ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] FICTION ROOM [CHANBAEK,KRISLAY,KAILU]

    ลำดับตอนที่ #20 : [KrisLay] The Moon and The Sun [Part 4]

    • อัปเดตล่าสุด 14 ม.ค. 56


    he Moon and The Sun [Part 4] 
    Author: Angel Midori
    Genre: Romantic Drama
    Rating: PG-13
    Pairing: Krislay feat. KaiLu Chanbaek


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    หลังเสียงประตูหน้าห้องปิด ร่างขาวที่แอบซ่อนตัวในห้องน้ำก็ค่อยๆ ปลดล็อกประตูห้องน้ำออกมา จางอี้ชิงรู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของเพื่อนสนิทรูมเมทมากว่าอยู่ดีๆ ลู่หานผลุนผลันออกไปทำไมทั้งๆ ตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว อี้ชิงพาตัวเองออกมาจากห้องน้ำ และเดินออกไปชะโงกมองที่ระเบียงห้อง

     

     

     

    จากระเบียงชั้น 5 จางอี้ชิงมองเห็นเหตุการณ์ข้างล่างถึงไม่ชัดมากแต่ก็รับรู้ได้ว่าบุคคลที่ลู่หานวิ่งไปหาเป็นใคร อู๋อี้ฟ่านยังยืนพิงอยู่ที่รถ ในที่เดิมกับที่มาส่งเขา ทั้งคู่คุยกันเพียงเล็กน้อย แล้วลู่หานก็ขึ้นรถไปกับอี้ฟ่าน มือขาวเกร็งแน่นตอนเห็นภาพนั้น เขาไม่ได้หึงหวงหากแต่มันรู้สึกบีบรัดในอก เขาเป็นคนผลักไสอดีตคนรักเอง แล้วหากเวลาที่อี้ฟ่านอยากหาใครสักคนเป็นที่พึ่งมันก็ไม่ควรจะเป็นเขาอยู่แล้ว จางอี้ชิงนึกตำหนิตัวเองซ้ำๆ ว่าให้เลิกน้อยอกน้อยใจ หากพวกเขาจะมีเรื่องปิดบังอี้ชิง เพราะเขามันเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด

      

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น ลู่หานเอ่ยถามแทรกความเงียบขึ้นมา และมันก็ทำให้มือที่คนกาแฟอยู่ของคริสชะงักลง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจากความเงียบที่ตัวเองสร้างมานับสิบนาที เขามองใบหน้าของเพื่อนคนหน้ารักที่ทำหน้าหงิกเหมือนจะเบื่อที่ต้องอยู่ในสถานการณ์นี้เต็มทีแล้ว

     

     

    วันนี้ฉันหลอกอี้ชิงให้ไปที่ห้อง บอกว่ามีธุระ พอเขาไปถึงฉันก็พยายามที่จะคืนดีกับเขา แต่เขาก็ไม่ฟัง เสียงของคริสเงียบลงไป และมีท่าทีอึดอัด เจ้าตัวยกอเมริกาโน่ขึ้นมาจิบก่อนจะเบนสายตาออกไปมองนอกร้านที่ตอนนี้บนถนนมีแต่แสงไฟสีส้มที่สะท้อนลงบนพื้นถนน

     

      

    ฉันใช้กำลังบังคับเขา เรามีอะไรกัน แต่เขาเองก็สมยอมกับมัน ฉันไม่ได้พูดเพื่อจะโทษอี้ชิง หรือเข้าข้างตัวเอง แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ฉันคิดว่าเราน่าจะคุยกันรู้เรื่องหลังจากนั้นแต่เปล่า อี้ชิงตัดรอนฉันยิ่งกว่าเดิม เขาไม่โวยวายไม่โกรธ แต่ปฏิเสธฉัน เสียงทุ้มที่สั่นเครือเงียบไปอีกครั้ง เขาหันมาสบดวงตากลมโตที่จ้องเขาอยู่อย่างตั้งใจ ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปบีบมือของลู่หานที่วางไว้บนโต๊ะ ฉันไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ลู่ เขาใจแข็งเหลือเกิน แต่ฉันก็ไม่อยากให้มันจบลงแค่นี้

     

     

    อืม ลู่หานแตะที่หลังมือใหญ่และลูบมันเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ

     

    เรื่องที่นายมีอะไรกับอี้ชิงฉันก็พอเข้าใจนะ มันก็คงเหมือนเรื่องที่เขาบอกว่าสามีภรรยาทะเลาะกันมักจบลงที่เตียง เพราะพวกนายเคยรักกัน อารมณ์แบบนี้มันก็เหมือนไฟจุดติดได้ง่าย เพียงแค่มันไม่ได้จบสวยอย่างที่คนอื่นพูดกัน แล้วอี้ชิงเองเขาใจแข็งเขามีเหตุผลของเขา ซึ่งเหตุผลของเขามันจริง

     

      

    อี้ฟ่านดึงมือตัวเองออกมา แล้วเขาก็พิงหลังลงไปกับเบาะราวกับคนหมดแรง แต่ฉันบอกกับอี้ชิงแล้วว่าฉันยอมทุกอย่าง และฉันก็ยอมทุกอย่างจริงๆ ถ้าจะทำให้เรากลับมาคืนดีกันได้ ฉันจะไม่ห้ามเขาเรื่องเป็นนักร้องอีกแล้ว เพราะอี้ชิงเองก็มาไกลแล้ว

      

    มันไม่ใช่แค่นั้นสักหน่อย อี้ชิงเขาก็เคยบอกนายว่าเขากลัวว่าถ้ามีคนรู้เรื่องพวกนาย แล้วทั้งอี้ชิง ทั้งตัวนายเองจะลำบาก

       

    อู๋อี้ฟ่านถอนหายใจเฮือกใหญ่เขาเงยหน้าขึ้นพิงกับเบาะ และสางผมแรงๆ คนที่นั่งตรงข้ามมองภาพของเพื่อนสนิท ผู้ชายที่เคยหล่อเนี๊ยบด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจแทน คริสอู๋ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ตอนที่เลิกกันใหม่ๆ ก็เห็นว่าแค่ซึมเศร้า แต่นี่ดูเหมือนคนตรงหน้าใกล้จะเสียสติ พร้อมจะระเบิดตลอดเวลา

      

    ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่เลิกกันเลยดีไหม ตัดใจเลิกให้ได้ จะได้ไม่ต้องมาทุกข์ใจ ทั้งนายและอี้ชิง

      

    ถ้าทำได้ฉันทำไปแล้ว เสี่ยวลู่นายเคยได้ยินไหมที่เขาบอกว่าผู้หญิงเวลาเลิกกันเขาจะเสียใจมาก แต่พอเวลาผ่านไปก็จะดีขึ้น แต่ตรงข้ามกับผู้ชาย ตอนเลิกกันใหม่ๆ เราคิดว่าเราสบายดี แต่ยิ่งนานวันยิ่งเจ็บปวด เหมือนกับว่าเราทำอะไรไม่ได้เลยถ้าไม่มีเขา ฉันคิดเองว่าอี้ชิงก็ต้องรู้สึก หลายครั้งเขาแสดงออกให้ฉันรู้สึก แล้วฉันไม่อยากเลิกกับอี้ชิง ฉันรักเขามาก และก็ไม่อยากสูญเสียอี้ชิงไป ฉันไม่อยากให้เราสองคนเลิกกันเพียงเพราะปัจจัยอะไรต่อมิอะไรมากำหนด แต่ไม่ใช่ที่ความรักของเรา

      

    ลู่หานถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ผ่านริมฝีปากเล็กว่าจะพยายามช่วยแล้วกัน

     

      

    ทั้งคู่นั่งจมอยู่ในความเงียบของร้านกาแฟที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงหากตอนนี้มีเพียงโต๊ะของพวกเขาโต๊ะเดียว ไร้คำพูดใด ๆ ที่จะเอ่ย มีเพียงแต่ความรู้สึกเจ็บปวดและโหยหาที่อี้ฟ่านปล่อยให้มันล่องลอยออกมาในบรรยากาศจนคนตรงข้ามรู้สึกได้

      

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     แสงไฟในห้องมืดลงแล้ว มีเพียงแสงไฟจากภายนอกที่ส่องผ่านหน้าต่างมาพอให้ลู่หานคลำทางเดินได้ เด็กหนุ่มมองไปยังเตียงสองชั้นด้านล่าง ร่างขาวที่แม้จะอยู่ในความมืดก็ยังเห็นได้นอนหลับตาพริ้มอยู่ ลู่หานเลยเดินไปหยิบเสื้อผ้าเพื่อจะเปลี่ยนเป็นชุดนอนในห้องน้ำ

      

    ฉันทำให้นายตื่นหรือเปล่า ลู่หานถามหลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วเห็นอี้ชิงพลิกตัวมามอง คนตัวบางบนเตียงเอ่ยปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ละสายตาออกจากลู่หานแม้แต่ตอนที่คนน่ารักปีนบันไดขึ้นไปบนเตียงของตัวเองแล้ว

      

    เอออี้ชิงฉันซื้อขนมมาฝากนายด้วยนะ วางเอาไว้บนโต๊ะ ลู่หานบอกออกมาตอนที่เขานอนลงบนเตียงแล้ว และจับลูกฟุตบอลเนื้อนิ่มอันโตมาขย้ำเล่นเช่นทุกคืน

      

    เสี่ยวลู่ไปไหนมา

      

    ออกไปหาอะไรกินกับ....เพื่อน ลู่หานทิ้งคำว่าเพื่อนเอาไว้แบบนั้น โดยที่อี้ชิงหวังว่าลู่หานจะบอกเขาว่าไปกับคริสอู๋ แต่ร่างบางที่นอนอยู่ด้านบนกลับไม่เอ่ยอะไรอีก อี้ชิงอยากตีตัวเองนักที่ยังมัวแต่จะอยากรู้ว่าลู่หานออกไปไหนกับคริส หรือคริสพูดอะไรกับลู่หานบ้าง

      

    อี้ชิงนอนหรือยัง อยู่ดีๆ เสียงของลู่หานก็ถามขึ้นมา และมันทำให้อี้ชิงต้องเอ่ยรับตะกุกตะกักด้วยความตกใจ

      

    เออ...ยัง มีอะไร

      

    อี้ชิง นายรู้ใช่ไหมว่าฉันแอบชอบจงอินอยู่ เสียงของลู่หานเงียบไปเหมือนรอให้อีกฝ่ายตอบ อี้ชิงครางในลำคอเพื่อบอกว่าเขารู้ อี้ชิงรู้เหมือนกับที่ทุกคนน่าจะมองออก แม้กระทั่งตัวจงอินเอง อี้ชิงจึงไม่มั่นใจเลยว่านั่นเป็นแค่การแอบชอบของลู่หานจริงๆ หรือ เพราะอีกฝ่ายเองก็ดูรู้ตัว

      

    เมื่อก่อนนี้ตอนเป็นเทรนนี ตอนที่ฉันกับจงอินยังไม่สนิทกัน เด็กนั่นอยู่ในกลุ่มป๊อบของเทรนนี จงอินน่ะยังไงก็ได้เดบิวต์แน่ๆ และเขาก็สนิทกับพวกรุ่นพี่ที่เดบิวต์แล้วหลายคน ส่วนฉันเป็นแค่เด็กเทรนนีใหม่จากจีน ฉันได้แค่มองเขา มองเหมือนอะไรดีนะ...อืมเหมือนดอกทานตะวันกับพระอาทิตย์ ตอนนั้นอ่ะนะแค่ได้มองก็ดีแล้ว แต่พอได้มารู้จักกันมากขึ้น ได้เป็นรุ่นพี่ที่มหาลัย  ฉันก็รู้สึกว่าดีจังฉันได้เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทสนมกับเขาได้คุยกับเขาแล้ว แต่ไม่เคยคิดว่าฉันจะได้มีโอกาสเดบิวต์กับจงอิน การที่เราได้อยู่ทีมเดียวกัน ทำให้ฉันได้เจอจงอินทุกวัน คิดเอาเองว่าความสำคัญของฉันต่อจงอินคงมีมากขึ้น และความต้องการของฉันเองก็มากขึ้นไปอีก ไม่ใช่แค่ขอให้ได้เห็น ได้รู้จัก ได้คุย ได้เป็นเพื่อนกันแล้ว ตอนนี้ฉันอยากได้ความรักจากเขา อยากได้ความรักจากจงอินกลับคืนบ้าง การที่ทุกวันได้แต่รอว่าเมื่อไหร่จะได้ความรักกลับคืนมันเป็นความหวังที่ปนด้วยความทุกข์นะ ฉันอิจฉาคนที่ได้รับความรักตอบกลับ ได้พูดได้ว่านี่เป็นคนรักของฉัน คนพวกนั้นโชคดี ที่ความรักของเขาได้รับการดูแล และตอบกลับด้วยความรู้สึกที่ตรงกัน

      

    อี้ชิงฟังเรื่องราวจากปากของลู่หานด้วยความเงียบ ตั้งแต่คบกันมาหลายปีลู่หานไม่เคยพูดออกมาตรงๆ แบบนี้มาก่อน หากแต่อี้ชิงมาสะดุดที่ประโยคสุดท้ายของลู่หาน

     

     การที่มีคนรัก และได้ความรักกลับคืน ได้ครอบครองความรู้สึกนั้นด้วยกัน เวลาเหนื่อยก็มีคนให้คิดถึง เวลาท้อก็มีคนให้เราปรึกษาจะดีร้ายก็ยังมีคน ๆ นั้น ฉันนะ เวลาเหนื่อย ท้อ บางทีก็อยากโทรหาใครสักคน อย่างน้อยแค่ฟังฉันร้องไห้ก็ยังดี ต่อให้เขาปลอบเรา บ่นเรา แต่ก็ยังมีคนๆ นั้น เมื่อก่อนนายยังมีคริส แต่ฉันไม่มี ฉันเคยนึกอิจฉานายนะ ฉันเจ็บฉันยังต้องสู้ด้วยตัวเองเลย ไม่รู้จะไปบอกใคร บางทีนายอาจจะอึดอัดเวลาที่เขาบ่นนาย ดุนาย แต่อี้ชิง เวลาตอนที่เหนื่อย และท้อมากๆ เดินออกมาแล้วไม่รู้ว่าจะพูดมันกับใคร โลกทั้งโลกเหมือนตัวคนเดียว ต้องสู้คนเดียว มันเศร้า และเหนื่อยมากนะ

     

     

    แต่นายมีฉันนะเสี่ยวลู่

     

     

    คนบนเตียงด้านบนหัวเราะเบาๆ อืม ใช่ตอนนี้ฉันมีนาย แต่อี้ชิงก็ต้องรู้สึกว่ามันไม่เหมือนกันกับเวลาที่เรามีคนรัก เราคงอยากได้การปลอบใจที่อ่อนโยนกว่านี้ ซึ่งเพื่อนคงให้เราไม่ได้

     

      

    เสียงของอี้ชิงเงียบไปหากแต่เขาไม่ได้หลับ เด็กหนุ่มตัวขาวกำลังนึกตามสิ่งที่ลู่หานพูด ใช่เมื่อก่อนเวลาที่ซ้อมเหนื่อยหนัก เต้นหรือร้องเท่าไหร่ก็ไม่ผ่าน เรียนก็หนัก ซ้อมก็หนัก แต่เขาก็ยังมีคนคอยดูแล รับส่ง ช่วยเรื่องงานเรื่องเรียน หากแต่ลู่หานไม่มีใครที่คอยดูแลขนาดนั้น เขาเองก็ใช้เวลาส่วนตัวกับตัวเองกับคนรักมากกว่า ลู่หานเก่งมากที่ดูแลตัวเองมาได้แบบนี้  

      

     นอนเหอะ ฉันพล่ามอะไรก็ไม่รู้เหมือนคนเมา ทั้งๆ ที่กินแต่ชานมแท้ๆ

      

     

    อืม อี้ชิงขานรับในลำคอ หากแต่ข่มตาลงไม่ได้ ในหัวของเด็กหนุ่มยังคงวนเวียนคิดเรื่องของเขากับอี้ฟ่านอยู่ซ้ำไปซ้ำมา ภาพของอดีตชายคนรักที่ขอร้องเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนน่าสงสาร หรือแม้แต่ความรู้สึกปั่นปวนในอกจนเกิดคำถามขึ้นมาว่าที่เขาตัดสินใจลงไป จริงๆ มันถูกแล้วหรือ

     +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     จางอี้ชิงกำลังรู้สึกโกรธตัวเอง ที่เผลอให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลอีกแล้ว ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่หน้าคณะบริหาร ทั้งๆ ที่เขาควรจะนั่งรถต่อเข้าไปยังคณะศิลปกรรม แต่เพียงแค่นึกว่าอยากจะทานอาหารเช้าอร่อยๆ หรือลึก ๆ อยากรู้ว่าอู๋อี้ฟ่านจะนั่งอยู่ที่เดิมไหม ขามันก็พาเขาก้าวลงมาจากรถเสียแล้ว

      

    และตอนนี้จะทำอย่างไรล่ะ ลู่หานก็ไม่อยู่ เพื่อนคนน่ารักไปฟิตเนตกับคิมจงอินตั้งแต่เช้ามืด เขาเองก็ไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอเพื่อน ตอนนี้เลยต้องมายืนคว้างอยู่คนเดียว เท้าเล็กพาเจ้าตัวเดินเลาะทางเท้าจนเลยหน้าคณะบริหารไปยังบริเวณข้างตึก ร้านกาแฟเล็ก ๆ สีขาว ตั้งอยู่เบื้องหน้า

      

     

    ลู่หานเคยบอกอี้ชิงว่าคริสตั้งใจมานั่งตรงนั้นเพื่อมาเจอเขา จางอี้ชิงไม่อยากคิดตามนั้น มันดูเหมือนเข้าข้างตัวเอง แต่อี้ชิงเองก็เลือกที่จะพยายามไม่มาที่นี่บ่อยๆ ทั้งๆ ที่เขาชอบร้านนี้มาก หากแต่วันนี้เขากลับมาที่นี่ทั้งๆ ที่เมื่อวานเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ทั้งๆ ที่พยายามบอกให้อู๋ฟ่านตัดใจ บอกตัวเองให้ตัดใจ แต่อารมณ์ที่ตกตะกอนจากความคิดเมื่อคืนมันทำให้เขาอยากเห็นหน้าอดีตคนรัก อยากรู้ว่าวันนี้อู๋อี้ฟ่านยังจะมาที่เดิมไหม แล้วเขาดีขึ้นจากเมื่อวานหรือเปล่า เมื่อวานตอนก่อนจากกัน สภาพของร่างสูงดูไม่ดีเอาเสียเลย ปรกติคนอย่างอี้ฟ่านไม่เคยทำตัวเองให้ดูไม่ดี หรือหมดสภาพขนาดนั้น แต่จางอี้ชิงเป็นเหตุผลทั้งหมดของอาการแบบนั้นของอู๋อี้ฟ่าน

      

     

    ฝีเท้าของร่างขาวจัดหยุดลงตรงหน้าร้าน ร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมคาย เรือนผมสีสว่างนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะตัวเดิม เขาไม่เห็นแววตาของอี้ฟ่านเพราะเจ้าตัวใส่แว่นกรอบดำ และก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ แค่เห็นร่างของคนที่เคยครอบครองเขา คนที่เขาเคยสามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นเจ้าของ หัวใจก็เต้นหนักจนลมหายใจสะดุด อี้ชิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น จนเมื่อร่างสูงใหญ่เงยหน้าขึ้นมาและหันออกมามองทางหน้าร้าน ดวงตาของทั้งคู่ก็สบกัน จางอี้ชิงรีบหันหน้าหนี และสาวเท้าเร็ว ๆ เพื่อพาตัวเองออกจากตรงนั้น หากแต่มันก็ไม่เร็วพอต่อพันธนาการที่กำลังจับเขาไว้ที่ข้อมือตอนนี้

     

     

    ถ้าจะมาซื้ออะไรก็ซื้อเหอะ แต่ถ้าอี้ชิงไม่อยากเห็นหน้าฉันๆ จะไปเอง อู๋อี้ฟ่านกล่าวเสียงเข้ม พอ ๆ กับแรงบีบที่ข้อมือ จางอี้ชิงหันขวับ เขารู้สึกได้ถึงคำพูดเชิงน้อยอกน้อยใจนั่น

      

    “ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น”

      

    “แต่พอเห็นฉันก็เดินหนีมา”

      

    อี้ชิงเลือกจะไม่ต่อความยาว ร่างเล็กกว่าก้มหน้าเงียบ และปล่อยให้อี้ฟ่านปล่อยมือออกจากข้อมือของเขา ร่างสูงใหญ่หันหลังกลับไปยังทางที่เขาวิ่งมา อี้ชิงยืนมองก่อนจะตัดสินใจเดินตามไปจับแขนของอู๋อี้ฟ่าน

     

     “ขอโทษ ฉันแค่ตกใจเลยเผลอเดินหนี แต่ไม่ได้คิดจะหลบหน้านายจริงๆ”

     

     

    พอพูดจบอี้ชิงก็ปล่อยมือแล้วเดินนำร่างสูงผมทองเข้าไปในร้าน คนตัวเล็กเดินไปสั่งอาหารที่เคาท์เตอร์ โดยคริสที่เดินตามมากลับไปนั่งที่ประจำของตัวเอง อี้ฟ่านนั่งมองตามร่างขาวนั้น จางอี้ชิงสวมหมวกไหมพรมสีน้ำเงิน กับแจ็คเก็ตลูกฟูกสีดำสลับม่วง ผิวขาวดูขาวจัดเมื่ออยู่กับเสื้อผ้าพวกนั้น ใบหน้าน่ารักครุ่นคิดเมื่อตอนกำลังตัดสินใจเลือกเครื่องดื่ม แล้วอี้ชิงก็หัวเราะเบาๆ ตอนที่นูน่าเจ้าของร้านเอ่ยทัก รักยิ้มยิ่งกดลึกเท่าไหร่ ความเจ็บในหัวใจของอู๋อี้ฟ่านยิ่งกดลึกเท่านั้น คนที่เขาแสนรักตรงหน้าจะไม่ใช่คนรักของเขาอีกต่อไปแล้วจริงๆ หรือ

     

      

    พออี้ชิงได้มัฟฟิน กับชาเอิร์ลเกรย์ตามที่สั่งแล้ว คนตัวเล็กก็ยืนคว้างอยู่กลางร้าน ที่นั่งใกล้ๆ นั้นเต็มหมดแล้ว จะมีอีกโต๊ะที่ว่างก็อยู่ในมุมเหลือบเกือบด้านหลัง อี้ชิงหันไปมองอี้ฟ่านก็เห็นร่างสูงมองเขาอยู่ ถ้าเกิดเขาตัดสินใจไปนั่งตรงโต๊ะที่ว่าง อี้ฟ่านอาจคิดว่าเขารังเกียจ และอาจรู้สึกไม่ดีกับเขา จางอี้ชิงถอนหายใจเบาๆ ก่อนตัดสินใจก้าวเท้าเดินไปยังโต๊ะของร่างสูง

      

    “ขอนั่งหน่อยแล้วกันนะนายคงไม่ว่าอะไร”

     

     อี้ฟ่านทำหน้าประหลาดใจเพียงเล็กน้อย หากแต่แววตาที่หมองอยู่กลับส่องประกายด้วยความดีใจ เขาพยักหน้า และแสร้งก้มหน้าจิบกาแฟ เพื่อให้อี้ชิงไม่รู้สึกอึดอัด

     

     ระหว่างที่ทั้งคู่ต่างนั่งเงียบให้ความสนใจกับอาหาร และกิจกรรมของตัวเอง อี้ฟ่านก็เงยหน้าขึ้นมาลอบมองคนตรงข้าม ตอนนี้จางอิ้ชิงกำลังนั่งดูคลิปซ้อมเต้นในแท็บเลตโดยที่ใส่หูฟังอยู่

     

      

    “เต้นได้แล้วเหรอ?” อี้ฟ่านเคาะนิ้วไปบนขอบจอนั่น อี้ชิงถอดหูฟังออกแล้วก็ทำหน้าสงสัยอย่างน่ารักเพราะตัวเองไม่ได้ยินคำถาม

     

      

    “ฉันถามว่าอี้ชิงเต้นได้แล้วเหรอ”

      

     

    “อ๋อ นี่ของเก่า แต่ตอนนี้ก็เต้นได้บ้างแล้ว หมอบอกว่าถ้าไปตรวจคราวหน้าอาการยังดีขึ้นก็กลับมาซ้อมได้ปรกติแล้ว”

     

     “อือม”

     

     

     และเมื่ออี้ชิงตอบเสร็จเจ้าตัวก็จะหยิบหูฟังใส่อีกครั้ง แต่มือหนากลับจับมือเรียวสวยนั้นไว้ “เรื่องเมื่อวานฉันขอโทษ”

     

     

    จางอี้ชิงทำหน้างงในคำพูดนั้น อี้ฟ่านจึงคิดว่าอี้ชิงคงไม่เข้าใจว่าเขาขอโทษเรื่องอะไร

      

     

    “เรื่องนั้น เรื่องที่ฉัน..เออ”

     

     

    แก้มขาวขึ้นสีจางๆ ก่อนจะรีบส่ายศีรษะตอบ “ไม่ต้องขอโทษหรอก เพราะถ้านายผิดฉันก็ต้องผิดด้วย”

     

      

    “แต่ฉันก็อยากขอโทษ ฉันไม่อยากให้อี้ชิงคิดว่า ฉันตั้งใจที่จะหลอกอี้ชิงไปเพราะเรื่องนั้น ฉันยอมรับว่าทำมันไปเพราะอารมณ์ แต่ฉันไม่ได้อยากเอาเรื่องพวกนั้นมาผูกมัด หรือทำร้าย ฉันยอมรับว่าฉันหลอกอี้ชิง แต่ที่ทำแบบนั้นเพราะคิดว่าเราจะได้คุยกันอย่างจริงจังเสียที เพราะอี้ชิงหลบหน้าฉันมาตลอด”

      

     

    จางอี้ชิงกัดริมฝีปากจนเป็นเส้น คนตัวเล็กพยักหน้าเบาๆ และกระซิบผ่านริมฝีปากเบาๆ ว่าไม่เป็นไร และเข้าใจทุกอย่าง

     

      

    “อี้ชิง”

     

      

    “หือม”

     

      

    “เธอยังจำกระปุกเงินหมีตัวใหญ่ที่เราซื้อมาด้วยกันได้ไหม เมื่อคืนฉันเข้าไปในห้องเธอแล้วเห็นมันวางอยู่ในตู้”

     

     

     “อืมจำได้ซิ ขอโทษที่ไม่ได้บอกคริสไว้ว่าฉันเอามันไว้ที่ไหน”

     

      

    อี้ฟ่าน.... ขอร้องล่ะ เรียกฉันว่าอี้ฟ่านเหมือนเดิม ถ้าจะให้อะไรฉันไม่ได้อีกแล้วถือว่าฉันขอแค่เรื่องนี้ อย่าเรียกฉันคริสเหมือนคนอื่น” น้ำเสียงนั้นทอดอ่อนจนน่าสงสาร อี้ชิงจึงพยักหน้ารับ

     

      

    “อี้ฟ่าน ฉันจะเรียกอี้ฟ่านเหมือนเดิม” ร่างสูงยิ้มกว้างกับคำตอบรับนั้น วันนี้จางอี้ชิงดูไม่ดื้อ และรับฟังเขาจนน่าแปลกใจ ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเขาคิดมากหัวแทบแตกว่าอี้ชิงอาจไม่มองหน้าเขาแล้ว

     

      

    “เรื่องกระปุกหมีนั่นที่ฉันจะบอกคือ ยังจำได้ใช่ไหมที่เราตกลงกันว่าเราจะช่วยกันหยอดเงินใส่มันไว้ทุกวัน เพื่อจะแบคแพคไปอิตาลีด้วยกัน พอเมื่อวานฉันได้เห็นมันก็นึกเสียดายที่ความตั้งใจของเราไม่สำเร็จ”

     

     

     

    “อือมม น่าเสียดาย” อี้ชิงพูดขึ้นมาเบาๆ เจ้าตัวหลบแววตาแข็งกล้าที่มองมา ภายในหัวใจเจ็บแปลบเมื่อคิดว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาเคยอยากทำกับคนตรงหน้า มีหลายอย่างที่มีความฝันร่วมกันแต่ก็ไม่ได้ทำ

     

      

    กระปุกหมีตัวนั้นพวกเขาเจอตอนไปเดินเล่นกันตั้งแต่เป็นรูมเมทกันไม่นาน พอซื้อมาแล้วก็เลยคิดร่วมกันว่าน่าจะตั้งเป้าหมายในการเก็บเงินร่วมกันเพื่อทำอะไรสักอย่าง อี้ชิงกับอี้ฟ่านเองมีความฝันคล้ายกันคืออยากไปเที่ยวอิตาลีสักครั้งหลังจากที่ทั้งคู่ดูสารคดีด้วยกันไปอาทิตย์ก่อนหน้านั้น ทั้งคู่เลยตกลงร่วมกันที่จะเก็บเงินหยอดใส่มันทุกวันมากบ้างน้อยบ้าง เพื่อที่จะได้ไปท่องเที่ยวตามความฝันด้วยกัน

     

     

    “ฉันเห็นมันแล้วก็ไม่รู้จะทำยังไงกับมัน ฉันลองเปิดดูเราเก็บได้เยอะแล้วเหมือนกันนะไม่น่าเชื่อ น่าเสียดายจริงๆ ”

     

     

     

    อี้ชิงเงยหน้ามองเมื่ออี้ฟ่านหยุดประโยคนั้น เขาไม่ติดใจเรื่องเงินทองนัก ถึงมันจะเป็นเงินที่มากสำหรับคนฐานะอย่างเขา แต่ถ้าอี้ฟ่านลำบากใจ อี้ชิงก็คิดว่าน่าจะนำเงินพวกนั้นไปบริจาค หากแต่ยังไม่ทันที่อี้ชิงจะพูดอะไร คนตัวสูงกว่าก็ยื่นขอเสนอมาเสียก่อน

     

     

    เราไปอิตาลีด้วยกันไหม ไปทำความฝันของเราให้เป็นจริง อย่างน้อยความตั้งใจของเราก็ไม่ได้เสียเปล่าไป

     

      

    อี้ชิงกระพริบตาปริบๆ กับคำชวนนั้นเขาไม่คิดว่าอี้ฟ่านจะมาชวนกันแบบนี้

     

     อีกอย่างที่คาใจฉันนะอี้ชิง เรายังไม่ได้เคยอธิบาย หรือคุยกันจริงจังถึงเหตุผลที่ทำให้เราเลิกกัน วันนั้นที่เธอพูดมาฉันรับฟังและเข้าใจ แต่ฉันก็ยังไม่ได้อธิบายทุกอย่างที่ฉันคิดให้เธอฟัง พูดตรงๆ เลยคือฉันมั่นใจว่าเธอคงทำไปด้วยอารมณ์ และอีกไม่นานเราจะกลับมาดีกัน แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะว่ามันไม่ใช่ ฉะนั้นฉันอยากได้โอกาสที่จะอธิบาย หรือเราได้คุยกันเรื่องนี้กันอย่างเปิดอก โดยไม่ใช้อารมณ์กัน บางทีเราอาจมองหน้ากันติดได้มากกว่านี้ ถือเสียว่าการไปอิตาลีคราวนี้เป็นทริปอำลาจริง ๆ จัง ๆ ก็แล้วกัน อี้ฟ่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่ง เขาจ้องแววตาของอี้ชิงที่ไหวระริกเหมือนกำลังตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ เขากำลังเดิมพันความรักของเขากับอี้ชิงไว้ด้วยคำตอบรับของคนตรงหน้า เพราะถ้าหากได้มีโอกาสไปอิตาลีด้วยกัน ได้คุยกันจริงๆ จังๆ แล้วยังตกลงกันไม่ได้ บางทีถ้าจะต้องเลิกกันจริงๆ เขาคงได้ตัดใจเสียที

     

     ถ้ายังคิดไม่ได้ฉันไม่ได้เร่งรัดอะไรนะ แค่คิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดี อีกอย่างปลายเดือนมีวันหยุดยาวพอที่เราจะไปไหนไกลๆ ได้ อย่างน้อยสำหรับฉันการที่ได้ไปอิตาลีกับเธอมันคือแพลนที่เราวางร่วมกันไว้ตั้งแต่ยังเป็นเพื่อนกัน ฉันก็อยากทำมันให้สำเร็จ แต่ถ้าอี้ชิงยังขอเวลาคิดก็ได้ ฉันจะรอคำตอบ 

     

     

    อี้ฟ่านเอ่ยแล้วก็รวบหนังสือที่วางไว้บนโต๊ะ เขาลุกขึ้นและเดินออกจากโต๊ะ อ้อมด้านหลังของอี้ชิงไป ร่างขาวที่กำลังคิดหาคำตอบจนทุกคำตอบตีกันวุ่นวายในหัวรีบหันไปคว้าข้อมือแกร่งไว้ อี้ชิงไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงทำเช่นนั้น แต่บางอย่างที่น่าจะเรียกได้ว่าสัญชาตญาณมันบอกเขาว่าต้องทำ

     

      

    "อี้ฟ่าน...ฉันตกลง"

     ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    เหมือนตอนนี้จะมาเลทกว่าที่คาดเอาไว้ เป็นประเภทวางกับดักตัวเองไว้ ตอนก่อนดราม่าโศกหนักแต่งเงียบ ๆ คนเดียวตอนเช้ามืด พอมาตอนนี้เลยคิดว่าเอาไงดีล่ะฉันตอนที่แล้วบิวท์หนักไปป่าวฟระ กับช่วงก่อนมีเรื่องทำหลายสิ่งเลยขอโทษที่เลทนะคะ


    ดีใจอย่างหนึ่งที่คนอ่านมักเมนท์ว่าพี่อู๋น่าสงสาร เพราะว่าส่วนใหญ่ฟิคเรืื่องอื่นชอบทำร้ายอี้ฟ่าน(ของเจ๊) จริงๆ เป็นคนชอบอ่านนิยายแนว
    พระเอกน่ารัก ฉลาด มากกว่างี้เง้า(เป็นพวกเมนพระเอก) เลยอยากลองเขียนฟิคแนวพระเอกดำเนินเรืื่อง และสะท้อนมุมแบบผู้ชายอกหักจ๋าๆ ดูบ้าง


    พอมาถึงตอนนี้ ตอนคิดพล็อตไว้จิ้มประเทศที่ต้องเป็นฉากในเรื่องแบบเอาที่ตัวเองถนัดหน่อยจะได้ไม่ยาก แต่มาคิดว่าเอ๊ะจิ้มผิด เพราะว่าช่วงที่หายไป นี่ไปนั่งเตรียมทริปตัวเองที่จะไปเที่ยวซึ่งถ้าเอาข้อมูลมาเขียนในเรื่องคงง่ายขึ้นเยอะ แต่สามประเทศที่จะไปดันเป็น เกาหลี เซี่ยงไฮ้ พม่า ไอ้สองประเทศแรกก็ต้องตัดแล้ว 555 แต่จะให้คุณชายอู๋ กับอี้ชิงที่อ่อนบางแบคแพคพม่านี่ก็จะสมบุกสมบันไป เอาไว้ตอนได้ไปเที่ยวกลับมาจะลองเขียนแนวพระนางแบคแพคพม่าดู 5555
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×