ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] FICTION ROOM [CHANBAEK,KRISLAY,KAILU]

    ลำดับตอนที่ #14 : [KaiLu Fiction] บันทึกลับเด็กเสี่ยลู่!! [บันทึกที่ 1]

    • อัปเดตล่าสุด 8 ม.ค. 56






    Titile: บันทึกลับเด็กเสี่ยลู่!!
    Author: Angel Midori
    Genre: Romantic Comedy
    Rating: PG-13
    Pairing: KaiLu or Lukai ?



    มันเป็นฟิคชั่ววูบ มันอาจจะมาอีก หรืออาจจะไม่มา ไม่มีอะไรเลยแค่คิดมาชั่ววูบ แรงบันดาลใจคืออะไรยังไง 555

    แต่คิดเอาเองว่ามันจะน่ารักปนฮา 

    ส่วนใครที่รอ พระัจันทร์กับดวงอาทิตย์ คริสเลย์ ปลายวีคเจอกันค่ะ เรื่องนั้นเค้าชอบแต่งตอนใกล้เช้า เงียบๆ เลยต้องใช้เวลาช่วงวีคเอ็นแต่ง


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


     

    ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าผมจะต้องมานั่งทำอะไรแบบนี้ มานั่งเขียนไดอารี่ออนไลน์ ทั้งๆ ที่ผมเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องปัญญาอ่อน ไร้สาระ ไม่เท่ห์ แล้วยิ่งโดยเฉพาะการเขียนไดอารี่ออนไลน์แบบลับๆ

     

     

    แต่ผมไม่มีทางเลือก ผมอยากระบายเรื่องที่บอกใครไม่ได้ ผมเลยต้องทำแบบนี้

     

     

    ผมนายคิมจงอิน ชั้นปี 1 คณะศิลปกรรม เอกนาฏศิลป์สากล  มหาวิทยาลัย XX

     

     

    18 ปีที่ผ่านมาของผม ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นมากมาย ชีวิตของผมปรกติสุขมาก จนถึงมากที่สุด จนมาเมื่อไม่นานมานี่แหละที่ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมไม่ปรกติ

     

     

     

    ก่อนมาเรียนที่มหาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งด้านศิลปะแห่งนี้ ผมเรียนโรงเรียนมัธยมทางด้านศิลปะอันดับหนึ่งของประเทศเช่นกัน ผมเรียนเอกเต้นตั้งแต่เด็ก และผมรู้สึกว่าผมทำได้ดี จนทำให้ผมเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ไม่ได้ยากนัก แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ผมจะเล่า ผมไม่ได้เครียดเรื่องเรียน (แล้วผมจะเล่าทำไมวะ)

     

     

     

    เริ่มใหม่ ๆ คือที่ผมจะเล่าคือ ตอนสมัยมัธยม ใครๆ ก็บอกว่าผมหน้าตาดี มีเสน่ห์ เซ็กซี่ ผมไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่มันเหมือนมีคนมากล่อมประสาทจนทำให้ผมก็เห็นว่า เออผมก็หล่อดีนะ มันเลยทำให้ผมมั่นใจในหน้าตาและเสน่ห์ของตัวเองระดับนึง ในตอนมัธยมปลายผมมีแฟนสาวมาตลอด 3 ปีของการเรียน คบนานบ้างสั้นบ้าง แต่ผมคิดว่าผมไม่ได้รักใครจริงๆ จังๆ มันเหมือนกับว่าเขาสนใจผม ผมลองคุยเราก็ลองคบกัน และถ้าคบกันแล้วมีปัญหาผมก็เลิกเลยไม่ได้ยากอะไร จริงๆ ผมเคยมีผู้หญิงที่แอบชอบนะแต่ผมก็ไม่กล้าจีบ ผมจีบใครไม่เป็นที่ผ่านมาก็คบกันแบบไม่ได้จีบ ผมจึงตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าผมเข้ามหาลัย ถ้าผมชอบใครผมจะจีบบ้างแล้ว จะได้ไม่ต้องมารักๆ เลิก ๆ แบบนี้อีก

     

     

     

    แต่ให้ตายเหอะ ผ่านมาเกินครึ่งปีผมยังไม่ได้จีบสาวคนไหนเลย

     

     

     

    ทีนี้ผมจะเข้าเรื่องแล้วนะ มันเข้าเรื่องยากชะมัด คือผมจะพูดยังไงดี ที่ผมเกริ่นมานั่นเพื่อจะบอกว่า ผมน่ะเป็นผู้ชายปรกติ ที่ปรกติมาก ๆ ผมคิดว่าผมเนี่ยเป็นพวก straight ไม่ใช่แปลว่าตรงนะ อย่าซื่อ คือผมหมายถึงผมเป็นพวกผู้ชายธรรมดาที่ชอบผู้หญิง ผมแมน แมนเต็มขั้น ผมมีแฟน ผมมองผู้หญิงมาตลอด ผมคิดว่าผมเป็นอย่างนั้น จนก่อนหน้านี้มันชักมีอะไรบางอย่างทำให้ผมไขว้เขว หรือมากกว่าไขว้เขววะ!!

     

     

     

     

    คือเรื่องมันเริ่มตั้งแต่ผมได้เข้ามาเป็นเฟรชชี่ใหม่ ๆ ตอนเปิดเทอม เขามีกิจกรรมสานสัมพันธ์รุ่นพี่รุ่นน้อง กิจกรรมนี้รุ่นพี่หลอกพารุ่นน้องไปโน่นเกาะเชจู ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร และอยากไปเที่ยวผมเลยยอมไปด้วย ที่นั่นทำให้ผมได้เพื่อนสนิทต่างเอกมาคือชานยอล แพคฮยอน จื่อเทา และจงแด แต่มีแค่จงแดและแพคฮยอนเรียนเอกเดียวกันคือเอกวอยส์ ส่วนจื่อเทา เป็นคนจีนเรียกเอกนาฏศิลป์เอเชีย และชานยอลเรียนเอกดนตรีสากล และนอกจากเพื่อนอยู่ดีๆ ผมก็ได้รุ่นพี่มาสนิทด้วยแบบงง ๆ

     


     

    พี่คริส พี่จุนมยอน พี่มินซอก พี่อี้ชิง และ พี่ลู่หาน  เรารู้จักกัน เพราะพี่ลู่หานมาทักผม ถามชื่อ เอก และก็ชวนคุย ก็แค่นั้น ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่เขาเป็นคนจีน หน้าตาเขาไม่ให้ แต่หน้าตาก็ไม่เหมือนเกาหลีเสียทีเดียวหรอก แต่พี่เขาพูดเกาหลีคล่อง สำเนียงเป๊ะ มีแค่ชื่อที่ประหลาดกว่าคนเกาหลีนิดหน่อย ผมเลยไม่คิดว่าพี่เขาเป็นคนต่างชาติ และผมมารู้ว่าพี่เขาเป็นคนจีนก็จนวันหลังๆ ก่อนที่เราจะกลับโซลแล้วเพราะเพื่อน ๆ พี่เขาบอก

     

     

     

    พี่ลู่หานเรียนเอกวอยส์ หน้าตาน่ารัก น่ารักแบบโดดเด่น พอ ๆ กับพี่คริส เพื่อนคนจีนของพี่เขาเหมือนกันที่เด่นมาก แต่คนนั้นออกทางหล่อ พี่ลู่หานน่ารักแบบที่ผู้ชายด้วยกันเห็นยังต้องยอมรับ ตาแป๋วๆ ผิวขาวอมชมพู ขนตายาวๆ ผมหยักศกสีทองบ้าง น้ำตาลบ้างแล้วแต่ช่วงไหนเทรนด์ไหน ปากแดงแป๊ดแถมเล็กๆ อีกต่างหาก แต่พี่เขาก็ดูเป็นผู้ชายปรกติมากๆ ไม่ได้ดูเป็นอ้อนแอ้นอะไรเลยนะถึงหน้าตาจะชวนให้คิด

     

     

     

    หลังจากที่ผมกลับมาจากทริปสานสัมพันธ์นั่น ผมก็เจอพี่ลู่หานและเพื่อนของเขาอีกบ่อยๆ เพราะพี่อี้ชิงเพื่อนสนิทพี่ลู่หานเรียนเอกเดียวกับผม และพี่ลู่หานเขาก็เป็นรุ่นพี่จงแด กับแพคอยอน แถมยังเป็นนักร้องวงประจำมหาลัย เหมือนกันอีก พอสนิทกันแล้วพวกพี่เขาก็ชอบชวนพวกเราไปเลี้ยง ไปเตะบอล เล่นบาส ดูหนัง เดินเล่น เที่ยว กินเหล้า ตามลำดับ แรกๆ เราก็ไปกันเป็นกลุ่ม แต่หลังๆ ก็มีการแบ่งกันตามความสนิทไปกันเป็นก้อนๆ แทน

     

     
     

    ผมเองไม่รู้จับพลัดจับผลูยังไงถึงมาสนิทกับพี่ลู่หาน คงเพราะตอนแรก ๆ พี่เขารับอาสามาส่งผมบ่อยๆ เพราะเขาบอกว่าบ้านผมเป็นทางผ่านไปคอนโดเขา (ซึ่งตอนนี้ผมกำลังคิดว่ามันใช่เหรอวะ) จากมาส่ง ต่อไปพี่เขาก็มารับผมติดรถไปด้วยผมก็ไม่ขัด เพราะพี่ลู่แกรวย รถแกสวย พี่ลู่แกขับเบนซ์สปอร์ต ตากลม สีดำ นั่งมานี่สาวมองแทบคอหัก คือวัฒนธรรมของทางเด็กเกาหลีเราไอ้รถยนต์นี่มันไม่ได้จำเป็นสำหรับเด็กวัยอย่างผม ผิดกับที่บ้านของพวกพี่ๆ เขา เพราะนอกจากพี่ลู่ขับเบนซ์ พี่คริสแกก็ขับ BMW อย่างหรู ไอ้เทาเองแม่ก็ถอยออดี้ให้ใช้ มีแต่พี่อี้ชิงที่แกติดรถพี่คริสมา ฉะนั้นผมก็เลยรู้สึกพราวหน่อยๆ เวลานั่งรถเท่ห์ ๆ ตามประสาผู้ชาย และไม่นานหลังจากนั้นพี่ลู่แกก็สอนผมขับ พาผมไปสอบใบขับขี่ พอสอบได้พี่ลู่แกก็ให้ผมขับรถแกในบางครั้ง

     

     

     

    จากเรื่องไปรับไปส่ง ก็มีเรื่องอื่นที่ทำให้ผมสนิทกับพี่เขามากขึ้นไปอีก ผมเป็นพวกเอาจริงเอาจังกับเรื่องเต้นมาก ผมเรียนเต้นมาตั้งแต่ประถม ผมเต้นมันได้ทุกแนวและทำได้ดี รางวัลนี่เรียงจนเต็มฝาผนังบ้าน และมันทำให้พ่อแม่ผมไม่ขัดเรื่องที่ผมจะเอาดีทางด้านนี้ ถึงแม้ถ้าเป็นไปได้พ่อแม่คงอยากให้ผมเรียนการเมือง การปกครอง เศรษฐศาสตร์ ตามอย่างต้นตระกูลผมตั้งแต่สมัยโกคูรยอ และเพราะด้วยเรื่องที่ผมจริงจังกับเรื่องเต้นทำให้ผมต้องอยู่ซ้อมเย็นทุกวัน บางทีห้องซ้อมก็ไม่ค่อยว่าง เหมือนสมัยโรงเรียนมัธยม ผมเองก็ไม่ค่อยชอบซ้อมเต้นที่บ้านมันไม่ถนัด วันนึงผมบ่นให้พี่ลู่แกฟัง พี่แกเลยเสนอห้องคอนโดแก แกบอกว่าที่ห้องแกมีห้องกระจกเอาไว้ให้แกซ้อมเต้น เพราะพี่ลู่เขาเรียนเต้นอยู่เหมือนกันตั้งแต่สมัยมัธยม แถมตอนนี้ก็เล็งๆ ว่าเรียนจบจะไปเป็นนักร้องจริงๆ จังๆ ผมก็ไม่ปฏิเสธ พลางสงสัยว่าห้องแบบไหนวะถึงจะมีห้องซ้อมเต้น พอไปถึงห้องคอนโดแก ผมก็รู้ นี่ไม่ใช่แค่ห้องธรรมดาแล้วแบบนี้มันต้องเรียกว่าห้องเพนท์เฮ้าส์

     

     

     

    ห้องพี่แกมีสองห้องนอนใหญ่ๆ มีห้องซ้อมเต้นไม่ได้ใหญ่มากแต่สำหรับสองสามคนนี่สบายมาก เพนท์เฮาส์แกอยู่เกือบชั้นบนสุดของอาคารวิวสวยมาก ห้องลีฟวิ่งรูมใหญ่โตโทรทัศน์จอเท่าน้องจอหนัง ผมงี้เคลิ้ม จนคิดสงสัยว่าบ้านพี่ลู่แกค้าขายอะไร (ผมเคยถามนะว่าบ้านพี่แกขายอะไร แกบอกว่าที่บ้านทำธุรกิจเครื่องหนัง แต่พี่คริสแกบอกว่าเครื่องหนังที่ว่าคือขายกระเป๋าแบรนด์เนมก๊อปชนิดมีทุกเกรด พี่ลู่แกเลยมีแบรนด์เนมใช้เป็นตู้ๆ เพราะแกต้องซื้อเอามาให้ที่บ้านลองก๊อป นี่จริงหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ)

     

     

     

    แต่ตั้งแต่นั้นมาผมเลยยึดเพนท์เฮาส์พี่ลู่เป็นที่ซ้อมของผมทุกเย็น ถ้าเหนื่อยก็นอนมันที่นี่แหละมีตั้งสองห้องแบ่งให้น้องใช้บ้าง ทีนี้ผมกับพี่ลู่เลยเหมือนเงาตามตัวกัน หลังๆ ใครๆ ก็ดันแซวว่าผมเป็นเด็กเสี่ย เด็กเสี่ยลู่ มีรถหรูขี่ มีเพนท์เฮาส์หรูนอน แถมบางทีพี่เขายังใจดีซื้อโน่นซื้อนี่ให้ผมใช้อีก

     

     

     

    ตอนนั้นผมไม่คิดอะไร ผมรู้สึกสนุกดีเวลาอยู่กับพี่เขา พี่ลู่เป็นคนน่ารัก เรียนปี 3 แต่ก็ยังเหมือนเด็กอยู่ เฮฮา บ้างทีก็ห้าว บางทีก็น่ารัก ช่างคุย ที่สำคัญเขาใจดีกับผมโครต ๆ ดูแลผมดีกว่าผมดูแลน้องชายลูกพี่ลูกน้องผมอย่างเซฮุนอีก

     

     

     

    สี่ห้าเดือนเราสนิทกันมากจากไปไหนเป็นกลุ่มๆ ก็เหลือไปกันสองคนบ่อยขึ้น ดูหนัง ซื้อของ เดินเล่น บางทีผมก็นอนกลิ้งอยู่ห้องพี่เขาเป็นวันๆ หรือพี่เขาก็มานอนที่บ้านผมสลับกัน บางทีผมตื่นมาแล้วคิดอะไรไม่ออกผมจะคิดถึงพี่ลู่เป็นคนแรกก่อนคิดถึงเพื่อนสนิทที่ผมคบมาตั้งแต่สมัยมัธยมอีกด้วยซ้ำ ถ้าไม่เจอกันเราก็แชทคุยกัน โทรคุยกันตลอด

     

     

     

    แล้ววันนึงก็มีเรื่องที่ทำให้ผมแปลก ๆ กับตัวเอง วันนั้นผมซ้อมเต้นเสร็จเดินออกมาเห็นพี่ลู่นอนกลิ้งอยู่ที่หน้าโทรทัศน์ บนเบาะสติทช์อันเท่าเตียงเดี่ยว เบาะนี่พี่ลู่กับผมเพิ่งไปขนมาจากดงแดมุน หลังจากที่บังเอิญเจอ แล้วเห็นว่ามันน่ารักดีพี่ลู่ก็ซื้อมันมาเลย

     
     

     

    พี่ลู่ยกหัวขึ้นมาจากที่นอนสีฟ้าสดนั่น ตาตุ่ยๆ ปากตุ่ยๆ เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน แต่ที่เด็ดสุดคือพี่ลู่คลุมหัวด้วยฮู้ดหมีริลัคคุมะที่ร้านเขาแถมมากับที่นอน แม่มเอ้ย!! พี่ลู่โครตเหมือนเด็กผู้หญิง ใจผมงี้เต้นตึกตักตอนมอง จริงๆ ผมเคยแอบมองพี่เขาหลายครั้งแล้ว และก็รู้สึกมาตลอดว่าถ้าตัดนิสัยห้าวๆ ไป พี่ลู่เหมือนผู้หญิงมาก เขาน่ารักกว่าผู้หญิงที่ผมเจอมาทั้งชีวิตอีก ผมพยายามสลัดความรู้สึกนี้ทิ้ง คิดว่านี่มันนิสัยผู้ชายปรกติที่เห็นของสวยๆ งามๆ น่ารักๆ มันก็รู้สึกตื่นเต้น กระชุ่มกระชวย แต่นี่มันพี่ และเป็นผู้ชายอีกต่างหาก

     
     

     

    และตั้งแต่วันนั้นผมก็พยายามเลี่ยงที่จะเผลอมองพี่ลู่ตรงๆ เพราะมองทีไรผมจะเห็นพี่เขาน่ารักโครตทุกที

     

     

    และจนวันนึง ที่ม้าหินลานเมเปิ้ลข้างคณะ ไอ้คุณรุ่นพี่ชเวซีวอนวิศวะปี 3 ไม่รู้พี่แกมายังไงไปยังไง พี่แกลงมานั่งที่ม้านั่งที่ผมกับพี่ลู่นั่งกันอยู่  มาส่งตาหวานใส่พี่ลู่ ชวนพี่ลู่ไปดูคอนเสิร์ตพอพี่ลู่ปฏิเสธ เขาก็ขอชวนพี่ลู่ไปหาอะไรกินตอนเย็นวันนั้น พี่ลู่หันมามองผม และบอกไอ้รุ่นพี่นั่นไปว่าเขาต้องไปธุระกับผม (ซึ่งไม่มี จะมีแค่ปรกติที่เราจะไปหาอะไรกินกันก่อนพี่เขาจะไปส่งผมที่บ้าน หรือไปที่เพนท์เฮาส์พี่ลู่) ไอ้รุ่นพี่ซีวอนมันหันมองผมตาแข็งก่อนจะลุกขึ้น แล้วก้มไปกระซิบข้างหูพี่ลู่ ไม่รู้มันกระซิบยังไงถึงทำให้ผมได้ยินได้ มันบอกว่าสักวันมันจะชนะใจพี่ลู่ให้ได้

     
     

     

    ชนะใจ..............เฮ้ย!! นี่มันจีบพี่ลู่นี่หว่า

     

     

    ผมแม่มใจงี้หน่วงๆ เลย แถมหงุดหงิดโครต ๆ ผมมองพี่ลู่ เขาได้แต่หัวเราะจนตาหยี ผมเลยถามพี่เขาตรงๆ ว่าไอ้รุ่นพี่ซีวอนนั่นมาจีบเขาเหรอ เขาก็พยักหน้า แม่เจ้า!! นี่อะไรกันวะ

     

     

     

    แล้วจากวันนั้นผมถึงได้รู้ว่าไอ้รุ่นพี่นั่นเป็นไบเซ็กชัวร์ เป็นแบบใครๆ ก็รู้ด้วย หล่อ รวย สปอร์ต โซล และทั่วถึงจริงๆ เลยครับพี่

     

     

     

    แถมนอกจากรุ่นพี่ซีวอนแล้วผมยังรู้ความลับ (ที่มันลับหรือเปล่า หรือผมไม่เคยสนใจเอง) ว่าพี่ลู่ก็ใช่

     

     

     

    ผมรู้เพราะว่าผมถามพี่เขาว่าพี่ซีวอนมาจีบเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่ลู่ก็บอกจีบมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว จีบ ๆ หายๆ ไป แต่เพิ่งรุก มากๆ ช่วงนี้ เพราะเขาเพิ่งเลิกกับแฟน ผมเลยถามพี่ลู่อีกว่าทำไมปล่อยให้จีบล่ะ พี่เขาก็ตอบว่าแล้วจะทำยังไง ก็บอกไปตรงๆ แล้วว่า พี่เขาไม่ใช่สเปค แต่พี่ซีวอนก็ยังหยอดอยู่ เขาคงสนุก ตอนนั้นผมถอนหายใจเฮือก ผมคิดว่าก็แน่ซิพี่ซีวอนแม่มเป็นผู้ชาย แถมล่ำขนาดนั้นจะสเปคได้ยังไง แต่พี่ลู่ก็ทำเอาผมช็อคอีกเมื่อเขาบอกว่า

     
     

     

    อีกอย่างฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ก็เลยไม่สนซีวอน

     
     

    พี่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว?”

     

     

    อืม.... พี่ลู่ยิ้มตาเป็นสระอิ แก้มงี้แดงเลยตอนตอบ ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกยังไงตอนที่ถามไป

     

     

    สาวคณะไหน ผมรู้จักไหม

     

     

    รู้จักซิ รู้จักดี ไม่ใช่สาวด้วย จบ!! หมดกัน..... ผมเพิ่งรู้ตอนนั้นนั้นแหละว่าพี่ลู่แม่มเป็นเกย์ด้วย

     

     

    ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ ช็อคบอกตรงๆ แต่ผมไม่ได้รังเกียจอะไรเลยนะ แค่ช็อค จริงๆ มันไม่ใช่เรื่องควรแปลกใจอะไร พี่ลู่เป็นเกย์มันก็เหมาะดี ไม่น่าเสียดายเท่าไอ้พี่ซีวอนแน่ๆ แถมพี่ลู่ยังเจริญหูเจริญตา กว่าพวกที่หน้าไม่ให้แต่ใจรัก หากแต่ผมไม่รู้จะปฏิบัติยังไงกับพี่เขา จะทำตัวเหมือนเดิมก็แปลก ๆ

     

     

     

    แล้วตั้งแต่วันนั้นผมก็พยายามเลี่ยงการใกล้ชิดแบบถึงเนื้อถึงตัวพี่ลู่มากขึ้น ไม่ได้รังเกียจจริงๆนะ หากแต่เวลาเราใกล้ชิดกัน เวลามองตาเขาผมจะรู้สึกโครตเขินเลย หากแต่ในใจผมยังวนเวียนอยากรู้ว่าใครที่พี่ลู่แอบชอบ ผมสังเกตแต่ก็หาไม่เจอคน ๆ นั้น....

     

    .

    .

    .

     

    หลังจากวันนั้นไม่กี่วัน พี่ลู่ก็ทักผมในเย็นวันหนึ่งตอนที่ขับรถมาส่งผมว่าเขารู้สึกว่าพักนี้เหมือนเขากับผมไม่ค่อยเจอกัน

     

     

     

    ผมยอมรับว่าผมหลบหน้าเขา ผมไม่ชอบให้หัวใจตัวเองเต้นผิดปรกติ ผมแค่อยากจะปรับสภาพความรู้สึกตัวเองที่รู้สึกกับเขาให้เหมือนพี่น้องกันเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมก็ตอบเขาไปว่าพี่ลู่คงคิดไปเอง ผมเลยชวนพี่เขาไปดูหนัง

     

     

     

    หนังที่เราไปดูเป็นหนังจีน ที่เล่าถึงครอบครัวในชนบท ที่จำเป็นต้องยกลูกสาวให้กับพ่อค้าที่มีฐานะดีแต่ไม่มีลูก และเธอก็ต้องมาผจญความลำบากในเมืองใหญ่ ตอนระหว่างดูอยู่พี่ลู่ค่อยๆ จับมือผมและบีบ เขากดหน้าของเขากับไหล่ของผม ตัวของเขาสั่นเบาๆ ผมรู้สึกอุ่นที่บริเวณไหล่ พี่ลู่กำลังร้องไห้ เขาร้องหนักมากจนผมต้องโอบเขาไว้ ผมถามว่าเขาเป็นอะไร พี่ลู่ตอบผมว่า คิดถึงบ้าน

     

     

     

    ผมจำเนื้อหาของหนังแทบไม่ได้ ผมจำได้แค่ว่าพี่ลู่น่าสงสาร เขาร้องไห้จนหนังจบ เราสองคนเดินจูงมือกันกลับมาที่เพนท์เฮาส์ของพี่ลู่ พี่ลู่ขอให้อยู่เป็นเพื่อน เขาบอกผมว่า เขาคิดถึงบ้านมาก ถึงแม้จะชินกับการที่ต้องอยู่คนเดียวเพราะเขาอยู่โรงเรียนประจำตั้งแต่เล็ก พอโตมาก็ถูกส่งมาเรียนที่เกาหลี หากแต่พี่ลู่บอกว่า พอเวลาที่มีปัญหา เครียด อยากหาที่ปรึกษา หรือคนอยู่เป็นเพื่อน เขาก็รู้สึกทุกครั้งว่าเขาไม่มีใคร เขาดีใจที่เจอผม แต่พักหลังๆ พี่ลู่ก็รู้สึกเหมือนว่าผมกำลังจะทิ้งเขา ผมกอดพี่ลู่ไว้แน่น มันเจ็บปวดที่ได้ยินแบบนั้น ผมบอกกับพี่ลู่ว่าผมไม่มีทางทิ้งเขา เราสองคนอยู่ด้วยกันแบบนั้นทั้งคืนที่เบาะสติทช์ของเรา พี่ลู่พิงอกของผม และจับมือของผมที่กอดเขาไว้แน่นเหมือนกลัวผมจะหาย ผมนั่งพิงหลังกับเบาะ ผมหลับไปแบบนั้น และถ้าผมจะลุกไปไหนพี่ลู่ก็ไม่ยอมที่จะปล่อยผม เขาตามผมเหมือนเด็กติดแม่ มันทั้งน่ารักและน่าสงสาร

     

     

     

    ผมอยู่เพนท์เฮาส์ของพี่ลู่แบบนั้นอยู่สองวัน จนผมต้องกลับบ้าน ตอนพี่ลู่มาส่งผม เขาจอดรถตรงที่จอดรถที่เชิงเขาทางเข้าบ้านผม เราสองคนเดินเตะหิมะเล่นกัน จนมาถึงหน้าบ้านของผม พอผมจะขอลา พี่ลู่ก็มองผมตาละห้อย ช่างเหมือนกับเซฮุนตอนอนุบาลไม่มีผิด ตอนนั้นผมเรียนประถม แม่ของเซฮุนจะไปส่งเขาก่อน และค่อยไปส่งผม เซฮุนจะทำตาแดง มองพวกเราเหมือนกลัวจะทิ้ง และตอนนี้พี่ลู่ก็ทำแบบนั้น เขาตาแดง มองผมเศร้าๆ หิมะกัดแก้มของเขาจนแดง เสื้อฮู้ดสีเทากับผ้าพันคอสีเหลือขับให้พี่ลู่ยิ่งดูน่ารักปนน่าสงสาร และมันทำให้ผมผมทนไม่ได้เลยชวนให้เขาเข้าบ้าน

     

     

     

     

    ผมจำได้ว่าพี่ลู่ยิ้มแบบไหนตอนนั้นตอนที่ผมชวนให้เข้าไปในบ้าน เขายิ้มแบบที่ทำให้ผมต้องยิ้มตอบ ยิ้มของพี่ลู่ทำให้โลกของผมโครตสดใสเลย และพี่ลู่ก็อยู่บ้านผมไปอีกสองวัน เรานั่งเล่นเกมส์กัน นอนเล่นกัน คุยกัน เหมือนปรกติ แต่ที่ไม่ปรกติคือตอนนอนพี่ลู่จะนอนกอดผมไว้...กอดเหมือนกับเมื่อสองคืนก่อนที่เพนท์เฮาส์ของพี่ลู่

     

     

     

    หลังจากนั้นเราสองคนก็กลับมาใช้ชีวิตปรกติมั้ง เพียงแต่ผมเลิกที่จะสนใจหาคนที่พี่ลู่ชอบ และเลิกที่จะหลบหน้าพี่เขา และเราก็สนิทกันมากขึ้น เออ...ไอ้การถึงเนื้อถึงตัวมันเรียกว่าการสนิทกันมากขึ้นไหมวะ คือหลังๆ เวลาเราอยู่กันสองคนพี่ลู่จะนอนกอดผมบ้าง ผมนอนหนุนตักพี่ลู่บ้าง ผมนอนเล่นมือพี่ลู่บ้างไปตามเรื่อง ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรนะ เออแค่อยากทำ ตัวพี่ลู่นิ่มๆ ดี หอมด้วย ผมพี่ลู่แข็งๆ เวลาเอาจมูกไปซุกๆ จะจักจี้ ผมเลยชอบทำ (แต่จริงๆ มันไม่ปรกติซินะ)

     

     

     

     

    แล้วในที่สุดเมื่อคริสมาสต์ที่ผ่านมา มันก็เกิดเรื่องที่ทำให้ผมต้องมาปัญญาอ่อนนั่งเขียนไดอารี่แบบนี้



     

    ก่อนคริสมาสต์ร่วมอาทิตย์พี่ลู่ชวนผมให้ไปเที่ยวคริสมาสต์อีฟกับเขา เขาอ้อนบอกว่าเขาไม่มีใครฉลองเป็นเพื่อน ผมก็ต้องทำตามอยู่แล้วผมทนลูกอ้อนได้ที่ไหน หากแต่ก่อนคริสมาสต์ 2 วัน แพคฮยอนก็มาบอกผมว่าพี่จุนมยอนชวนให้ไปปาร์ตี้คริสมาสต์อีฟ กับกลุ่มพี่เขาที่สกีรีสอร์ท ผมถามก็พบว่าพี่ๆ ทุกคนไปกัน แต่แพคฮยอนไม่แน่ใจว่าพี่ลู่จะไปไหม แต่พี่เขาแพลนไว้นานแล้ว ผมไม่ได้ตอบแพคฮยอนว่าผมจะไป แต่ผมรอว่าพี่ลู่จะว่ายังไงเรื่องนี้ แต่จนแล้วจนรอดพี่ลู่ก็ไม่พูดถึงมัน ผมไม่เชื่อว่าพี่ลู่ไม่รู้ เพราะผมถามพี่อี้ชิงเขาบอกว่าตั้งแต่เริ่มนัดพี่ลู่ปฏิเสธเองว่าจะไม่ไป..ก็แปลว่าพี่ลู่ตั้งใจที่จะไม่ไปเพื่อจะอยู่กับผม

     

     

     

    ผมโครตคิดมากคิดซับคิดซ้อน คิดแล้วคิดอีกว่าจะเอายังไงดี ผมคิดว่าพี่ลู่อาจคิดกับผมมากกว่าแค่รุ่นน้อง หรือบางทีผมอาจคิดไปเองก็ได้ แล้วถ้าพี่ลู่คิดแบบนั้นจริงๆ ผมจะเอายังไงดีวะ ผมแม่มแมนทั้งแท่งนะ แต่ถ้าให้ปฏิเสธก็ไม่กล้าทำ คิดวนไปวนมาจนในที่สุดผมก็ต้องยอมไปฉลองคริสมาสต์อีฟกับพี่ลู่

     

     

     

    มันไม่มีอะไรมากเลย วันนั้นเราสองคนไปนั่งจิบกาแฟที่ร้านกาแฟกึ่งแกลลอรี่เชิงเขานอกเมืองแห่งหนึ่ง วิวที่นั่นสวยมาก เรานั่งคุยไปเรื่อยๆ คุยเรื่องเก่าๆ เรื่องเด็กๆ พี่ลู่เล่าให้ฟังว่าริมฝีปากของพี่เขาที่เป็นแผลเพราะเขาซนขี่จักรยานแล้วล้มปากเลยกระแทกกับแฮนด์รถ ผมจ้องมันจึงเห็นว่ามันชัดมาก จริงๆ ผมเคยเห็นมันนะแต่ไม่ได้สังเกต พอมาเห็นแบบนี้จึงเห็นว่าแผลมันใหญ่มาก และเมื่อผมจ้องมอง ผมก็เริ่มคิดว่าอยากลองแตะแผลนั้นดู แตะมันด้วยปาก!!

     

     

     

    บ้าไปแล้วคิมจงอิน มึงคิดอะไรของมึงครับ!!

     

     

     

    ผมแทบสะดุ้งตอนคิดได้ว่าคิดอะไรบ้าๆ ไป หลังจากนั้นผมก็พยายามที่จะไม่จ้องมองเขาอีก ผมคิดว่าผมแม่มต้องเป็นโรคแพ้ของน่ารักแน่ๆ มันอาจติดมาจากเฮียคริสก็เป็นไปได้

     

     

     

    จากร้านกาแฟ เราก็เดินเล่นกันตอนหัวค่ำดูไฟกันในเมือง พี่ลู่จับแขนเสื้อของผมไว้ตลอดทาง พี่ลู่แก้มแดงจัด เขาหัวเราะลั่นตอนที่ผมพาเขาวิ่งลุยเตะหิมะ เราเดินมองนู่นนี่ไปเรื่อยทาง และจบที่เรานั่งซับเวย์กลับมาที่เพนท์เฮาส์ของพี่ลู่ พี่ลู่นั่งพิงผมมาตลอดทางในรถผมไม่ได้ขยับหนีแต่กลับดึงให้เขาเข้ามาใกล้ มันอุ่นดี และหลังๆ ผมก็เริ่มติดที่จะสัมผัสตัวพี่ลู่

     

     
     

     

    พี่ลู่แวะซื้อวอคก้า กับน้ำผลไม้จากคอนวีเนี่ยนสโตร์ใต้ตึก กะว่าจะเอาไว้กินฉลองกันตอนเคาท์ดาวน์เข้าวันคริสมาสต์ เราดื่มกันไปเรื่อยๆ  และก็เขียนคำอธิฐานลงไปในถุงเท้าแล้วก็แขวนไว้หน้าเตาผิง เรากินเหล้าไปนอนกลิ้งกันไปอยู่บนไอ้เจ้าเบาะสติทช์ที่ลากมาหน้าเตาผิง เสียงนาฬิกาดังตอนเที่ยงคืนเตือนบอกว่าเข้าคริสมาสต์แล้ว พี่ลู่ก้มมองผม เพราะตอนนั้นผมนอนอยู่ เขาก้มลงมาและแนบริมฝีปากกับปากผม และกระซิบคลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปากผม

     

     

     

    สุขสันต์วันคริสมาสต์นะจงอิน

     

     
     

    ผมตกใจผมยอมรับ แต่ผมก็ยังปล่อยให้พี่ลู่จูบผมต่อ และในที่สุดผมก็จูบตอบเขา

     

     
     

    เราจูบกันอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ จนพี่ลู่กระซิบถามผมว่า ไม่รังเกียจเขาใช่ไหม

     

     

    ไม่ ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยให้ตาย แต่ผมไม่ได้ตอบเขานะเพราะผมเลือกจะดึงเขาเข้ามากอดแล้วจูบตอบแทน ทั้งความเมา ทั้งอารมณ์ ทั้งทุกสิ่งทุกอย่างมันพาไป เราสองคนนอนกอดจูบลูบคลำกันอยู่อย่างนั้น จนเมื่อผมรู้สึกตัวอีกทีผมก็เห็นพี่ลู่กำลังไล่จูบผมวนอยู่ที่หน้าท้อง เสื้อของผมกับพี่ลู่หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้




    อารมณ์ตอนนั้นมันพุ่งไปไกลมาก ผมเหมือนกับอยู่บนสวรรค์ นี่มันน่าจะคล้ายกับอารมณ์ตอนคนเมายาเลยซินะ ผมดึงพี่เขาขึ้นมามองตา แล้วพี่เขาก็บอกผมว่า เขารักผม

     

     

     

    ผมตกใจมาก ถามเขาว่าจริงเหรอ พี่ลู่ยู่ปากและบอกผมว่า นี่จีบมาตั้งนานไม่รู้เลยเหรอ

     

     

     

    เฮ้ย!! ที่ผ่านมานี่จีบกรูอยู่เหรอ....ทำไมไม่มีใครบอกวะ

     

     
     

    จะว่าไปก็เหมือนจริงๆ ขับรถหรูมารับมาส่ง ซื้อของแพงๆ ให้ใช้ เปย์ให้อย่างกับเสี่ย พี่ลู่จีบผมยังกับจีบสาวจริงๆ เพียงแต่ผมนึกไม่ถึง

     

     

     

    และหลังจากนั้นพี่ลู่ก็ปล้ำจูบผมอีกรอบ คราวนี้ผมก็ปล่อยอารมณ์เต็มที่ เรามีความสุขด้วยกันอย่างที่สุด ร่างกายของเราสองคนเปลือยเปล่า หากแต่ลมหนาวกลับทำอะไรเราไม่ได้ เรากอดจูบกันราวกับกระหายอยากมานาน และเราก็ต่างช่วยกันจนไปถึงสวรรค์

     

     

     

    ผมนอนหอบหายใจหลังจากที่ไปถึงขอบฝั่งฝันแล้ว พี่ลู่กอดผมแน่นแนบแก้มกับอกผม และสักพักเขาก็ลุกขึ้นมาคร่อมผม

     

     
     

    จงอินพี่อยากได้เรา อยากให้เราเป็นของพี่

     

     
     

    ห๊า!!” ผมตะโกนลั่นเลยล่ะตอนนั้น

     

     

    ไม่ห๊ะนะ จริงๆ พี่รักเรา พี่อยากได้เรา

     

     

    พี่จะรุกผมหรือไง ผมหน้าตาตื่นลุกขึ้นกะทันหันจนพี่ลู่แทบหงายหลังดีที่ผมคว้าเขาไว้ทัน

     

     

    ไม่ได้หรือไง ถามตาแป๋วอีกต่างหาก เฮ้ย!! นี่ยังไง พี่ลู่เป็นแบบไหน เกย์รุก หรือเป็นพวกสาวเสียบ หรืออะไรยังไง

     

     

    ไม่ได้ ผมเป็นผู้ชายนะพี่

     

     

    แต่พี่รักเรานะ หรือเราไม่รักพี่ พี่ลู่กอดผมแล้วซบที่ไหล่เสียงอ้อน อ้อนด้วยหัวก็เรื่องแต่ไอ้ข้างล่างนี่อะไรยังไง อย่าขยับ ขยับมากมันจะตื่นกว่านี้ แค่นี้ก็เริ่มตื่นมาอีกรอบแล้ว

     

     

    มันไม่เกี่ยวไหม

     

     

    เกี่ยวซิ พี่รักเรา พี่อยากให้จงอินเป็นของพี่

     

     

    แต่มันไม่ใช่ ผมไม่รู้จะตอบยังไงจริงๆ เวรกรรมอะไรของผมวะ

     

     

    คราวนี้พี่ลู่นิ่ง แล้วเขาก็เงยหน้ามาจ้องมองผม แต่มือนี่ไม่ยักกะนิ่งด้วยเพราะยังเล่นลูบผมจนผมขนลุกไปหมด ลูบได้แต่อย่าปล้ำแล้วกัน

     

     

    จงอินตอบพี่ก่อนว่าชอบพี่ไหม

     

     

    ชอบ ผมแม่มโครตชอบพี่เลยตอนนี้ผมรู้ตัวแล้ว แล้วหลังจากเมื่อกี้ผมว่าผมเริ่มรักพี่แล้วด้วยซ้ำ แต่ไม่นะมันไม่เกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ ผมไม่ยอมเป็นฝ่ายรับแน่ๆ ผมแมนนะ เคยแมนมาก่อน พี่ลู่เป็นเกย์มาก่อนจะมากินผมได้ยังไง อย่างน้อยต้องให้ผมกินซิ

     

     

    ตอบซิ คราวนี้พี่ลู่เริ่มงอแง

     

     

     

    ชอบซิ ผมชอบพี่ คราวนี้พี่ลู่ยิ้มร่า ตางี้เป็นประกายเหมือนจะร้องไห้เลย เขากอดผมแน่นเอาหัวซุกซอกคอผม พร่ำขอบคุณจนผมต้องจูบปลอบเขาซ้ำ ๆ ที่ขมับหอม ๆ

     

     

     

    ดีใจจัง

     

     

    ผมก็ดีใจที่พี่รักผม พอยังไม่ทันพูดจบพี่ลู่ก็โถมเขามาจูบผมเต็มที่ ทั้งจูบทั้งเม้มที่ริมฝีปากของผม และยังจะกัดมันเบาๆ อีก

     

     

     

    พี่ชอบริมฝีปากของจงอิน พี่อยากลองกัดมันมานานแล้ว พี่ลู่พึมพำ ก่อนจะเริ่มไล่มาไซร้ที่ซอกคอผม แล้วก็เริ่มไล่ต่ำลงเรื่อยๆ พี่ชอบผิวจงอิน ผิวจงอินสวย พี่ชอบทุกอย่างของจงอิน ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ พี่ลู่พึมพำราวกับกำลังฝันอยู่ ผมเองก็เคลิ้ม และจนเมื่อพี่ลู่ค่อยๆ กดจูบที่น้องชายผมที่มันเริ่มตื่นนั่นแหละ ถึงทำให้ผมหลุดจากฝัน

     

     

     

    พี่ลู่ไม่ได้นะ ผมดึงพี่ลู่ขึ้นมาและจับไหล่ไว้แน่น

     

     

     

    อะไรคือไม่ได้ จงอินชอบพี่ พี่ก็ชอบจงอิน พี่อยากให้จงอินเป็นของพี่

     

     

     

    “ไม่ได้ เอาอย่างนี้พี่ยอมเป็นของผมตกลงไหม ผมย้ำคำหนักแน่น พี่ลู่จ้องผมกลับทำตาโต...

     

     

     

    ถ้าไม่ยอม ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน คราวนี้ผมจริงจังขึ้นถึงแม้ตอนนี้ผมอยากต่อแทบแย่ แต่คนเราต้องไว้ลาย

     

     

     

    พี่ลู่ขยับมานั่งบนตักผม เขาโน้มคอผมเข้ามาจนปลายจมูกเราชิดกัน แล้วพี่ลู่ก็กระซิบว่า คราวนี้พี่ยอมนายก็ได้วันหลังค่อยผลัดกัน

     

     

     

    ห๊า!!”

     

     

    แต่ถ้าวันนี้นายไม่ทำอะไรต่อ พี่จะทำเองนะ เวรเอ้ยตอนนั้นผมไม่คิดอะไรต่อแล้ว ผมจับพี่ลู่จูบทันทีทันใด ขืนช้าถ้าพี่ลู่สู้ผมขึ้นมาผมเองก็ไม่แน่ใจว่าใครจะชนะถึงผมตัวใหญ่กว่าก็เหอะ แต่พี่ลู่ก็ตัวไม่ได้เล็กกว่าผมสักเท่าไหร่ แถมเป็นนักกีฬา แล้วตอนนั้นก็ไม่รู้ด้วยว่าใครเมากว่ากัน หรือหื่นกว่ากัน

     

     

     

    ผมจับพี่ลู่จูบจนแทบขาดอากาศหายใจ เราสองคนกอดจูบ และรักกันจนหายหนาว มันไม่ใช่แค่เมา หรือเซ็กซ์แน่ๆ ที่พาผมมาถึงจุดนี้ เพราะผมรู้ดีว่าผมชอบพี่ลู่มานานแล้ว ผมรอแค่เวลาจะยอมรับซึ่งกันและกัน

     

     

     

    เราอิงกายแนบกันด้วยร่างเปลือยเปล่ายั้นเช้า ผมตื่นมาก็ไม่เจอพี่ลู่แล้ว พอลุกขึ้นมาผมก็เห็นเขานั่งใส่ชุดคลุมอาบน้ำ ไขว่ห้างบนโซฟา จิบกาแฟ แล้วมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน...มันไม่ใช่ไหมฉากแบบนี้ มันต้องเป็นผมซิที่ต้องไปนั่งตรงนั้น ไม่ใช่ไอ้บ้าที่นั่งดึงผ้าห่มให้คลุมตัวเพราะหนาวอยู่บนเบาะสีฟ้าแบ๊วๆ แบบนี้

     

     

     

    กาแฟ หรือโกโก้ พี่ลู่ถามผม ผมเลยตอบว่ากาแฟ อยากหายแฮงค์ และพอพี่ลู่เดินหายไปผมก็ลุกขึ้นเดินโทงๆ หมายจะเข้าห้องน้ำ แต่สายตาเหลือบไปเห็นถุงเท้าที่แขวนไว้ ถุงเท้าของผมตอนนี้มีโทรศัพท์ไอโฟน 5 สีดำเสียบไว้อยู่

     

     

     

    ซานตาครอสไม่มีจริงในโลกผมรู้ แต่ไอ้ไอโฟนมันมายังไงวะ ผมเขียนไปเล่น ๆ แท้ๆ ว่าอยากได้ไอโฟน 5 แล้วคราวนี้ผมเลยรื้อถุงเท้าของพี่ลู่บ้างว่ามันมีอะไร มันไม่มีอะไรนอกจากกระดาษที่พี่ลู่เขียนทิ้งเอาไว้ว่า

     

     

     

    อยากได้ความรักจากจงอิน

     

     

     

    พี่ลู่แม่มโรแมนติคไปนะ มีสาระจนผมอาย..... แต่ผมรู้แล้วล่ะว่าบางทีคำอธิฐานจากถุงเท้า หรือซานตาครอสมันอาจมีจริงก็ได้

     

     

     

    พี่ลู่ ผมตะโกนลั่นบ้านจนพี่ลู่ต้องวิ่งออกมาจากครัว

     

     

    เฮ้ยทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าพี่ลู่ตะโกน หน้าแดงเถือกตอนที่เห็นผมนั่งเป็นชีเปลือยอยู่หน้าเตาผิง

     

     

    พี่ลู่ ซานตาครอสมีจริงด้วยเน้อ แม่ผมหลอกผมนี่ ว่าไม่มีจริง ดูซิผมได้ไอโฟน 5 ด้วย คราวนี้พี่ลู่หัวเราะคิกทันที

     

     

     

    แล้วพี่ลู่ก็ได้ความรักจากผมด้วย เห็นไหมว่าซานตาครอสมีจริง

     

     

    คราวนี้พี่ลู่ไม่ได้หัวเราะแล้ว เขากัดริมฝีปากแดงๆ ของเขาจนแน่น น้ำตาของเขาคลอหน่วย จนเมื่อแพขนตายาวๆ นั่นกระพริบน้ำตาก็หยดลงมาเลอะแก้มกลมๆ

     

     

     

    อืม ถ้ารู้ว่าขอซานตาครอสแล้วได้ พี่คงขอมาตั้งนานแล้ว อุตสาห์รอตั้งนาน ผมยิ้มกว้างก่อนจะเดินไปกอดพี่ลู่ไว้แนบกับอก แล้วจับเขาโยกตัวไปมา ผมบอกเขาว่า ถ้าขอกับผมตรงๆ ป่านนี้คงได้สิ่งที่ขอไปตั้งนานแล้วล่ะ มัวแต่จีบผมอยู่ได้ แถมจีบแบบคนถูกจีบไม่รู้ตัวอีกต่างหาก

     

     

     

    เราสองคนหัวเราะกันลั่น วันนั้นทั้งวันเรานอนกอดกันมองหิมะ ผมทำชั่วนิดนึงที่โทรบอกที่บ้านว่าไปสกีรีสอร์ทแล้วกลับมาฉลองคริสมาสต์ไม่ทัน แต่ผมไม่อยากให้พี่ลู่ต้องอยู่คนเดียวในวันคริสมาสต์

     

     
     

    จงอิน..

     

     

    หือม.....

     

     

    คบกับพี่นะพี่ลู่ก้มลงมามองผมที่นอนอยู่บนตัก ผมกำลังคิดว่าพี่เขาขอผมช้าไปหรือเปล่าวะ นี่เราไปไกลเกินกว่าแฟนกันปฏิบัติแล้วไหม หรือเป็นความผิดของผมเองที่ไม่ขอพี่เขาก่อน แอบเสียหน้าเบาๆ

     

     

    อืม...ถึงขนาดนี้แล้วถ้าพี่ไม่คบผม ผมไม่ยอมแน่ ๆ

     

     

     

    ดีจัง พี่ลู่หัวเราะคิกคัก แล้วก็ก้มลงมาจุ๊บผม เราจุ๊บกันซ้ำๆ ก่อนที่ผมจะดึงพี่ลู่ลงมานอนกอดให้ผมก่ายขาเล่น

     

     

     

    นี่จงอิน แต่อย่าบอกคริส กับเพื่อนพี่คนอื่นๆ นะ ว่าพี่ยอมเป็นของเรา

     

     

    พี่หมายความว่ายังไง คราวนี้ผมเด้งขึ้นมานั่งทันทีหลังจากได้ยินคำขอ พี่ลู่ก็ลุกขึ้นตาม แก้มของพี่ลู่แดงเป็นริ้วก่อนจะก้มหน้าตอบผม

     

     

     

    ก็ถ้าพวกนั้นรู้มันต้องล้อพี่แน่ พี่ไม่เคยยอมใครนะ ก่อนหน้านี้พี่เป็นฝ่ายรุกมาตลอด

     

     

     

    ห๊า!! พี่เคยกับคนอื่นมาก่อน ผมแทบช๊อคเมื่อรู้ว่าพี่ลู่ไม่โสด สด ซิงมาก่อน

     

     

     

    พี่อายุเท่าไหร่แล้วจงอิน หรือจงอินยังซิง ซิงโครตๆ เลยแหละพี่ เคยผ่านแต่มือ

     

     

     

    ผมพยักหน้างงๆ คราวนี้พี่ลู่ยิ้มหน้าบานจากที่ปรกติก็บานอยู่แล้ว ดีจัง พี่ได้เปิดบริสุทธิ์เด็กด้วย

     

     

     

    นี่มันไม่ควรหลุดจากปากของคนหน้าตาเหมือนตุ๊กตาแบบนี้นะ แล้วใครกันแน่ที่เปิดบริสุทธิ์ใคร

     

     

     

    นะ ๆ สัญญานะ ว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับพวกนั้น แล้วมันกลับมาเรื่องนี้ได้ยังไงวะครับ

     

     

     

    แล้วถ้าพวกนั้นรู้ว่าเราเป็นแฟนกันแล้วล่ะ

     

     

     

    รู้ก็ไม่เป็นไร แต่อย่าให้รู้ว่าพี่เป็นเคะให้จงอินก็พอ

     

     

     

    เขาก็คิดว่าผมเป็นซิ

     

     

     

    นะ ๆ ช่วยพี่นะ จงอินรักพี่ไม่ใช่เหรอ พี่ลู่ยิ้มทำตาเหมือนลูกหมา ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมอยากบ้า แต่ก็ต้องยอมเออออ แถมพี่ลู่ยังขู่ผมอีกว่าถ้าผมไม่ยอมโกหกวันหลังพี่ลู่จะปล้ำผมให้ได้ นี่ไม่ยอมก็บ้าแล้ว...

     

     

     

     

    และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของผมก็เปลี่ยนไป ...

     

     

     

    ใช่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เปลี่ยนไปมากด้วย ผมมีความสุขมากกับการเป็นแฟนพี่ลู่...

     

     

     

    แต่ไอ้การที่ไอ้พี่คริสมันยิ้มกรุ่มกริ่มใส่ผมแล้วเรียกผมว่า เด็กเสี่ยลู่นี่คืออะไร.. แล้วจากไอ้พี่คริสก็ลามไปที่คนอื่น ทุกคนเรียกผมว่า เด็กเสี่ยลู่ กันอย่างมีเลศนัย มันไม่ใช่แค่คำแซวเหมือนเมื่อก่อน.. แต่ผมรู้ว่ามันหมายถึงอะไร พี่ลู่คงไปบอกเพื่อนเขาหมดแล้วใช่ไหม

     

     

     

    แล้วผมต้องยอมให้คนอื่นเรียกผมว่าเด็กเสี่ยลู่ไปแบบนี้อีกนานแค่ไหน ผมจะปฏิวัติเอาอธิปไตยของผมคืนมาได้เมื่อไหร่ หรือผมต้องยอมเป็นเด็กเสี่ยแบบนี้ตลอดไป....

     

     

     

    พี่ไดอารี่ช่วยผมหน่อยเหอะ!!

     

     

     

    พี่ไดอารี่ เรียกเหมือนเด็กสาวมัธยมเวลาเขียนไดอารี่เลยห่า เรียกแบบอื่นดีไหมเดี๋ยวดูเคะสมจริงไป เรียกเพื่อนไดอารี่แล้วกัน

     

     

     

    เออเพื่อนไดอารี่ช่วยคิดทีเหอะว่าต่อไปกระผมคิมจงอินจะทำยังไง ถึงจะให้โลกรู้ว่าผมเมะ ไม่ได้เป็นเด็กเสี่ยลู่แบบนี้!!



     

    +++++++++++++++++++++++++++++++ TBC?++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×