คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : [KrisLay] The Moon and The Sun [Part 2] 100%
เดี๋ยวกลางวีคจะต่อเด็กเสี่ยให้นะคะ
*********************************************************************************
The Moon and The Sun [Part 2]
“ลู่หาน” จางอี้ชิงตะโกนเรียกชื่อเพื่อนสนิทลั่นตั้งแต่ตัวยังไม่ทันก้าวเข้ามาในห้องซ้อม พอคนตัวขาวเข้าห้องมา เขาก็เห็นเจ้าของชื่อที่เพิ่งเอ่ยเรียกกำลังนั่งอยู่บนโซฟา โดยมีรุ่นน้องผิวแทนกำลังนอนจนแทบจะเกยตักลู่หานอยู่ข้างๆ โดยที่หูของทั้งคู่ต่างเสียบหูฟังกันอยู่คนละข้าง
“มีอะไร” ลู่หานทำสีหน้างง เมื่อเห็นว่าอี้ชิงตะโกนเรียกชื่อเขาเสียงดัง
อี้ชิงอ้ำอึ้งที่จะพูดต่อเพราะเห็นว่าภายในห้องซ้อมไม่ได้อยู่กันแค่สองคน เขามองไปที่คิมจงอินที่ยังนอนทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่ โดยพยายามคิดหาทางให้รุ่นน้องตัวโตหายไปจากห้องซ้อมตอนนี้
“จงอิน” อี้ชิงเรียกรุ่นน้องที่เป็นทั้งอนาคตเพื่อนร่วมวง และรุ่นน้องรหัส
“หือม”
“จงอินไปซื้อกาแฟให้ฮยองหน่อยได้ไหม” จงอินขมวดคิ้วกับคำขอของอี้ชิง เด็กหนุ่มสงสัยว่าในเมื่ออี้ชิงเพิ่งมาจากข้างนอกทำไมถึงมาใช้เขาให้ออกไปอีกทำไมไม่ซื้อมาเลย
อี้ชิงก็รู้ว่าจงอินคงคิดว่ามันผิดปรกติ แต่นี่เป็นวิธีที่เพิ่งคิดออกที่จะกำจัดเด็กตัวโตนี่ไปจากห้องซ้อมชั่วคราว
“ทำไมฮยองไม่ซื้อมาเลยล่ะ”
“ก็พอดีเพื่อนพี่เขาขับมานี่เลย ไม่แวะให้ พี่อยากดื่มอะไรอุ่นๆ หน่อย วานทีนะ” อี้ชิงหันไปมองหน้าลู่หานเพื่อให้ช่วยอีกแรง แล้วดูเหมือนเพื่อนหน้าอ่อนจะเข้าใจเพื่อนรักดี
“จงอินลุกไปซื้อให้อี้ชิงหน่อย อี้ชิงป่วยนายก็รู้ ฮยองเองก็อยากกาแฟอุ่นๆ เหมือนกัน” พอคำขอร้องออกจากปากน่ารัก ๆ ของลู่หาน คิมจงอินก็ลุกทันที ถึงแม้ยังจะชักสีหน้าหงุดหงิดอยู่
“อ่ะนี่เงิน ของฮยองเอามอคค่านะ นายอยากกินอะไรก็เอาเงินนี่ซื้อ แล้วอี้ชิงเอาอะไร” ลู่หานยื่นเงินให้จงอิน แต่รุ่นน้องผิวเข้มกลับผลักเงินนั้นคืนให้เจ้าของ
“ผมบอกกี่ทีแล้วว่าอย่าเลี้ยงผม ผมจ่ายให้ฮยองได้”
“จงอิน!!” ลู่หานดุเด็กหนุ่มรุ่นน้องเบาๆ แต่จงอินก็ไม่สนใจ เขายังคงไม่รับเงินนั้นแล้วหันไปหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองเพื่อจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา
“ตกลงอี้ชิงฮยองจะเอาอะไร”
“ฮยองขอลาเต้”
พอสิ้นคำสั่งคิมจงอินก็เดินผลักประตูห้องซ้อมออกไปพร้อมหน้ามุ่ยๆ ทันที รุ่นพี่ชาวจีนสองคนมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ อีกคนถอนหายใจที่อันเชิญคิมจงอินออกจากห้องไปได้ ส่วนอีกคนถอนหายใจกับนิสัยปีนเกลียวของคิมจงอิน ทั้งๆ ที่เขาแก่กว่าจงอินหลายปีแต่เด็กนี่ชอบทำเหมือนเขาเป็นเด็กกว่าอยู่เรื่อย
“ลู่หาน” จางอี้ชิงเรียกชื่อเน้นหนัก จนลู่หานต้องละสายตาจากแผ่นหลังของคิมจงอิน
“มีอะไร”
“ทำไมนายถึงให้คริสไปอยู่เป็นเพื่อนฉัน”
“ก็ฉันเป็นห่วงนาย”
“แล้วทำไมต้องเป็นคริสเล่า” อี้ชิงเอ่ยบ่นก่อนจะกระแทกตัวเองลงไปนั่งบนโซฟาข้างลู่หาน
“ไม่ใช่คริสแล้วจะเอาใคร ไม่มีใครในกลุ่มเรามีรถแล้ว และถึงไม่เกี่ยวกับรถ คนอื่นก็ไม่ว่าง แล้วก็ไม่มีใครสนิทกับนายเท่าเจ้านั่น เลิกหลบหน้าหลบตาได้แล้ว ไหนว่าอยากจะเป็นเพื่อนกันไง ถ้าอยากเป็นเพื่อนกันก็ต้องเลิกทำตัวแบบนี้ หลบหน้าหลบตา ทำเหมือนอี้ฟ่านไม่มีตัวตน ฉันเป็นคนกลางนะอี้ชิง ฉันลำบากใจ” คราวนี้คนใส่อารมณ์กลายเป็นลู่หานแทน คนน่ารักเอ่ยบ่นจริงจัง จนอีกคนถึงกับอ้าปากค้าง อี้ชิงกลืนก้อนน้ำลายที่ขึ้นมาติดที่คออย่างยากลำบาก ก่อนจะส่งแววตาสำนึกผิดไปให้เพื่อนสนิท
เขารู้เขาเข้าใจถึงความรู้สึกของลู่หาน เพียงแต่เขาเองยังรู้สึกอึดอัด และเข้าหน้าคนรักเก่าไม่ติด จึงไม่อยากอยู่กันสองต่อสอง
“ขอโทษ ฉันรู้ว่าลู่หวังดี แต่ฉันรู้สึกอึดอัดเวลาอยู่กับเขา”
“ก่อนหน้านี้นายไม่เป็นถึงขนาดนี้ แต่ตั้งแต่มีเรื่องรุ่นน้องแพคฮยอนนายก็กลายเป็นแบบนี้ นายอึดอัดหรือยังหึงอี้ฟ่านกันแน่”
“เสี่ยวลู่!!” อี้ชิงเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงตกใจ เขาไม่คิดว่าเพื่อนสนิทจะคิดแบบนี้ “ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นนะ”
“แล้วทำไมเป็นแบบนี้ถ้าไม่คิด อย่าคิดว่าฉันดูไม่ออกซิอี้ชิง ตั้งแต่อี้ฟ่านคบกับน้องคนนั้น นายก็ซึมเศร้า หลบหน้าอี้ฟ่านตลอด ถ้าไม่หึงแล้วคืออะไร”
แววตาของจางอี้ชิงสั่นระริกเมื่อได้ยินประโยคแทงใจเหล่านั้น เขาพยายามที่จะบอกกับตัวเองว่าเขาไม่คิดอะไร แต่มันก็รู้ดีแก่ใจว่าเขาเป็นอย่างที่เสี่ยวลู่คิดจริงๆ
“ถ้าทนเห็นเขาเป็นของคนอื่นไม่ได้ก็กลับไปเอาเขากลับมาซิ”
“นายก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ฉันบอกเลิกเขาเองนะเสี่ยวลู่ แล้วฉันก็คิดดีแล้ว ฉันกับเขาเราคบกันไม่ได้ ยิ่งคบกันฉันก็ทำให้เขาไม่สบายใจ คบกันไปก็เหมือนระเบิดเวลาที่คอยนับถอยหลังรอเวลาเลิกกัน มันไม่มีทางที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว”
“แต่นายยังรักเขา แล้วฉันก็เชื่อว่าอี้ฟ่านก็ยังรักนาย แล้วจะทรมานกันไปแบบนี้เหรอ”
“ไม่หรอก อีกไม่นาน ถ้าอี้ฟ่านเขามีคนอื่นเดี๋ยวเขาก็ลืมฉันได้เอง” จางอี้ชิงพยายามฝืนยิ้มกับคำพูดที่เหมือนเข็มแทงใจเขาเอง แต่ถึงเจ็บก็ต้องพยายามพูดเพื่อให้ตัวเองจดจำให้ขึ้นใจ
เมื่อไม่มีเรา สักวันเขาก็ต้องมีคนอื่นที่ดีกว่า คนที่จะรักอู๋อี้ฟ่าน คนที่จะให้ทุกอย่างอย่างที่อี้ฟ่านต้องการได้ คนที่ไม่เห็นแก่ตัวเช่นเขา
“แล้วนายล่ะอี้ชิง”
“ฉันมีงาน มีอนาคตนะเสี่ยวลู่ ฉันยังต้องสู้กับมัน ฉันยังไม่ถึงฝันเลย ความรักสำหรับฉันตอนนี้มันไม่สำคัญหรอก”
ลู่หานถอนหายใจเฮือกใหญ่ชนิดให้ดังจนคนนั่งข้างๆ ได้ยิน เขาเบื่อกับคำตอบแบบนี้เต็มที จางอี้ชิงผู้มีอุดมการณ์ จางอี้ชิงที่ทำตัวราวกับหลุดมาจากหนังประเภทสู้ชีวิต สู้เพื่อฝัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็เข้าใจการตัดสินใจของเพื่อน เพียงแต่ถ้าเป็นตัวลู่หานเองคงจะไม่ใช้วิธีหักหาญน้ำใจตัวเอง และคนรักแบบนี้
“เฮ้!! หวัดดี” เสียงดังขึ้นจากทางหน้าประตู ทำให้บทสนทนาของสองหนุ่มชาวจีนหยุดลง คิมมินซอก กับคิมจงแด สองสมาชิกชาวเกาหลีที่ถูกวางตัวไว้ในโปรเจคเดียวกับลู่หาน อี้ชิง และจงอิน เดินเข้ามา และทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ทำอะไรกันอยู่ฮะ” จงแดเด็กหนุ่มเมนร้องเอ่ยถามรุ่นพี่่สองคนที่นั่งหน้านิ่วกันอยู่
“คุยเล่นกัน” อี้ชิงตอบและโปรยยิ้มให้ มินซอก กับจงแด แต่ทั้งสองคนไม่ได้ใส่ใจอะไรนอกจากกวาดสายตาหาคนอีกคนที่ควรจะอยู่ที่นี่แล้ว
“จงอินล่ะ” มินซอกเอ่ยถามเพื่อนชาวจีนของเขา ด้วยจงอินเรียนมหาลัยเดียวกันกับ ลู่หาน และอี้ชิง ทั้งสามคนนี้จึงมักมาพร้อมกัน ผิดกับเขาและจงแดที่เรียนกันคนละมหาลัย
“น้องไปซื้อกาแฟ”
“อ๋อ”
แล้วยังไม่ทันขาดคำ ประตูห้องซ้อมก็เปิดออกมา ร่างสูงผิวแทนของคนหน้าคมก็เดินเข้ามาพร้อมเครื่องดื่มร้อนๆ จงอินหันไปก้มหัวทักพี่คนโตของกรุ๊ปอย่างมินซอกก่อนจะเดินไปส่งเครื่องดื่มให้รุ่นพี่อีกสองคนที่โซฟามุมห้อง
“ได้กลิ่นแล้วหิวเลยอะ จงแดไปหาอะไรร้อนๆ ดื่มกันบ้างดีกว่า” คิมมินซอกหันไปกระตุกชายเสื้อรุ่นน้องคนสนิท จงแดเองก็ไม่ได้ขัดขืน แล้วคนทั้งคู่ก็รีบวิ่งไปนอกห้องเพราะกลัวจะกลับมาไม่ทันครูฝึก
“นายกินอะไรอ่ะจงอิน” ลู่หานชะโงกไปมองแก้วที่อยู่ในมือของคิมจงอินที่เพิ่งเบียดตัวเองลงไปนั่งข้างลู่หานได้
“ชาเขียวลาเต้น่ากินจังเลย” ลู่หานส่งเสียงน่ารัก แล้วมันก็ทำให้รุ่นน้องร่างสูงถึงกับหัวเราะในลำคอ
“พี่เอาไหมล่ะ”
“ไม่เอาไม่อยากแย่งนาย”
“แบ่งกันไง ผมอยากดื่มมอคค่าด้วย” จงอินไม่ว่าเปล่า เด็กหนุ่มคว้ามอคค่าอุ่นๆ ในมือของลู่หานมาถือไว้ แล้วยื่นแก้วชาเขียวลาเต้ของตัวเองใส่มือของลู่หาน แล้วทั้งคู่ก็ผลัดกันชิม จางอี้ชิงมองภาพนั้นแล้วอดยิ้มไม่ได้
หากแต่ภาพแบบนี้มันสะท้อนให้เขานึกถึงวันวาน วันที่เขาเคยมีอู๋อี้ฟ่านอยู่ข้างกาย
“อร่อยอะ” ลู่หานเอ่ยเสียงใส แล้วก็หันไปยิ้มให้รุ่นน้องตัวโต “เอามอคค่าฉันคืนมาได้แล้วจงอิน”
พอถูกทวงคิมจงอินก็คืนแก้วมอคค่าให้เจ้าของ ส่วนตัวเขาก็รับชาเขียวลาเต้มาจิบต่อ
“เออจริงๆ ผมมีขนมด้วยนะ คุ้กกี้แมคคาเดเมียอะไรสักอย่าง แพคกี้มันซื้อมาบอกว่าอร่อย”
ชื่อเล่นของใครบางคนที่หลุดออกมาจากปากของคิมจงอินนั้นทำให้จางอี้ชิงสะดุ้งเบาๆ ซึ่งมันทำให้คนที่นั่งข้างๆ เองก็รู้สึกได้ ลู่หานหันไปมองเพื่อนรักที่พยายามซ้อนสีหน้าความรู้สึกไว้ มองแล้วก็นึกหงุดหงิดไม่ได้
ขนาดแค่ได้ยินชื่อรุ่นน้องคนนั้น จางอี้ชิงยังมีปฏิกิริยาเลย แล้วไหนว่าเข้มแข็งหนักหนา
“ฮยองลองชิมดู” จงอินหันไปหยิบคุ้กกี้ออกจากเป้ข้างตัวแล้วส่งถุงยื่นให้รุ่นพี่ทั้งสอง ลู่หานหยิบมากินทันที ผิดกับอี้ชิงที่ทำท่าตัดสินใจจนจงอินต้องเร่งให้ลอง
“อร่อยจริงๆ ด้วย แพคฮยอนซื้อมาจากที่ไหนอะ” ลู่หานเอ่ยถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น โดยที่ปากยังคงเคี้ยวคุกกี้อยู่
“ไม่รู้ มันไม่ได้บอก พักนี้มันชอบไปไหนไม่บอก แต่กลับมาพร้อมขนมประจำ”
“ไปกับใคร คริสหรือเปล่า” คำถามตรงๆ ของลู่หานทำเอาอี้ชิงถึงกับหันควับ แต่ลู่หานก็แกล้งทำไม่สนใจ
“เปล่าไปกับชานยอล พักนี่มันสองคนชอบไปไหนกันสองคนไม่บอกเพื่อน ไม่ค่อยเห็นแพคกี้มันไปกับคริสฮยองนานแล้วนะ” จงอินพูดเสร็จก็จิบกาแฟตามด้วยกัดคุกกี้รสอร่อยในมือต่อ หากแต่รุ่นพี่สองคนที่นั่งข้างๆ กลับนั่งมองหน้ากันหลังจากได้ยินประโยคนั้น
“อ้าว เขาไม่ได้คบกันอยู่เหรอ” ลู่หานแกล้งทำตาใสถามออกไป เพราะข้องใจกับประโยคที่ว่าอี้ฟ่านกับรุ่นน้องตัวเล็กน่ารักนั่นไม่ได้ไปไหนมาไหนกันนานแล้ว
“คบเหรอ ไม่มั่ง คงแค่ดู ๆ กัน ผมแซวแพคกี้มันก็บอกว่ายังไม่ได้คบกับคริสฮยอง แล้วฮยองเป็นเพื่อนสนิทคริสฮยองนี่เขาไม่ได้บอกอะไรหรือไง”
ลู่หานสั่นหัวจนผมแทบปลิว ไม่ใช่ว่าอี้ฟ่านไม่ได้เล่าให้เขาฟังหรอก แต่พวกเขาสองคนไม่เปิดโอกาสให้อี้ฟ่านเล่าหรือพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่างหาก
“ผมก็ไม่รู้อะไรมากหรอกเห็นพักก่อนตัวติดกันอยู่ แต่พักนี้ไอ้เตี้ยแพคกี้มันมาติดกับชานยอลเหมือนเดิมแล้ว จริงๆ น่าจะเรียกติดกว่าเดิม ติดจนผมคิดว่ามันสองคนคงแอบคบกันด้วยซ้ำ แต่ยังไม่ว่างซักฟอกมันก็แค่นั้น”
“เหรอ” ตาโต ๆ เหมือนกวางของลู่หานส่องประกายวิบวับเมื่อได้ยินเรื่องน่าสนใจ เขาหันไปมองอี้ชิงที่นั่งอึ้งๆ อยู่ข้างๆ
เขาสบตาเพื่อนสนิท และเหมือนว่าความสนิทสนมหลายปีจะทำให้พอเข้าใจกันได้โดยไม่ต้องพูดว่า ลู่หานจะตามหาความจริงกับเรื่องนี้เอง
******************************************30%***************************************
ลู่หานยิ้มพรายบนใบหน้าเมื่อมองผ่านกระจกเข้าไปในร้านกาแฟข้างคณะบริหารแล้วเห็นร่างสูงของอู๋อี้ฟ่านนั่งอยู่บนโต๊ะประจำ จริงๆ ไม่ต้องลุ้นมันก็พอจะเดาได้ว่าจะต้องเจออี้ฟ่านที่นี่ เพราะไม่ว่าลู่หานจะมาวันไหน เพื่อนร่างสูงก็นั่งประจำที่นี่ทุกครั้งราวกับเป็นหุ้นส่วน แต่ลู่หานรู้ดีว่าอี้ฟ่านมานั่งจับจองที่ตรงนี้ประจำทำไม
เมื่อก่อนตอนสมัยที่อี้ฟ่านกับอี้ชิงยังเป็นแฟนกัน ตอนเช้าอี้ฟ่านต้องพาอี้ชิงมานั่งทานอาหารเช้าที่ร้านนี้จางอี้ชิงเป็นคนที่ต้องทานอาหารเช้า แล้วเจ้าตัวก็ชอบเซทอาหารเช้าและกาแฟของร้านนี้มากชนิดกินจนติด แล้วก็พาลู่หานติดไปอีกคน พอตอนทั้งคู่เลิกกันอี้ชิงก็ยังวนเวียนมาที่นี่บ้าง เพราะไปหาอะไรกินที่ไหนก็ไม่ถูกปากเท่า ส่วนอู๋อี้ฟ่านยังคงนั่งประจำโต๊ะเดิมอย่างไม่เคยเปลี่ยน แบบนี้คนอย่างเสี่ยวลู่หานก็คิดเอาเองว่าอี้ฟ่านตั้งใจมาดักเจอเพื่อนร่างขาวของเขานั่นแหละ จนมาเมื่อไม่นานมานี่ตอนที่พยอยแพคฮยอนมานั่งร่วมโต๊ะกับอี้ฟ่านนั่นแหละที่อี้ชิงไม่ยอมมาที่นี่อีกเลย
และเช้าวันนี้ลู่หานก็ตั้งใจมาสืบข่าวจากต้นตอ โดยที่ไม่บอกอี้ชิงเพราะรู้ว่าถ้าอี้ชิงมาคงไม่ได้เรื่องอะไรมาก ลู่หานกวาดตามองไปทั่วร้านกาแฟก่อนเดินเข้าไป เขาไม่เห็นแพคฮยอนอยู่ที่นี่ แบบนี้ก็น่าจะจริงอย่างที่จงอินว่าไว้ ว่าแพคฮยอนไม่ได้ตัวติดกับเพื่อนของลู่หานแล้ว เพราะก่อนหน้านั้นเขาเห็นเด็กคนนี้กับเพื่อนที่ชื่อปาร์คชานยอลบ่อย ๆ ที่ร้านนี้
“นั่งด้วยได้ไหม” ลู่หานก้มลงไปเอ่ยถามคนที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือพิมพ์ พอคริสอู๋เงยหน้ามาแล้วเห็นตาแป๋ว ๆ และใบหน้าจิ้มลิ้มของเพื่อนสนิท เขาก็พยักหน้าให้ ก่อนจะกวาดสายตามองไปด้านหลังของลู่หาน
“ชิงชิงไม่ได้มาหรอกฉันมาคนเดียว” คนน่ารักพูด ก่อนจะยักคิ้วให้อี้ฟ่าน เหมือนจะบอกว่าตัวเองรู้ทันอีกฝ่ายดี
“เดี๋ยวมาไปสั่งอะไรกินก่อน”
คริสมองตามหลังลู่หานไปด้วยสีหน้างง ๆ ปรกติลู่หานไม่เคยมาที่นี่คนเดียว แล้วก็น้อยครั้งที่จะมานั่งร่วมโต๊ะกับเขาแต่วันนี้มาได้ยังไง แต่ถ้าจะมาก็ไม่ควรมาคนเดียว อี้ฟ่านอยากให้ลู่หานพารูมเมทปัจจุบันติดมาด้วยต่างหาก
“ทำไมมาคนเดียวได้” อี้ฟ่านตั้งคำถามทันทีที่ลู่หานลงนั่งตรงข้ามกับเขา
“ทีนายยังนั่งคนเดียวได้ทุกวัน”
“ที่ฉันทำมันปรกติ แต่ที่นายทำไม่ปรกติเสี่ยวลู่”
“ก็ไม่มีอะไรแค่หิว แล้วก็คิดว่ามาที่นี่ต้องเจอนายแน่นอน เพราะนายเล่นมานั่งดักรอใครบางคนอยู่ทุกวัน”
อี้ฟ่านเลิกคิ้วมองคนรู้ทัน เขาไม่คิดว่าลู่หานจะรู้อกรู้ใจเขาขนาดนี้ แล้วไม่รู้ว่าอี้ชิงจะรู้ไปด้วยหรือเปล่า
“ใครบอกนายว่าฉันมาดักรอใคร ที่นี่มันใกล้คณะ ฉันจะนั่งก็ไม่ผิด”
“อย่ามาทำปากไม่ตรงกับใจคริส มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”
“ถ้าฉันพูดแล้วจะมีอะไรดีขึ้นหรือไง”
ลู่หานยิ้มตาเป็นประกายกับคำพูดเหมือนประชดนั่น เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะกวาดสายตามมองไปรอบร้าน
“วันนี้น้องแพคกี้ไม่มาเหรอ”
“ถามถึงเขาทำไม”
“ถามไม่ได้? ก็ฉันมาทีไรเจอน้องเขาทุกที”
“เขาไม่มานานแล้ว”
“ทำไมล่ะ ก็เห็นนายควงๆ เขาอยู่ หรือเบื่อไม่อยากมานั่งเฝ้านายที่นั่งรอคนอื่นที่ร้านนี้ทุกเช้าแล้ว”
อี้ฟ่านหรี่ตามองเพื่อนตัวเล็กที่เจื้อยแจ้วถามด้วยความสงสัย วันนี้ทำไมลู่หานดูเหมือนกำลังจะกวนประสาทเขา
“มีอะไรอยากจะถามจะคุยถามตรงๆ เสี่ยวลู่ อย่ามาพูดจาแบบนี้”
พอเจอคำพูดแบบนี้ลู่หานก็แกล้งกรอกตาไปมา ราวกับว่าไม่รู้เรื่อง แต่พอเห็นสายตาแข็งกร้าวของอู๋อี้ฟ่านจ้องไม่ปล่อยลู่หานก็ต้องยอม
“ก็แค่สงสัย พักนี้ไม่เห็นไปไหนมาไหนด้วยกัน เลิกกันแล้วหรือไง”
“ฉันยังไม่ได้คบกับเขาจะเลิกได้ไง”
“อ้าวยังไม่คบกันหรอกเหรอ” ลู่หานแกล้งทำหน้าไม่เชื่อ
“อย่ามาพูดแบบนี้เสี่ยวลู่ ฉันก็เคยบอกนายแล้วว่าแค่กำลังคุยกัน ไม่ได้คบกัน แล้วถึงตอนนี้ก็ไม่มีทางจะคบกันได้แล้ว”
“หมายความว่ายังไง” คราวนี้ลู่หานทำหน้างงจริงๆ อย่างไม่ได้แกล้งเลยล่ะ
“ก็หมายความว่าฉันกับแพคฮยอนไม่ได้เป็นแฟนกัน ไม่ได้คบกัน แล้วก็คงไม่มีทางได้คบกันแล้ว ตอนนี้แพคฮยอนเขาคบกับคนอื่นอยู่”
“ใครอ่ะ”
“จะรู้ไปทำไม อยากรู้ก็ไปถามเขาเองซิ”
“นี่นายเฮิร์ทหรือเปล่าคริส”
“จะเฮิร์ททำไม ฉันออกจะดีใจด้วยซ้ำที่น้องเขาเจอคนรักที่ดี นี่ฉันมองเหมือนคนอกหักหรือไงกัน”
“เปล่าเลย” ลู่หานส่ายหัวดิก ก่อนจะแอบลอบยิ้ม นี่เขานึกอยากจะร้องตะโกนดีใจแทนจางอี้ชิงกับคำตอบเสียจริงๆ ตอนนี้อี้ฟ่านไม่มีใคร และถึงอี้ชิงจะยังใจแข็งอยู่ แต่อย่างน้อยจางอี้ชิงก็จะได้เลิกทำหน้าอมทุกข์จากความหึงหวงของตัวเองเสียที
“อย่างนี้นายก็โสดซิ”
“ฉันโสดมานานแล้วลู่นายก็รู้”
“เน้อ....แบบนี้ยังอยากหาคนใหม่ไหม เหมือนตอนที่นายปรึกษาฉันเรื่องแพคฮยอน นายบอกอยากมองคนอื่นดู จะได้ไม่จมกับเรื่องเดิม”
อี้ฟ่านถอนหายใจเบาๆ เขานึกขำตัวเองกับแนวคิดนั้น เพราะมาถึงตอนนี้เขาก็ไม่เห็นจะลืมเรื่องเก่าๆ คนเก่า ๆ ได้เลย “เสี่ยวลู่ พูดตามตรงว่ามันยากที่ฉันจะลืมอี้ชิง ถึงจะลองคุยกับใคร แต่ฉันก็ยังไม่ลืมเขา แล้วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อไหร่จะลืม”
ลู่หานมองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ที่ทุกคนคิดว่าเพียบพร้อมตรงหน้า อี้ฟ่านกดใบหน้าหล่อเหลาลงกับฝ่ามือ เพื่อซ้อนความรู้สึกเจ็บปวดที่มันล้นออกมา แค่ได้มองได้เห็นไม่ได้รู้สึกเองเขายังเจ็บปวดแทน
อู๋อี้ฟ่านน่าสงสาร....เพื่อนคนนี้ทุ่มเทความรักให้กับอี้ชิงมาก.....หากแต่มันกลับได้ความเจ็บปวดมาแทน....เจ็บปวดทั้งๆ ที่ไม่ควร
“อยากกลับมาคืนดีกับอี้ชิงไหม” อี้ฟ่านยกศีรษะตัวเองออกจากฝ่ามือทันทีเมื่อได้ยินคำถาม
“ถามจริงๆ ตรงๆ ไม่เล่น ยังอยากกลับมาคืนดีกับเขาไหม”
“นายคิดว่าฉันอยากเลิก อยากเป็นแบบนี้หรือไง ทำไมฉันจะไม่อยากกลับมารักกับเขาเหมือนเดิม ในเมื่อฉันยังรักเขา คิดถึงเขาทุกวัน”
“ก็เพราะไม่คิดไง ไม่คิดเลยว่านายจะอยากเลิกฉันถึงถาม ถ้ายังรักอี้ชิง ทำได้ทุกอย่างเพื่ออี้ชิง ฉันจะช่วย ฉันรู้ว่าอี้ชิงก็ไม่ได้เลิกรักนายแต่เขามีเหตุผลในแบบของเขา แต่ถ้านายรับได้ว่าต่อไปเหตุผลนั้นมันจะทำให้นายลำบาก นายจะไม่โทษเขาสำหรับสิ่งที่จะเกิดในอนาคต ฉันก็จะช่วยนายสุดแรงเหมือนกัน ฉันนั่งอยู่ตรงนี้มันลำบากใจ และเจ็บปวดที่เห็นเพื่อนสนิทเป็นแบบนี้”
ลู่หานพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังใส่เพื่อนร่างสูงที่นั่งตรงข้าม อี้ฟ่านรีบกุมคว้ามือของคนตัวเล็กที่วางไว้บนโต๊ะและจับบีบด้วยความหวัง
“ฉันยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นทุกอย่าง หรือแม้มันจะเลวร้ายกว่าที่อี้ชิงคิดฉันก็จะยอมรับ ขออย่างเดียว ขอให้อี้ชิงกับฉันกลับมาเป็นเหมือนเดิม เสี่ยวลู่นายต้องช่วยฉันนะ”
ลู่หานบีบมือตอบเบาๆ เขายิ้มสดใสให้กับอี้ฟ่านก่อนจะพยักหน้า...อู๋อี้ฟ่านแทบอยากจะไปพุ่งกอดเพื่อนตัวเล็กตรงหน้าเขาทันทีที่ได้รับคำตอบ
นี่เขาหวังได้แล้วใช่ไหม หวังว่าอี้ชิงจะกลับมายืนเคียงข้างเขาเหมือนเดิมได้ใช่ไหม
>>>>>>>>>> The Moon and The Sun <<<<<<<<<<<
อู๋อี้ฟ่านรู้สึกเหมือนชัยชนะ และความหวังนั้นอยู่ใกล้แค่มือคว้า หลังจากที่ลู่หานบอกเขาว่าจะช่วยให้เขาคืนดีกับจางอี้ชิง เพราะลู่หานเป็นเพื่อนคนสำคัญของอี้ชิง ลู่หานมีอิทธิพลต่ออี้ชิงเสมอ นี่แหละเขาถึงมีความหวังมากโข
หากแต่ผ่านไปร่วมอาทิตย์ทุกอย่างก็ยังดูเหมือนเดิม เขาจี้ถามลู่หานอยู่เรื่อย ๆ ว่าไปถึงไหน เพื่อนหน้าเด็กก็ได้แต่ตอบว่าช่วงนี้พวกเขายุ่งแต่ก็พยายามพูดกล่อมอี้ชิงอยู่ ซึ่งอี้ฟ่านก็คิดว่าอีกฝ่ายคงยุ่งมากจริงๆ เพราะเขาหาเวลาที่จะคุย หรือเจอ ทั้งลู่หาน และอี้ชิงไม่ได้เลย ลู่หานบอกว่าช่วงนี้มีโคโรกราฟจากต่างประเทศมาสอน พวกเขาเลยต้องเรียนหนัก
แต่ถึงรู้เหตุผลนานับประการ แต่ใจของอี้ฟ่านมันไม่อาจหยุดนิ่งได้ แถมยิ่งคิดก็ยิ่งโหยหา คิดถึงจางอี้ชิงมากขึ้นทุกวัน
อี้ฟ่านพาตัวเองเดินมาจากห้องนอนของเขาเนื่องจากนอนไม่หลับ เขาเปิดประตูเข้ามายังห้องนอนที่เคยเป็นของอดีตคนรัก ทุกอย่างในห้องยังคงไว้เหมือนเมื่อตอนอี้ชิงยังอยู่ แต่ตอนนี้กลิ่นหอมประจำตัวของอี้ชิงมันเลือนหายไปแล้ว คนตัวโตทิ้งตัวเองกับที่นอน ที่พักหลังเขาใช่พักพิงบ่อยพอ ๆ กับที่นอนของตัวเอง เขาดึงหมอนหนุนใบที่อี้ชิงเคยใช้มากอดไว้ เขาทำได้แค่กอดมันแล้วซุกใบหน้าลงไป ไม่มีแล้วกลิ่นหอมที่เขาเคยหลงใหล เขาหลับตาหลงเพื่อกดความเหงา ความคิดถึงให้ย้อนลึกลงไปในอก พร้อมกับข่มตาตัวเองให้จมลงในนิทราที่แสนเหงา
เสียงเตือนข้อความของโทรศัพท์ปลุกให้อี้ฟ่านตื่นมาในช่วงสายของวันอาทิตย์ เขาสะลึมสะลือคว้าโทรศัพท์มาอ่าน ก็เห็นว่าลู่หานส่งข้อความมา เพื่อนคนน่ารักบอกว่าวันนี้เขาว่างไม่มีคลาสฝึก กำลังจะออกไปดูหนัง ชวนอี้ชิงแล้วแต่ไม่ยอมไปด้วย ลู่หานเลยออกไปดูหนังและเดินเที่ยวกับคิมจงอิน ส่วนอี้ชิงอยู่ในห้องคนเดียว ลู่หานพิมพ์มาแค่นี้ แต่อี้ฟ่านก็รู้ทันทีว่าเพื่อนตัวเล็กหมายถึงอะไร
อู๋อี้ฟ่านเผยรอยยิ้มระบายบนสีหน้าหล่อ วันนี้เขาต้องหาทางเจออี้ชิงให้ได้
เขานอนคิดว่าถ้าบุกไปหาถึงห้องของอี้ชิงมันก็ดูไม่มีเหตุผลนัก ดีไม่ดีจะโดนไล่กลับเพราะตอนนี้อี้ชิงไปไหนมาไหนเองได้คล่องแล้ว จะโทรไปชวนให้ออกมาเจอกันก็ดูมีหวังจะโดนปฏิเสธมากโข อี้ฟ่านนอนกลิ้งไปกลิ้งมาคิดหาวิธี จนเหลือบเห็นที่มุมหนึ่งของห้อง กระเป๋าเดินทางแบรนด์เนมราคาแพงของเขาวางเอาไว้ตรงนั้น กระเป๋าใบนี้ตอนเขาซื้อมาอี้ชิงบ่นหนักหนาว่าเสียดายเงิน และล่าสุดที่อี้ชิงกลับจีน เขาก็ให้คนตัวขาวยืมกระเป๋าใบนี้ไปใช้ มันเลยยังถูกวางไว้ที่ห้องนี้ อี้ฟ่านระบายยิ้มร้ายเมื่อเขานึกถึงแผนบางอย่างในหัวได้
ชื่อของคริสอู๋ที่ปรากฏบนจอโทรศัพท์นั้นทำให้อี้ชิงต้องแปลกใจ ร้อยวันพันปีอู๋อี้ฟ่านไม่เคยโทรมาหาเขา ถ้านับตั้งแต่เลิกกันนี่เป็นครั้งที่ 2 ได้ที่ฝ่ายนั้นโทรมา อี้ชิงจึงคิดว่าคงเป็นเรื่องสำคัญถึงทำให้อี้ฟ่านโทรมาหาเขา
“มีอะไรเหรอคริส” เสียงน่ารักที่ปลายสายแสนคิดถึงถูกกรอกลงไปในโทรศัพท์ อี้ฟ่านยอมรับว่าใจเขาเต้นราวกับเด็กหนุ่มที่กำลังเริ่มจีบใครสักคนตอนได้ยินเสียงนั้น
“เออ...อี้ชิง เธอจำได้ไหมว่ากระเป๋าเดินทางหลุยส์ วิตตองใบใหญ่เธอเอามันไปไว้ไหน พอดีฉันจะใช้ แต่หาแล้วไม่เจอ” อี้ฟ่านกรอกคำถามไปโดยที่ยังจ้องมองกระเป๋าใบนั้นเจ้าเล่ห์
“อืม...คิดก่อนนะเราไม่แน่ใจ” นี่แหละที่อู๋อี้ฟ่านคาดหวังเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายขี้ลืม อี้ชิงไม่น่าจะจำเรื่องนี้ได้แม่นนักหรอก
“มันไม่อยู่ในห้องคริสจริงๆ เหรอ”
“ไม่ ฉันหาแล้วทุกมุมด้วย”
“แล้วห้องฉันล่ะ”
“ก็หาแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นในห้องแต่งตัวล่ะ” ห้องแต่งตัวที่ว่าคือ วอล์คอิน โคลเซ็ท ที่คริสทำไว้เก็บข้าวของเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายของเขาซึ่งแยกจากห้องนอน เมื่อก่อนอี้ชิงก็เคยร่วมใช้ด้วย แต่ส่วนใหญ่ข้าวของในห้องจะเป็นของคริสมากกว่า
“ก็ไม่มี” อี้ฟ่านแกล้งทำเสียงท้อที่จะหา ซึ่งมันทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดเพราะเขาเป็นคนสุดท้ายที่เอามันไปใช้ แล้วอี้ชิงก็รู้ตัวดีว่าตัวเองขี้ลืม จึงจำไม่ได้ว่าเอามันไปไว้ไหน แถมกระเป๋าใบนี้ก็ราคาแพงมหาโหดอีกด้วย
“คริสจะใช้เมื่อไหร่”
“เดี๋ยวม๊าจะมา จะเอากระเป๋าใบนี้ให้ม๊า”
“อย่างนั้นเหรอ เอายังไงดี เราจำไม่ได้เลยจริงๆ ขอโทษ ถ้ายังไงวันนี้เราว่างเดี๋ยวเราไปช่วยหาแล้วกัน” นี่แหละที่อู๋อี้ฟ่านต้องการ เขาแทบจะตบเข่าฉาดตอนที่จางอี้ชิงตอบมาแบบนี้
“อืมก็ดี ตั้งแต่เธอไม่อยู่ฉันหาอะไรไม่เจอเลย”
คำพูดของคนปลายสายทำให้อี้ชิงแทบสะดุดลมหายใจ คำพูดแบบนี้เขาไม่แน่ใจว่าอี้ฟ่านพูดโดยไม่คิดอะไร หรือเขากำลังโดนตัดพ้อ จางอี้ชิงพยายามไม่สนใจกับคำพูดนั้น เขานัดแนะอี้ฟ่านว่าจะไปหาโดยเร็ว ก่อนจะวางสายไป..ทิ้งให้คนเจ้าวางแผนนอนยิ้มกริ่ม ก่อนจะเดินลากกระเป๋าใบโตจับไปซ่อนในห้องเก็บของไว้เป็นอย่างดี
.
.
.
.
.
.
เสียงกริ่งหน้าห้องปลุกให้คนที่นอนเล่นอยู่บนโซฟา ต้องพลิกตัวขึ้นมา อี้ฟ่านเหลือบมองนาฬิกาที่ฝาผนัง ก็เห็นว่าจากที่เขาโทรไปหาอี้ชิงนี่เพิ่งผ่านไปได้ไม่ถึงชั่วโมง แต่ตอนนี้ร่างเล็กคงจะมาถึงหน้าห้องแล้ว เขารักนิสัยแบบนี้ของอี้ชิงมาก นิสัยช่างเอาใจใส่ความรู้สึกคนอื่น ขี้เกรงใจ อ่อนโยน มุมแบบนี้ทำให้เขารักอีกฝ่ายจนโงหัวไม่ขึ้นแบบนี้
อี้ฟ่านพาตัวเองไปหน้าประตูส่องตาแมว ก็เห็นร่างขาวบางคุ้นตายืนก้มหน้า ยู่ปากอยู่หน้าห้อง เชื่อเลยว่าตอนนี้อี้ชิงคงรู้สึกผิด เขาอยากขอโทษคนตัวเล็กสักพันหนที่เขาแกล้งแบบนี้ แต่มันมีไม่กี่วิธีที่จะทำให้เจอจางอี้ชิงได้ เขาเลยต้องทำแบบนี้
“เข้ามาซิ” อี้ฟ่านเปิดประตูไปเรียกคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง อี้ชิงก้าวเท้าเข้ามาอย่างคุ้นเคย ห้องๆ นี้ยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน และหลังจากที่เขาต้องอาศัยในห้องเล็กๆ มานาน พอมายืนแบบนี้ก็รู้สึกว่าห้องของอี้ฟ่านใหญ่โตกว้างขวางกว่าปรกติ อี้ชิงเหลือบมองสำรวจเขาเห็นข้าวของบางอย่างวางระเกะระกะ นี่อี้ฟ่านคงทิ้งมันรอแม่บ้านให้มาเก็บแน่ๆ
“เธอเปิดประตูเข้ามาเองก็ได้นะ ฉันไม่ได้เปลี่ยนรหัส และลายนิ้วมือที่เข้ารหัสไว้ของเธอยังอยู่” เสียงของเจ้าของห้องที่ดังอยู่ข้างหลังมันทำให้ใจของร่างขาวเบื้องหน้ากระตุก มาอีกแล้วคำพูดคลุมเครือที่ทำให้อี้ชิงไม่แน่ใจว่าคริสอู๋ต้องการอะไร
แต่เขาก็ยอมรับจากใจว่ามันทำให้หัวใจของเขาลอยสูงจากคำคลุมเครือพวกนี้
“เราจะเริ่มหาจากตรงไหนดีล่ะ แต่ฉันจำได้ลาง ๆ นะว่าครั้งสุดท้ายฉันวางไว้ในห้องฉัน” อี้ชิงทำเป็นไม่ใส่ใจกับคำพูดชวนคิดมากของอดีตคนรัก แล้วเดินมุ่งตรงไปยังห้องที่เคยเป็นของเขา เจ้าของห้องเดิมตามร่างเล็กข้างหน้า จนเมื่ออี้ชิงเปิดประตูห้องเข้าไป เข้าก็รู้สึกสะดุดลมหายใจตัวเองอีกครั้ง
ทุกอย่างยังเหมือนเดิมจริงๆ แม้กระทั่งผ้าปูที่นอน ถึงมันจะไม่ใช่ผืนเดียวกับที่เขาใช้ก่อนจะออกจากที่นี่ไปแต่มันก็เป็นผ้าปูที่นอนของเขาเองอีกชุดนึง ข้าวของที่เขาทิ้งไว้บางชิ้นก็ยังวางอยู่ที่เดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย หากแต่พอก้าวย่างเข้ามาในห้องสิ่งที่จางอี้ชิงรับรู้ได้คือกลิ่น...กลิ่นน้ำหอม กลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ที่อี้ชิงจำได้ติดจมูก กลิ่นของอี้ฟ่าน เขานึกแปลกใจว่าทำไมในห้องนี้ถึงเต็มไปด้วยกลิ่นของอดีตคนรัก จางอี้ชิงเหลือบมองไปด้านหลังมองใบหน้าหล่อเหลาของอู๋อี้ฟ่าน แล้วหัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้น เมื่อคิดเอาเองว่าอดีตคนรักคงเข้ามาในห้องนี้บ่อยเสียจนกลิ่นกายของเขาติดอยู่ราวกับเป็นห้องนอนของอี้ฟ่านเอง
“หากันเหอะเน้อ” อี้ชิงเอ่ยบอกเหมือนพยายามตัดอารมณ์คิดไปไกลของตัวเอง เจ้าตัวเริ่มเปิดประตูตู้เสื้อผ้า ก้มหน้าก้มตารื้อมุมโน่นมุมนี้เท่าที่จะเป็นไปได้โดยมีอู๋อี้ฟ่านมองตาม เขาเองก็แกล้งทำเป็นหาแต่เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าหาไปก็ไม่เจอ เจ้าตัวเลยยืนพิงขอบตู้มองเบื้องหลังของอี้ชิงอยู่แบบนั้น
อี้ชิงผอมกว่าแต่ก่อน แต่ช่วงแขนมีกล้ามเนื้อชัดเจนคงเพราะออกกำลังกายเยอะ ผิวของอี้ชิงที่ขาวอยู่แล้วดูขาวกว่าเดิมคงเพราะเข้าคอร์สเตรียมตัวเดบิวต์แล้ว เรือนผมที่เลยหยักศกตอนนี้กลายเป็นผมตรงที่เริ่มยาวเคลียไหล่ และมันทำให้ใบหน้าขาว ที่มีลักยิ้มประดับนั้นดูหวานขึ้น ซึ่งมันทำให้หัวใจของคนที่มองอยู่เต้นผิดจังหวะไม่ยาก
“สงสัยไม่อยู่ที่นี่แน่ๆ เลย ใบใหญ่เสียขนาดนั้นมันไม่มีที่จะซ่อนแล้วล่ะ” จางอี้ชิงเงยหน้าขึ้นมาหลังจากก้มมองใต้ฐานเตียง ใบหน้าขาวใสมีรอยซึมของเหงื่ออยู่ตามไรผม แล้วเมื่อพออี้ชิงเดินผ่านเจ้าของห้อง อี้ฟ่านก็ดึงมือนั้นเอาไว้
เขาค่อยๆ จับเรือนผมยาวนั้นทัดหู และใช้หลังมือซับเหงื่อที่ซึมอยู่บนหน้าผากขาวนั้น อี้ชิงสะดุ้งจนแทบจะสะบัดมือเมื่อโดนกระทำแบบนั้น
“คริส”
“ใครสั่งใครสอนเธอให้เรียกฉันว่าคริสกันอี้ชิง”
จางอี้ชิงหมุ่นคิ้วกับคำถามนั้น คนตัวเล็กเงยหน้าไปมองใบหน้าจริงจังของคนที่จับข้อมือของเขาไม่ปล่อย
“ไม่มี แต่ใครๆ ก็เรียกกันนี่”
“แต่เมื่อก่อนเธอเรียกฉันว่าอี้ฟ่าน ไม่ก็อาฟ่าน ไม่ใช่คริส”
“แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว” อี้ชิงพูดตอบอึกอัก และหันหน้าหลบตา จนมือใหญ่นั้นเปลี่ยนจากข้อมือขาวมาเป็นกอบแก้มร่างเล็กให้หันมามองเขาตรงๆ
“ทำไมจะไม่เหมือนเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิมอี้ชิง โดยเฉพาะฉันยังเหมือนเดิมทุกอย่าง”
“แต่เราเลิกกันแล้วคริส นายจำไม่ได้หรือไง”
“จำได้ซิ จำได้ดีเลยล่ะ ใครจะลืมลง ลืมเวลาที่เจ็บแบบนั้นได้” น้ำเสียงตัดพ้อมันทำให้ท้องไส้จางอี้ชิงปั่นป่วนไปหมด เขาไม่รู้จะรับมือยังไงกับท่าทางแบบนี้ของคริสอู๋
เมื่อคราวที่บอกเลิกกันคริสยังไม่ตัดพ้อเขาขนาดนี้เลย ตอนนั้นดูพูดง่ายกว่านี้เยอะ คงเพราะตอนนั้นพวกเขาอยู่ในช่วงระหองระแหงกันอยู่
“ในเมื่อฉันทำให้นายเจ็บ นายจะดึงฉันไว้ให้นายเจ็บอีกทำไมละคริสปล่อยฉันเหอะ”
“ระหว่างที่เธออยู่แล้วทำให้ฉันเจ็บ มันยังน้อยกว่าเวลาที่เธอไม่อยู่อี้ชิง น้อยกว่ามาก ฉันแทบอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเธอ ฉันทำอะไรแทบไม่เป็นเวลาที่เธอไม่อยู่ที่นี่ ฉันไม่รู้จะคุยกับใครเวลาที่มองไปแล้วห้องมันมีแต่ฉัน ฉันเหงาอยากคว้ากอดเธอก็ทำไม่ได้ มันเจ็บมากเจ็บกว่าที่เธอจะรู้”
“ที่เป็นแบบนี้นายก็แค่เหงา เดี๋ยวนายก็จะชิน”
“จริงเหรอ นี่มันผ่านไปกี่เดือนแล้วทำไมฉันยังไม่ชิน ตอบฉันหน่อยซิว่าจะทำยังไงถึงจะชิน ตอบฉันซิอี้ชิงตอบฉัน ถ้าเธอทำได้แล้วให้คำตอบฉันหน่อย” อู๋อี้ฟ่านเลื่อนมือไปจับที่ไหล่แล้วเขาก็จับร่างตรงหน้าเขย่าหาคำตอบ เขารู้ว่าอี้ชิงให้คำตอบเขาไม่ได้หรอก เพราะอีกฝ่ายก็ยังไม่ลืมเขา
“คริสขอร้อง อย่าทำแบบนี้ ฉันตอบไม่ได้”
“นี่ไงนายยังทำไม่ได้แล้วจะมาสอนฉัน”
“ที่ฉันพูดเพราะฉันหวังดีกับนายนะ ฉันอยากให้นายลืมฉัน ตั้งต้นใหม่ เราอยู่กันก็มีแต่จะเสียใจในวันข้างหน้า ฉันมันเห็นแก่ตัว เราควรเลิกกันตั้งแต่ตอนที่ยังผูกพันกันเท่านี้ อย่าผูกพันไปมากกว่านี้”
อี้ฟ่านนิ่งไปกับคำพูดพวกนั้น....ทำไม จางอี้ชิงถึงมองความรักของเขาด้อยค่านัก ทำไมถึงมองแต่ว่าความรักของพวกเขาจะไม่จีรัง ทั้งๆ ที่เขาพยายามที่จะทะนุถนอมมัน
“ทำไมถึงคิดแต่ในแง่ร้าย เราอาจอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขก็ได้นะอี้ชิง อยู่กันจนแก่เฒ่า”
“มันแค่เป็นเรื่องในจินตนาการนะคริส บนความจริงมันไม่ใช่ นายพร่ำบอกให้ฉันเลิกความฝันเป็นนักร้องอยู่ทุกวี่วัน นายบอกฉันว่าสักวันฉันอาจจะพิการ ป่วย หรือตายจากไอ้ความพยายามของฉัน แต่ฉันให้นายไม่ได้ ฉันมีความฝัน ฉันรู้นะคริสว่า นายห่วงฉันถึงพูดแบบนี้ แต่ฉันทิ้งมันไม่ได้ ถ้ามันจะเป็นอะไร แล้วฉันไม่ได้เป็นนักร้องจริงๆ ฉันก็ยังรู้สึกว่าฉันได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว การที่เราเลิกกันนายจะได้ไม่ต้องมาทุกข์มาร้อนกับเรื่องนี้อีก แล้วคริสนายก็รู้ว่าถ้าวันนึงฉันได้เป็นนักร้อง เป็นไอดอลจริงๆ โลกของเราจะไม่ได้มีแค่เราสองคน เรื่องราวต่างๆ จะถูกรื้อขุดคุ้ย มันไม่ได้มีแค่ฉัน เพราะฉันต้องแบกสถานะของวง ของเพื่อนร่วมวง ของทีมงานไว้ เราเลิกกันมันดีแล้วคริส อย่าเลิกกันตอนสายไปเลย”
คริสอยากจะบ้าเมื่อได้ยินคำพูดทำร้ายจิตใจเขาอีกครั้ง เขาโครตเข้าใจถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่จางอี้ชิงอธิบาย เขารู้ว่าอดีตคนรักพูดไม่ใช่เพื่อตัวเองทั้งหมด แต่ที่ทำเพราะอี้ชิงมีความมุ่งมั่น และความรับผิดชอบต่อทุกคนแม้แต่กระทั่งเขา
อี้ชิงเคยบอกว่าถ้าสักวันนึงเรื่องราวของพวกเขาถูกขุดคุ้ย ไม่ใช่แค่ชื่อเสียงของอี้ชิงที่จะเสียหาย แต่มันรวมถึงชื่อเสียงของลูกชายนักธุรกิจดังอย่างเขาด้วย ถึงประเทศจีนจะยอมรับคู่รักชายชายได้มากกว่าเกาหลีหลายเท่า แต่ในระดับของคนมีชื่อเสียง ของคนที่จะเป็นที่พึ่งพิงของคนอีกหลายคนข้างหน้า มันยังไม่ถูกยอมรับขนาดนั้น
อี้ฟ่านรู้อี้ฟ่านเข้าใจ......แต่หัวใจของเขามันไม่พร้อมจะจากลา การที่มองไปวันข้างหน้าแล้วไม่มีจางอี้ชิงอยู่ข้างๆ เป็นขวัญ เป็นพลัง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขา อี้ฟ่านไม่รู้จริงๆ ว่าจะอยู่ได้ยังไง
“ฉันรู้ ฉันเข้าใจมันตั้งแต่วันนั้นที่นายบอก แต่มันเจ็บ มันทรมาน ฉันรักนายจนเกินกว่าจะเอาเหตุผลพวกนั้นมารองรับได้ อี้ชิงฉันขอร้อง กลับมา มาอยู่ข้างฉัน ฉันจะเข้าใจนายทุกอย่าง จะไม่วุ่นวายทำให้นายลำบากใจอีก ขอร้อง”
อู๋อี้ฟ่านกอบใบหน้าเนียนให้มองตาเขา ดวงตาของอี้ชิงแดงก่ำ คงไม่ต่างจากเขา ใบหน้าสวยกัดริมฝีปากจนแดงช้ำ แววตาเจ็บปวดส่งมาราวกับแทบขาดใจไม่ต่างกัน อี้ฟ่านรู้สึกตัวอีกทีว่าตัวเองกำลังร้องไห้ก็ตอนอี้ชิงเลื่อนปลายนิ้วเรียวมาเช็ดน้ำตาให้กับเขา
“อย่าทำแบบนี้คริส ขอร้อง ฉันเจ็บ”
“แล้วเธอคิดว่าฉันไม่เจ็บหรือไง ให้ฉันคุกเข่าขอร้องเธอตอนนี้ฉันก็ทำ”
อี้ชิงกลั้นน้ำตาไม่ไหวแล้ว เจ้าตัวหลบสายตาจากแววตาเจ็บปวดของชายคนรักตรงหน้า อี้ชิงเหมือนคนกำลังจมน้ำ เขาอยากหลุดพ้นไปจากตรงนี้ อยากให้มีคนช่วยดึงเขาขึ้นไป ตอนนี้อี้ชิงเหมือนกำลังหายใจไม่ออก และไม่รู้จะว่ายไปทางไหนดี
“อี้ชิง”เสียงออดอ้อนดังกระซิบแผ่วอยู่ข้างหู สัมผัสอุ่นค่อยๆ แตะที่ใบหูของอี้ชิงจนต้องหลบหนี คนตัวเล็กหันมามองคนรักที่ตอนนี้แทบจะใบหน้าแนบกับใบหน้าของเขา ยิ่งมองยิ่งเจ็บปวก อี้ฟ่านคงไม่รู้หรอกว่าเวลาที่อี้ฟ่านเป็นแบบนี้ จางอี้ชิงเจ็บกว่าแค่ไหน
“ไม่ได้จริงๆ คริส”
อู๋อี้ฟ่านไม่อยากฟังคำปฏิเสธใด ๆ อีกแล้ว เขาไม่อยากฟังชื่อของเขาที่ไม่อนุญาตให้อี้ชิงเรียกอีกแล้ว อี้ฟ่านยึดแนวคางของคนตัวเล็กด้วยมือเดียว เขากดริมฝีปากอิ่มของเขาลงกับริมฝีปากแดงจัดของร่างเบื้องหน้า กดจูบเน้นหนักจนอี้ชิงตกใจ คนตัวเล็กดิ้นหนีแต่ก็ไม่พ้นเพราะแขนอีกข้างล็อคช่วงเอวบางของอี้ชิงเอาไว้แนบกับร่างที่ใหญ่กว่า จูบเอาแต่ใจขโมยลมหายใจ และวิญญาณของจางอี้ชิงไป รสจูบที่ทำให้คนถูกจูบคิดอะไรไม่ออก กลิ่นกายของอี้ฟ่านยังคงทำให้อี้ชิงลุ่มหลงเขากำลังแพ้อี้ชิงรู้ แพ้อย่าราบคาบด้วย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++ TBC +++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็น