ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO Fiction] KISS GOODBYE [Kris+Lay,Krislay]

    ลำดับตอนที่ #12 : KISS GOODBYE [Chapter 11]

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ค. 56


    Titile: KISS GOODBYE [Chapter 11]
    Author: Angel Midori
    Genre: Romantic Drama
    Rating: PG
    Pairing: KrisLay


    Writer Talk : เหมือนตอนนี้จะยาวที่สุดเท่าที่แต่งจูบลามา มีหลากหลายอารมณ์และเปิดปมบางอย่างออกมา จริงๆ แต่งเองบางการตัดสินใจของตัวละครก็รู้สึกใจหายแทน

    ปล.รีดเดอร์บางท่านทิ้งเมล์เอาไว้โดยไม่ได้ลงที่หน้าคอมเมนท์ของหน้าที่ต้องการขอ (คือลงหน้ารวม) ปุ้มไม่ทราบจริงๆ จะส่งตอนไหนให้ ขอความกรุณาลงใหม่ที่ตอนด้วยนะคะ 


     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ถ้าเป็นเมื่อก่อนกิจกรรมที่อี้ชิงรู้สึกว่าเมื่อได้ทำร่วมกับคุณคริสแล้วตัวเองมีความสุขที่สุดคงไม่พ้นการนั่งดูภาพยนตร์ด้วยกัน อี้ชิงชอบดูหนัง หากแต่เขาไม่ค่อยมีโอกาสได้ดูบ่อยนัก และการที่ได้ดูร่วมกับคนที่ตัวเองรัก แค่นั่งเงียบๆ หรือพูดคุยกันเรื่องภาพยนตร์ที่กำลังดูด้วยกัน เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่แสนสุขมากแล้ว

     

     

    หากแต่ตอนนี้อี้ชิงกลับพบช่วงเวลาที่มีความสุขมากกว่านั้น

     

     

    ตั้งแต่นายแพทย์หนุ่มบอกกับอี้ชิงว่าจะสอนเปียโนให้ คุณหมอคริสก็ใช้เวลาว่างในวันเสาร์ ซึ่งเมื่อก่อนเคยนั่งดูหนัง หรือสารคดีด้วยกัน มาเป็นการเรียนเปียโนแทน อี้ชิงเคยคิดว่าคุณหมอคงจะแค่แนะนำ หรือสอนเขาให้พอเล่นได้ไม่ได้จริงจังนัก หากแต่ไม่ใช่ คุณหมอหนุ่มบอกให้อี้ชิงหาซื้อหนังสือแบบฝึกมา และเขาก็สอนมันตั้งแต่ทฤษฏี รวมถึงบ่อยครั้งที่คริสจะบอกให้อี้ชิงหาเพลงที่ชอบมา และเขาก็จะนำมันไปแกะโน้ตเพื่อเอามาสอนให้เด็กหนุ่ม อี้ชิงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจริงจังขนาดนี้

     

     

    และถึงแม้อี้ชิงจะรู้ว่าตัวเองชอบดนตรี อยากเป็นนักดนตรี หากเด็กหนุ่มจำเป็นต้องละทิ้งความฝันนั้น เพราะความไม่แน่นอนของชีวิต และเขาไม่นึกเลยว่าคนที่มาทำให้ความฝันในการได้เรียนเปียนโนของเขาเป็นจริงนั้นจะเป็นคนๆ เดียวกับคนที่ยื่นมือมาช่วยเหลือเขาในวันที่ไร้หนทาง

     

     

    บางทีพระเจ้าอาจกำลังมอบของขวัญให้กับอี้ชิง ทดแทนกับสิ่งที่อี้ชิงต้องเสียไป

     

     

    และถ้าอี้ชิงจะขอให้ของขวัญล้ำค่านี้อยู่กับอี้ชิงตลอดไป มันจะมากไปหรือเปล่า หรือถ้าอี้ชิงโลภเกินไป พระเจ้าจะยึดของขวัญนี้คืนหรือไม่

     

     

    “นั่งเหม่ออะไร” เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกเหมือนคนเรียกเอาอะไรมาเคาะที่ศีรษะของเขา พออี้ชิงเงยหน้าขึ้นดูจึงเห็นว่าคุณหมอกำลังเคาะปากกากับสมุดอยู่

     

     

    คุณหมอคงเอาปากกาด้ามนั้นเคาะหัวอี้ชิงซินะ

     

     

    “เปล่าฮะ”

     

     

    “ยังจะเปล่า ก็เห็นอยู่ เหนื่อยแล้วหรือไง” คนถามหัวเราะเบาๆ ก่อนจะอิงสะโพกของตัวเองกับโต๊ะที่ตั้งเปียโนอยู่

     

     

    “เปล่าฮะ”

     

     

    “เปล่าอีกแล้ว” คริสอู๋หัวเราะเบาๆ แล้วเขาก็ก้มลงไปจิ้มที่ลิ่มเปียโนจนเกิดเสียง อี้ชิงมองตามเรียวนิ้วนั้นด้วยความสนใจ

     

     

    เด็กหนุ่มไม่คิดมาก่อนว่าคนที่มีอาชีพเป็นหมอ จะมีความสามารถด้านดนตรีได้อีกด้วย หากแต่เมื่อได้เรียนกับคุณหมอคริสเขาถึงได้รู้ว่าคนเก่งบางทีหยิบจับอะไรก็เก่งไปเสียหมด สมัยเรียนเขาอาจเคยชื่นชมรุ่นพี่นักเปียโนว่าเก่งแล้ว หากแต่เมื่อได้เห็นคนที่อาสาเป็นครูให้เขาดีดเปียโนอี้ชิงก็ต้องยอมรับว่าคุณคริสเล่นมันได้ดีมากกว่ารุ่นพี่คนนั้นด้วยซ้ำ

     
     

    “เขยิบหน่อยซิ” คุณหมอคริสเอ่ยบอกก่อนจะดันตัวเองลงนั่งข้างๆ เด็กหนุ่ม และเขาก็จับพลิกสมุดโน้ตที่วางเอาไว้เบื้องหน้ามาดู

     

     

    “อยากฟังเพลงไหนเป็นพิเศษไหม” คนถามเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม และหันมายิ้มด้วยดวงตาเป็นประกาย ซึ่งสิ่งนั้นมันยิ่งทำให้คนฟังยิ่งลุ่มหลง คุณหมอคงไม่รู้ว่า ทั้งน้ำเสียง รอยยิ้ม และท่าทางที่สุขุมเหล่านั้นมันเป็นเสน่ห์ที่ร้ายกาจ

     

     

    ร้ายกาจ พอ ๆ กับกองไฟ ที่ล่อหลอกให้แมลงเล็กๆ ตกหลุมพราง และพร้อมจะเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อให้ได้เพียงแค่เข้าใกล้

     

     

    และคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีเสน่ห์ ก็แสนอันตรายเช่นกัน เพราะเจ้าตัวคงไม่รู้ว่าท่าทาง กริยาที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาตินั้นจะสั่นคลอนความรู้สึกคนที่ได้มองแค่ไหน

     

     

     

    เฉกเช่นรอยยิ้มเขิน กับแก้มแดง ๆ ที่ประดับบนใบหน้าอ่อนใสของเด็กหนุ่ม ที่เพิ่งผินหน้าจากไปเสน่ห์อ่อนวัย น่าทะนุถนอม ที่แสดงออกมานั้นทำให้คนมองอยากจะจะกดปลายจมูกเพื่อกำซาบความอ่อนหวานนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เด็กหนุ่มคงไม่รู้ว่า มันทำให้คนที่มองอยู่รู้สึกวูบไหวกับเสน่ห์ไร้เดียงสานั้นแค่ไหน

     

     

    หากแต่คริสอู๋เลือกจะสลัดความคิดนั้นทิ้ง เขาอาจถือสิทธิในการกระทำรุ่มร่ามต่อเด็กหนุ่มได้ เพราะมากกว่านี้ก็เคยมาแล้ว  แต่เขาก็ยังอยากให้เกียรติคนตัวเล็ก และไม่อยากจะทำตัวราวกับผู้ใหญ่ตัณหากลับที่ชอบล่วงเกินอีกฝ่าย เพียงเพื่อแสดงออกถึงอำนาจของตัวเองที่มีเหนือกว่า ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะรับเงินแล้วจะอยากทำให้อายเท่าไหร่ก็ได้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่ามันถูกต้อง

     

     

    และถึงเลย์จะรับเงินของเขาเพื่อตอบแทนด้วยเรื่องตัณหา แต่คริสก็อยากจะจำกัดมันไว้แค่เวลาที่เสพสมกัน ไม่อยากให้เด็กหนุ่มต้องคอยรองรับอารมณ์ใคร่ หรือความอยากเมื่อไหร่ก็ได้ที่เขาอยากจะยัดเยียดให้

     

     

    เขายังอยากให้เด็กหนุ่มมีค่า และเมื่อถึงเวลาที่เลย์ไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว หรือมีโอกาสชีวิตที่ดีกว่านี้เมื่อเจ้าตัวได้ย้อนนึกกลับมา เด็กหนุ่มก็ยังรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองอยู่

     

    “ตกลงอยากฟังเพลงอะไร” คริสละความคิดออกจากเรื่องพวกนั้น และหันไปถามคนตัวเล็กด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น

     


    “อะไรก็ได้ฮะ” อะไรก็ได้ตามนั้นจริง ๆ สำหรับอี้ชิง เพลงไหนที่คุณคริสบรรเลงเขาก็ว่าเพราะทั้งนั้น และอี้ชิงก็อยากรู้ว่าคุณหมอชอบเพลงแบบไหนบ้างจึงอยากให้คุณหมอเลือกเอง

     

    คุณหมอหนุ่มโคลงศีรษะอีกครั้ง ก่อนจะเปิดโน้ตและจับมันวางไว้บนที่ตั้ง

     

     

    “เอาเพลงที่เธอเล่นได้ด้วยดีกว่า”

     

     

    คริสอู๋ขยับกายเข้าเบียดร่างคนที่เป็นลูกศิษย์ก่อนจะคล้องแขนตัวเองให้พาดผ่านร่างนั้น อี้ชิงมองตามด้วยหัวใจสั่นไหว เขารู้ว่าคุณหมอกำลังจับมือเขาเพื่อหัดดีดเปียโน เพราะคุณหมอเคยทำแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่ได้รับสัมผัสอ่อนโยนที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องเสน่หา อี้ชิงกลับรู้สึกว่าตัวเองตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าเวลามีอะไรกัน

     

     

     

    เรียวนิ้วสวยค่อยๆ นำพาอี้ชิงดีดไปตามลิ่มขาวดำ บทเพลงไพเราะที่อี้ชิงไม่เคยได้ฟังมาก่อนในชีวิต หากแต่คุณหมอเพิ่งเปิดให้เขาฟังเมื่ออาทิตย์ก่อนค่อยๆ ร้อยเรียงมาจากปลายนิ้ว

     

     

    Yes I think to myself, what a wonderful world

    เสียงทุ่มดังแผ่วข้างใบหู กำลังร้องคลอตามทำนองที่ทั้งสองบรรเลงร่วมกัน

     

     

    อี้ชิงอาจไม่ได้เก่งพอจะรับรู้ความหมายของเพลงนี้ได้ทั้งหมด แต่อี้ชิงก็รับรู้ได้ ถึงความรู้สึก what a wonderful world ที่ผ่านมาจากบทเพลงนั้น เพราะโลกของอี้ชิงตอนนี้มันสวยงาม และมีความสุขมากเสียจนน่าอัศจรรย์จริงๆ

     

    >>>Kiss GoodBye<<<

     

    ถ้าพื้นที่เล็ก ๆ ในห้องคอนโดของคริส นั้นราวกับโลกในจินตนาการ พื้นที่ใหญ่ ๆ ของบ้านก็คงเปรียบได้กับโลกแห่งความจริง

     

     

    คุณหมอหนุ่มกำลังนั่งถอนหายใจ หลังจากฟังเรื่องที่คุณแม่ของเขาเล่าถึงพิธีแต่งงานของลูกสาวของเพื่อนร่วมงานที่เจ้าตัวประทับใจนักหนา

     

     

    และด้านข้างของคุณแม่ก็มีลีจินอานั่งยิ้มสดใสอยู่

     

     

    “ตอนนี้ถึงเขาจะนิยมใช้ Wedding Hall กัน แต่แม่ก็ชอบที่เราจะได้สาบานตนต่อหน้าบาทหลวงที่โบสถ์มากกว่า แล้วจินอาล่ะลูก”

     

     

    “หนูก็ชอบงานที่โบสถ์มากกว่าค่ะ ตอนอยู่ที่อเมริกาเพื่อนของจินอาจัดพิธีที่โบสถ์ริมทะเลแล้วก็มีงานเลี้ยงเล็กๆ ที่สวนของโบสถ์ จินอาชอบมากๆ เลยล่ะค่ะ”

     

     

    “เน้อ แบบนี้โรแมนติกมากกว่า ห้องแต่งงานพวกนั้นตั้งเยอะ ป้ากับลุงตอนแต่งงานกันเราแต่งที่อเมริกาเราก็จัดที่โบสถ์”

     

     

    “แต่สถานที่โรแมนติก และสวย มันก็ไปในทิศทางเดียวกับราคาของมัน ยิ่งโรแมนติกมากก็ยิ่งแพงมาก” คนชอบขวางโลกอย่างจื่อเทาอยู่ดีๆ ก็โพล่งออกมาในระหว่างที่สองสาวต่างวัยกำลังคุยกันออกรสออกชาติอยู่ ซึ่งมันทำให้คนเป็นแม่อดค้อนบุตรชายขวางโลกไม่ได้

     

     

    “งานแต่งงานเราไม่ได้จัดได้บ่อยๆ มันแทบจะเป็นครั้งเดียวในชีวิต ถ้าจะต้องเสียเงินกับมันมาก แต่ได้ความสุขใจ ความทรงจำที่แสนประทับใจ ทำไมจะเสียไม่ได้” คุณแม่เอ่ยดุก่อนจะหันหน้ากลับมาหาบุตรชายคนโต

     

     

    “ใช่ไหมคริส คริส อี้ฟ่าน!!

     

     

    “ฮะ อะไรนะครับ” คุณหมอหนุ่มสะดุ้งเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคุณแม่ เขามัวแต่นั่งอ่านวารสารทางการแพทย์อยู่จึงไม่ได้ฟังว่าคุณแม่ไปเถียงอะไรกับจื่อเทา ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังสนุกกับการเล่าเรื่องงานแต่งงานอยู่เลย

     

     

    “แม่บอกว่าถ้าเราจะจัดงานแต่งงาน แล้วได้ในสิ่งที่เราพอใจ ถ้าจะต้องเสียเงินมากหน่อยมันก็คุ้มถูกไหม?

     

    “อืม มั่งครับ”

     

     

    “มั่งครับได้ยังไง นี่แม่กำลังคุยเรื่องของเราอยู่นะ”

     

     

    “ของผม?” คริสอู๋อุทานพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเหมือนต้องการจะย้ำอีกครั้งว่าแม่พูดไม่ผิด

     

     

    “ใช่เรื่องของเธอ แม่กำลังคุยกับจินอาอยู่ว่าอยากจะจัดงานแต่งงานแบบไหน นี่ไม่ได้ฟังเลยใช่ไหม?

     

     

    คริสส่ายหัวพรืดทันทีที่ได้ฟังจบประโยค นี่เขาพลาดอะไรไปแค่ช่วงไม่กี่นาที

     

     

     

    “แม่บอกว่า แม่ชอบให้จัดพิธีในโบสถ์มากกว่า Wedding Hall จินอาก็เห็นด้วย แล้วเราล่ะว่ายังไง แต่แม่ว่าคริสไม่ควรค้านความเห็นเจ้าสาวรู้ไหม” คุณแม่หันไปหัวเราะกับว่าที่ลูกสะใภ้เบาๆ ซึ่งลีจินอาก็ยิ้มเขินตอบ หากแต่คนที่กำลังจะกลายเป็นว่าที่เจ้าบ่าวไม่รู้ตัวนั้นกลับพูดไม่ออก

     

     

    “ว่ายังไงคริส นี่แม่ไปคุยกับ Wedding planner ที่จัดงานให้กาอินมาบ้างแล้วนะ แม่จองคิวเขาเอาไว้แล้วด้วย”

     

     

     

    “จองคิวแล้ว” คริสอู๋ทวนคำนั้นด้วยน้ำเสียงตกใจ

     

     

    “ใช่ แม่คุยกับครอบครัวจินอาแล้ว แม่ว่าจัดงานสักประมาณเดือนมีนากำลังดี จินอาเองก็เห็นดีด้วยใช่ไหมลูก” คุณนายอู๋หันไปถามว่าที่ลูกสะใภ้อีกครั้ง

     

     

     

    “ค่ะ”

     

     

    “อากาศช่วงนั้นไม่หนาวมากแล้ว และเวลากำลังพอดีอีกสี่ห้าเดือนเราเตรียมงานทันอยู่แล้วเน้อ” คุณนายดาอียังคงพูดคุยถึงแผนการแต่งงานในฝันของบุตรชายด้วยสีหน้ามีความสุข

     

     

    และเป็นสีหน้าที่บุตรชายคนโต ไม่กล้าที่จะทำลายความสุขนั้น

     

     

    “ผมไปดีกว่า แม่คิดแผนแต่งงานกับจินอาต่อไปแล้วกัน” เป็นจื่อเทาที่เอ่ยสอดขึ้นมา ก่อนเขาจะพาตัวเองเดินอ้อมโต๊ะ และเข้ามาตบที่บ่าของพี่ชายเบาๆ

     

     

    เขารู้ความหมายของสัมผัสนั้นที่น้องชายส่งมาให้..... แต่รู้แล้วจะให้ทำเช่นไรได้

     

     

    ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจะพยายามที่จะซ่อนความรู้สึกหนักใจ และทำเป็นลืมเลือนราวกับว่ามันไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้น แต่ในที่สุดก็ต้องยอมรับว่าเขาหนีมันไปไม่ได้ และยิ่งเห็นท่าทางมีความสุขล้นเหลือของคุณแม่ เขาก็ยิ่งปฏิเสธมันยากขึ้น

     

     

    ชายหนุ่มเคยคิดว่าบางทีการเลือกที่จะมีครอบครัวไปเสีย อาจจะทำให้เขาหลุดพ้นไปจากความรู้สึกอึดอัดกับรสนิยมของตัวเอง เขาไม่ต้องปิดบังพ่อแม่ ไม่ต้องกลัวว่าคนในสังคมจะรู้ ไม่ต้องหวาดระแวงว่าคู่นอนคนไหนของเขาจะเอาเรื่องของเขามาแฉ เพราะถึงแม้จะป้องกันแล้ว แต่มันก็ยังมีความเสี่ยง

     

     

    และหากมีครอบครัวแล้ว เขาอาจจะวุ่นวายกับการหาเลี้ยงครอบครัว จนละเลิกกับการใช้ชีวิตแบบคนโสด และสนุกกับเรื่องเพศได้ และถึงแม้เพศสัมพันธ์กับภรรยาอาจเปรียบได้กับอาหารที่รสชาติไม่ถูกปาก กินยาก หากแต่มันก็อาจพอประทังชีวิตได้ และปลอดภัย

     

     

    และการที่ได้มีครอบครัวก็อาจจะทำให้ชีวิตของเขามั่นคง มีคู่ชีวิต คู่คิด อยู่ร่วมกันไปจนแก่เฒ่า ไม่โดดเดี่ยวเงียบเหงาให้พ่อแม่เป็นห่วง เหมือนกับที่พ่อแม่ของเขาพร่ำบอกทุกวี่วันเช่นนี้

     

     

    และลีจินอาก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการที่เขาจะหาใครมาอยู่ร่วมกันทั้งชีวิต

     

     

    “ตกลงเป็นโบสถ์นะคริส เอาโบสถ์แถวๆ นอกเมืองหน่อย แม่ว่าน่าจะดี” คุณนายอู๋หันมาถามบุตรชายด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน คริสอู๋มองรอยยิ้มนั้นก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

     

     

    “ครับ โบสถ์ก็ได้”

     

    >>>Kiss GoodBye<<<

     

    เสียงเพลงหวานที่บรรเลงเบาๆ แสงสีหม่นที่อาบไล้ไปทั่วเคาท์เตอร์บาร์ กลิ่นแอลกอฮอลล์ที่เคยยั่วยวนให้อยากลิ้มลอง สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้จิตใจของศัลยแพทย์หนุ่มสดชื่นขึ้น หากแต่ยิ่งมองกลับยิ่งหดหู่ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกจองจำในกรงที่ตัวเองกำลังยื้อประตูกรงให้มันค่อยๆ ปิดลงช้าที่สุด

     

     

    จากที่เมื่ออาทิตย์ก่อนเขาเอ่ยปากตอบรับการตัดสินใจแต่งงาน ที่เป็นการตอบรับเหมือนราวกับตกกระไดพลอยโจนนั้น

     

    วันนี้ลีจินอาก็ชวนเขาออกไปคุยกับบริษัทรับจัดงานแต่งงาน และพาเขาไปเลือกตัวอย่างการ์ดแต่งงานด้วยกัน ตอนที่เขาเห็นชื่อตัวเองแปะหราอยู่บนตัวอย่างการ์ดที่ร้านออกแบบให้ดู เขาเหมือนรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดมันไม่ใช่เรื่องจริง แต่มันก็จริงเสียยิ่งกว่าจริง

     

     

    ในชีวิตของนายแพทย์อู๋อี้ฟ่าน เขาไม่เคยวาดฝันที่จะเห็นภาพตัวเองในงานแต่งงานเลยสักครั้ง เพราะเขารู้ว่าเขาเป็นคนบาป โดยเฉพาะกับศาสนาที่ตัวเองนับถือซึ่งไม่ยอมรับกับรสนิยมทางเพศของเขา แต่มาตอนนี้เขากำลังเตรียมงานแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเขาเลือกที่จะแต่งงานด้วยเพื่อปกปิดบาปนั้น ชายหนุ่มไม่รู้ว่ามันจะบาปกว่าอีกหรือเปล่าที่เขากำลังหลอกลวงทุกคนอยู่แบบนี้

     

     

    หรือบางทีการที่เขากลับใจ พระเจ้าอาจจะให้อภัยและมอบชีวิตครอบครัวที่ดีให้กับเขาทดแทนก็เป็นได้

     

     

    คริสอู๋หัวเราะกับตัวเองเบาๆ กับความคิดนั้นก่อนจะดื่มวิสกี้ลงไปทีเดียวหมดแก้ว

     

     

     

    เขารู้ว่าพระเจ้าไม่มีทางให้อภัยเขาได้ง่ายๆ เพราะถึงแม้เขาจะตัดสินใจแต่งงานแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะใช้ชีวิตให้เหมือนเดิมต่อไปให้นานที่สุด อยากจะรั้งชีวิตแบบเดิมๆ ของเขาให้ยาวนาน

     

     

    ไม่ว่าจะการดำเนินชีวิต การมีอิสระ หรือการที่เขายังคงความสัมพันธ์กับเด็กคนนั้นไว้

     

     

    คริสไม่คิดจะบอกเรื่องแต่งงานกับเลย์ เพราะเขาคิดว่าเด็กหนุ่มไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องราวส่วนตัวของเขาไปทุกเรื่อง หากแต่เมื่อมันถึงเวลาที่เขาจะต้องตัดสัมพันธ์กับอีกฝ่าย ก็คงเลือกวิธีตัดการติดต่อไป แต่ก่อนหน้านั้นเขาอาจจะมอบเงินให้ไว้สักก้อน เพื่อเจ้าตัวจะได้มีไว้ใช้ และถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะบอกให้เด็กหนุ่มไปทำมาหากินอย่างอื่นจะดีกว่ารอใครมาเลี้ยงดูเฉกเช่นเขาอีก

     

     

     

    มันไม่ใช่แค่เรื่องความไม่มั่นคงของชีวิตที่เลย์จะได้พบเจอ แต่เขาคงรู้สึกแปลกๆ ถ้าได้รับรู้ว่ามีใครรับช่วงต่อจากเขา ถ้าเด็กหนุ่มไปเล่าเรียน และทำงานทำการที่มั่นคงได้คงจะดีกว่า

     

     

     

    เฮ้ยว่าไง!  สัมผัสหนักๆ ที่ตบลงบนหลังของคุณหมอคริส มันทำให้อีกฝ่ายต้องสะดุ้ง และอด ซี๊ดปากไม่ได้ ศัลยแพทย์หนุ่มหันไปมองคนที่ปลุกเขาจากภวังค์ด้วยน้ำหนักมือที่ไม่เบานั้น

     

     

    “ตบแบบนี้ ไม่เตะกูเลยว่ะ” คริสเอ่ยประชดใส่ผู้กองหนุ่มหล่อ เพื่อนสนิทที่เขานัดมาสังสรรค์วันนี้ คนถูกประชดหัวเราะลงคอเบาๆ ก่อนจะลงนั่งข้างๆ คุณหมอหนุ่มที่ดูอารมณ์ไม่ดีอยู่

     

     

    “กูรู้ว่ามึงชอบผู้ชาย แต่ไม่คิดว่ามึงจะเริ่มกลายเป็นผู้หญิงนะคริส”

     

     

    “อะไรของมึง”คุณหมอหนุ่มถามเสียงแข็งกับประโยคกวนที่ดูเหมือนจะทำให้ยิ่งอารมณ์เสีย

     

     

    “ก็เดี๋ยวนี้มึงช่างประชด”

     

     

     

    “กูไม่ได้เป็นตุ๊ด” คุณหมอหนุ่มกระชากเสียงตอบ และมันก็ทำให้คนฟังหัวเราะครืน

     

     

    “แต่มึงเป็นเกย์” พูดกวนเสร็จก็ยักคิ้วล้อ คนอารมณ์เสียก็ยิ่งเสียหนัก

     

     

    “จะกวนกูทำไมชางมิน”

     

     

    “แซวเล่นทำเป็นโมโห น้อยใจ เอาน่ากูขอโทษที่แซวมึง ขอโทษที่ทักมึงแรงด้วย” ผู้กองหนุ่มเอ่ยพลางเลื่อนแก้วเหล้าเพิ่มให้เพื่อนสนิทที่ดูท่าทางวันนี้จะอารมณ์ไม่ดี

     

     

    พอได้เหล้าเพิ่มคุณหมอคริสก็รีบกระดกราวกับกระหายทันที ไม่ต้องถามผู้กองชางมินก็รู้ว่าวันนี้ คุณหมออู๋คงไม่ได้อารมณ์ดีมาแน่ ๆ

     

     

     

    “มีอะไรหรือเปล่า”

     

    “นิดหน่อย”

     

    “อยากเล่าให้กูฟังไหม” เมื่อเห็นว่าวันนี้เริ่มทักกันด้วยสรรพนามไม่สุภาพ ทั้ง ๆ ที่หลังๆ ไม่ค่อยได้ใช้ ชางมินเลยเลือกที่จะใช้มันต่อ เพราะคิดว่ามันน่าจะดีกับสภาพของเพื่อนที่ดูไม่ดีเอาเลยในวันนี้

     

    “อืม วันนี้กูไปคุยเรื่องงานแต่งงานมา”

     

     

    “แต่งงาน?” ชิมชางมินกดเสียงหนักขึ้นกับประโยคนั้น

     

    “อืม แต่งงาน”

     

     

    “ของใคร”

     

    “กูกับจินอา” พอสิ้นประโยค ผู้กองชางมินก็ถอนหายใจทันที

     

     

    “คิดดีแล้วเหรอวะ”

     

     

    “ก็คิดดีแล้ว เพื่อแม่ เพื่ออนาคตของกู เพื่อความถูกต้อง” คริสอู๋พูดพลางค่อยๆ หมุนแก้ววิสกี้ในมือให้น้ำสีทองแดงมันหมุนวน เขารู้ว่าสภาพจิตใจของเขาไม่ต่างจากเหล้าในแก้วนั้นเลย

     

     

    “แต่มึงจะไม่มีความสุข”

     

     

    “รู้ได้ยังไงวะ ดีไม่ดีกูแต่งไปก็อาจจะมีความสุขก็ได้ มีลูกมีเต้าให้เลี้ยง เอาเวลาไปรักลูก”

     

     

    “แต่ไม่รักเมีย?



    “ยังไงก็กูก็รักเขา กูรักจินอาอยู่แล้ว ถึงจะรักแบบน้องก็เหอะ กูคงดูแลเขาได้ดี ไม่ทำร้ายเขา เขาจะได้ไม่ต้องไปลำบาก ไปแต่งงานกับคนอื่นที่ไม่รู้มันจะดูแลเขาดีไหม แล้วจินอาเองก็จะได้ไม่ผิดหวังด้วย เพราะเขารักกู”

     

     

    “แต่คน ๆ นั้นที่ไม่ใช่มึง ถ้าเขาได้แต่งงานกับจินอา ก็คงรักจินอา ไม่หลอกลวงเขา รักเขาแบบคนรัก แบบภรรยา แบบแม่ของลูก ไม่ได้รักแบบมึง”

     

     

    “นี่มึงมาบั่นทอนกำลังใจกูชัดๆ” คุณหมอหนุ่มพรูลมหายใจ ก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปากอีกครั้ง

     

     

    “แล้วจะให้กูสนับสนุนเหรอ”

     

     

    “กูอยากให้มึงบอกกูว่าดีแล้วคริส มึงกลับใจเสียที ยินดีด้วยกับกู”

     

     

    “กูไม่ชอบหลอกตัวเอง และไม่ชอบหลอกใคร กูรู้เหมือนกันว่ามึงก็ไม่ชอบ และก็รู้ว่ามึงอึดอัดกับตัวมึงเอง กูไม่ได้มีความสุขหรอกที่มึงมีรสนิยมแบบนี้ แต่กูไม่มีความสุขกว่าที่มึงเอาเรื่องนี้กดดันตัวเองตลอดเวลา และถ้ามึงจะแก้ปัญหานี้มันคงจะดีกว่าถ้ามึงจะไม่ดึงใครเข้ามาเพื่อแก้ปัญหา”

     

     

    คริสอู๋ถอนหายใจอีกครั้งกับประโยคตักเตือนนั้น เขารู้ว่าการดึงใครเข้ามาเกี่ยวข้อง มันอาจทำให้อีกฝ่ายเสียใจได้ถ้าอีกฝ่ายรู้ โดยเฉพาะเป็นคนที่เขาเองก็รักมาก แต่ถ้าจะหาใครสักคนที่จะมาช่วยเหลือเขา และทำให้เขารักได้ ก็คงจะต้องเป็นคนๆ นี้ และเขาพยายามที่จะเชื่อมั่นกับตัวเองว่าเขาจะเปลี่ยนได้

     

    “ทำอะไรไม่ได้แล้ว กูตอบรับไปแล้ว คุยเรื่องเตรียมงานแล้ว วันนี้กูไปเลือกแบบการ์ดมาแล้วด้วยซ้ำ”

     

    นายแพทย์หนุ่มหยิบแบบการ์ดแต่งงานที่ทางร้านทำมาเป็นตัวอย่างมาให้สองแบบยื่นให้กับผู้กองเพื่อนสนิท

     

     

    “มึงเลือกซิว่าอันไหนสวย” คริสอู๋พูดทีเล่นทีจริงๆ ซึ่งมันทำให้ผู้กองชิมชางมินหัวเราะไม่ออก

     


    “มึงเลือกเองเหอะนี่ชีวิตของมึง”

     

    “กูเลือกแล้ว”

     

    “ถ้าอย่างนั้นกูจะทำอะไรได้ กูพยายามคิดนะว่ามึงเป็นคนฉลาด มึงจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง”

     

    “อืม มันดีที่สุดแล้ว กูว่ามันเหมาะกับกู” คริสอู๋หันมายิ้มกับเพื่อนสนิท  ซึ่งแม้แต่คนไม่รู้จักกันก็มองออกว่ามันไม่ใช่ยิ้มที่เกิดจากความสุข

     

     

    “กูอยากให้มึงรักตัวเอง แค่ตัวเอง ไม่เกี่ยวกับทุกอย่างที่แวดล้อมมึง”

     

     

    “ก็เพราะรักตัวเองไงกูถึงเลือกแบบนี้”

     

     

     

    นายตำรวจหนุ่มพรูลมหายใจหลังได้ยินคำตอบ เขารู้จักอีกฝ่ายดีคริสถูกเลี้ยงมาอยู่ในกรอบ คริสรักแม่และพ่อ เขาไม่เคยทำให้พวกท่านผิดหวัง ตอนเจ้าตัวได้เป็นหมอ พ่อกับแม่ของคริสปลื้มใจกับลูกคนนี้มากที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับพวกท่าน และเจ้าตัวก็ยึดติดกับภาพลักษณ์ และสังคม คริสยินดีกับการที่มีชื่อเสียง และยึดติดกับหน้าที่การงานที่มีหน้ามีตา มีรายได้ที่ดี มีประวัติสวยงามไม่เคยด่างพร้อย เป็นเหมือนคนชั้นหนึ่งของสังคม

     


    หากแต่ในส่วนลึก เจ้าตัวกลับมีความสุข และความต้องการที่ผิดแผกจากสังคมปรกติ ซึ่งสิ่งนี้แหละที่คริสกังวลกับมันมากว่าเขาจะปิดบังซ้อนเร้นมันได้ยังไง เขารู้ว่าเพื่อนกังวลกับเรื่องนี้ หากแต่ในระยะหลังๆ คริสก็ดูจะจัดการกับปัญหาได้ เขาจึงไม่เคยคิดเลยว่าคริสจะตกลงแต่งงานเพื่อปกปิดตัวเอง

     

     

    และถึงเขาจะไม่เห็นด้วยชนิดหัวชนฝา แต่เขาก็ทำได้แค่หน้าที่ของเพื่อนรักที่ตักเตือนกันไป ก็เหลือเพียงแต่อีกฝ่ายจะเอามันไปคิดได้แค่ไหน

     

     

    ถ้าอนาคตคริสจะสุขจริงอย่างที่เจ้าตัววาดหวัง เขาก็จะดีใจด้วย และขอให้มันเป็นเช่นนั้น

     

     

     

    “ช่วงนี้งานเป็นยังไง” คริสเอ่ยถามขึ้นในระหว่างที่เกิดความเงียบ หากแต่มันเป็นคำถามที่เจ้าตัวถามเหมือนทุกครั้งที่ได้เจอกัน

     

     

    “ก็ดี กูเพิ่งส่งสำนวนฟ้องคดีที่จับผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ให้พวกคนในวงการบันเทิงไป มึงน่าจะได้ยินข่าว ลูกค้ามึงเป็นดาราเยอะนี่”

     

     

    “อืม ได้ยินอยู่ แต่ไม่เกี่ยวกับลูกค้ากูสักหน่อย แล้วหลังจากนี้มึงมีคดีไหนต่อหรือเปล่า”

     

     

    “มีซิว่ะ คดีเก่าของจงอินมัน”

     

     

    “คู่หูหน้าเข้มมึงอ่ะนะ”

     

     

    “อืม คดีค้างมาปีกว่าแล้ว ยังตามจับผู้ต้องหาไม่ได้ แต่พอดีมีสายบอกว่าเจอผู้ต้องหาที่โซล    จงอินมันเลยไปดึงเรื่องมาทำเอง ทิ้งเอาไว้ที่ สน.บ้านนอกนั่นเรื่องคงไม่เดิน”

     
     

    “คดีอะไรว่ะ” คริสอู๋ถามด้วยความสงสัย ถึงแม้ตอนนี้เขาจะรู้สึกมึนๆ บ้างแล้วแต่ก็ยังอยากฟังเรื่องงานของเพื่อนอยู่

     
     

    “ฆาตกรรม จงอินมันอยากปิดคดีนี้เสียที ตอนมันทำมันก็สืบได้เยอะแล้ว แต่พอมันย้ายมา เรื่องก็ไม่เดินเลย แล้วมันบอกว่าลูกของคนถูกฆาตกรรมน่าสงสาร หลังเกิดเหตุใหม่ๆ จงอินมันต้องพาเด็กคนนั้นไปหาจิตแพทย์เลยล่ะ”

     
     

    “เหรอวะ แย่ว่ะ”

     

     

    “อืม ไม่รู้ป่านนี้เป็นยังไงแล้ว แต่กูยังไม่เคยเจอเขานะ จงอินมันติดต่ออยู่”

     

     

    “เห็นคู่หูมึงหน้าตาแบบนั้นไม่น่าใจดี”

     

     

    “ก็ไปว่ามัน แต่ไม่รู้ซิมันเอ็นดูเด็กมั่ง”

     
     

    “เอ็นดูแบบไหน” คุณหมอหนุ่มที่เริ่มกรึ่มหลังจากที่ดื่มมาตั้งแต่หัวค่ำเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแซว พอผู้กองเพื่อนสนิทหันไปมองก็อดขำกับตาเยิ้มๆ นั่นไม่ได้

     
     

    “ไม่ได้เอ็นดูเด็กแบบมึงหรอก เด็กนั่นผู้ชาย”

     

     

    “ใครจะไปรู้”

     

     

    “กูคงไม่แจ็คพ็อตเจอแบบมึงบ่อยๆ หรอก” ชิมชางมินแกล้งผลักหัวเพื่อนขี้เมา ซึ่งอีกฝ่ายก็เซไปตามแรงผลักเสียจน ผู้กองหนุ่มหล่อต้องลุกขึ้นมาประคอง

     

     

    “กูว่าพามึงไปส่งบ้านดีกว่า นี่กูกินไปสองแก้วเองนะ แต่นี่มึงชิงเมาไปก่อนแล้ว” คุณหมอหนุ่มที่รู้อาการของตัวเองก็ทำได้แต่พยักหน้า ถึงแม้จะเสียดายที่ยังไม่ทันคุยอะไรกับชางมินเท่าไหร่แต่ถ้าขืนทนนั่งอยู่เขาอาจจะได้หลับคาโต๊ะแทนการได้คุยกันอยู่ดี

     

     

    “เออไปก็ได้” คริสอู๋ประคองตัวเองลุกจากเคาท์เตอร์ประจำ โดยมีเพื่อนสนิทนายตำรวจหนุ่มเดินตาม

     


    ชิมชางมินได้แต่มองเพื่อนรักด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ...

     


    ถ้าทุกข์ใจขนาดนี้ แล้วทำไมยังเลือกแบบนี้ล่ะไอ้เพื่อนรัก

     
     

    ... TBC…


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×