คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : [KrisLay] The Moon and The Sun [Part 3]
Author: Angel Midori
Genre: Romantic Drama
Rating: PG-13
Pairing: Krislay feat. KaiLu Chanbaek
เนื้อเรื่องยังไปไม่ถึงไหนจนเรียกได้ว่าช้ามาก 55555 แต่ด้วยความคิดว่าจะพยายามใส่ความรู้่สึกของตัวละครเยอะ ๆ มันก็เลยต้องใช้เวลานึดนึง ตอนที่เหลือมันคงไม่ดราม่าไปกว่านี้แล้ว(เหรอ) 555
เจอกันวีคหน้านะคะ ติชม แนะนำ คอมเมนท์ ด่าตัวละครกันได้นะคะ อยากฟังความคิดเห็นจากลีดเดอร์นะคะ
ปล.ยังไม่ได้ตรวจคำผิดนะคะ ลงตอนเกือบเช้าสติหมดแว้ววว แต่จะพยายามมาเก็บให้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สัมผัสอุ่นที่จูบประทับไปทั่วใบหน้า ทำให้ร่างในอ้อมกอดราวกับต้องมนต์ ถึงใจจะสั่งให้ผลักไสแต่ร่างกายกลับปฏิเสธการกระทำ และยังตอกย้ำด้วยซ้ำว่าคิดถึงความอบอุ่น และอ่อนหวานจากสัมผัสของอดีตคนรักมากแค่ไหน เสียงกระซิบเรียกชื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า และคำพูดพร่ำบอกว่าทั้งรัก และคิดถึงของอู๋อี้ฟ่าน นั้นเหมือนเป็นบทสวดที่สะกดให้ร่างของจางอี้ชิงหมดทางต่อต้าน
ทุกครั้งที่อี้ฟ่านเอ่ยเรียกชื่อ ทุกคราที่ริมฝีปากสัมผัสกับผิวเนื้อขาวนวล ความเข้มแข็งในหัวใจของอี้ชิงก็เหมือนถูกน้ำกรดฤทธิ์ร้ายกัดกร่อน จนลืมสิ้นถึงความตั้งใจของตัวเอง
อี้ชิงเผลอลิ้มชิมรสหวานเมื่อยามริมฝีปากหนากลับมาครอบครองที่ริมฝีปากอิ่มของอี้ชิงอีกครั้ง จากจูบอ่อนหวานก็กลายเป็นความร้อนแรงที่เต็มไปด้วยความเสน่หา ร่างกายเบียดชิดราวกับเคยเป็นกายเดียวกัน และเหมือนกับว่าจะไม่ยอมพรากจากกันอีกครั้ง ลิ้นหนาบิดเกลียวและกวาดทุกรสสัมผัสเท่าที่จะทำได้เพื่อทดแทนความคำนึงที่กัดกินในใจ แนวฟันขาวขบเบาๆ ที่ริมฝีปากอิ่มที่เขาแสนรัก และค่อยๆ ลามไล้ลงมายังแอ่งชีพจร ที่อี้ฟ่านคิดว่าไม่เคยมีใครจะสวยงามเท่า
ฝัน....ราวกับตัวเองอยู่ในความฝันที่หอมหวาน...ฝันที่อี้ชิงไม่อยากตื่นขึ้นมาอีก อยากจะจมลงไปในความอ่อนหวานที่หวามไหวเช่นนี้ตลอดกาล
“อี้ชิง......คิดถึง คิดถึงเหลือเกิน” น้ำตาของร่างขาวจัดค่อยๆ ไหล ทำไมนะความฝันถึงเหมือนความจริงขนาดนี้
“อืม....” อี้ชิงมิได้เอ่ยตอบความคิดถึง หากแต่ปล่อยเสียงครางแผ่วตามสัมผัสเป็นการตอบรับ
อี้ฟ่านย้ำสัมผัสไปทั่วแผ่นอกที่ตัวเองเพิ่งจะร่นคอเสื้อตัวกว้างขออดีตคนรักออกจากแนวไหล่ ปลายนิ้วของคนตัวเล็กขยุ้มย้ำที่เรือนผมสีทองสว่างเพื่อระบายความหวาบหวามที่ทำลายความยั้งคิด และความตั้งใจ จนเมื่ออี้ฟ่านยึดร่างบางเข้ามาจูบราวกับกระชากลมหายใจ และยกร่างเล็กกว่าขึ้นมาให้ท่อนขาเกี่ยวกระหวัดกับแนวสะโพก อี้ชิงก็ไม่คิดจะรับรู้สิ่งใดนอกจากรสจูบที่ทำให้เขาหวามไหว สุขสม และไม่อยากละจาก
ร่างสูงกระชับกอดอดีตคนรัก แระวางร่างขาวนั้นลงกับเตียงนอนกลางห้อง แผ่นหลังบางสัมผัสไออุ่นของเตียงนอนที่เคยเป็นของอี้ชิง กลิ่นกายของอี้ฟ่านอวลไปทั่วทั้งบนร่างที่กอดกระหวัดอยู่ และที่หมอนกับเตียงนอน กลิ่นกายของอี้ฟ่านเหมือนยากล่อมประสาทสำหรับจางอี้ชิงเสมอ อี้ชิงหลงใหล และพ่ายแพ้กับกลิ่นพิเศษนี้ นี่ซินะที่เรียกกันว่าฟีโรโมน...
ร่างสูงระดมจูบไปทั่วกายอุ่นนิ่มที่แสนคิดถึง อี้ชิงหอม หวาน และยิ่งไม่ได้สัมผัสรสรักกันมาเนิ่นนาน อี้ชิงยิ่งเย้ายวนให้ลิ้มลอง ต่อให้อี้ฟ่านรู้ดีว่า เขาไม่ควรจะกระทำแบบนี้ แต่มันก็ยากที่จะหยุด ยิ่งอดีตคนรักตอบสนองทุกการกระทำ และสัมผัส ความยับยั้งชั่งใจจึงไม่จำเป็นแล้วในเวลานี้
ตอนนี้ขอแค่ให้ได้รัก...ให้สัมผัส....ให้โอบกระชับจนคลายความคิดถึงก็พอ
ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้เบื้องลึกของความรักนำพาความเสน่หาเข้ามาครอบครองซึ่งกันและกัน รสรักที่ห่างเหินกันไปเนิ่นนานยิ่งทำให้ทุกสัมผัสยิ่งร้อนแรง แม้ตอนนี้แสงจากดวงอาทิตย์ยังส่องแสงอยู่ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้สนใจ...ต่างปล่อยให้ความต้องการนำพาจนไปถึงรสรักครั้งแล้วและครั้งเล่า...
.
.
.
.
.
แสงของอาทิตย์ลาลับไปหลายชั่วโมงแล้ว ร่างขาวที่เคยหลับพริ้มค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมา แพขนตากระพือเบาๆ เพื่อปรับให้ดวงตาคู่หวานรับรู้มองเห็นว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน...
และเมื่อรับรู้ได้จางอี้ชิงก็ได้แต่นอนมองฝ้าเพดานคุ้นตา และปล่อยน้ำตาให้ไหลรินออกมาช้า ๆ
โกรธ...อี้ชิงโกรธตัวเอง โกรธมาก โกรธที่ใจง่าย อ่อนไหว พ่ายแพ้ต่อสัมผัส และเสน่หา ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายบอกเลิก และทนเจ็บปวดที่จะหลีกหนีจากความสัมพันธ์นี้ แต่กลับมาแพ้ง่ายๆ ด้วยความไร้สติของตัวเอง
อี้ชิงหันไปมองร่างข้างกายที่ยังคงวางท่อนแขนไว้ที่เอวของอี้ชิง ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนรูปสลักหลับพริ้ม และเหมือนมีรอยยิ้มประดับอยู่ด้วยซ้ำ
ยิ่งมองก็ยิ่งเจ็บปวด ยิ่งโหยหา คิดถึง อี้ฟ่านอาจจะบอกได้ว่าตัวเองทรมานจากการที่เขาบอกเลิก แต่อี้ฟ่านคงไม่รู้หรอกว่าคนที่เป็นฝ่ายบอกเลิกมันอาจจะเจ็บเสียยิ่งกว่า
อู๋อี้ฟ่านคงไม่รู้ว่าจางอี้ชิงคนนี้ร้องไห้มากแค่ไหน เจ็บปวดราวกับลงมีดกรีดตัวเองทุกครั้งที่จำเป็นต้องพูดตัดรอนคนที่ยังรักอยู่ทั้งหัวใจ แต่ถึงกระนั่นอี้ชิงก็ต้องทำ
.
.
.
.
.
ความรักของพวกเขาเกิดจากความผูกพัน พวกเขาไม่ได้ตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น แต่การที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมันทำให้ต่างคนต่างค่อยๆ ตกหลุมรักกัน จากรูมเมทมาเป็นคนรัก พวกเขาใช้เวลา 6 เดือน และปีกว่าที่คบหากันในฐานะคนรัก
อู๋อี้ฟ่านเหมือนเทพบุตร ไม่ใช่แค่หน้าตา หากแต่รวมกันทุกอย่างในตัวของคนๆ นี้มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ และเมื่อมีคนรักที่ดีแบบนี้ การจะต้องเลิกกันมันมีหรือที่จะไม่เจ็บ ใช่อี้ชิงเจ็บปวด และทรมานมากเมื่อรู้สึกตัวทุกครั้งว่าเขาสูญเสียคนรักที่แสนดีเช่นนี้ไปแล้ว แต่มันเป็นทางเลือกที่อี้ชิงจำเป็นต้องเลือกที่จะเจ็บ
เพราะไม่เช่นนั้นต่างคนก็ต่างจะต้องเจ็บมากกว่านี้....
ตลอดเวลาปีกว่า ๆ ความรักของพวกเขาอบอุ่น สุกงอม หอมหวาน เบื้องหน้าสำหรับคนอื่นพวกเขาคือเพื่อนสนิทรูมเมท แต่เมื่ออยู่ภายในห้องเบื้องหลังประตูไม้สีน้ำตาล พวกเขาคือคนรักที่ใช้ชีวิตร่วมกันราวกับเป็นครอบครัวเล็ก ๆ
แต่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากที่อี้ชิงประสบอุบัติเหตุระหว่างซ้อมเต้น อาการเจ็บเรื้อรังที่กล้ามเนื้อหลังทำให้อี้ฟ่านกังวลในตัวคนรัก และยิ่งชายหนุ่มรู้ว่าการรักษานั้นทำได้ยากสำหรับคนป่วยที่มีโรคประจำตัวร้ายแรงอย่างฮีโมฟีเลีย ก็ยิ่งทำให้อู๋อี้ฟ่านไม่สบายใจ ทุกครั้งที่อี้ชิงจะเข้าบริษัทก็มักจะถูกห้ามปราม จนกลายเป็นต่อว่า คำพูดที่เคยปลอบประโลมก็กลายเป็นคำดุที่ราวกับขู่กัน อี้ฟ่านพูดย้ำอยู่เสมอว่าถ้าเขายังไม่หยุดที่จะเลิกเต้น สักวันอี้ชิงจะต้องไปผ่าตัดซึ่งมันอันตราย และอาจเสี่ยงถึงชีวิต หรือสักวันเขาจะพิการ และนานวันก็เริ่มเหมือนกับคอยแช่งให้อี้ชิงรู้สึกตัวเองจะตายวันตายพรุ่ง
อี้ชิงรู้ดีว่าอาการของเขาเป็นแบบไหน และเชื่อว่าเขาดูแลตัวเองได้ แต่อี้ฟ่านก็ไม่คิดจะฟังคำอธิบาย คอยแต่ตำหนิว่าคนรักร่างขาวดื้อ ไม่รับความห่วงใยจากเขา ทั้งๆ ที่อี้ชิงอยากได้คำปลอบใจ มากกว่าคำตำหนิ เพราะคนที่มีความฝัน แต่เจออุปสรรคใหญ่หลวงเช่นนี้ มันเจ็บปวดและทุกข์ใจอยู่แล้ว อี้ชิงไม่พร้อมรับกับคำตำหนิที่บั่นทอนความตั้งใจของเขาให้สูญเปล่า....ถ้าอี้ชิงสูญเสียความฝันไป เขาก็ไม่รู้เลยว่าต่อไปเขาจะเป็นเช่นไร เพราะตอนนี้เขามาอยู่ที่นี่ก็เพื่อความฝันในการเป็นศิลปิน เป็นนักเต้น เป็นสิ่งที่เขารักและทำได้ดีมาทั้งชีวิต
จากคำตำหนิ อี้ฟ่านก็ไม่หยุดอยู่แค่นั้น อี้ชิงเคยพูดว่าเขาจะไม่เหลือความฝันใด ๆ เลยถ้าต้องเลิกเป็นเด็กฝึกหัด อู๋อี้ฟ่านก็ยื่นทางเลือกมากมายให้กับเขา หากแต่ทุกทางเลือกมันก็คือการที่เขาอยู่เฉยๆ เป็นนกน้อยที่แสนเปราะบางของคุณชายอู๋อี้ฟ่าน...
แต่มันเป็นแค่คำสัญญาเลื่อนลอยที่บนความเป็นจริงมันอาจไม่เป็นอย่างที่อี้ฟ่านคิดเสมอไป ชายหนุ่มไม่เคยพบอุปสรรค์ ทุกอย่างได้มาง่ายดาย อี้ฟ่านไม่เคยผิดหวัง แต่ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นแบบนี้ตลอดกาล อี้ชิงไม่ต้องการที่จะเป็นกาฝากเกาะเกี่ยวกับคนรักไปตลอดชีวิต เขาอยากพึ่งพาตัวเองได้ และมีคุณค่า เพราะหากเขาเกาะเกี่ยวบีบรัดจนทำร้ายคนรัก หรือสักวันหนึ่งต้นไม้ที่เขาพึ่งพาเกิดตัดเขาทิ้ง หรือเขาโดนพรากจากลำต้นของคนรักเขาจะอยู่ได้เช่นไร ถ้าเขาไม่มีรากที่ยึดลงพื้นดินเอง
แต่ในตอนนั้นอู๋อี้ฟ่านก็ไม่คิดอยากจะฟังคำอธิบายเหล่านั้นเลย.....
จนเมื่อทางบริษัทเลือกอี้ชิงเขามาสู่โปรเจคสำหรับเตรียมตัวเพื่อจะเดบิวต์ มันยิ่งทำให้ความบาดหมางที่มองไม่เห็นของทั้งคู่เริ่มชัดเจนขึ้น อี้ชิงไม่มีทางจะทิ้งความฝันที่ตัวเองสู้มาจนถึงจุดสตาร์ทแน่ๆ และยิ่งการที่ทีมงานเห็นคุณค่าของเขาแม้แต่ในเวลาที่เขายังไม่ฟื้นตัวดีมันยิ่งทำให้จางอี้ชิงยิ่งซึ้งใจ ทีมงานปลอบประโลมเขาว่าคนที่บาดเจ็บยิ่งกว่านี้ยังหายได้ อีกไม่นานอี้ชิงก็จะหายปรกติ เขายิ่งมีความหวัง เขาจึงตั้งใจที่จะทุ่มเททุกอย่างเพื่อความฝันครั้งนี้
ทุ่มเทแม้กระทั่งความรัก
อี้ชิงรู้ดีกว่าการเป็นคนมีชื่อเสียงต้องแลกอะไรมากมายแค่ไหน แล้วยิ่งได้ยินคำตักเตือนจากทีมงานถึงเรื่องให้ทุกคนเคลียร์อดีตของตัวเองให้หมดจด เพื่อตัวเอง เพื่อนทีม เพื่อนอนาคต เขาก็เข้าใจดีกว่าอะไรบ้างที่เขาต้องเคลียร์ให้ขาด
เขาทรยศต่อคนที่ให้โอกาสเขาไม่ได้ เขาจึงจำเป็นต้องยอมทรยศต่อความรักของผู้ชายที่รักเขา เพราะความสัมพันธ์ในฐานะคนรักของอี้ชิง และอี้ฟ่านมันเสี่ยงและเปราะบางเหลือเกิน
ถ้าอี้ชิงจะเลือกเดินทางนี้... มันก็มีแต่จะทำให้อี้ฟ่านไม่มีความสุข การที่คนเราต้องเดินไปคู่กันแต่ความคิดเห็นคนละทางมันคงยากที่จะเดินไปด้วยกันได้ แล้วยิ่งถ้าอี้ชิงมีชื่อเสียง ระยะทางช่องว่างก็ยิ่งห่างกันมากขึ้น ความรักที่เคยสวยงามนั้นบนความเป็นจริงมันไม่สวยงาม ราวกับภาพฝันอีกแล้ว จางอี้ชิงไม่ใช่แค่นักศึกษา คณะศิลปกรรม คนรักของอู๋อี้ฟ่านอีกต่อไป เขากำลังเป็นอี้ชิงของคนอื่น ของเพื่อนร่วมวง ทีมงาน และแฟนเพลง...
เป็นจางอี้ชิงในแบบที่อู๋อี้ฟ่านไม่ต้องการ
น้ำตาที่เคยคลอที่หางตามันเริ่มไหลออกมาจนอี้ชิงมองฝ้าเพดานสีควันบุหรี่เลือนราง คนตัวบางยกหลังมือขาวขึ้นปาดมันทิ้ง พร้อมค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ...
โทษตัวเองเสียให้พอกับความอ่อนแอ แล้วเขาต้องโยนความรู้สึกนี้ทิ้งไปซะ..อุตสาห์เจ็บไปขนาดนั้นแล้ว เขาจะไม่ย้อนกลับไปเพื่อนเฝ้ารอที่จะเจ็บปวดใหม่อีกครั้งแน่ๆ
เพราะความเจ็บปวดใหม่มันต้องเจ็บกว่าความเจ็บปวดเก่าอย่างที่ไม่ต้องคาดเดา ถ้าเกิดวันหนึ่งคบกันไปแล้วโดนจับได้ อนาคตที่เขาสู้มาต้องพัง อาจรวมถึงของอี้ฟ่านด้วย มันยิ่งไม่เหลือทางเลือกให้กับเขา หรือถ้าต้องทนคบกันแล้วอี้ฟ่านมีแต่จะกดดัน หรือไม่พอใจในทุกอย่างที่เขากระทำ แทนที่จะมองหน้ากันติด เป็นเพื่อนกันได้ กลับกลายจะเป็นรอยบาดหมางที่จางอี้ชิงไม่ต้องการ ในเมื่อเขารักอี้ฟ่าน รักมาก ถึงแม้ไม่ได้ครอบครองก็ยังอยากจะมองเห็นได้อย่างเต็มตา
อี้ชิงหันไปมองใบหน้าที่เขาแสนรักอีกครั้ง คนตัวขาวกัดริมฝีปากจนขึ้นแนวช้ำ เขาทำได้แต่ขอโทษในใจ ... ขอโทษที่ทิ้งกัน ขอโทษที่เห็นแก่ตัว แล้วขอโทษที่เขาอ่อนแอจนเหมือนให้ความหวังกับอี้ฟ่านแบบนี้
ร่างเล็กค่อยๆ ขยับเบาๆ และยกท่อนแขนหนาออกจากร่าง อี้ชิงพลิกกายจนหลุดจากพันธนาการ ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าที่หล่นกองระเกะระกะขึ้นมา เขาหันไปมองนาฬิกา ตอนนี้ 4 ทุ่มแล้วลู่หานคงจะกังวลแน่ๆ ที่เขาหายไป อี้ชิงจึงรีบจัดการเข้าห้องน้ำไปเพื่อแต่งตัว
เมื่อความอบอุ่นที่เคยแนบกายหายไป ร่างที่หลับอย่างสุขสมก็ขยับเพื่อจะเบียดชิดไปหาความอบอุ่นนั้น แต่ก็ไม่พบ ร่างหนาขยับเปลือกตาขึ้นมา และพลิกกายของตัวเองเพื่อไปสัมผัสรอยอุ่นที่ทิ้งไว้บนที่นอน จนเมื่อประสาทรับรู้ตอบสนองมันก็เตือนให้อี้ฟ่านรู้ว่าร่างขาวนุ่มนิ่มที่เขากอดกระชับและมอบรสแห่งรักนั้นหายไป
อู๋อี้ฟ่านลุกพรวดพราดขึ้นมาทันที เขาหันซ้ายหันขวา ก็ไม่เห็นร่างของจางอี้ชิง จนเมื่อเขาได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวเขาก็ถอนหายใจ อี้ชิงยังอยู่ เขายังไม่ได้โง่ปล่อยให้อดีตคนรักจากเขาไปโดยยังไม่ได้เคลียร์กัน
ร่างสูงเดินไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมใส่ก่อนจะนั่งรอให้คนที่อยู่ในห้องน้ำออกมา ทั้งๆที่แค่ไม่กี่นาที แต่อี้ฟ่านรู้สึกเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์... เขาคิดหวังว่าจากเรื่องที่เกิดขึ้นมันตอบได้ว่าอี้ชิงยังคงรักเขา และคงไม่ยากที่จะดีกัน แต่อีกใจก็บอกเขาว่า อี้ชิงอาจจะยิ่งโกรธเขาก็ได้ที่หักหาญน้ำใจกันแบบนี้ ถึงอีกฝ่ายจะอ่อนโอนผ่อนตามก็เหอะ
คลิ๊ก….
เสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้ร่างสูงรีบหันไปมอง จางอี้ชิงดูตกใจที่เห็นว่าอี้ฟ่านตื่นขึ้นมาแล้ว คนตัวเล็กยืนนิ่งสักพักก่อนจะก้มหน้าเดินพุ่งไปยังทางออกของห้องนอน
“อี้ชิง” อู๋อี้ฟ่านกระโดดจากเตียงลงไปคว้าจับท่อนแขนขาวนั้นไว้แน่น
“คุยกันก่อน ขอร้อง”
“มันดึกแล้ว เดี๋ยวเสี่ยวลู่เป็นห่วง”
“อี้ชิงขอร้อง” น้ำเสียงออดอ้อนนั้นทำให้ร่างเล็กต้องยอมเงยหน้ามอง ดวงตาของอู๋อี้ฟ่านดูไร้ความมั่นใจ ผิดกับแววตาปรกติราวกับเป็นคนละคน
“มันไม่มีอะไรที่จะคุยกันคริส เรื่องเมื่อกี้นายก็แค่ต้องการฉัน ฉันก็แค่เผลอตอบสนองนาย แต่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องสถานะความสัมพันธ์ของเรา ฉันยังยืนยันเหมือนเดิม ฉันคิดดีแล้ว” จางอี้ชิงพยายามคุมน้ำเสียงตัวเองให้นิ่งที่สุด นิ่งจนพอที่จะทำให้อู๋อี้ฟ่านเลิกตื้อเขา เพราะถ้าตื้อมากกว่านี้เขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะแพ้อีกหรือเปล่า
“ทำไม ทั้งๆ ที่ฉันยอมเธอทุกอย่างแล้วอี้ชิง”
“ไม่จริงหรอกคริส นายยอมฉันทุกอย่างไม่ได้หรอก ถึงยอมนายก็ไม่ได้มีความสุขจริงๆ ฉันอยากกลับแล้ว อย่าให้ฉันถึงกับไม่อยากเจอหน้านายอีกเลย ขอร้อง” คำขอร้องนั้นทำให้อู๋อี้ฟ่านเจ็บปวดอย่างคาดไม่ถึง เขาค่อยๆ ปล่อยมือนั้นราวกับหมดแรงจะยื้อไว้ จนจางอี้ชิงเปิดประตูห้องออกไป
ไม่น่าเชื่อว่าจางอี้ชิงที่อ่อนโยนของเขาจะใจแข็งขนาดนี้
อี้ฟ่านเปิดประตูตามออกมาเขาเห็นอดีตคนรักกำลังหยิบกระเป๋า เขาจึงเดินเข้าไปประชิดร่างเล็กอีกครั้ง และจับสายกระเป๋าเป้เอาไว้
“ถือว่าขอร้อแล้วกันให้ฉันไปส่ง ตอนนี้ดึกแล้ว แค่ไปส่งเธอแค่นั้น เธอคงไม่ตัดรอนจะไม่เจอหน้าฉันอีกใช่ไหมอี้ชิง”
พูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเช่นนี้ถ้ายังปฏิเสธจางอี้ชิงก็คงใจร้ายเกินไป คนตัวเล็กจึงพยักหน้ารับ
***** The Moon and The Sun *****
เมื่อรถยนต์คันหรูมาจอดที่หน้าตึก จางอี้ชิงก็รีบเปิดประตูรถลงมาโดยไม่คิดแม้แต่จะเอ่ยลาสักคำ และรวมถึงตลอดการเดินทางที่ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบครอบงำ อี้ฟ่านมองตามแผ่นหลังเล็กที่สะพายกระเป๋าเป้สีม่วงเดินจากไปจนลับสายตา เขาอ่อนแอมาก มากจนก้อนสะอื้นแทบจะจุกที่คอตอนที่ไม่เห็นร่างที่แสนรักในสายตาแล้ว
อี้ชิงรีบสาวเท้าเร็วๆ จนขึ้นไปถึงหน้าห้อง เจ้าตัวสูดลมหายใจแรงๆ ก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไป ลู่หานยังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ คนน่ารักเลิกคิ้วมองหน่อยๆ เหมือนกำลังจะเอ่ยถามอะไร แต่อี้ชิงก็ไม่ปล่อยโอกาสนั้น
“ขอโทษที่กลับช้าแล้วไม่ได้โทรบอก ฉันไปธุระมา ขออาบน้ำแล้วจะนอนเลยแล้วกันฉันเพลีย ๆ” อี้ชิงโยนกระเป๋าเป้ลงบนเตียงแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำ เพื่อนสนิทรูมเมทถึงกับอ้าปากไม่ทันกับความเร็วของจางอี้ชิง
“ไม่ได้ไม่สบายใช่ไหมอี้ชิง” ลู่หานเดินไปยืนถามหลังบานประตูห้องน้ำทีเพิ่งถูกปิดไป
“แค่เพลีย ไม่ต้องเป็นห่วงนอนก็หาย”
“อืมก็ดี แล้ววันนี้ไปไหนมา”
จางอี้ชิงเงียบไปจนผิดสังเกต จนลู่หานเอ่ยเรียกชื่ออีกครั้งอี้ชิงถึงตอบกลับมาว่าไปเดินเล่น ช๊อปปิ้งคนเดียว
แต่ลู่หานรู้ว่าอี้ชิงโกหก!!
เพื่อนคนน่ารักของจางอี้ชิงเดินกลับไปที่โต๊ะเขาหยิบมือถือขึ้นมากดข้อความไปหาอู๋อี้ฟ่านเพื่อถามว่าวันนี้เจ้าตัวไปกับอี้ชิงใช่ไหม หากแต่พอส่งข้อความไปไม่ถึงนาทีคนที่ลู่หานเพิ่งส่งข้อความไปหาก็รีบโทรมาทันที
“ลู่หาน เขาโกรธฉันแน่ ๆ” ยังไม่ทันเอ่ยถามอีกฝ่ายก็รีบพูดใส่มา จนลู่หานงง
“ใครอี้ชิงเหรอ นายไปทำอะไรให้เขาโกรธ แล้วนี่ไปไหนกันมา เจ้านั่นไม่พูดอะไรวิ่งเข้าห้องน้ำไป เหมือนตั้งใจหลบหน้าฉัน”
พอลู่หานพูดจบแทนที่อู๋อี้ฟ่านจะตอบหากแต่มีเพียงเสียงลมหายใจติดขัดแทน
“คริส อี้ฟ่านมีอะไร”
“เสี่ยวลู่ ตอนนี้ฉันอยู่ข้างล่าง นายลงมาหาฉันหน่อยได้ไหม” น้ำเสียงสั่นที่มาพร้อมกับคำขอร้องมันทำให้คนตัวเล็กไม่สบายใจ ลู่หานตอบรับทันทีเขาตะโกนบอกอี้ชิงที่อยู่ในห้องน้ำว่าจะไปซื้อของแล้ว เจ้าตัวก็รีบวิ่งลงลิฟท์ไป
อี้ฟ่านยืนพิงรถอยู่ และเมื่อลู่หานเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าสภาพของคนที่เคยหล่อเหลา สง่างามกลับไม่เป็นเหมือนเคย ผมเผ้าของอู๋อี้ฟ่านยุ่งเหยิง ตาแดงกล่ำ เหมือนกับคนเพิ่งผ่านอะไรแย่ๆ มา ตั้งแต่รู้จักกันมาลู่หานเพิ่งเคยเห็นสภาพของคริสอู๋แบบนี้
“นายเป็นอะไร นายกับอี้ชิงทะเลาะกันเหรอ”
อี้ฟ่านส่ายศีรษะ ก่อนจะพยายามฝืนยิ้ม “บางทีมันอาจจะแย่กว่าทะเลาะกัน นายว่างพอจะไปที่ไหนสักที่ ให้ฉันคุยด้วยได้ไหม”
“ต่อให้นายไม่ชวน ฉันก็ไม่ปล่อยนายกลับไปโดยที่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรแน่ๆ อู๋อี้ฟ่าน”
*************** TBC ***************
ความคิดเห็น