาดูดีใจมาก ๆ แค่ผมอ่านผมยังนึกภาพออกเลยว่าเสี่ยวลู่ฮยองกำลังทำสีหน้าแบบไหนตอนที่เล่าเรื่องนี้ และบนเวทีเขาจะทำสีหน้าแบบไหน เหมือนเวลาที่เขาเจอรุ่นพี่ที่ปลื้ม เสี่ยวลู่ฮยองจะทำอะไรไม่ถูก หลบสายตา หากแต่เผลอก็จะแอบมอง เขาต้องทำแบบนั้นแน่ๆ ตอนอยู่บนเวทีกับนักร้องไอดอลคนดังที่เขาปลื้มมาก ๆ
ผมเลื่อนอ่านข้อความไปเรื่อยๆ จนถึงข้อความที่ผมตอบกลับ ผมพิมพ์ไปแค่ว่า “สุขสันต์ปีใหม่เช่นกัน วันนี้สนุกใช่ไหมล่ะ” มันน้อยเกินไปไหมนะ ที่ผมตอบไปแค่นั้น จริงๆ ผมเองก็มีเรื่องเล่า หรืออยากจะอวยพรมากกว่านี้ อยากบอกฮยองว่า ผมอยากผ่านช่วงเวลาเข้าปีใหม่พร้อมกับฮยองมากกว่าที่จะอวยพรผ่านข้อความกันแบบนี้ แต่ผมเขียนอะไรแบบนั้นไม่ออกหรอก
ผมเงยหน้ามองที่หน้าต่างอีกครั้ง หิมะกำลังโปรยลงมาจากท้องฟ้า ที่จีนกี่โมงแล้วนะ ช้ากว่าเกาหลี 1 ชั่วโมงใช่ไหม ก็แปลว่าประมาณเกือบตี 2 แล้ว ดึกเกินไปไหมนะ ผมถามตัวเองไปแบบนั้นแหละ เพราะในมือของผมยังคงกดพิมพ์ข้อความอยู่
“กลับเร็วๆ นะ” ผมส่งข้อความนั้นไป ไม่ได้หวังอะไรให้อีกฝ่ายตอบกลับ ผมกำโทรศัพท์ในมือและลุกขึ้นเตรียมตัวนอน หากแต่ยังไม่ทันหลับตาโทรศัพท์ที่หัวเตียงมันก็สั่น
“อืมพรุ่งนี้กลับแล้ว และก็นอนได้แล้วจงอิน!!”
มันไม่หวานผมรู้ แต่คนที่ตอบกลับมาน่ะกว่าจะตอบได้คงทำใจน่าดู ผมหัวเราะเบาๆ และอ่านข้อความนั้นซ้ำ ก่อนจะเลื่อนไปเปิดดูรูปถ่ายที่เราเพิ่งถ่ายกันเมื่อไม่กี่วันในชุดสูทที่จะไปเดินพรมแดง เป็นรูปคู่ของผมกับเสี่ยวลู่ฮยอง ฮยองกำลังทำหน้าตลก ๆ และอมลมจนแก้มป่อง ผมเปิดรูปนั้นทิ้งเอาไว้จนหน้าจอมันดับไปเอง พรุ่งนี้ตื่นมา รออีกไม่กี่ชั่วโมงฮยองคงกลับมาแล้วซินะ
เอาไว้ผมจะเล่าเรื่องสนุก ๆ พวกนั้นให้เขาฟังพรุ่งนี้แล้วกัน (ถ้าไม่โดนเซฮุนแย่งเล่าก่อนอะนะ)
++++++++++++++++++++++++ 40% +++++++++++++++++++++++++++++
อากาศอุ่นจัง.... มันควรจะเย็นกว่านี้ไหมนะ
ผมคิดในใจก่อนจะงัวเงียตื่นขึ้นมา และมองไปรอบ ๆ ตัว อ่า..ใช่ตอนนี้ผมอยู่บนเครื่องบินเรากำลังบินไปมาเลเซีย แต่ก่อนจะถึงมาเลเซียเราต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกงก่อน ผมก้มดูที่ตัวก็เห็นว่าตัวผมมีผ้าห่มอยู่ ผมจำได้ว่าผมไม่ได้เอาผ้าห่มออกมาเพราะคิดว่าเดินทางไม่นานก็ถึงฮ่องกงแล้ว และผมขี้ร้อน นี่คนที่นั่งข้างๆ ผมคงจัดการห่มให้ซินะ
ผมหันไปมองคนที่นั่งข้างๆ ที่ตอนนี้นอนหลับปุ๋ยไปแล้ว เสี่ยวลู่ฮยองตอนนี้นอนกอดตุ๊กตาหมีที่ผมได้เป็นของขวัญจากแฟนๆ ที่สนามบินแน่น ตากลมโตตอนนี้หลับตาพริ้ม ริมฝีปากแดง ๆ นั่นเป็นจีบดูน่ารักดี ผมก้มลงมองหน้าเขาใกล้ๆ เพราะแสงไฟในเครื่องบินตอนนี้มีเพียงไฟดวงเล็กๆ เหนือหัวเราเท่านั้น
เสี่ยวลู่หานนอนได้น่ารังแกมาก แล้วดูจะไม่ให้ผมแกล้งว่าบ่อยๆ ได้ยังไงว่าฮยองเด็ก ก็ตอนนี้เล่นกอดตุ๊กตาของชาวบ้านเค้าแน่นขนาดนี้
“อือ..........”
ถ้าทางผมจะก้มใกล้ไปแหะ ฮยองเริ่มครางในลำคอและดิ้นดุ๊กดิ๊ก ถ้าเป็นคนปรกติทั่วไปก็คงทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกลับไปแกล้งหลับอะไรแบบนั้น แต่นั่นไม่ใช่ผมแน่ๆ
ผมแกล้งเอาปลายนิ้วชี้จิ้มที่แก้มขาวนั่นเบาๆ เสี่ยวลู่เป็นคนหน้าเล็ก แล้วเวลานอนหลับแก้มก็จะกลมมากๆ ไม่แพ้มินซอกฮยองเลยล่ะ เสี่ยวลู่ฮยองครางในคอเบาๆ เหมือนหงุดหงิด ผมก็เลยยิ่งแกล้งกดปลายนิ้วที่จมูกแล้วคลึงเบาๆ อีกฝ่ายยู่ปากเหมือนไม่พอใจผมยิ่งหัวเราะ แต่ก็พยายามหัวเราะให้เบาที่สุด
“ งื้ออออออออ............”
ฮยองลืมตาแล้วล่ะ ทำหน้ายู่ด้วย หงุดหงิดด้วยซินะ หึหึ
“จงอินนี่อา~ นายทำอะไร”
“ปลุกฮยองไง”
“ปลุกทำไมเนี่ย ฮยองง่วงนะ ทำไมนายไม่ง่วงล่ะ ทุกทีเอาแต่ง่วง”
“จะถึงฮ่องกงแล้วนะ ผมไม่ง่วงแล้วด้วย ฮยองตื่นมาคุยกับผมหน่อยซิ” ผมก้มลงไปคุยกับคนที่ตื่นแล้วแต่ตายังปิดอยู่ เสี่ยวลู่ฮยองหันหนีผมเอาหัวซุกหมีตัวขาว แต่ผมก็ยังตื้อโดยการดึงหมีออกมาจากอ้อมกอดนั้น
“นายเอาไปทำไมอ่ะ จงอินนี่!!”
“ก็นี่มันหมีของผม แฟน ๆ ให้ผมเป็นของขวัญวันเกิดนะ”
“แต่ฮยองขอกอดหน่อยเดียวเอง” คราวนี้เสี่ยวลู่ลุกขึ้นนั่งแล้ว เขายู่ปาก ทำตาปริบๆ ให้ผมสงสาร ผมเลยยื่นมันคืนไปให้กับเขา ผมรู้เขาอยากเล่นไอ้เจ้านี่มาตั้งแต่ผมได้มันมาจากสนามบินแล้ว ผมไม่ค่อยเขาใจหรอกว่ามันสนุกตรงไหน ไอ้ตุ๊กตาพวกนี้แต่มันคงสนุกสำหรับเสี่ยวลู่ฮยอง และพวกกลุ่มเอ็มมั่ง
เสี่ยวลู่ฮยองยิ้มหวานให้ผมตอนที่ได้เจ้าตุ๊กตาตัวขาวคืนไปเขาจับมันมาจ้องหน้าแล้วก็กดริมฝีปากไปจุ๊บมันแรงๆ ผมชักอิจฉานิดๆ แล้วนะ
“พี่จูบหมีของผม!!”
“ไม่ได้เหรอ?” ถามหน้าเหรอหราอีกต่างหาก
“ไม่ได้ซิ”
“ทำไมอะอย่างกซิจงอินน่า”
“ก็ถ้าผมจูบมันบ้างมันก็เป็นการที่เราจูบทางอ้อมกันซิ หรือจริงๆ พี่อยากให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว” ผมหัวเราะลงคอเบาๆ เพื่อยั่วประสาทคนน่ารักตรงหน้า เสี่ยวลู่ฮยองแก้มแดงอย่าเห็นได้ชัดแม้อยู่ในแสงไฟสีส้ม เขาจับหมีนั่นมาตีผม แล้วก็บ่นงึมงำหาว่าผมบ้า
ผมเลยสนองคำต่อว่าด้วยการจับหมีนั่นมาจุ๊บซ้ำๆ ไปสองสามทีก่อนยื่นคืนให้เขา ฮยองทำหน้าตาตกใจ แล้วก็หลบตาผม แต่ยังได้ยินเสียงบ่นงึมงำว่าผมอยู่ดี
“นี่ผมไม่ได้ปลุกฮยองให้มาทะเลาะกันนะ”
“แล้วปลุกทำไมเนี่ย” ฮยองหันมาทำหน้าบึ้งๆ ใส่ด้วย
“จะถึงฮ่องกงแล้วไง จะได้ตื่นเต็มตา เผื่อคนเยอะ จะได้ไม่งัวเงีย ผมเข็ดแล้วนะคราวที่แล้วต้องเกาะฮยองเป็นลิงเลย”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับฮยองด้วยล่ะ ฮยองยังอยากนอนต่อนะ คืนนี้เรายังต้องบินอีกไปถึงโน้นเช้าต้องทำงานเลย”
“เกี่ยวซิ ฮยองไปนอนในเลาจ์หรือตอนขึ้นเครื่องอีกทีก็ได้ แต่ตอนนี้ตื่นก่อน เกิดฮยองงัวเงีย ไม่มีสติ เดี๋ยวก็ล้มอีก แล้วใครจะคอยดูแลผมล่ะถ้าฮยองไม่ตื่นแบบนี้”
ลู่หานฮยองแลบลิ้นใส่ผมทันทีเลยล่ะที่ได้ยินผมพูด
“แล้วทำไมนายไม่ดูแลฮยองล่ะ เซฮุนยังช่วยดูแลฮยองเลยนะ”
“แน่ใจ เมื่อกี้ก็อยู่กับเซฮุนไม่ใช่เหรอ ฮยองยังล้ม เจ้านั่นก็ช่วยอะไรฮยองไม่ทัน ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากดูแลฮยอง แต่สถานการณ์แบบนี้บางทีมันก็กะทันหัน ถ้าผมอยู่ใกล้ฮยองก็ดีไป แต่ปรกติเราก็ต่างคนต่างวุ่นวาย ก็ต้องดูแลตัวเองกัน ฮยองน่ะเอาแต่ดูแลคนโน้นคนนี้ บางทีก็ลืมตัวมัวสนุกอยู่บ้าง ล้มก็บ่อย หลงก็บ่อย ฮยองต้องตั้งสติดีๆ รู้ไหม”
“นายไม่ควรสอนฉันนะจงอิน คนที่เดินหลับในสนามบินอย่างนายอะ”
“แต่ผมยังไม่เคยล้ม และหลงนะ” ฮยองดูจะเถียงไม่ได้ เขาทำสีหน้างอนและกระแทกหลังตัวเองลงไปกับเบาะ
จริงๆ ฮยองก็พูดถูกว่าคนอย่างผมไม่ควรจะสอนใครเรื่องนี้ เพราะผมกับสนามบินนี่กว่าครึ่งของการเดินทางผมแทบจะหลับมา เพียงแต่ว่ายังไม่เกิดเหตุการณ์แรงๆ แบบที่ลู่หานฮยองเจอ
ก่อนที่เราขึ้นเครื่องมานี่ฮยองก็เพิ่งล้มไป ผมไม่เห็นเหตุการณ์เพราะเดินมาก่อน แต่หันไปก็เห็นว่าแฟนคลับที่ค่อนข้างมากันเยอะวันนี้ดูวุ่นวาย สักพักฮยองก็เดินมาหาผมแล้วก็เล่าให้ฟังว่าล้มด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน มันโอเคที่ฮยองดูปรกติดีไม่เป็นอะไรมาก แต่ผมก็รู้สึกเป็นห่วงบ้างแหละ ผมไม่รู้หรอกนะว่าลงไปจะเจอคนเยอะไหม แล้วที่สนามบินที่มาเลเซียจะเป็นยังไง แต่ผมก็ต้องห่วงไว้ก่อน ฮยองเป็นคนมีแฟนคลับเยอะอันดับต้นๆ ของวง ฉะนั้นมีโอกาสมากที่คนจะรุมฮยอง แล้วยิ่งฮยองใจดี รับของง่ายแฟน ๆ ก็ยิ่งเข้าหาเยอะ
“นี่ผมจริงจังนะ ไม่อยากให้ฮยองล้มอีก” ผมทำข้ำเสียงเข้ม คนที่นั่งยู่ปากอยู่ก็เลยพนักหน้ารับ ฮยองดันตัวเองขึ้นมานั่งตัวตรงขึ้น เขาปรับเบาะจากที่นอนอยู่ในพอนั่งได้
“แล้วทีนี้จะทำอะไรกันต่อดีล่ะ” นั่นซิทำอะไรกันต่อดี
ผมก้มมองดูนาฬิกา มันใกล้เวลาลงเต็มทีแล้ว และตอนนี้ไฟในห้องโดยสารก็เริ่มเปิด ผมหยิบหนังสือตรงเบาะด้านหน้ามาเล่มหนึ่งแล้วก็เปิดดู
“ฮยองสอนภาษาจีนให้ผมแล้วกัน”
“ตอนนี้อะนะ”
“อืม” แล้วผมก็เอานิ้วจิ้มไปที่หน้าแนะนำอาหารจีน ฮยองทำหน้างง ๆ สักพัก แต่ก็เริ่มจะอ่านชื่ออาหารบนหน้านั้นให้ผมฟัง
ฮยองจะคิดมากทำไม....ผมจะคบกับคนจีนผมก็อยากรู้ภาษาจีนเป็นธรรมดา ถึงตอนนี้จะรู้บ้างแล้วแต่ก็อยากแอดวานซ์กว่านี้นิ
+++++++++++++++++++++++++ By Your Side +++++++++++++++++++++++++++++
พอมาถึงมาเลเซียพวกเราก็แทบจะไม่มีเวลาหายใจ เราต้องซ้อมสำหรับโชว์พิเศษ วันนี้ผม เสี่ยวลู่ฮยอง เซฮุน มินซอกฮยอง อี้ชิงฮยอง และแพคฮยอนฮยอง จะเพอร์ฟอร์มเพลง We are the future ของรุ่นพี่ H.O.T จริงๆ เราก็คิดว่าเราซ้อมมามากแล้วแต่มันก็ตื่นเต้น พวกเราเลยมาซ้อมที่งานอีกหลายครั้งจนแทบจะถึงเวลาเดินพรมแดง
แล้วพอถึงเวลางาน ทุกอย่างมันแทบจะเป็นวงจรเหมือนเดิม ในแบบที่เราเองเริ่มจะคุ้นชินมากขึ้น แต่จริงๆ ก็ไม่ทั้งหมด ทุกงานต่างก็มีความแตกต่างของมัน ที่นี่ที่ประเทศมาเลเซียมีอากาศที่ค่อนข้างอบอ้าว แล้วรวมกับการที่พวกเราพักผ่อนมาน้อยจึงทำให้เหนื่อยกว่าปรกติ หรือจริงๆ แค่ผมนะ หากแต่พอเราก้าวย่างเข้ามาในบริเวณงาน บรรยากาศ และแฟน ๆ ก็ทำให้ผมมีพลังมากขึ้นอีกนิด พิธีกรสัมภาษณ์จุนมยอนฮยอง กับคริสฮยองเป็นหลักผมยืนฟังพวกเขา หากแต่คนข้างๆ ผมเขากลับยุกยิก เสี่ยวลู่ไม่ชอบถือไมค์ผมรู้ เขาจะไม่มั่นใจเสมอเวลาต้องพูดกับไมค์ แต่นี่หลังจากที่เขาได้รับไมค์มาแล้วไม่มีใครรับต่อ เขาก็เลยเอามาถือไว้ แล้วแถมพอจุนมยอนฮยองตอบคำถาม คนที่โตแต่ตัวแต่นิสัยเด็กก็ยื่นไมค์เข้าไปเสริมอีก ผมว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่มั่ง ผมจับมือเสี่ยวลู่ให้ดึงลง และยิ้มให้เขาเล็กน้อย ส่งสายตาดุเขาว่านี่ไม่ใช่เวลาซน เขาทำหน้างงๆ แต่ก็ดึงมือลง ผมแอบเห็นว่าอี้ชิงฮยองรีบตะครุบมือซนๆ นั่นไว้อีกด้วยคงกลัวเสี่ยวลู่เผลอยกไมค์ขึ้นมาสัมภาษณ์ใครอีก ทำไมเขาเด็กได้ขนาดนี้นะ เด็กแบบที่บางทีผมยังต้องนึกเอ็นดู
กิจกรรมเดินพรมแดงในอากาศอ้าวๆ หน่อย เสร็จลงแล้ว พวกเรากว่าจะเดินลงก็วุ่นวายกันเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าต้องเดินไปทางไหนต่อ (ผมเริ่มรู้สึกว่านี่มันชักเป็นเรื่องธรรมดาของพวกเรา 12 คนแล้วมั่ง) และตอนที่ผมกำลังก้าวลงจากเวที ก็รู้สึกถึงสัมผัสของใครบางคนมาจับที่ข้อศอก พอผมเหลือบไปดูก็เห็นว่าเป็นคนที่ยืนข้างๆ ผมเมื่อครู่นี้เอง
“ไม่สบายหรือเปล่า” เสี่ยวลู่ถามผม
ผมส่ายศีรษะกลับไป ผมคงแค่ร้อน และก็เหนื่อย ซึ่งพอเป็นแบบนี้ผมก็จะไม่ค่อยกระตือรือร้นสักเท่าไหร่อยู่แล้ว
“นึกว่าป่วยอีกเห็นซึมๆ” ลู่หานฮยองพูดเบาๆ แล้วเขาก็แตะที่หลังผม เขาเดินตามผมจนขึ้นไปบนรถคันเดียวกัน ผมแปลกใจนิดหน่อย แต่ไม่ได้ถามอะไร เพราะตอนนี้พวกเราก็กระจัดกระจายกันแล้วแต่ใครจะขึ้นรถคันไหน ฮยองเองเดินมากับผมแล้วก็คงเลยตามเลย
“นี่ถอดเสื้อตัวนอกออกซิ ร้อนไม่ใช่เหรอ” ฮยองกระตุกชายเสื้อของผมตอนที่ผมกำลังนั่งพิงหลังหลับตาอยู่
“.....”
“เหงื่อออกเต็มเลย ร้อนไม่ใช่เหรอ ถอดเสื้อออกก่อนก็ได้” ฮยองพูดไม่พูดเปล่า แถมยังดึงผมให้ลุกขึ้นจากการพิงเบาะ หน้าตาฮยองดูจริงจัง จนผมต้องเออออตาม ผมถอดเสื้อสูทขยับหูกระต่ายให้คลายออก โดยที่คนหน้ารักยังมองผมตาแป๋ว
“โอเคขึ้นไหม”
“ผมไม่ได้ป่วยไง”
“แต่นายดูไม่ค่อยดีเลย ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”
“ง่วง ร้อน ก็แค่นั้น” ผมม้วนเสื้อวางลงบนตัก แล้วฉีกยิ้มให้คนที่นั่งเป็นห่วงไปทีนึง
“แค่นั้นก็ดีแล้ว เดี๋ยวมีงานถ้านายป่วยจะเต้นไม่ไหว”
“ห่วงแค่นี้”
ลู่หานฮยองไม่พูดตอบอะไร เขาทำปากยื่นเหมือนลูกเป็ด แล้วก็พิงหลังลงไปกับเบาะ
“ตกลงนี่ห่วงผม หรือห่วงไม่มีเมนเต้น ผมเต้นไม่ไหวอี้ชิงฮยองก็ยังอยู่”
“ไร้สาระ ฉันห่วงนาย ก็เพราะนายเป็นน้อง ฉันห่วงน้องทุกคนนั่นแหละ” เสี่ยวลู่หันมาแลบลิ้นใส่และก็สะบัดหน้าหนี เขาลุกขึ้นไปโน้มตัวกับเบาะข้างหน้าแล้วก็กอดคอเซฮุนไว้
ผมอยากดึงเขากลับมาคุยให้รู้เรื่องแต่ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เวลาจะมาต่อความยาวให้วุ่นวาย แต่ในใจของผมมันก็อยากรู้จริงๆ ว่า ผมเป็นแค่น้องเหมือนคนอื่นๆ อย่างที่เขาพูดจริงหรือเปล่า…
แต่ผมคิดว่านะ เขากำลังโกหกผม ก็ดูที่หูเขาซิแดงขนาดนั้น เสี่ยวลู่น่ะโกหกผมไม่ได้หรอก
++++++++++++++++++++++++++++ By Your Side +++++++++++++++++++++++++++++
งานช่วงค่ำของวันนี้สนุกดี สนุกอย่างไม่น่าเหลือเชื่อเลยล่ะ!! แล้วพวกเรายังได้รางวัลนักร้องหน้าใหม่อีกด้วย โอเคความตื่นเต้นมันลดลงไปแล้ว และที่งานนี้ก็มอบรางวัลนี้ให้กับหลายวง แต่มันก็ยังเป็นกำลังใจให้กับเราได้ในอนาคตนะผมว่า ต่อไปเวลาที่เรามองเห็นรางวัลพวกนี้ เราจะได้นึกถึงวันแรกที่เราก้าวมาด้วยกัน
แล้วอีกอย่างวันนี้รุ่นพี่วงซุปเปอร์จูเนียร์ได้รับรางวัลแดซังอีกด้วย พวกเราดีใจกับพวกฮยองเขามาก โดยเฉพาะตอนที่คังอินฮยองรับหน้าที่กล่าวขอบคุณ มันประทับใจมากจริงๆ และพวกฮยองเขายังพูดถึงพวกเราด้วย มันยิ่งทำให้เรารู้สึกขอบคุณที่รุ่นพี่สนับสนุนเราดีขนาดนี้ แล้วต่อจากนั้นทางพิธีกรก็ให้พวกเรากล่าวขอบคุณแฟนๆ และรุ่นพี่ จุนมยอนฮยองรับหน้าที่นั้นไปตามปรกติ ส่วนผมก็ยืนมึน ๆ ตามประสาผมอยู่ โดยมีเซฮุนกำลังคุยเล่นอยู่กับจื่อเทา ส่วนอีกข้างของผม...
...ผมไม่รู้ว่าลู่หานฮยองมายืนตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เขามาพร้อมกับความวุ่นวายแบบลู่หานฮยองนั่นแหละ เขายุกยิกชวนผมดูนั่นดูนี้ แล้วอยู่ดีๆ เขาก็เริ่มวุ่นวายจับมือผมขึ้นมา ไม่พูดไม่จาก็เริ่มดึงแหวนชื่อวงออกจากนิ้วผม ผมเหลือบดูหน้าตามุ่งมั่นแบบเด็กๆ นั่นก็ขำ จะแกล้งทำนิ่งไม่ให้แหวนไป ก็กลัวตัวเองจะเจ็บผมเลยถอดให้เขาไป ฮยองทำสีหน้าดีใจมากตอนที่ได้แหวนนั้นไป นี่ชอบขนาดนั้นเลยหรือ ผมไม่แน่ใจว่าฮยองไม่เคยใส่แหวนวงนี้มาก่อน หรือแค่ซนป่วนตามปรกติถึงได้อยากได้ขนาดนี้
.
.
.
.
“ไม่เอาเต้นแบบนี้ซิ”
นั่นไงครับมาอีกแล้วหมดจากเรื่องแหวนก็มาเรื่องเต้น อยู่ดีๆ ฮยองก็มาจับมือผมที่เผลอเต้นโคโรกราฟที่เพิ่งฝึกมา แล้วสั่งให้ผมพลิกมือเต้นอีกท่า ผมพยายามนิ่งรักษามาด แต่ก็อดไม่ได้ในเมื่อฮยองยังซนจนผมต้องอมยิ้มและตีที่พุงไปที ฮยองหัวเราะคิกใหญ่เมื่อผมเล่นด้วย
“อ้าวไม่ได้เต้นแบบนี้เหรอ”
“ไม่ใช่สักหน่อย” ผมหัวเราะก่อนที่เหตุการณ์วุ่นวายจะทำให้เราต้องเลิกคุยกัน หากแต่ตลอดเวลาผมก็เห็นว่าฮยองยังคงสนใจกับแหวนที่เพิ่งเอาไปจากผมอยู่
.
.
.
.
.
.
“อย่าถอดนะ”
“ทำไมอะ จะเอาไปคืนนูน่า”
“ก็ผมให้พี่แล้ว พี่ห้ามถอด” ใช่แล้วล่ะครับตอนนี้เราอยู่หลังเวทีกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อจะกลับโรงแรม แล้วผมกำลังขู่คนที่ปล้นแหวนผมไปอยู่
“ของนายที่ไหนกันของโคดี้นูน่า”
“แต่มันเป็นแหวนที่นูน่าเขาเตรียมไว้ให้ผมใช้ มันก็ต้องเป็นของผมเหมือนแหวนสัญลักษณ์ของฮยองนั่นแหละ”
“แต่ไม่คืนนูน่าจะดุนายนะ”
ผมจับมือเล็ก ๆ นั่นขึ้นมา แล้วจับแหวนที่กำลังจะถูกดึงใส่เข้าไปใหม่ แล้วมันทำให้ผมเพิ่งเห็นว่าฮยองใส่แหวนนี้ที่นิ้วนางข้างซ้าย ซึ่งมันก็ทำให้ผมต้องหลุดหัวเราะออกมา
“นี่ฮยองหมั้นตัวเองเหรอ” ผมจับมือของเสี่ยวลู่ฮยองขึ้นมามอง ฮยองทำหน้างง ๆ ก่อนจะดึงมือนั้นออกจากมือผม
“ไม่ใช่สักหน่อยก็แค่บังเอิญใส่นิ้วนั้นนะ”
“เหรอออออ” ผมถอดเสียงถามยั่ว แล้วก็จับมือเล็กดึงกลับมา “แต่ตอนนี้ฮยองไม่ต้องหมั้นตัวเองแล้ว เมื่อกี้ผมเป็นคนใส่แหวนให้ฮยอง ก็ถือว่าผมหมั้นฮยองไว้แล้วกัน ฉะนั้นห้ามถอดแหวนหมั้นด้วยรู้ไหม แหวนหมั้นเท่จะตายเป็นชื่องวงด้วย”
“คิมจงอิน!!” ลู่หานฮยองตีผมย้ำๆ ที่แขน และก็พยายามจะดึงแหวนนั้นออก ผมก็ไวพอที่จับมือนั้นไว้ได้
“ถ้าฮยองถอด ผมจะลงโทษฮยองแน่ๆ ฮยองเป็นคนอยากได้เองนะ จะมาถอดทิ้งถอดขว้างของคนอื่นไม่ได้”
เสี่ยวลู่ฮยองจ้องผมตาค้างเลยล่ะ แล้วผมก็แกล้งทำหน้านิ่งใส่อีกด้วย
“แต่...นูน่าจะว่าเอา” ฮยองทำเสียงอ่อย
“เดี๋ยวผมบอกนูน่าเองว่าผมให้ฮยองไปแล้ว มันมีอีกตั้งหลายอัน แต่อันนี้ผมให้ฮยอง” เสี่ยวลู่ฮยองมองตาผมปริบๆ เขายกนิ้วขึ้นมาขยับแหวน แล้วแก้มก็ค่อย ๆ ขึ้นสีแดงเป็นริ้วจนถึงใบหู
“อือหือ” ฮยองขานรับในลำคอก่อนจะซุกมือข้างนั้นกับกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต ผมอยากจะคว้าแขนนั้นไว้ แล้วบอกว่าถึงผมจะทำเหมือนแกล้ง หรือล้อเล่น แต่ผมก็จริงจังนะ ผมอยากให้ฮยองเก็บแหวนนี้เอาไว้ เพราะมันเป็นความทรงจำของผม เวลาเห็นจะได้นึกถึงตอนที่ฮยองทำตัวน่ารักเพื่อจะได้แหวนนั้นมา แต่ผมก็ไม่ได้พูดมันออกไป ตอนนี้เสี่ยวลู่ฮยองเดินหันหลังไปแล้ว แต่ผมก็เห็นว่าเขายังคงซุกมืออยู่ในเสื้อแจ็คเก็ตตัวโคร่ง
ผมยิ้มตามร่างเล็กๆ นั่น .... เอาเป็นว่าวันนี้ถึงผมจะให้ได้แค่แหวนจากนูน่าโคดี้ ... แต่เมื่อถึงเวลาผมจะหาแหวนที่ดีกว่านั้นให้นะเสี่ยวลู่ฮยอง...
แต่ตอนจะรับแหวนวงใหม่จากผม ผมก็หวังว่าจะได้เห็นฮยองทำอะไรน่ารักๆ อีกนะครับ
+++++++++++++++++++++++++ TBC +++++++++++++++++++++++++++
จริง ๆ อยากต่อยาวไปจนทริปฟิลิปปินส์แต่มันจะยาวไปขอพักสมองหน่อยนะคะ หัวตื้อๆ รวมกับตามดูเด็กๆ ไปแข่งกีฬาหมดเวลาไปเกือบสองวัน 555 ตอนหน้าค่อยมาต่อโมเมนท์ที่ปินส์ที่น่ารักไม่แพ้กันเลยล่ะ
ส่วนที่่น้อง ideary ของ FB หรือ Twitter ต้องออกตัวก่อนว่า Twitter มักไม่ค่อยโพสหรืออ่านนะคะ ส่วน FB ต้องขอเก็บไว้เป็นการส่วนตัวนิดนึงเพราะอันนั้นพี่โพสกระจุยทุกสิ่งอันในชีวิต ฉะนั้นจะกดรับเพื่อนคงต้องคบหากันนิดนึงก่อนถึงจะกล้ากดรับคือกดรับไปแล้วจะเบื่อความเวิ่นของปุ้มเองเสียเปล่าๆ แต่ทีนี้ปุ้มเลยคิดวิธีมาได้ว่าเปิดเพจดีกว่าเน้อจะได้สะดวกกัน
ฉะนั้นแฟนฟิคท่านใดอยากมีที่พูดคุยกับปุ้มได้พบปะสังสรรค์กันตามประสาคนรักไคลู่ ก็ไปคุยกันที่นี่ได้ค่ะ
https://www.facebook.com/AngelMidoriFiction
ความคิดเห็น