คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : [KaiLu Fiction] By Your Side [This I Promise You] 100%
ฟิคแก้บน 5555 เนื่องจากช่วงตั้งแต่สิงค์โปร จนมาถึงฮ่องกง โมเมนท์ไคลู่มากมายจนฟินล้นอก แล้วได้บนกับตัวเองไว้ว่าถ้าได้ดูคลิปที่สนามบินฮ่องกงตอนขากลับที่จงอินเกาะเสี่ยวลู่เป็นหมีโคอาร่า จะแต่งฟิคไคลู่แก้บน แล้วก็ปรากฏว่าได้ดูจริงด้วย!! น่ารักมากฟินมาก ยิ่งตอนเสี่ยวลู่จับมือจงอิน แล้วถามว่า "จงอินนี่เป็นอะไรหรือเปล่า" ฟินตัวแตก เลยต้องแต่งฟิคแก้บน
แต่เนื่องจากสมองแล่นช้ามากเลยมาแบบกะปริบกะปรอย แต่ของลงจองที่เอาไว้ก่อนนะคะ จะมาต่อจนจบแน่ๆ
ปล.ฟิคนี่เป็นเหมือนฟิคต่อของ by your side ตอนที่แล้ว ซึ่งต่อไปถ้าปุ้มจะแต่งฟิคไคลู่อิงโมเมนท์จริงปุ้มจะเขียนเป็นเรื่องต่อของ by your side นะคะ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“ฮยองอย่าลืมสัญญานะ”
เจ้าเด็กเจ้าเล่ห์ทิ้งคำพูดไว้แบบนี้ ก่อนจะยิ้มดวงตาวิบวับ แล้วผลุบหน้าเข้มๆ ออกไปจากประตูห้องซ้อม ทิ้งให้ผมต้องทำหน้าไม่ถูกเมื่ออี้ชิงถามผมว่า ‘สัญญาอะไร’
“ไม่มีอะไรหรอก เรื่องไร้สาระ” ผมตอบอี้ชิงไป แล้วแกล้งหันไปแหย่เปาจือทิ่เพิ่งลงมานั่งข้างๆ โชคดีที่อี้ชิงไม่ใช่คนช่างเซ้าซี้ ถามแล้วไม่ตอบก็ไม่ช่างซัก ไม่งั้นคงต้องเล่ายาวถึงเรื่องน่าอายตั้งแต่คราวที่ไปรับรางวัลที่ปักกิ่งโน่น..
เรื่องน่าอายที่มันกลายเป็นเรื่องยาวจนถึงตอนนี้...
ตั้งแต่วันนั้นวันที่ผมจับผลัดจับผลูต้องไปนอนห้องจงอิน พอผมตื่นขึ้นมาก็เห็นคยองซูนั่งมองผมจากโซฟาหน้าเตียงด้วยสีหน้าเหมือนมีคำถามแต่ไม่กล้าถาม แล้วยังทำสีหน้าแบบนี้ใส่ผมอีกหลายวัน แล้วแถมไอ้ตัวต้นเรื่องยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนผมทำตัวไม่ถูก จริงๆ จะบอกว่าทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้เสียทีเดียว เพราะคิมจงอินทำตัวตีสนิทกับผมมากขึ้นราวกับว่าเราสนิทสนมกันมาสักสามสี่ชาติ หากแต่เจ้านั่นกลับไม่เคยพูดเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับคืนนั้นเลย
เว้นแต่..เมื่ออาทิตย์ก่อนช่วงที่เราต้องไปทัวร์คอนเสิร์ตที่ สิงค์โปร หลังการซ้อมเพอร์ฟอร์มพิเศษกับรุ่นพี่ชายนี่ เจ้านั่นก็มากระแซะผมแล้วก็เอ่ยทวงสัญญาที่ผมไม่ได้เอ่ยสัญญาเลยสักคำ แต่เจ้านั่นเหมาเอาเองว่าผมสัญญาไปแล้ว
“ฮยองลืมหรือยังที่สัญญากับผมไว้”
“สัญญาอะไร”
ผมหันไปมองทำหน้างงๆ ใส่ เจ้านั่นยิ้มเจ้าเล่ห์ตอบก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงทุ้มๆ แบบของเขา “ฮยองขี้ลืม ก็เรื่องที่ว่าถ้าผมได้รางวัล ฮยองจะมากอดปลอบผมไงถ้าผมร้องไห้”
ผมจำได้นะว่าคืนนั้นไม่มีคำว่า “กอด” มีแค่ “ปลอบ”
“ใครสัญญากับนายกัน ฮยองไม่ได้พูดเลยนะว่าจะทำ”
“ก็ฮยองเงียบ เงียบผมก็ถือว่ารับคำสัญญาแล้ว”
“ขี้ตู่” ผมบ่นงุบงิบเบาๆ แต่ดูเหมือนเจ้าเด็กนั่นจะได้ยิน เพราะจงอินหัวเราะอยู่ในลำคอ
“ขอให้ได้จริงๆ เหอะ”
“ผมจะรอให้คนปลอบเลยล่ะ”
และตั้งแต่วันนั้น จงอินก็คอยเซ้าซี้ทวงสัญญานี่ทุกครั้งที่มีโอกาส
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ตอนนี้อากาศที่โซลเริ่มจะติดลบแล้ว ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงที่กำลังเข้าสู่ช่วงที่หนาวที่สุดของเกาหลี และโดยเฉพาะเวลาที่เรายืนในที่โล่งอย่างหน้าสนามบินอินชอนในตอนกลางคืนซึ่งมีลมแรงมันจะยิ่งทำให้หนาวยิ่งขึ้นอีกหลายเท่า หนาวจนผมเห็นชานยอลมือสั่นรีบวิ่งตามเปาจือเพื่อให้ข้ามถนนเพื่อเข้าสนามบินได้เร็วขึ้น
วันนี้เรากำลังจะไปฮ่องกง เราทั้ง 12 คนมาถึงสนามบินพร้อมๆ กัน พอลงจากรถผมก็เดินเข้าไปทักเซฮุนก่อนเมื่อเห็นว่าน้องดูหนาวมาก วันนี้เซฮุนมาด้วยชุดเหลืองทั้งผ้าพันคอ และโอเวอร์โค้ท ผมแซวเขาเรื่องผ้าพันคอที่เจ้ามักเน่แอบเอาของผมไป จริงๆมันก็ไม่ใช่ผ้าพันคอของผมเสียทีเดียว มันเป็นของสปอนเซอร์ที่พี่สไตล์ลิสเอามาให้เราใช้ แต่ผมชอบผ้าพันคอผืนนี้ก็เลยจับจองเอาไว้ก่อนกะยึด แต่พอเซฮุนเห็นก็ตื้อขอผมไป ด้วยเห็นเป็นน้องผมก็เลยต้องยอม
พวกเราเร่งฝีเท้าเนื่องจากมาถึงสนามบินค่อนข้างช้าแล้ว เพราะว่ารอคยองซูที่ตาเจ็บแล้วต้องแวะไปหาหมอก่อน ผมไม่ได้สนใจใครอีกนอกจากตุ้ยจางที่ตัวใหญ่ตัวโต แถมยังแต่งตัวไม่เข้าพวกเดินอยู่หน้าผม เป็นความลับนะ ผมนินทาตุ้ยจางกับเปาจือ และอี้ชิงว่าวันนี้อี้ฟ่านเหมือนคุณลุง แต่งตัวเหมือนจะไปเดินพรมแดงเสียตั้งแต่คืนนี้ ซึ่งถ้าคุณได้เห็นโอเวอร์โค้ท คริสเตียน ดิออร์ ที่อี้ฟ่านใส่อยู่ตอนนี้คุณก็คงคิดเหมือนพวกผม
“ขอดูหน่อยซิว่านายนั่งกับฉันไหม” ผมถามอี้ชิงหลังจากได้รับพาสปอร์ต และบอร์ดดิ้งพาสคืนมา ผมก้มไปดูบอร์ดดิ้งพาสของอี้ชิงแล้วก็พบว่าผมได้นั่งเขา ผมหัวเราะเบาๆ ด้วยความดีใจที่ได้นั่งกับน้องคนสนิท แล้วผมก็หันไปถามจื่อเทา แล้วก็แพคฮยอนต่อ แต่ทั้งคู่ไม่ได้นั่งกับผม แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถามคนอื่นพี่ผู้จัดการก็เรียกให้เราเตรียมเดินเข้าเกตไปแล้ว...
พูดตามตรงเลยนะ จนบัดนี้ผมเหมือนยังไม่เห็นจงอินเลย.... ผมแอบหันไปมองเจ้าเด็กนั่นที่อีกมุมของกลุ่มพวกเรา ก็เห็นว่าจงอินใส่โอเวอร์โคทสีดำ ทำหน้าเหมือนพร้อมจะไปนอนต่อบนเครื่อง เด็กนั่นกำลังเริ่มอมลมจนแก้มป่อง และเอามือตบเบาๆ เหมือนจะปลุกตัวเอง
น่ารัก.....
แย่แล้วอะ~~ ผมไม่ควรพูดแบบนี้ซินะ แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เวลาจงอินทำตัวเป็นเด็กอายุ 18 เขาน่ารักมากจริงๆ นะฮะ บางทีน่ารักกว่าเซฮุน หรือจื่อเทาด้วยซ้ำ
----------------------------------------------------------------20%-----------------------------------------------------------
ตอนนี้เรามาถึงฮ่องกงแล้ว ผมชอบนะเวลาได้เดินทางกับเพื่อน ๆ น้องๆ ในวงแบบครบ ๆ แบบนี้มันสนุกกว่าเวลาไปไหนมาไหนกัน 6 คนอีก เราได้คุยกัน เล่นกัน เหมือนได้ไปเที่ยวมากกว่าทำงานตอนลงเครื่องมาก็มีแฟนคลับมารอเราเยอะแยะมากตั้งแต่ในเกตมันยิ่งทำให้ผมตื่นเต้นขึ้นไปอีก
“เดี๋ยวรับเอกสารแล้วก็เดินเรียงแถวกันออกมาล่ะ” พี่ผู้จัดการตะโกนบอกแล้วก็เริ่มแจกเอกสารให้พวกเรา ผมยืนอยู่หลังอี้ชิงเตรียมจะตั้งแถว แต่แล้วก็มีคนๆ หนึ่งเดินแทรกระหว่างผมกับอี้ชิงเข้ามา
ไม่พูดไม่จาไม่ถามกันเลยสักคำ.... คิมจงอินเดินทำหน้าง่วงมาแทรกผมซะงั้น
"นี่ฮยองใส่ชุดอะไร เหมือนเด็ก" ผมจ้องหน้าเด็กกวนประสาท ไม่เถียงเพราะเบื่อจะเถียงจงอินชอบแซวผมแบบนี้ ผมทำมือไล่จงอินให้ไปจากผม ให้ไปต่อแถวข้างหลัง ผมรู้เขาจะมาเนียนแย่งที่ผม พอถูกไล่เขาก็มาเดินพัวพันรอบตัวผมอยู่พัก แล้วก็ย้ายไปวุ่นวายกับพี่ผู้จัดการจนได้เอกสารมาแล้วเขาก็มายืนข้างหลังผม.... ด้วยสีหน้าง่วงเหมือนเดิม
โอเคเวลาเขาง่วงเขาน่ารัก.............. แต่นี่มันก็ง่วงมากไป คนเรามันต้องใช้ชีวิตสนุกสนามเฮฮาเล่นกับคนอื่นบ้างนะจงอิน เวลาแบบนี้แหละ ตอนได้ไปเที่ยวไหนกับเพื่อนแบบนี้ มันเป็นเวลาที่ควรต้องทำตัวร่าเริง....
“เดินอย่าทิ้งกันมากล่ะ เดินช้าๆ ข้างนอกคนเยอะ” พี่ผู้จัดการตะโกนบอกเราอีกครั้ง ก่อนที่หัวแถวของพวกเราที่ผมไม่แน่ใจว่าใครเริ่มเดินออกจากเกต ผู้คนเยอะจริงๆ ฮะ ทั้งพนักงาน ทั้งแฟนคลับที่มารอ พวกเราเดินเบียดกัน คนก็เบียดเรา และเมื่อผมก้าวเท้า มันก็เกิดความรู้สึกแปลก ๆ ทำไมมันหนักๆ หน่วง ๆ เหมือนใครมาดึงผมไว้
พอผมหันไปมอง....ผมควรแปลกใจไหม เด็กร้ายกาจอย่างคิมจงอินตอนนี้ กำลังเอามือเกี่ยวหูกระเป๋าผมแน่น เค้าดูยังไม่ตื่นดี และเหมือนกลัวจะหลุดจากแถวเลยอาศัยเอาผมเป็นที่ยึด ผมเริ่มรู้สึกผิดนิดๆ ที่ให้น้องไปเดินเป็นคนสุดท้ายแบบนี้
ผมหันไปมองเขาเป็นระยะ และยิ้มทักทายแฟน ๆ ไปด้วย พอหันไปมองเขาทำหน้าง่วงๆ เกาะกระเป๋าผมเป็นหมีโคอาล่าผมก็อดยิ้มไม่ได้...นี่แหละคิมจงอิน ที่อายุ 18 ปี เป็นจงอินแบบเดียวกับที่ผมรู้จักเมื่อสองปีก่อน เด็กจงอินที่เวลาอยากได้อะไรจะอ้อนเอาเสียดื้อๆ จงอินไม่ใช่เด็กขี้อ้อนแบบจื่อเทา กับเซฮุน เขาเลือกอ้อนเฉพาะคน อี้ชิง คือขาประจำที่เจ้าเด็กนี่อ้อนแล้วได้ผล จุนมยอนก็อีกคน แต่เจ้าเด็กนี่ชอบแกล้งเสียมากกว่า แล้วอีกคนก็คือผม.... แต่หลังๆ จงอินไม่ได้อ้อนผมนานแล้วตั้งแต่ก่อนเดบิวต์ เขาพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และผมก็คิดถึงเวลาที่เขาเคยเป็นเด็กแบบนั้น ผมไม่แน่ใจว่าทำไมจงอินถึงเปลี่ยนไปสำหรับผม ไม่ใช่ว่าเราสนิทกันน้อยลง เรายังไปไหนมาไหนด้วยกันบ้างเหมือนเดิม เหมือนสมัยเป็นเทรนนี่ ไปหาอะไรกินง่ายๆ หลังซ้อมกันสองคนบ้าง หรือไปเป็นกลุ่มบ้าง จงอินเป็นเด็กแกงค์เคที่มักไปไหนมาไหนกับพวกเราแกงค์เอ็ม ในจำนวนนั้นก็มีเซฮุน กับชานยอลที่ไปไหนมาไหนกับพวกเราบ่อยๆ ตั้งแต่แรกๆ ช่วงหลัง ๆ ก็มีแพคฮยอนมาบ้าง
เอ๊ะ! ชักนอกเรื่องกลับมาเรื่องจงอินต่อก่อน ที่ผมบอกว่าเขาเปลี่ยนไป มันคือบุคลิก และการกระทำ จงอินกลายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแบบฉับพลันจนผมตั้งตัวไม่ถูกตั้งแต่ใกล้ ๆเดบิวต์ เขานิ่งขึ้น แหย่ผม แกล้งผม กวนประสาทผมน้อยลง และชอบมองผมแปลกๆ มองด้วยสายตาที่ทำให้ผมเขินนั่นแหละ....เด็กนั่นชอบทำแบบนั้น แล้วยิ่งหลังจากเหตุการณ์ตอนหลังงานมอบรางวัลที่ปักกิ่ง เจ้านั่นยิ่งชอบทำให้ผมเขิน ไม่ว่าจะคำพูด สายตา รอยยิ้ม ช่วงก่อนเราต้องอยู่ซ้อมด้วยกันบ่อยมากเพราะผมกับเขาอยู่โปรเจคพิเศษด้วยกัน ตอนกลางคืนเจ้านั่นจะบังคับให้ผมนั่งรถไปส่งเขาที่หอ ก่อนจะให้พี่ผู้จัดการมาส่งผมทีหลัง จริงๆ ปรกติมันก็ควรเป็นแบบนั้นเพราะหอผมใกล้บริษัทมากกว่าจงอิน แล้วเวลาไปส่งเขารถก็ต้องกลับมาจอดที่บริษัท ผมก็ควรเป็นเพื่อนนั่งมากับพี่ผู้จัดการ แต่ที่ไม่ปรกติคือ เจ้านั่นต้องบังคับผมทุกคืน เวลาขึ้นไปบนรถจงอินจะหลับไม่พูดอะไรแล้วเขาก็จะเอนซบผม ต่อให้ผมบ่นว่าเขาเหม็นเหงื่อก็เหอะ.... มันก็ไม่ต่างกับเวลาที่ผมอ้อน หรือแหย่เปาจือ....แต่เชื่อเหอะว่าเวลาผมซบมินซอก เขาไม่มีทางเขินผมเหมือนที่ผมเขินจงอินหรอก...และการกระทำแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมคิดมาก..และคิดไปไกล
“ฮยอง” เสียงทุ้มเรียกผมเบาๆ พอผมหันไปก็เห็นว่าเขาโดนเบียด เขาเกาะกระเป๋าผมแน่นขึ้น ผมหันไปมองเขาตลอดทางด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ในใจลึกๆ จะแอบคิดว่า... กระเป๋าใบนี้แพงมากนะจงอินนายช่วยจับเบาๆ หน่อย
พอพ้นทางเดิน ผมก็หันมาคว้าจับมือเขาไว้ ตอนนี้มืออุ่นๆ ของเขาแตะที่ปลายนิ้วของผม ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นว่าเขาจะไม่ห่างจากตัวของผม ผมกังวลว่าเขาจะเจ็บ จะหลุดหายไป ผมเคยหลงนะมันรู้สึกไม่ดีเอามากๆ เลยในสถานการณ์แบบนี้ ผมจูงมือจงอินไปจนถึงตรงส่วนที่ไม่ค่อยมีคนผมก็ปล่อยมือเขา ผมรู้ว่าเขาเขินเวลาที่ผมทำแบบนี้ เพราะจงอินอยากให้คนอื่นเห็นว่าเขาโตแล้ว เขาไม่ชอบให้คนอื่นพะเน้าพะนอเขาเป็นเด็ก ๆ เพราะเขามีบุคลิกที่เป็นผู้ใหญ่ เท่ห์ หรือที่คิดเอาเองว่าเซ็กซี่ แต่มันก็จริงอย่างที่เจ้านั่นคิด
“จงอินนี่ เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ผมหันไปถามเขาระหว่างที่เราเดินมาด้วยกัน
จงอินส่ายหัวตอบแล้วยิ้มบางๆ ผมไม่ได้พูดอะไรต่อแต่โอบเอว และไหล่ของเขาให้เดินไปเรื่อยๆ จงอินคงสบายใจขึ้นที่ไม่ต้องอยู่ท้ายแถว และคงจะสบายใจมากขึ้นถ้าผมอยู่ข้างๆ เขา
เราเดินมาจนถึงเคาท์เตอร์ ตม. เพื่อรอรับพาสปอร์ต ผมหยอกเล่นกันคนอื่นๆ จนชานยอลหันไปถามจงอินที่ยืนอยู่ตรงข้ามผม
“หายง่วงหรือยัง”
“หายแล้ว”
“มีแต่นายแหละคนวุ่นวายขนาดนี้ยังง่วงลง”
“ชิลจะตาย เรื่องแบบนี้เล็ก ๆ สำหรับผม” จงอินหันไปยักคิ้วใส่ชานยอลแล้วหัวเราะเสียงต่ำ
“ชิลเน้อ แล้วใครกันที่เกาะฉันเป็นลูกหมีโคอาร่า” จงอินหันมามองผมทันทีเลยล่ะ
“ผมก็แค่กลัวว่าฮยองจะหลง”
“ใครกันแน่ที่กลัวหลงจับฉันไว้แน่นขนาดนั้น” ผมยิ้มยั่วเค้า เจ้านั่นก็ยักคิ้วใส่ผม
“ใครกันแน่ที่จับ ฮยองอยากแตะเนื้อต้องตัวผม ก็บอกมาเหอะ” ผมถึงกับยื่นมือไปดึงคอเสื้อเจ้าเด็กนั่นแล้วยังไม่ทันลากมาจงอินก็แทบจะปลิวตามมือผมมาแล้ว ชานยอลมองว่ามันเป็นเรื่องตลกเขาหัวเราะใส่พวกเรา
“นายต่างหากที่เกาะฉัน ฉันเป็นห่วงนะถึงได้จับไว้”
“เป็นห่วง?” จงอินยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม ดวงตาของเขาวิบวับ ผมผลักเขากลับมา จงอินหัวเราะเสียงต่ำ มันทำให้ผมเขิน ผมเลยเลิกสนใจเด็กบ้านี่ ผมหันไปสนใจเซฮุน แพคฮยอน อี้ชิง และเมื่อเซฮุนเรียกชื่อผมให้รับพาสปอร์ต ผมก็รีบเดินหนีเจ้าเด็กดำคิมจงอินทันที.....
เพราะไอ้ดวงตาวิบวัน กับไอ้ประโยคนั่นแหละที่มันทำให้หน้าผมร้อนแทบเป็นบ้า .... ผมจะอยู่กับเขาจนตลอดทริปได้ไหมเนี่ย!!
------------------------------------------------------------60%------------------------------------------------------------
ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ข้าง คิมจงอิน... ก็ยืนตามปรกติที่เราถูกกำหนดมาให้ยืนคู่กันนั่นแหละฮะ ตอนแรกก่อนจะเริ่มเดบิวต์พวกเราถูกบรีฟหน้าที่ ตำแหน่ง ต่างๆ ในวง ผมกับจงอินถูกกำหนดให้รับตำแหน่งภาพลักษณ์ของวง ตำแหน่งที่ยืนของเราจึงอยู่ตรงกลางไม่ว่าจะเวลาแยกกรุ๊ป หรือเมื่อมาอยู่รวมกัน ตำแหน่งนั่งเวลาสัมภาษณ์ ตำแหน่งที่ยืนเวลาเราเต้น ถูกกำหนดให้อยู่ตำแหน่งเดียวกันเสมอ มันก็ดีแหละที่เป็นจงอิน เพราะเราสนิทกันประมาณนึงอะนะ แต่มันดีจนบางทีหัวใจผมแกว่งบ่อยๆ ยิ่งเวลาที่แฟน ๆ ตะโกน “ไคลู่ ๆ” เวลาที่เราคุยกัน หรือเวลาที่ผมแปลภาษาจีนให้เขา ผมไม่รู้จะทำสีหน้ายังไงเลย…
โดยเฉพาะเมื่อตอนงานแถลงข่าว ที่ผมเผลอหันไปมองหน้าเขา แล้วเขาหันมาพอดี…. เจ้าเด็กนั่นแกล้งเบิ่งตาใส่ผม ผมรู้เขาคงสงสัยว่าผมมองเขาทำไม แต่มันทำให้ผมอาย...... เพราะเมื่อกี้ผมกำลังคิดว่าวันนี้จงอินดูเท่ห์ดี....
มันไม่ดีเลยอ่ะที่ผมคิดแบบนี้....
แล้วยิ่งตอนนี้ที่ผมกำลังมองเขาในชุดสูทขาว ที่เรากำลังจะไปเดินพรมแดงกัน เขาดูเท่ห์มากในชุดแบบนี้ จุนมยอนบอกตอนเราอยู่ในห้องแต่งตัวว่า พวกเราสองคนดูแมทช์กันมีดูมีเคมีที่ผสมกันลงตัว เวลายืนคู่กันตรงกลางมันทำให้วงดูดี ผมยิ่งจะอายเข้าไปใหญ่ แต่ผมก็พยายามไม่ให้ใครรู้นะว่าผมรู้สึกยังไง...
แต่ดูเหมือนการพยายามเก็บความรู้สึกของผมยากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าผมต้องอยู่ใกล้เขาแบบนี้ เมื่อกี้ผมเผลอหันไปคุยกับจงอินตอนที่คริสกำลังตอบคำถามเรื่องรางวัล แล้วเป็นจังหวะพอดีกับที่จงอินหันมาพอดี..หน้าเราเกือบชนกัน เจ้านั่นนิ่ง ผมแกล้งทำเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น...
แต่หัวใจผมงี้เต้นกระหน่ำเลยล่ะ.... แต่ดูซิเจ้านั่นทำเหมือนไม่อะไรเกิดขึ้นได้เนียนมากๆ มันเนียนจนผมรู้สึกกลัว...กลัวว่าความรู้สึกที่ผมคิดว่าบางทีเราสองคนอาจคิดเหมือนกันบ้างมันจะมีแต่ผมที่คิดไปคนเดียว..
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ฮยอง” จงอินหันมาหาผมในระหว่างที่เราเพิ่งลงนั่งในฮอลล์จัดงาน ที่นั่งเขาเราเกือบจะใกล้กัน แต่ก็มีทางเดินเล็กๆ กั้นขวางเราไว้อยู่
“อะไรเหรอ” จงอินกัดริมฝีปาก มีสีหน้ากังวล เขาสบตาผม... และเมื่่อมองลงไปผมรู้ว่าน้องกำลังเครียด จงอินคาดหวังกับรางวัลศิลปินหน้าใหม่มาก ความเครียดของเขามันคงเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนเดินพรมแดงแล้ว จงอินถึงไม่พูดจา และทำหน้านิ่งตลอด
“พวกนายต้องได้แน่” ผมหันไปยิ้มให้กับจงอิน เขายิ้มตอบผมกลับบางๆ สายตาของเขาอ่อนโยนขึ้น ผมอยากให้ที่นั่งของเราใกล้กันมากกว่านี้ ผมอยากจับมือเขาไว้ตอนที่ประกาศรางวัล
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
รางวัลศิลปินชายหน้าใหม่แห่งปีประกาศไปแล้ว..........
มันประกาศผ่านจอขนาดใหญ่บนเวที มีแค่รายชื่อคนที่ได้ หากแต่วงที่ได้รับรางวัลนั้นเขาไม่ได้อยู่ที่นี่... EXO-K ไม่ได้รางวัลนี้ ... มันไม่ได้เหนือความคาดหมาย แต่ไม่ได้อยู่ในความคาดหวังของพวกเราแน่ๆ
ผมหันไปมองจงอิน เด็กนั่นนั่งหลังตรงนิ่งมองที่จอ เขาหลับตาตอนชื่อผู้ชนะปรากฏบนจอนั้น มันไม่ใช่ชื่อของพวกเรา จงอินนั่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ก่อนที่เขาจะหันมามองที่ผม เด็กน้อยของผม คิมจงอินค่อยๆ คลี่ยิ้มให้ ในรอยยิ้มกำลังบอกผมว่า “ไม่เป็นไรสักหน่อย”
ใช่แหละมันไม่เป็นไร แต่ผมอยากปลอบเขาตอนดีใจ มากกว่าผิดหวังแบบนี้นะ
หลังจากการประกาศรางวัลผ่านไป ดูเหมือนทุกคนพยายามทำใจกับมัน และสนุกไปกับบรรยากาศ รุ่นพี่ของเราได้รับรางวัลกันหลายรางวัล มันยิ่งทำให้เราตื่นเต้นไปด้วย เราได้รับการต้อนรับที่ดี ที่นี่มีป้ายจากแฟนๆ ของเราเต็มไปหมด ผมสนุกกับเพื่อน กับน้องมากๆ
อ๋อที่สำคัญวันนี้เรามีโชว์ร่วมกับชายนี่ด้วยนะฮะ.... ผมอยากบอกว่าผมภูมิใจกับโชว์นี้นะ มันเป็นโชว์พิเศษที่เราซ้อมกันหนัก และดูเหมือนจะได้รับการตอบรับที่ดี แฟนๆ ดูตื่นเต้น และสนุกไปกับโชว์ของเรา ผมเองก็สนุกจริงๆ ผมอยากเต้นเพลงมิโรติคนะ เพราะลูซิเฟอร์ผมเต้นบ่อยแล้ว ผมเคยลองซ้อมเต้นมิโรติคแล้วด้วย ผมอิจฉาเปาจือนิดๆ ล่ะที่เขาได้เต้นเพลงโปรดของผม
แล้วหลังจากโชว์เราก็กลับมานั่งรอประกาศรางวัลที่เริ่มเข้าสู่ช่วงรางวัลใหญ่อีกครั้ง ที่นั่งของเราคราวนี้เปลี่ยนไป เรานั่งตามใจที่อยากนั่ง แต่ผมก็ยังนั่งอยู่ข้างจงอิน และที่นั่งของเราติดกัน ไม่มีทางเดินกั้นแล้วตอนนี้ เรานั่งดูการประกาศรางวัลกันไปเรื่อยๆ วันนี้จงอินก็เงียบเหมือนปรกตินั่นแหละ เด็กนี่โลกส่วนตัวสูง...
จนเมื่อพิธีกรบอกว่ากำลังจะประกาศรางวัล New Asian Artist Group ผมหันไปมองหน้าจงอิน และเมื่อชื่อวงของเราถูกประกาศออกมา ผมยิ้มให้กับเขาเรายิ้มให้กันและกัน ถึงแม้จะพลาดรางวัลสำหรับ EXO-K ไป แต่เราได้รางวัลสำหรับพวกเราทุกคนด้วยกัน รางวัลศิลปินหน้าใหม่ระดับเอเชีย มันฟังดูยิ่งใหญ่นะฮะ มันเป็นความภาคภูมิใจที่เราควรจะได้อย่างที่ตั้งใจไว้ เราตั้งใจที่จะเป็นศิลปินที่โด่งดังไปทั่วทั้งเอเชีย และทั่วโลก เราไม่ใช่แค่ศิลปินที่โปรโมตในเกาหลี หรือแค่จีน รางวัลที่ได้มันจึงทำให้เราทุกคนยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
ผมมองซูโฮที่กล่าวขอบคุณด้วยความตั้งใจ มองดูเซฮุนที่หัวเราะคิกคักหลังจากที่เพิ่งเล่นกับอี้ชิง แอบเห็นอี้ฟ่านกำลังกลืนน้ำลายเหมือนจะสะกดความดีใจของตัวเอง เห็นจงอินทื่ยืนเงียบอยู่ เขากระพริบตาถี่ จงอินอ่อนไหวง่ายกว่าที่ผมคิดเอาไว้อีก เจ้าเด็กนั่นคงกดดันซินะ และรางวัลนี้คงช่วยปลอบใจเขาได้บ้าง
จงอินมุ่งมั่นกับเส้นทางนี้มาตั้งแต่อยู่ ม.ต้น เขาเป็นเทรนด์นีมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายคิมจงอิน เขาเป็นเพื่อนสนิทกับแทมินที่เดบิวต์ไปก่อนเขาหลายปี จงอินคงกดดันอยู่ลึกๆ ยิ่งโดยเฉพาะการถูกมองว่าเป็นเด็กแถวหน้าของเทรนนีทั้งหมด เขารอเวลานี้ รอเหมือนที่ทุกคนในวงรอคอย..รอคอยรางวัลสำหรับก้าวแรกของเรา รางวัลที่ต้อนรับเราเข้าไปยืนอย่างภาคภูมิในวงการนี้
ตอนเดินลงมาจากเวทีเรามองหน้ากันอีกครั้ง จงอินส่งยิ้มมาให้ผม เขายิ้มราวกับเด็กน้อย ผมหัวเราะเบาๆให้กับรอยยิ้มของเขา โอเคผมจะทำตามสัญญาแล้วกันถึงแม้ผมจะได้รางวัลด้วยก็เหอะ แต่มีข้อแม้เจ้านั่นต้องมาทวงผมก่อนนะ
“อี้ชิงตรงอ่างอาบน้ำพอเปิดผ้าม่านมันมองเห็นวิวข้างนอกด้วยสวยมากเลย” ผมตะโกนออกมาจากห้องน้ำ ระหว่างที่ผมกำลังนอนแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำอยู่ แต่ไม่มีเสียงตอบจากอี้ชิง ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะบางทีอี้ชิงก็มักเป็นแบบนี้ บางทีก็ตื่นเต้นไปกับผม แต่ส่วนใหญ่เขามันจะยิ้มเงียบๆ หรือดุผมมากกว่าถ้าผมเสียงดัง
ผมนอนเล่นน้ำ ตีขาไปมา เพราะรู้สึกว่าหลายวันที่ผ่านมาค่อนข้างเหนื่อย พออาบน้ำเสร็จก็ออกมาแต่งตัว ผมคิดว่าคืนนี้จะชวนอี้ชิงไปนั่งเล่นที่ระเบียงห้อง เพราะอากาศที่ฮ่องกงไม่หนาวนัก แถมวิวก็สวยดีเมื่อมองจากห้องมุมนี้
หากแต่เมื่อผมเปิดประตูห้องน้ำไป มันไม่เป็นอย่างที่หวังแหะ...
“จงอินนี่!! นายมาทำอะไรที่นี่ แล้วอี้ชิงล่ะ”
“เรื่องมันซับซ้อน” เด็กกวนประสาทอย่างคิมจงอินตอบมาหน้านิ่ง ตอนนี้เจ้านั่นกำลังนอนบนที่นอนของอี้ชิง ดูเหมือนก่อนหน้านี้จงอินจะดูโทรทัศน์อยู่
“ซับซ้อนก็จะฟัง” ผมยืนยันตามนั้น ก่อนจะหันไปวางเสื้อผ้าที่ราวตาก และมานั่งบนโซฟาจ้องหน้าเด็กดำกัมจง ที่ยิ้มมุมปากอยู่
“จื่อเทากับเซฮุนจะเล่นด้วยกันต่อ เซฮุนเลยขอย้ายไปนอนกับจื่อเทา มินซอกฮยองเลยต้องย้ายออกมา”
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่อี้ชิงหายไป?
“ทีนี้ตอนจะแลกห้องกันจงแดฮยองเลยขอย้ายไปนอนกับจุนมยอนฮยองแทน แล้วคริสฮยองก็เลยชวนอี้ชิงฮยองไปนอนด้วย”
“อือหือ แล้วแทนที่มินซอกจะมาอยู่กับฮยอง ทำไมนายถึงมาอยู่นี่ได้”
“ก็ผมอยากมา”
ผมมั่นใจเลยว่าผมทำหน้างงอยู่ ผมทนฟังไอ้เรื่องซับซ้อนนั่นตั้งนาน เด็กบ้านี่ตอบเหตุผลมาแค่นี้อะนะ
“แต่ฮยองอยากนอนกับเปาจือ”
“มินซอกฮยองไปนอนกับคยองซูฮยองแล้ว และผมต้องมาอยู่นี่”
“ไม่มีเหตุผลเลยซักนิด”
“ทำไมต้องมีเหตุผล” จงอินพึมพำแบบให้ผมได้ยินก่อนที่เขาจะลงนอนยืดขายืดตัวเต็มเตียงไปหมด
“นายอาบน้ำมาหรือยัง”
“ฮยองก็เห็นว่าผมใส่ชุดนอนแล้ว” ผมควรโดดลงไปตุ้ยท้องเด็กนี่ไหมฮะ
“งั้นนอนเลยดีกว่า” เสียอารมณ์ชะมัดผมว่าจะมีปาร์ตี้เล็กๆ กับอี้ชิงสักหน่อย ทำไมถึงได้กลายเป็นจงอินได้ อี้ชิงนะอี้ชิง เห็นตุ้ยจางดีกว่าพี่!!...
คือจริง ๆ ผมไม่แน่ใจว่าที่กำลังหงุดหงิดอยู่นี่ เพราะอี้ชิงไปไหนไม่บอก หรือว่าผมกำลังหงุดหงิดกลบความเขินอายกันแน่ อายที่ไม่รู้ว่าเด็กบ้าที่มีอิทธิพลกับจังหวะเต้นของหัวใจของผมทำไมมาอยู่นี่ได้ ทั้งๆ ที่ผมพยายามเลี่ยงเขาอยู่
“โอเค นอนก็นอน” คิมจงอินตอบเสียงดังก่อนจะพุ่งตัวข้ามไปยังเตียงผม
“เฮ้ย!! นานไปนอนเตียงฉันทำไม”
ผมโดดขึ้นที่นอนชนิดพร้อมยันจงอินลงมาจากเตียงทันที และเหมือนเขาจะรู้ตัวตอนที่ผมโดดขึ้นไป จงอินก็หมุนตัวหลบลงไปนั่งกับพื้นแล้ว
“นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับเตียงของฉัน”
“เตียงฮยองที่ไหนเตียงของโรงแรมเสียหน่อย” คิมจงอินหัวเราะร่า ก่อนจะกลับไปนั่งที่เตียงของเขา
“เตียงที่ไหนก็เหมือนกัน ถ้าเป็นเตียงของฉัน ๆ ไม่ให้มายุ่งหรอก สกปรก”
“พูดงี้เสียเลยผมก็ไม่ได้สกปรกเสียหน่อย แล้วทำไมทีคราวที่แล้วฮยองยังนอนเตียงเดียวกับผมได้”
จะรื้อฟื้นทำไมคิมจงอิน!!
ผมนั่งยู่ปากมองเด็กบ้าที่ยิ้มร้ายใส่ผมอยู่ พอมองนานๆ เข้า ผมชักรู้สึกแพ้ยังไงไม่รู้
“คราวนั้นนายบังคับฉันนะจงอิน” ผมพูดโดยที่ไม่มองเด็กนั่น และแกล้งตบหมอนดึงผ้าห่มไปเรื่อย
“ก็แปลว่าจริงๆ แล้วเตียงฮยองคนอื่นก็นอนได้”
“ก็ได้ถ้ามันจำเป็น แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นสักหน่อยนายก็นอนเตียงอี้ชิงไปซิ” ผมหันมาเถียงก่อนจะรีบนอนกางแขนกางขาให้เต็มเตียง เจ้านั่นจะได้ไม่มายุ่งกับเตียงของผมอีก จงอินมองแล้วก็ทำหน้ากวนประสาทก่อนจะหัวเราะลั่น
“ฮยองเด็กอ่ะ”
“ใครกันแน่ที่เด็ก นายเพิ่งอายุ 18 นะ”
“แต่พฤติกรรมฮยองเท่ากับ 12 ขวบ”
“มากไปแล้วคิมจงอิน!!” ผมลุกขึ้นมาจากเตียงทันที และยังไม่ทันให้เจ้าเด็กนั่นตั้งตัว ผมก็โดดพลุงไปยังเตียงของอี้ชิง ที่ตอนนี้จงอินนั่งขัดสมาธิอยู่ ดูเด็กนั่นไม่คิดว่าผมจะมาแบบนี้ ผมฟาดไปที่แขนที่ไหล่จงอินรัวๆ จงอินร้องโอดโอย ปนหัวเราะคิกคักบนเตียง ผมก็ลงไปนั่งคร่อมแล้วจับคอเสื้อเจ้าเด็กนั่นเขย่า ทีนี้ให้รู้เสียบ้างว่าใครเด็ก
“ฮยองปล่อยเดี๋ยวผมหายใจไม่ออก”
“ไม่ปล่อย ฮะฮ่าๆๆ นายต้องถอนคำพูด ที่ว่าฉันเหมือนเด็ก”
“ก็เหมือนจริงไหมล่ะ โอ้ยๆๆ ฮยองอย่าเขย่าแรง”
“ไม่!!” ผมประกาศลั่น แล้วเริ่มเอามือจักจี้จงอินที่คอ เด็กนั่นหลบไปมา แต่ดูเหมือนเจ้านี่จะไม่บ้าจี้เหมือนอี้ชิง ชักไม่สนุกแล้ว
“โอ้ย!!! ปล่อยนะ” ไม่สนุกจริงๆ แล้วล่ะ เพราะตอนที่ผมกำลังจี้คอจงอิน เด็กนั่นคว้าไหล่ผมได้ เค้าจับผมพลิก แล้วกลายเป็นตอนนี้ คิมจงอินกำลังนั่งคร่อมผมอยู่
ยุ่งล่ะทีนี้!! ตอนนี้คิมจงอินผมชี้โด่เด่ กำลังหัวเราะในลำคอ เขาจับมือของผมกดไว้กับเตียง อีกข้างจับเอาไว้แน่น สายตาของเด็กนี่ไม่หวังดีแน่นอน แล้วที่สำคัญผมบ้าจี้นี่แหละ
“ปล่อยนะจงอิน”
“ใครล่ะจะปล่อย ฮยองสู้ผมไม่ได้แน่ ผมรู้ว่าฮยองบ้าจี้ที่เอว”
“นาย!! จงอิน ปล่อยนะ” คิมจงอินเลิกคิ้วสูงมองผม เขาพ่นลมหายใจ ก่อนจะพูดโดยไม่มีเสียงที่ผมอ่านได้ว่า “ไม่ปล่อย”
คราวนี้ใครจะยอมให้โดนแกล้งล่ะ ผมดิ้นหนีเขา แต่จงอินก็กดมือผมกับเตียงทั้งสองข้างทัน
“จงอินปล่อยนะ!!”
“ไม่มีทาง” เขาพูดแล้วก็เริ่มกดขาลงกับตัวของผม แล้วก็เปลี่ยนมากอดผมแน่น ผมร้องโวยวาย แล้วจงอินก็จับผมพลิกขึ้นมาบนตัวเขา ตอนนี้ขาแขนเราพันกันวุ่นวายไปหมด ผมดิ้นเท่าไหร่เจ้านั่นก็ไม่ปล่อยแถมยังหัวเราะคิกคักอีก
“ฮยองอย่าดิ้นซิ” แล้วใครล่ะจะฟัง เราสู้กันอีกสักพักจนผมรู้สึกเหนื่อย
“ไม่ปล่อยก็ไม่ปล่อย เหนื่อยแล้วนะ!!” ผมตะโกนออกมา หยุดดิ้นแล้วนอนนิ่งๆ ตอนนี้ผมเพิ่งนึกได้ว่าผมกลับมาหลังแตะเตียงอีกครั้ง จงอินนอนอยู่ข้างๆ ผม มือของเจ้านั่นยังรัดเอวผมแน่น ผมมองหน้าเขา เขามองหน้าผม ดวงตาของเรากำลังจ้องมองกัน
“เหงื่อออกเลย ผมบอกแล้วไงว่าอย่าดิ้น” พูดไม่พูดเปล่าเพราะคิมจงอินค่อยๆ เอาปลายนิ้วมาเกลี่ยไรผมของผม เขาค่อยๆ เอาข้อมือซับเหงื่อที่คงซึมที่หน้าผากของผม ตอนนี้ผมรู้สึกร้อนขึ้นกว่าเดิม ผมไม่กล้ามองหน้าเขา ปลายนิ้วของเขาที่แตะที่หน้าผากกำลังทำให้ผมทำหน้าไม่ถูก ใช่ผมกำลังเขิน ผมเลยจับมือของเด็กนั่นลงมา....
และจงอินก็ดันมาจับมือผมกุมไว้อีก..... ขอให้ผมหลบไปทำใจก่อนได้ไหม วันนี้คิมจงอินจะมาไม้ไหนกับผม
“ฮยอง”
“หือม......”
“ผมมาทวงสัญญา”
ผมเงยหน้ามามองเขาตาปริบ ๆ “สัญญาอะไร?”
“สัญญาที่จะให้ฮยองปลอบผมไง”
“แล้วนี่นายร้องไห้อยู่หรือไง”
“ต้องร้องไห้ด้วย?”
“ก็ไม่ร้องไห้ฉันจะปลอบนายทำไมเล่า” ผมงึมงำตอบโดยไม่มองหน้าจงอิน หากแต่ผมรู้สึกว่าตัวผมทำไมมันชักชิดตัวจงอินกว่าเดิมผมเริ่มยกมือมาดันอกเจ้านั่นทันที
“นายปล่อยฉันได้แล้วน่า”
“ไม่ปล่อย ถ้าปล่อยฮยองก็ผิดสัญญาที่ว่าจะนอนกอดปลอบผม ตอนอยู่บนเวทีผมเกือบร้องไห้นะ แค่น้ำตาไม่ไหลเอง”
แป๊บนะฮะ ‘นอน’ ‘กอด’ ‘ปลอบ’ ทำไมคำสัญญามันชักมีข้อแม้มากขึ้น
“จงอินนี่ ฮยองจำได้นะว่าตอนนั้นนายแค่บังคับให้ฮยองปลอบ ไม่มีนอนกอดแน่”
“ก็ตอนนั้นผมยังนอนกอดฮยอง ฮยองก็ต้องตอบแทนผมคืนซิ”
“ฮยองขอให้นายทำตอนไหน นายบังคับฮยองต่างหาก” ผมยังย้ำคำเดิมอีกครั้งเรื่องที่ถูกบังคับ เจ้านั่นดูจะไม่สนใจยิ่งกว่าเดิมอีก
เบื่อฮะ หมดทางสู้ สู้ก็แพ้ อายมากด้วยตอนนี้ เขินสุด ๆ เลย จะมานอนกอดกันทำไมเนี่ย!!
“ปล่อยเหอะ ฮยองง่วงแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า” ตอนนี้พูดดีๆ เอาแล้วกันเผื่อจงอินจะคุยรู้เรื่องกว่าเดิม
“นอนนี่แหละ”
“ได้ไงเล่า ฮยองบอกแล้วไงว่าไม่ชอบนอนเตียงกับคนอื่น” ผมดิ้นปัดๆ อยู่สองสามทีจงอินก็ปล่อยผม
“คนอื่น แม้แต่ผม?” จงอินถามผมหน้านิ่ง เดาใจไม่ถูกอีกแล้วมาไม้ไหน นี่น้อยใจจริงป่าวเนี่ย
“ทุกคนแหละ ไม่ใช่แต่กับนายสักหน่อย ฮยองแค่ไม่คุ้น มันแปลกๆ นะ ๆ ให้ฮยองกลับไปนอนที่เตียงฮยองนะ” ผมพูดกับเขา พยายามทำตาปริบๆ ใส่ด้วยเผื่อจะเลิกทำหน้าน่ากลัวใส่ผม ไม่เอานะไม่อยากมีปัญหากันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้
“ก็ได้” คราวนี้จงอินปล่อยผมจริงจัง เขานอนหงายลงไปกับเตียง ผมเลยรีบลุกทันที กลัวเด็กตัวโตนั่นเปลี่ยนใจ
“งั้นนอนเลยแล้วกันเน้อๆ” ผมพยายามทำน้ำเสียงสดใส แล้วเดินไปปิดไฟตรงทางเดินหน้าประตูห้องน้ำ ผมเดินกลับมาแล้วเอื้อมไปกดปิดไฟตรงโคมไฟข้างโซฟา
“เฮ้ย!!!” มันมาอีกแล้วฮะ...เด็กกัมจง คราวนี้เจ้านี่จับผมรวบจากด้านหลัง ดึงผมพลิกลงไปนอนกลิ้งบนโซฟา แถมยังเอาขารัดผมไว้อีก
“นายทำอะไรของนายอีกคิมจงอิน!!”
“นี่ไม่ใช่เตียง นี่โซฟา คราวนี้เราก็นอนด้วยกันได้แล้ว”
“แล้วนายจะให้ฉันนอนกับนายทำไม!!” ผมร้องโวยวาย แต่จงอินตอบผมด้วยเสียงหัวเราะอีกแล้วเขาจับผมพลิกไปมากับโซฟาดีนะที่มันใหญ่โตพอให้เราสองคนนอนลงไปได้ แต่หมอนก็กระจัดกระจายเต็มพื้นเลยล่ะ แถมการที่อยู่ในสภาพแบบนี้ผมว่าอีกไม่นานผมกับเจ้าเด็กดำคงได้ไปนอนกลิ้งกับพื้นแน่ๆ
“ไม่เอาเลิกเล่นนะจงอิน โอ้ย! เจ็บนะเด็กบ้า”
“ไม่เอาไม่ปล่อย ผมจะนอนตรงนี้”
“นายนอนไปซิ”
“ฮยองต้องนอนด้วย”
“ทำทำไมเนี่ย” ผมขอตัวบ้าก่อนได้ไหม
“ก็ผมอยากนอกกอดฮยอง ไม่ได้หรือไง?”
“ไม่ได้!!” ผมตะโกนลั่น คราวนี้จงอินดูจะหยุด เขาคลายอ้อมแขนลง นิดนึง นิดนึงจริงๆ
ผมกำลังนอนอยู่บนตัวเขา โดยหันหลังให้ จงอินไม่ได้จับผมโยกไปมาอีกแล้ว เขานอนนิ่งๆ จนผมรู้สึกแปลก ๆ
“ทำไม ทำไมไม่ได้?”
ทำไมถึงกล้าถามผมแบบนี้นะ ผมต่างหากที่ควรถามเขาว่าที่เขาทำอยู่นี่มันอะไร
“นายควรถามตัวเองดีกว่าจงอิน ว่านายมีสิทธิอะไรที่จะมาเรียกร้องแบบนี้ แล้วทำไมฮยองต้องยอมนาย เราเป็นอะไรกัน?”
คำตอบคือเงียบฮะ...... ทำไมไม่รู้ที่ผมรู้สึกว่าตาของผมมันเริ่มร้อน ใจของผมเริ่มหาย...อะไรบางอย่างที่ผมเคยคิดไปเองมันกำลังทำให้ผมอึดอัด
คงมีแต่ผมมั่งที่ชอบเขา แล้วเขาก็แค่เห็นผมเป็นเรื่องสนุกที่ได้แกล้ง เด็กบ้านี่ไม่มีทางรู้หรอกว่าผมคิดยังไงกับเขา
“ผมคิดว่าฮยองจะรู้ว่าผมคิดยังไงกับฮยอง...”
“หือม....”
“ที่ผมทำแบบนี้ หรือเมื่อคราวก่อน หรือทุกสิ่งที่ผ่านมาผมคิดว่าฮยองจะเข้าใจ”
ผมรีบพลิกตัวเพื่อหันมามองหน้าเด็กบ้านี่ทันที
“โอ้ย! ฮยองเบาๆ ซิ” ผมลืมไปว่าผมนอนอยู่บนตัวเขาอยู่ ตอนนี้จงอินทำหน้าบู้บี้ตอนผมเผลอพลิกตัวไปกดที่หน้าอกเขา ไอ้ท่านี่มันก็แปลกๆ อยู่ แปลกจนผมต้องลุกขึ้นไปหาที่นั่งแทนที่จะนอนบนตัวเขาต่อ
“เมื่อกี้นายหมายความว่ายังไงจงอิน”
“ตามนั้น” จงอินไม่มองหน้าผม เขาหลบสายตา แก้มของเขาแดงเป็นริ้ว และแอบกัดริมฝีปาก พอผมก้มลงไปมองใกล้ ๆ เขาก็ยิ่งหลุกหลิกหลบตา
“ตามนั้นคือตามไหน” ผมไม่อยากคิดไปเองอีกแล้วนะ
“ก็ตามนั้นแหละ ฮยองไปคิดต่อเองแล้วกัน” ผมนั่งมองเขาตาปริบๆ แล้วอยู่ดีๆ หน้าผมก็ไปกระแทกกับอกของเขา
“โอ้ย!! จงอินเจ็บนะ”
“ไม่ต้องมามองผมแล้ว นอนเหอะ ไหนฮยองอยากนอนไง”
จงอินเขิน เขินมากด้วยผมจับได้จากน้ำเสียง และท่าทางของเขา ทำไมจงอินเขินล่ะ?
เขินเพราะคำพูดพวกนั้น
“ผมคิดว่าฮยองจะรู้ว่าผมคิดยังไงกับฮยอง...”
แบบนี้ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม?
ผมไม่ได้ถามเขานะ เพราะตอนนี้ผมอายเกินความอยากรู้ ผมกอดเขากลับแทน ผมว่าไม่ต้องถามก็ดีเหมือนกัน รู้แค่นี้ก็โอเคแล้วล่ะ ผมแอบยิ้มกับอกของจงอิน เขากอดผมแน่นขึ้นอีกนิดและจับผมโยกเบาๆ
“ฮยองดีใจไหม ที่เราได้รับรางวัล”
“ดีใจซิ ดีใจที่พวกเราทั้ง 12 คนได้รับรางวัลด้วยกัน รางวัลใหญ่ด้วยนะ ฮยองไม่คิดว่าฮยองจะได้รับรางวัลนี้ด้วยซ้ำ รางวัลใหญ่ของทางเกาหลี แต่ได้รับในแผ่นดินจีน มันรู้สึกดีเลยล่ะ”
“อืม” จงอินครางรับเบา ๆ เขาเปลี่ยนจากโยกตัวผม มาเป็นลูบหลังผมเบาๆ แทน
“แล้วนายเสียใจไหมที่ไม่ได้รับรางวัลที่อยากได้”
“ไม่หรอก ผมทำใจไว้แล้วล่ะ ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไว้รางวัลอื่นแล้วกัน” ผมไม่รู้ว่าจงอินคิดแบบนั้นจริงหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกนะว่าเขาก็คงเสียดายอยู่ ผมทำได้แค่เอาหัวถูไถกับอกของเขาเบาๆ มือมันไม่ว่างเลยไม่รู้จะปลอบเขาแบบไหนนี่หนา
“ฮยองอ้อนผมเหรอ?”
“เปล่าสักหน่อย ปลอบใจนายต่างหาก”
“ทำไมวิธีมันเหมือนมงกูนักล่ะ” คราวนี้มือผมว่างแล้วผมเลยฟาดจงอินเข้าที่แขนเต็มแรง
“โอ้ย!! ทำไมฮยองชอบทำร้ายน้อง”
“ฮยองไม่ใช่หมานี่”
“แต่มงกูน่ารักนะ หรือฮยองจะเถียง มงกูน่ารักเหมือนฮยองเลย ยิ่งตอนนี้ยิ่งเหมือนผมฮยองหยิกๆ เหมือนมงกูเลย”
“คิมจงอิน!! เด็กบ้า”
ถามจริงๆ ฮะว่าผมควรจะดีใจ เขิน หรือโมโหกับคำพูดเมื่อกี้ .
.
.
.
“ฮยอง~~” คราวนี้มาเสียงอ้อนอีกแล้ว
“หือม...”
“ผมจะอยู่ข้างฮยองนะต่อไป แล้วผมก็อยากให้ฮยองอยู่ข้างผมด้วย ไม่ใช่แค่ตอนเราที่เรามีความสุข ผมจะอยู่ข้างฮยองเราจะยิ้มให้กัน ที่ยืนของเรา ตำแหน่งเต้นของเราอยู่ข้างกัน...และผมก็อยากอยู่ข้างฮยองแบบนี้ตลอดไป ผมมีความสุขนะ”
คิมจงอินกำลังปากหวาน แต่ผมก็ชอบที่จะฟังนะ
“อือม” ผมรู้สึกว่าจงอินกำลังกดจมูกลงมาที่ผมของผม ผมหลับตาลง ผมรู้สึกสบายใจกับสัมผัสนั้น
“ฉันจะอยู่ข้างนาย” ผมงึมงำตอบ จงอินกระซิบบอกผมว่าขอบคุณ เขาไล่ปลายนิ้วลงที่หลังของผมเหมือนคราวก่อนที่ผมทำให้เขา ผมพยายามอ่านว่าเขาเขียนอะไรแต่ก็อ่านไม่ออก...
จนผมรู้สึกค่อยๆ เคลิ้มหลับไป..
.
.
.
.
เช้าแล้วล่ะ ผมรู้เพราะเสียงปลุกจากโทรศัพท์บนหัวเตียง ผมลุกขึ้นไปคว้ามันมาปิด ก่อนจะค่อยๆ ไถ่ตัวเองลงไปนอนใหม่ ผมน่าจะมีเวลาอีกพักใหญ่กว่าผู้จัดการจะมาเรียก...
แต่เอ๊ะ!!~ เตียง หัวเตียง หมอน ผ้าห่ม เมื่อคืนผมไม่ได้นอนอยู่ตรงนี้แน่ๆ ทำไมผมกลับมานอนได้ ผมฝัน?
ผมสะบัดผ้าห่มออกแล้วมองไปที่เตียงตรงข้าม ผมยอมรับว่าผมภาวนาขอให้คนที่อยู่เตียงนั้นไม่ใช่จางอี้ชิง
แล้วมันก็ใช่ เพราะคนที่หลับปุ๋ยตรงหน้าผมเป็นคิมจงอิน... ผมเหลือบมองที่โซฟาอีกครั้ง หมอนอิงหล่นเกลื่อนอยู่ตามพื้นเหมือนตอนที่จงอินดึงผมลงไป..
นั่นก็แปลว่าไม่ใช่ความฝันซินะ ผมยิ้มกว้าง และนั่งมองเด็กบ้าขี้เซา เตียงข้าง ๆ
สัญญาเมื่อคืนดังอยู่ในหัวของผม.... คำพูดเป็นนัยยะนั่นก็ดังขึ้นมาซ้อนทับเช่นกัน....
ผมยิ้มกว้างมากกว่าเดิม....ผมคิดว่าผมคงสมหวังแล้วใช่ไหมล่ะฮะ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Special………………
ตอนนี้เราอยู่ที่สนามบินอีกครั้ง สนามบินฮ่องกงยังสภาพเหมือนมีจลาจลเหมือนขามา ผมอาจจะชินแล้วกับสภาพแบบนี้ แต่ดูเหมือนแกงค์เคจะไม่ค่อยชิน หรือไม่ชินเฉพาะคิมจงอินกันแน่
“จงอินนี่เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่เป็นไรฮยอง” คำตอบกับการกระทำต่างกันชัด ๆ จงอินตอนนี้กำลังเอาหัวซุกอยู่ที่ซอกคอผมบ้างหลังผมบ้าง เขาหัวเราะคิกคักเวลาถูกเบียด ผมเลยเอื้อมเอามือไปจับมือเขาที่วางบนไหล่ผมไว้ ตั้งแต่เช้าแล้วที่เด็กนี่ทำตัวแปลก เขาเอาแต่อ้อนผม ตอนตื่นมาเขาก็ไม่ยอมตื่นง่าย ๆ เอาแต่อ้อนให้ผมทำโน่นทำนี่ให้ ประเภทพวกบีบยาสีฟันให้หน่อย ไปเอาเสื้อผ้าจากพี่สไตลิสต์มาให้หน่อย ลงจากห้องก็เกาะผมเป็นหมีโคอาร่า ผมกำลังคิดว่านี่อ้อนหรือขี้เกียจ หรือง่วง มันเป็นเส้นบางๆ ของจงอินมาก
ผมพาเขาเดินมาจนถึงบันไดเลื่อน เขาถึงปล่อยผม แต่หน้าเขายังคงเปื้อนยิ้มอยู่เหมือนสนุกเสียเต็มประดา
“เป็นอะไร” ผมถามย้ำอีกที
“คนเยอะ เป็นสิวด้วยไม่อยากให้แฟนๆ ถ่ายหน้าผมตอนเป็นสิว”
“แค่นี้อะนะ”
“แค่นี้ไม่ได้หรืองไง” ผมไม่ตอบอะไรเพิ่ม ผมขยับกระเป๋าเป้ให้เข้าที่ จงอินเริ่มจับแขนผม และเกาะไหล่
“จับให้ดีๆ ล่ะ ฮยองสัญญากับนายแล้วว่าจะอยู่ข้าง ๆ แค่นี้ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
................................................................... TBC…........................................................................
จบแล้ว น้ำตาซึม ตอนเดียวใช้เวลาร่วมอาทิตย์ เป็นตอนที่ยาวมากกว่าสามสิบหน้าเอสี่ ประกอบกับการดูคลิปไป แต่งไปเพราะพยายามเก็บทุกโมเมนท์ตอนฮ่องกง (แต่ไม่หมดแหละค่ะได้แค่นี้จริงๆ) ตอนนี้ชีวิตรักของจงอิน และลู่หานก้าหน้าขึ้นแล้ว (เหรอ) คราวหน้าคิดว่าจะแต่งพาร์ทจงอินบ้าง จะได้เก็ตความรู้สึกของกัมจงมากขึ้นเน้อ
ความคิดเห็น