คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : KISS GOODBYE [Chapter 12]
Titile: KISS GOODBYE [Chapter 12]
Author: Angel Midori
Genre: Romantic Drama
Rating: PG
Pairing: KrisLay
Writer Talk : ขอยังไม่ talk นะคะไมเกรนกิน แต่พยายามเข็นมาลงก่อน เดี๋ยวจะไปคุยรวดเดียวตอนหน้าเลย
แต่แจกลิงค์เพลงก่อน ที่เขียนเครดิตให้ไว้สองเวอร์ชั่นเพราะตัวปุ้มชอบมันทั้งคู่แต่ชอบออริจินัลมากกว่านิดนึง แต่ถ้าให้เข้าอารมณ์ผู้ชายโศกๆ ก็ต้องเวอร์ชั่น ของ หลินจุ้นเจี่ย
เวอร์ชั่น จางฮุ่ยเม่ย (อาเม่ย)
http://www.youtube.com/watch?v=u_67zVnK9PY
เวอร์ชั่น JJ (พร้อมซับอิงค์)
http://www.youtube.com/watch?v=Dz86hSj7X6M
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เช้าวันอาทิตย์ เช้าแห่งวันพักผ่อน ซึ่งปรกติคุณหมอหนุ่มมักจะเลือกพักผ่อนด้วยการหลับใหลไปจนเกือบเที่ยง หากแต่เช้าวันนี้เขากลับพาตัวเองออกจากที่นอนก่อนเวลาตื่นปรกติสาเหตุที่ตื่นนั้นมันเกิดจากเสียงกุกกัก และตามด้วยเสียงเปียโนที่ดังไม่เป็นเพลง ซึ่งมันดังมาจากนอกห้องนอน ถึงมันจะไม่ได้ดังหนวกหูเสียจนทำให้เขานอนต่อไม่ได้ หากแต่สาเหตุหลักที่ทำให้ชายหนุ่มตื่นมานั้นคงเป็นความแปลกใจเสียมากกว่า ว่าคนที่ทำเสียงกุกกักนั้นกำลังทำอะไรอยู่
นายแพทย์หนุ่มก้มหยิบชุดคลุมที่หล่นกองไว้กับพื้นขึ้นมาสวมก่อนจะเดินออกมานอกห้อง เขายืนกอดอก อิงสะโพกกับขอบประตู เพื่อยืนมองคนตัวเล็กที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่กับเปียโนไฟฟ้าของเขา
“ทำอะไรอยู่” เสียงทุ้ม ที่แหบกว่าปรกติเพราะเพิ่งตื่นจากนิทราเอ่ยถามคนที่กำลังวุ่นวายอยู่ คนถูกถามสะดุ้งเบาๆ ก่อนที่จะหันมาด้วยสีหน้าตกใจ ราวกับกำลังทำอะไรผิด
“ผมแค่อยากเล่นเปียโน ผมเลยเอามันออกมาจากในห้องเพราะกลัวรบกวนคุณ ผมขอโทษนะฮะ ที่ไม่ได้ขออนุญาตคุณก่อน แล้วนี่ผมทำให้คุณตื่นเหรอฮะ” เด็กหนุ่มละล่ำละลักพูดจนแทบลิ้นพันกัน และไหนจะสีหน้าตกอกตกใจนั่นอีก สิ่งเหล่านั้นมันทำให้คนเป็นเจ้าของห้องถึงกับอมยิ้มด้วยความสงสาร
“อยากทำอะไรก็ทำไปเหอะ ฉันไม่ว่าหรอก”
“แต่ผมทำให้คุณตื่น”
“เปล่าฉันตื่นขึ้นมาเอง” คุณหมอหนุ่มพูดปด เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ แล้วเจ้าตัวก็เดินออกมาจากประตูห้องเดินทะลุห้องรับแขกที่ตอนนี้คนตัวเล็กยึดไปเป็นห้องดนตรีชั่วคราวเพื่อไปยังห้องครัวเพราะอยากจะปล่อยให้อี้ชิงทำอะไรได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องเกรงใจเขา
คริสเดินไปกดน้ำอุ่นเพื่อชงกาแฟ พลางเหลือบมองเด็กหนุ่มหน้าหวานที่ตอนนี้เริ่มลงนั่ง และเสียบหูฟังกับเปียโนไฟฟ้าก่อนเจ้าตัวจะเริ่มดีดมันด้วยสีหน้าตั้งอกตั้งใจ ไม่รู้ว่าอี้ชิงไปเอาหูฟังมาจากไหน แต่คงเตรียมมา เพราะไม่อยากให้เกิดเสียงรบกวนเขาซินะ แล้วที่เมื่อเช้าตอนตื่นอี้ชิงไม่ได้จูบเขาเช่นทุกทีนี่ไม่รู้ว่าเพราะเจ้าตัวลืม หรือเพราะยังไม่คิดจะกลับก็เลยไม่ปฏิบัติเช่นทุกครั้ง
คริสยิ้มขำกับตัวเองเมื่อนึกถึงว่าเขากำลังทำตัวเหมือนเฝ้ารอจูบที่ราวกับเด็กทารกจูบนั่น
นายแพทย์หนุ่มถือแก้วกาแฟที่เจ้าตัวเพิ่งชงเสร็จเดินไปยังห้องรับแขก และเขาก็พาตัวเองมาหยุดอยู่ด้านหลังคนตัวเล็ก ชายหนุ่มเกี่ยวนิ้วของตัวเองกับสายของหูฟังที่อี้ชิงเสียบไว้กับหูจนมันหลุดออกมา
“เอ๊ะ!” เด็กหนุ่มอุทาน พลางหันมามองคนที่มาทำลายสมาธิของเขา ส่วนคนที่ถือวิสาสะก็ยืนยิ้มเผล่ โดยที่มือยังคงคนแก้วกาแฟไปด้วย
“ไม่ต้องเสียบหรอกฉันอยากฟังเธอเล่น” คุณหมอศัลย์หน้าหล่อเอ่ยเฉลยสาเหตุที่เจ้าตัวถือวิสาสะ พลางเดินอ้อมมาด้านหน้าของเปียโน ซึ่งตั้งหันหน้าออกไปทางประตูกระจกบานสูงซึ่งติดต่อกับระเบียงของห้อง
คุณหมอคริสเดินไปเปิดประตูบานนั้น และพาตัวเองออกไปยืนจิบกาแฟที่ริมระเบียง อี้ชิงมองภาพของชายหนุ่มที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาวที่เจ้าตัวผูกเชือกรัดเอวไว้อย่างหมิ่นเหม่ คุณหมอยืนพิงระเบียงถือแก้วกาแฟ และกำลังทิ้งสายตาออกไปด้านนอก โดยมีสายลมพัดเรือนผมสีเข้มเบา ๆ หากแต่มันกลับทำให้เจ้าตัวดูราวกับหลุดมาจากภาพของนิยายสักเรื่อง
หัวใจดวงเล็ก ๆ ของเด็กหนุ่มกำลังเต้นรัวกับภาพสวยงามภาพนั้น แค่ปรกติเจ้าตัวก็ทำให้หัวใจของอี้ชิงหวั่นไหวอยู่แล้ว แต่ยิ่งอยู่ในรูปลักษณ์ชวนฝันเช่นนี้มันก็ยิ่งสั่นคลอนหัวใจของอี้ชิง
“อ้าวไม่เล่นต่อล่ะ” คนที่ยืนสร้างความหวั่นไหวให้นักเปียโนสมัครเล่นเอ่ยถามโดยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุ คนถูกถามเองก็รีบซ่อนใบหน้าร้อนๆ ของตัวเองจนแทบจะซุกแก้มลงกับปกเสื้อเชิ้ต
อี้ชิงคว้าโน้ตเปียโนที่เจ้าตัวเตรียมมาขึ้นมาวางบนที่วางโน้ตเพลง และพยายามก้มหน้าก้มตาดึงความสนใจกลับมาที่เปียโนอีกครั้ง
และเมื่อเสียงดนตรีที่ผ่านปลายนิ้วของคนเพิ่งหัดเล่นไม่นานดังขึ้น มันก็ดึงให้คนที่ยืนฟังอยู่ที่ระเบียงต้องตั้งสมาธิในการฟัง เพลงที่บรรเลงอยู่อาจไม่ได้ลื่นไหลหากแต่คริสอู๋ก็ยังจับได้ว่าเพลงที่เล่นอยู่นั้นไพเราะ
“เพลงอะไร” คุณหมอหนุ่มเอ่ยถามเสียงนุ่ม ในขณะที่ยังยืนรับลมอยู่ที่ระเบียง คนถูกถามเงยหน้าขึ้นพร้อมทำสีหน้าข้องใจกับคำถาม
“ที่เธอเล่นอยู่เพลงอะไร เพราะดี”
คนตัวเล็กก้มลงไปมองที่โน้ตเพลง และกวาดสายตามองชื่อเพลงที่เขียนด้วยตัวอักษรจีน พินอิน และภาษาอังกฤษ หากแต่เจ้าตัวเลือกจะตอบชื่อเพลงเป็นภาษาอังกฤษให้อีกฝ่ายรับรู้
“Remember ฮะ”
“อืม ทำนองมันเพราะดี แต่ดูเศร้า แต่เธอชอบฟังเพลงเศร้านี่”
เด็กหนุ่มยิ้มฝืนกับคำพูดนั้น เขาไม่ได้อยากฟังเพลงเศร้า เพียงแต่ในเวลานี้เพลงแบบนี้มันถ่ายทอดความรู้สึกภายในใจของเขาได้ดีกว่า แต่จริงๆ ถ้าเลือกได้อี้ชิงก็อยากให้ชีวิต และหัวใจของเขานั้นบรรเลงเพลงรัก หรือเพลงที่มีความสุขเสียมากกว่า
เด็กหนุ่มก้มหน้าลงไปพรมปลายนิ้วกับลิ่มเปียโนอีกครั้ง อี้ชิงฮัมเพลงที่ตัวเองดีดเบาๆ ราวกับกระซิบกับหัวใจตัวเอง โดยมีภาพเบื้องหน้าเป็นคนที่เขามอบหัวใจไปจนแทบจะไม่เหลือเก็บ หากแต่เป็นการมอบหัวใจโดยที่รู้ว่าเขาอาจไม่มีทางได้หัวใจกลับคืน
ในสายตาของฉันและเธอ
มองเห็นผืนฟ้าต่างกัน
เมื่อเราเดินมาแสนไกล
กระทั่งในที่สุดก็มาถึงทางแยก
ใช่หรือไม่ที่เธอและฉัน
ต่างก็มีความฝันกันคนละเส้นทาง
[Ji De (Remember) by Zhang Hui Mei cover by JJ Lin]
อี้ชิงเอ่ยฮัมบทเพลงนี้ โดยที่คุณหมอหนุ่มเหลือบมองภาพของเด็กหนุ่มด้วยหางตา เสียงเพลงอ่อนไหวที่ดังมามันสะท้อนใจของเขา ชายหนุ่มไม่อาจรับรู้ว่าเพลงเศร้านั้นมีเนื้อเพลงเช่นไร หากแต่กลับรู้สึกวูบโหวงในหัวใจเมื่อได้ฟัง
หรือเพราะความอ่อนไหวที่กัดกร่อนในหัวใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันถึงทำให้เขารู้สึกเจ็บหน่วงกับเสียงเพลงนั้น โดยไม่มีสาเหตุ ความอ่อนไหวที่หลายครั้งเหมือนจะทำให้เขาอ่อนแรง ความอ่อนไหวที่มาจากการตัดสินใจของตัวเอง ทั้งๆ ที่เขาพร่ำบอกกับตัวเองเสมอว่าที่เขาเลือกทำนั้นมันถูกต้องแล้ว
คริสอู๋เงยหน้าพลางถอนหายใจเพื่อสลัดความรู้สึกอ่อนไหวนั้นทิ้ง ชายหนุ่มหันกลับมามองภาพของเด็กหนุ่มอ่อนวัยตรงหน้า แต่ภาพ ๆ นั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บร้าวในอก เพราะเมื่อคิดว่าเหลือเวลาอีกไม่นานที่ภาพของคนๆ นี้ยังจะสะท้อนในดวงตาของเขาแบบนี้
เพราะต่อไปเขากับเด็กคนนี้คงราวกับเป็นแค่อดีตของกันและกัน
นายแพทย์หนุ่มเดินกลับเข้ามาในห้องด้วยความรู้สึกราวกับใจหาย เขาหยุดมองเด็กหนุ่มที่ยังคงก้มหน้าก้มตาดีดเปียโนอยู่ เหมือนกับอยากจะเก็บภาพนี้เอาไว้ในความทรงจำของเขา
“เลย์”
“ฮะ” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือหัวของเขา
“วันนี้เธอว่างเหรอไง”
เด็กหนุ่มพยักหน้าเป็นคำตอบ ให้อีกฝ่ายหายข้องใจ
“แล้วปรกติวันอาทิตย์แบบนี้เธอทำอะไร” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย เพราะปรกติเด็กหนุ่มมักจะรีบกลับตั้งแต่ยังไม่ทันจะสิบโมงเช้า
“ก็ไม่ได้ทำอะไรฮะ” อี้ชิงตอบข้อสงสัย โดยที่ข้องใจว่าอยู่ดีๆ คุณคริสถามทำไม หรือเพราะเขาทำให้อีกฝ่ายรำคาญเลยถามออกมา
“คุณคริสถามทำไมฮะ หรือว่าผมทำให้คุณไม่สะดวก ผมจะได้กลับ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ที่ปนทั้งความรู้สึกเกรงใจและเจ็บปวด คริสได้ยินและเห็นท่าทางหงอยๆ นั่นเขาจึงเลื่อนนิ้วมือไปจับที่เรือนผมสีเข้มเบาๆ ก่อนจะเอ่ยคำพูดนุ่มหูราวกับปลอบใจ
“คิดมาก ฉันก็แค่อยากรู้ว่าปรกติเธอทำอะไร”
“อ๋อฮะ”คราวนี้คนใจเสียเปลี่ยนอารมณ์มายิ้มบางๆ ให้กับคำตอบนั้น พลางรู้สีกอยากตำหนิตัวเองที่ทำตัว งี่เง้า ขี้น้อยใจ จนมากเกินไปแบบนี้
“แล้วได้ไปดูเรื่องเรียนหรือยัง” คราวนี้คุณหมอหนุ่มตั้งคำถามใหม่ โดยที่ปลายนิ้วยังเกี่ยวหมุนผมนุ่มนั้นเล่นไปด้วยความเพลินมือ
อี้ชิงปรือตากับสัมผัสอ่อนโยนนั้น ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ไปมาแล้วฮะ ผมไปดูโรงเรียนที่สอนการศึกษานอกโรงเรียน ที่นั่นเทียบวุฒิได้ ผมเรียนแค่หกเดือนก็จบเกรด 12 แต่เขาเรียนเทอมนี้ไปแล้ว ผมต้องรออีกสามเดือนเขาถึงจะเปิดรับใหม่”
“ดีแล้วฉันอยากให้เธอเรียน แต่จะมีปัญหากับที่ทำงานไหมถ้าเธอจะเรียน”
“อืม ก็นิดหน่อยฮะ แต่คงพอคุยกันได้” เด็กหนุ่มตอบโดยทั้งๆ ที่ความจริงอี้ชิงยังไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับทางร้านอาหารที่เขาทำงานเลย หากแต่อี้ชิงอยากตอบให้คุณคริสสบายใจว่าเขาจะได้เรียนแน่ ๆ
เพราะเวลาที่คุณหมอคริสใส่ใจเขาแบบนี้ อี้ชิงรู้สึกมีความสุขมาก และก็ยิ่งอยากมีความสุขมากขึ้นไปอีกหากได้รับคำชม หรือความพึงพอใจที่ส่งผ่านสีหน้า ท่าทางของคุณหมอกลับมา อี้ชิงจึงอยากทำทุกสิ่งที่ทำให้คุณหมอพึงใจได้
“เธอเล่นเปียโนต่อไปเหอะ ฉันจะกลับไปนอนต่อ” คุณหมอละปลายนิ้วออกจากเรือนผม หากแต่พอเห็นเด็กหนุ่มหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มสวยให้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเลื่อนปลายนิ้วไปที่แก้มกลมใสนั่น อี้ชิงดูประหลาดใจเล็กน้อยกับสัมผัส จนเมื่อปลายนิ้วนั้นเลื่อนไล้ไปที่แนวคาง และเกี่ยวคางเล็กนั้นให้เงยขึ้น เด็กหนุ่มก็ยอมโอนอ่อนตามสัมผัสนั้น
ทั้งๆ ที่ควรจะคุ้นชิน หากแต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่อี้ชิงจะไม่ตื่นเต้นเมื่อยามร่างกายได้สัมผัสกัน และยิ่งเมื่อส่วนใหญ่เวลาที่คุณคริสสัมผัสอ่อนหวานกับเขาแบบนี้มักเกิดขึ้นเมื่ออีกฝ่ายต้องการเรื่องบนเตียง หากพอมาเกิดในบรรยากาศหวานอบอุ่น และมันไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายเรียกร้องเรื่องเซ็กซ์แล้ว อี้ชิงก็ยิ่งตื่นเต้น จนเมื่อเด็กหนุ่มพริ้มตาลง เพื่อรอรับสัมผัสหวาน เรียวนิ้วที่เกี่ยวคาง ลมหายใจอุ่นที่เป่ารดแก้มของเขากลับถูกถอนออกไป
และหัวใจดวงเล็กที่เต้นเร้าอยู่ก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง
คุณคริสเดินจากไปแล้ว เขากำลังเดินกลับเข้าไปยังห้องนอน
อี้ชิงทำได้แต่เพียงเงยหน้า และกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเอาไว้ เขาคงคาดหวังเกินไปซินะ ก็ในเมื่ออีกฝ่ายมองเขาเป็นแค่วัตถุตอบสนองทางรสเพศ จะคาดหวังสัมผัสอ่อนหวานราวกับคนรักทำต่อกันได้เช่นไร ที่คุณหมอทำแบบนั้นก็คงต้องการเขาแบบเช่นเคย และที่ผละจากไปเพราะคงคิดเหมือนทุกทีว่าถ้าจะทำก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มให้เขาก็เลยเลิก
หากแต่เพราะต่างคนต่างใจ ต่างความคิด อี้ชิงจึงไม่เคยรู้เลยว่าทุกครั้งที่อีกฝ่ายหักห้ามไม่สัมผัสเกินเลยต่อเขา นอกเหนือยามเสพสุขกัน ก็เพียงเพราะคุณหมอหนุ่มต้องการให้เกียรติกับอี้ชิง และไม่อยากทำร้ายหรือให้ความหวังกัน
>>>Kiss Goodbye<<<
เด็กหนุ่มเงยคอมองอาคารสูงใหญ่น่าเกรงขามที่ตั้งโดดเด่นอยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ปนกังวล เขาไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาในอาคารราชการที่ใหญ่โตขนาดนี้มาก่อน และถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อี้ชิงคงไม่อยากก้าวเท้าเข้ามาที่นี่แน่ๆ หากแต่เพราะผู้กอง คิมจงอินนัดเขามาที่นี่อี้ชิงถึงต้องมา
ทุกทีผู้กองมักนัดเขาคุยกันตามร้านกาแฟ หากแต่ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ให้มาหาในที่ทำงานแบบนี้ เด็กหนุ่มเดินเกร็งเข้าไปในตึก และอ่านโน้ตในมือที่ตัวเองจดไว้ตามคำบอกเล่าของผู้กองหน้าเข้มว่าให้เขาไปหาที่ไหน
ป้ายเบื้องหน้าขนาดใหญ่ที่แจ้งบอกว่าพื้นที่ชั้นนี้เป็นชั้นสำนักงานของกองปราบปราม ทำให้เด็กหนุ่มโล่งอกที่ตัวเองมาถูก อี้ชิงก้าวเท้าเข้าไปติดต่อตำรวจหญิงที่อยู่โต๊ะหน้าสุด และถามหาผู้กองคิม เธอชี้นิ้วไปด้านซ้ายของเธอ และบอกให้เดินตามทางแคบๆ ไป และเมื่ออี้ชิงเดินไปได้สักพักเขาก็พบกับคุณตำรวจคนคุ้นหน้ากำลังนั่งไขว้ห้างคุยกับใครสักคนอยู่ที่โต๊ะติดกัน
“ผู้กองฮะ” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกเบาๆ เมื่อเจ้าตัวเดินเข้ามาใกล้ เสียงเรียกของคนตัวเล็กทำให้ตำรวจคนอื่นที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากที่อี้ชิงยืนอยู่หันมามอง แต่กับคนที่อี้ชิงอยากให้มองดันไม่หันมานี่ซิ จนเมื่อคนที่คุยอยู่กับผู้หมวดคิม หันมาเห็นอี้ชิงยืนอยู่ เขาถึงชี้นิ้วบอกผู้กองจงอินอีกที
“อ้าวมาแล้วเหรอ” อี้ชิงนึกอยากตอบด้วยซ้ำว่ามาสักพักแล้ว แต่ผู้กองไม่เห็นเอง
“ฮะ”
“มานั่งๆ” ผู้กองเลื่อนตัวเองกลับไปนั่งที่โต๊ะของเขา และชี้นิ้วให้อี้ชิงไปนั่งที่ด้านตรงข้ามโต๊ะ อี้ชิงยังคงรู้ส็กเกร็ง เพราะคุณตำรวจหลายๆ คนยังมองเขาอยู่
“ขอโทษที่ต้องให้เดินทางมาไกล แต่ฉันจำเป็นต้องคุยกับเธอเป็นทางการสักหน่อย” อี้ชิงพยักหน้ารับ ก็เพราะเรื่องจำเป็นหรอกอี้ชิงถึงต้องมา ลองไม่จำเป็นซิอี้ชิงคงต้องหงุดหงิดผู้กองแน่ๆ ที่ให้เขามาถึงที่นี่
“จางอี้ชิง ตอนนี้คดีของครอบครัวเธออยู่ภายใต้การดูแลของกองปราบแล้วนะ และฉันจะเป็นคนดูแลคดีนี้เอง” คำบอกเล่าช้าเนิบปนรอยยิ้มของผู้กองหน้าเข้มที่ส่งมาให้อี้ชิงรับรู้ มันทำให้อี้ชิง รู้สึกโล่งในอกราวกับความเหน็ดเหนื่อยที่แบกอยู่นั้นถูกลดทอนลง ถึงแม้มันจะแค่คำบอกเล่าว่าคดีของเขานั้นถูกเปลี่ยนมือกลับมาที่ผู้กองคิมอีกครั้ง และไม่ได้บอกว่ามันคืบหน้าขึ้นหรือไม่ แต่อย่างน้อยมันคงจะดีกว่าถูกเก็บใส่แฟ้มอยู่ที่บ้านเกิด
“ฉันจะตามคดีนี้กับรุ่นพี่ของฉัน อี้ชิง นั่นผู้กอง ชิมชางมิน พาร์ทเนอร์ของฉัน” ผู้กองคิมชี้นิ้วไปด้านข้าง และเมื่ออี้ชิงหันไปมองตาม เขาก็เห็นว่าเป็นคนเดียวกันกับที่ผู้กองหน้าเข้มคุยอยู่ก่อนหน้านี้ ผู้กองชิมเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีน้ำผึ้ง และหน้าตาหล่อเหลา ทั้งคู่มีทั้งความคล้ายและต่างกันผู้กองชิมดูสุขุมกว่าผู้กองจงอินอาจเป็นเพราะอายุที่มากกว่า ดวงหน้าหล่อเหลาของผู้กองชิมดูอ่อนโยนกว่าผู้กองจงอินที่ดูติดกวน จนบางทีเหมือนผู้ร้ายมากกว่าตำรวจด้วยซ้ำ
ในระหว่างที่คนตัวเล็กกำลังสำรวจผู้กองคนใหม่อยู่ ผู้กองชิมก็ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้อี้ชิงและเขาก็เลื่อนเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ กับเก้าอี้ที่อี้ชิงนั่งอยู่
ชิมชางมินมองรูปหน้าน่ารักของเด็กหนุ่มที่รุ่นน้องคู่หูของเขาเคยเล่าให้ฟัง พอได้เห็นก็พลันนึกสงสาร จางอี้ชิงมีใบหน้าที่งดงามหากแต่มีดวงตาอมทุกข์ เด็กหนุ่มที่เคยมีครอบครัวเล็ก ๆ แสนอบอุ่น กลับต้องมาเจอวิบากกรรมที่ต้องทำให้เจ้าตัวกลายเป็นโรคซึมเศร้าจนต้องได้รับการบำบัดอยู่หลายเดือน แล้วตอนนี้ชีวิตก็ยังระหกระเหินตัวคนเดียวอีก
คิมจงอินดึงแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะออกมาเปิด และมันก็ดึงความสนใจของชางมินให้กลับมายังงานอีกครั้ง ถึงแม้เขาจะเพิ่งรับงานนี้ได้ไม่นานนักหากแต่ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ก็ได้ข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งถือว่าเป็นข้อดีที่จะสามารถตามจับผู้ต้องหาได้
“ฉันได้ตามสืบจนไปเจอเพื่อนเก่าของหลินอี้หมิน คนๆ นี้เขาบอกว่าเพิ่งเจอเจ้านั่นไม่นานมานี้”
“เจอที่ไหนฮะ”
“ห้างสรรพสินค้า แถว ๆ จองโน”
“แปลว่าเขายังอยู่ในโซลใช่ไหมฮะ”
“อืมใช่ ถือว่ายังโชคดีที่เจ้านั่นอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้ ยังไม่ได้หนีไปตามที่ห่วง หากแต่มันก็มีเรื่องที่มีปัญหาอยู่”
“เรื่องอะไรฮะ”
ผู้กองคิมพยักเพยิดให้รุ่นพี่ที่ช่วยทำคดีเป็นคนตอบแทน
“เพื่อนของหลินอี้หมินบอกพวกเราว่าตอนนี้เจ้านั่นไปทำศัลยกรรมใบหน้าเสียจนจำแทบไม่ได้เลย ที่เขาจำเจ้านั่นได้ก็เพราะเขาเคยติดเงินอี้หมินไว้เยอะ แล้วพอเจ้านั่นมาเจอเขาก็เลยตามมาทวงเงิน มันคงลืมไปว่ามันกำลังปลอมตัวอยู่”
“ถือว่าเป็นความผิดพลาดของเจ้านั่น แต่เพราะความโลภของเจ้านั่นมันมีอยู่มากอยู่แล้วมันคงอดไม่ได้” คิมจงอินค่อนขอดชายคนนั้นด้วยน้ำเสียงดูแคลน หากแต่อี้ชิงกลับรู้สึกว่าเรื่องที่ฟังอยู่มันเริ่มจะไม่ใช่เรื่องดีนักสำหรับเขาแล้ว
“อย่างนี้ก็มีโอกาสใช่ไหมฮะที่เขาจะหนีการถูกจับไปได้ เพราะตอนนี้ไม่มีใครจำเขาได้”
“มันอาจจะยากสักหน่อยที่จะตามหา เพราะเราไม่มีรูปภาพของหน้าใหม่เจ้านั่น แถมก็อย่างที่เธอรู้ ไม่มีใครรู้ว่าเจ้านั่นเป็นคนจีนเพราะเขาพูดเกาหลีได้ชัดมาก”
อี้ชิงกัดริมฝีปากอิ่มเสียจนเจ็บ หากแต่มันคงไม่เจ็บหน่วงในอกเท่ากับที่ได้ยินในสิ่งที่ผู้กองคิมพูด
“แต่เรายังมีหนทางนะ เพราะคนที่เป็นพยานให้เราเขาจำหน้าใหม่ของหลินอี้หมินได้” คราวนี้เป็นผู้กองชิมที่แทรกเข้ามา
และมันก็ฉุดอี้ชิงไม่ให้จมดิ่งลงไปในความรู้สึกผิดหวังมากนัก
“จริงๆ เขาคงจะเริ่มทำศัลยกรรมมาตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่องแล้วล่ะฮะ เพราะตอนนั้น ตอนที่เขาเอาปืนมาจ่อหัวผม ๆ ก็รู้สึกว่าหน้าเขาแปลกไป แต่ผมยังจำแววตาของเขาได้ดี” อี้ชิงกลั้นก้อนสะอื้นที่กำลังจะหลุดผ่านมาพร้อมคำพูด
อี้ชิงยังจำได้เสมอ แววตาชั่วร้ายของคนๆ นั้น เขาไม่มีทางที่จะจำไม่ได้ เพราะเมื่อก่อนมันเคยเป็นแววตาที่มีแต่ความรักให้กับเขา แล้วอี้ชิงก็คงไม่มีทางที่จะลืมคนที่เขาทั้งรักทั้งเกลียดขนาดนี้ได้ลง
“อืมถึงศัลยกรรมยังไงมันก็ยากที่จะเปลี่ยนไปได้หมด แล้วเท่าที่เราสอบถาม เหมือนอี้หมินยังคงทำงานที่ร้านเหล้าแต่ไม่แน่ใจว่ายังอยู่แถวอีแทวอนอย่างที่นายเคยเจอ หรือว่าตามที่สายเคยรายงานหรือไม่ แต่ก่อนหน้าจะเกิดเรื่อง เจ้านั่นก็ทำงานแถวอีแทวอนอยู่แล้ว บางทีคลีนิกที่เจ้านั่นทำศัลยกรรมก็คงไม่ไกลจากแถวนั้นมาก”
ชิมชางมินพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อสันนิฐานของคู่หู “และคงเป็นคลีนิกขนาดกลาง ๆ ราคาไม่ได้สูงมาก ถึงเจ้านั่นจะได้เงินไปเยอะ แต่ก็ไม่ได้มากพอที่จะเอาไปทำศัลยกรรมราคาแพงได้ เพราะมีหวังหมดตัวเอาง่าย ๆ”
“เออก็จริง เราอาจต้องขอหมายเข้าไปขอสืบระเบียนเวช ของพวกคลีนิกศัลยกรรมแถวนั้น เผื่อจะได้ข้อมูลหรือรูปหน้าปัจจุบันของเจ้านั่น”
“ฉันมีเพื่อนเป็นหมอศัลย์ฯ เขาเปิดคลีนิกอยู่ไม่ไกลจากอีแทวอนนัก บางทีอาจจะพอสอบถามได้”
“ก็ดี” คิมจงอินเลื่อนแฟ้มในมือส่งไปให้รุ่นพี่ผู้กองหน้าหล่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปยิ้มให้กับอี้ชิง
ถึงใครๆ จะบอกว่าผู้กองจงอินมียิ้มที่ร้ายกาจ แต่อี้ชิงก็ยังรู้สึกว่ามันอบอุ่น อาจเพราะมีไม่กี่คนที่อี้ชิงจะปรึกษา พูดคุย หรือระบายความรู้สึกต่างๆ ให้รับฟังได้ และถึงแม้อี้ชิงกับผู้กองจะไม่ได้สนิทสนมกันมากมาย หากแต่เด็กหนุ่มก็ยังรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายหวังดีต่อเขาถึงแม้จะเพราะหน้าที่ก็ตาม
“วันนี้ต้องไปทำงานหรือเปล่า” ผู้กองคิมเอ่ยถาม หลังจากที่รุ่นพี่คู่หูหยิบแฟ้มติดมือกลับไปนั่งอ่านที่โต๊ะของตัวเองแล้ว
“ไปฮะ”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปส่ง”
“แล้วผู้กองไม่ทำงานต่อเหรอฮะ”
“ก็ออกไปนี่แหละจะไปทำงาน” ร้อยตำรวจเอกคิมจงอินลุกขึ้น และหยิบแจ็กเก็ตสีดำสวมทับเสื้อยืดลายกราฟฟิคที่ดูราวกับนักร้องฮิปฮอปมากกว่าผู้พิทักษ์สันติราษฏ์ เขาเดินไปพูดคุยกับผู้กองชิมชางมินสองสามคำ ก่อนจะเดินกลับมาดันแนวไหล่เล็กของอี้ชิงให้เดินนำเขาออกไปจากห้อง
“ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง” ผู้กองคิมเอ่ยถามในระหว่างที่ทั้งคู่เดินออกไปยังลานจอดรถด้วยกัน
“ร้านอาหารอย่างเดียวฮะ” อี้ชิงพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเพราะกลัวจะซ่อนความผิดของตัวเองไม่ได้ เงินที่ร้านอาหารมันก็พอทำให้เขาอยู่ได้ แต่ที่เขาสามารถดำรงชีพได้ไม่ลำบากนักตอนนี้ก็คงเพราะเงินของคุณหมอคริสมากกว่า
“แล้วพออยู่พอใช้ไหม”
“ก็พอฮะ”
“อยู่ที่นี่ลำบากหรือเปล่า”
“อืม..ก็นิดหน่อยฮะ”
“แล้วอยู่ที่นี่กับการกลับไปอยู่ที่คยองจู อยู่ที่นี่ดีกว่าเหรอ” คุณตำรวจหนุ่มยังถามเรียบเรื่อยในขณะที่ปลายนิ้วแกว่งไกวกุญแจรถไปด้วย ซึ่งถ้าอี้ชิงมองตามก็อดจะเวียนหัวไม่ได้
“ฮะที่นี่ดีกว่า ที่นี่ยังมีงานทำ ที่คยองจูผมไม่รู้จะทำงานอะไร บ้านก็ไม่มีแล้ว”
“อืม ถ้าคดีอาญาจบ คดีแพ่งก็น่าจะไปต่อได้ไม่ยาก”
“ฮะ แต่ผมก็ไม่หวังอะไรแล้วล่ะฮะ”
“อย่าหมดหวังน่าเด็กน้อย ฉันจะช่วยเธอให้ได้” จงอินเอื้อมมือไปขยี้หัวกลมจนเรือนผมของอี้ชิงไม่เป็นทรง สัมผัสของนายตำรวจหนุ่มแตกต่างจากคุณหมอมาก
สัมผัสของคุณหมอคริสนั้นเวลาที่จะลูบศีรษะของเขา จะลูบเบาๆ ราวกับเอ็นดู มันเป็นสัมผัสที่มักทำให้อี้ชิงใจเต้นแรงเสมอ และโหยหาอยากได้สัมผัสนั้นบ่อยๆ
หากแต่ผู้กองมักจะขยี้หัวอี้ชิงแรงๆ จนบางทีหัวของอี้ชิงแทบจะคลอนไปมา แต่ที่ทำก็เพื่อปลอบใจ และอี้ชิงก็จะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้คุยกับพี่ชาย ซึ่งเขาเคยโหยหาอยากได้
แต่เพราะปมในอดีตมันทำให้อี้ชิงไม่กล้าจะคาดหวัง หรือไว้ใจใครได้อีก อี้ชิงจึงไม่ได้วางความไว้ใจไว้กับผู้กองหนุ่มได้ทั้งหมด เขาจำเป็นต้องเผื่อหัวใจตัวเองอาไว้ เพราะไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยขึ้นมาอีก แต่กับคุณหมอมันไม่ใช่ความไว้ใจที่อี้ชิงมอบให้ แต่ที่เผลอมอบไปมันเป็นความรักจากความใกล้ชิด และความหลงใหลต่อความอบอุ่นใจดีนั้น ซึ่งอี้ชิงรู้และพร่ำบอกกับตัวเองเสมอว่ารักครั้งนี้ของเขามันคงไม่อาจสมหวังได้ และไม่ว่ายังไงก็ต้องเจ็บ
แต่ทั้งๆ ที่เคยหวาดกลัวกับความเจ็บปวดของความรัก แต่อี้ชิงก็ยังอยากได้พื้นที่แสนอบอุ่นนั้นไว้ เพราะคนที่ไม่มีใคร ไม่มีที่ไป การเกี่ยวคว้าความรัก และความอุ่นไว้ โดยถึงแม้มันจะเป็นรักข้างเดียว แต่มันก็สุขกว่าการไม่มีใคร หรือเจ็บปวดน้อยกว่าความรักที่เคยโดนหลอกลวง
“แล้วจะอยู่อย่างนี้ไปตลอดเหรอ” ผู้กองคิมดึงมือออกไปจากศีรษะของอี้ชิง แล้วยิงคำถามใหม่ที่ทำให้คนคิดอะไรเพลินๆ ต้องกลับมาสนใจ
“อะไรนะฮะ?”
“ฉันสงสัยว่าเธอจะอยู่ที่นี่ ทำงานร้านอาหารแบบนี้ไปตลอดเหรอ วางแผนอนาคตไว้ยังไงต่อ”
“อ๋อ ผมกำลังจะลงเรียนภาคค่ำให้จบเกรด 12 แล้วถ้าเก็บเงินได้ก็อาจจะลงเรียนพวกวิชาชีพเอาประกาศนียบัตร หรือไม่ก็มหาวิทยาลัยต่อแหละฮะ แต่คงต้องดูเรื่องเงินกับเรื่องทำงานอีกที”
“ก็ดีแล้วที่คิดได้แบบนี้ เธอเป็นเด็กเรียนดี น่าจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้”
“ฮะ”
“ถึงรถแล้ว” คุณตำรวจหน้าเข้มบอกก่อนจะกดกุญแจในมือ และเจ้ารถสีดำสนิทที่จอดอยู่ก็ส่งเสียงตอบรับ ผู้กองจงอินพยักพเยิดให้อี้ชิงขึ้นรถไป และเด็กหนุ่มก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินนำเขาขึ้นไปบนรถ
นายตำรวจหนุ่มยิ้มมุมปากเมื่อเห็นแผ่นหลังเล็ก ๆ นั่น เขาอาจเคยทำคดีมาเยอะ แต่เขากลับรู้สึกผูกพันกับอี้ชิงมากที่สุด อาจเพราะคดีส่วนใหญ่ที่ทำไม่ใช่คดีที่ต้องมาเกี่ยวพันกับผู้เสียหายมากนัก และตอนที่เขาได้ทำคดีสะเทือนขวัญนี้ เขาต้องคอยดูแลผู้เสียหายตัวเล็กที่เสียขวัญ และไร้ญาติมิตร จนผ่านไปปีกว่าๆ จึงกลายเป็นความผูกพันฉันท์เพื่อน หรือพี่น้องไปแล้ว เขาคงดีใจมากถ้าในอนาคตชีวิตที่น่าสงสารของเด็กคนนี้จะดีขึ้น
TBC.
ความคิดเห็น