คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : [KrisLay] The Moon and The Sun [Part 1]
*ก่อนอ่าน*
ฟิคเรื่องนี้เป็นตอนต่อของ Mug & Saucers นะคะ แต่ถึงไม่ได้อ่านเรื่องนั้นก็พอที่จะคาดเดาและอ่านเรื่องนี้ต่อได้ เพราะมันจะพาดพิงถึงเรื่องเดิมไม่เยอะมาก แต่ถ้าอยากได้อรรถรสควรได้อ่านก่อนจะดีมากนะคะ (ยิ้ม) ซีรีย์นี้จะจบเมื่อไหร่ตอบไม่ได้แต่ไม่ยาวแน่นอน และตามที่เคยเกริ่นไว้ว่าจะจบที่ตอนของไคลู่ ซึ่งในตอนของคริสเลย์ก็จะมีคู่นั้นแทรกซึมอยู่บ้าง
ปล.เผื่ออยากได้ฟิลตอนอ่าน เพราะเรื่องนี้ปุ้มแต่งจากแรงบันดาลใจจากเพลงนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทัศนียภาพที่วิ่งผ่านสายตาของชายหนุ่มร่างสูงหลังพวงมาลัยรถยนต์คันหรูถูกเปลี่ยนจากย่านการค้าที่มีผู้คนมากมายกลายเป็นสะพานขนาดใหญ่ที่กำลังพาเขาข้ามแม่น้ำเพื่อไปยังเขตธุรกิจชื่อดัง และย่านที่อยู่อาศัย
อู๋อี้ฟ่านเปิดเพลงคลอเบาๆ หากแต่ไม่ได้ใส่ใจฟังมัน เพราะเขายังให้ความสนใจกับเส้นทางเบื้องหน้า และเรื่องที่เขาเพิ่งจากมาเสียมากกว่า เรื่องที่จากมา
....เรื่องของเขากับรุ่นน้องตัวเล็กพยอนแพคฮยอน…
แพคฮยอนเป็นรุ่นน้องที่เขาเพิ่งรู้จักไม่นาน โดยรู้จักผ่านน้องชาย และว่าที่แฟนของน้องชายที่อาสามาเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้กับคนตัวเล็กกับเขา ตอนนั้นอี้ฟ่านไม่ปฏิเสธที่จะทำความรู้จักกับแพคฮยอนเพราะอยากที่จะพาตัวเองให้พ้นไปจากความรู้สึกเก่าๆ และเปิดตัวเองกับคนใหม่ๆ เพราะรู้ดีว่าการจ่มจ่อมกับเรื่องเิดิมๆ มันไม่มีทางทำอะไรให้ดีขึ้นได้
แพคฮยอนเป็นผู้ชายตัวเล็ก ขี้อ้อน น่ารักสดใส ซึ่งพอได้ทำความรู้จัก สนิทสนม เขาก็รู้สึกว่าชีวิตของเขามีชีวิตชีวาขึ้น ชายหนุ่มคาดหวังที่จะให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับรุ่นน้องตัวเล็กพัฒนาจนสามารถทำให้เขาลืมคนที่เคยครอบครองหัวใจของเขาทั้งดวง หากแต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะตอนนี้หัวใจของเขาทั้งดวงก็ยังเป็นของคนๆ เดิมอยู่ และเขารู้ว่าแพคฮยอนกับเขาคงเป็นได้แค่พี่น้องที่ดีต่อกัน เพราะไม่ใช่แค่เขาที่มีคนอยู่ในหัวใจอยู่แล้ว แพคฮยอนเองก็มีคนที่อยู่ในใจเหมือนกัน แต่เพียงแค่เจ้าตัวเพิ่งจะรู้ ดังนั้นเขาทั้งสองคนจึงเป็นได้แค่พี่น้องกัน
อี้ฟ่านรู้สึกสบายใจขึ้นที่ไม่ใช่เขาที่ต้องปฏิเสธอีกฝ่าย แต่เป็นแพคฮยอนที่ปฏิเสธเขาก่อน เพราะถ้าเป็นตัวเขาเองต้องเป็นฝ่ายพูดก็คงไม่รู้จะพูดอย่างไรให้สบายใจด้วยกันทั้งคู่ และเมื่อเป็นแพคฮยอนพูดเองมันจึงทำให้บรรยากาศที่ควรจะอึดอัดแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ
อู๋อี้ฟ่านคลายยิ้มด้วยความสบายใจอีกครั้งพลางนึกไปถึงคำพูดของรุ่นน้องตัวเล็กที่พูดถึงเพื่อนสนิทที่กำลังจะกลายเป็นคนรักของเด็กคนนั้น จากสถานะเพื่อนมาเป็นคนรัก มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งเขาก็หวังว่าทั้งคู่จะผ่านมันไปได้อย่างมีความสุข อย่าให้เป็นเหมือนเขาเลย เพราะสถานะจากเพื่อน ไปเป็นคนรัก มันอาจยากแต่ไม่ได้ยากเกินไป แต่จากคนรักกลายมาเป็นเพื่อนต่างหากที่ยากกว่าหลายเท่านัก
.
.
.
.
.
.
.
.
อี้ฟ่านเลี้ยวรถเข้าไปจอดในที่จอดรถของอาคารที่พักอาศัยขนาดใหญ่กลางใจเมือง เขาเดินลงมาจากรถ และมุ่งหน้าเข้าไปยังอาคารนั้น ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ที่เขามายังที่นี่ แต่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในตึก เพราะสองครั้งแรก คือตอนที่เขาช่วยขับรถมาส่งอี้ชิง พร้อมของที่จะย้ายมา ซึ่งพอมาถึงอี้ชิงกับลู่หานก็ช่วยกันขนของขึ้นไปเอง ส่วนอีกครั้งก็เมื่อสองอาทิตย์ก่อนที่มาส่งอี้ชิงหลังกลับจากโรงพยาบาล เมื่อก้าวเข้าไปในลิฟท์ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูข้อความที่เพื่อนตัวเล็กส่งมาให้อีกครั้งเพื่อทบทวนเลขห้อง จริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาจำไม่ได้ หรือความจำเสื่อมอะไรหรอก แต่มันอดตื่นเต้นจนกังวลไม่ได้และกลัวตัวเองจะลืม
เมื่อเช้าเสี่ยวลู่โทรมาหาเขาแล้วบอกว่าตัวเองมีธุระ เป็นห่วงอี้ชิงที่ต้องอยู่คนเดียว แถมตอนเย็นจะต้องมาซ้อมที่บริษัท ไม่อยากให้ขึ้นรถสาธารณะ ก็เลยขอร้องให้มาอยู่เป็นเพื่อน และไปส่งอี้ชิงให้แทน อี้ฟ่านแปลกใจนิดหน่อยเพราะเห็นว่าจางอี้ชิงเองอาการก็ดูจะดีขึ้นมากแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ลู่หานตอบว่าอาการของเพื่อนสนิทมันนึกจะเป็นก็เป็นเขาค่อนข้างเป็นห่วง ซึ่งอี้ฟ่านเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่จะต้องมา แถมเป็นโอกาสดีเสียอีกที่ได้เจอกับอดีตคนรัก เพราะว่าหลังจากที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันช่วงคนปวดหลังอยู่โรงพยาบาล อี้ฟ่านก็รู้ใจตัวเองว่าตัดอีกฝ่ายไม่ขาด และอยากกลับมาเริ่มต้นใหม่ถ้าเป็นไปได้ ถึงแม้มันจะยากก็เหอะ แต่ก็ยังอยากลองสักครั้ง แล้วอี้ฟ่านก็แอบคิดว่าลู่หานเองก็คงอยากจะช่วยเขาถึงให้โอกาสเขาแบบนี้
.
.
.
.
จางอี้ชิงรู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินเสียงกริ่งดังขึ้นเพราะปรกติไม่เคยมีใครมาหา แล้วถ้าเป็นลู่หานก็ไม่น่าที่จะกดกริ่ง ร่างขาวเดินไปกดดูอินเตอร์คอม และภาพที่ปรากฏบนสายตายิ่งทำให้เขาประหลาดใจ
ทำไมอู๋อี้ฟ่านถึงมาอยู่หน้าห้องได้
อี้ชิงใช้เวลาตัดสินใจเล็กน้อยก่อนที่จะเปิดประตู เขาคิดว่าร่างสูงคงมาหาลู่หานก็เลยตั้งใจจะไปบอกว่าเพื่อนสนิทไม่อยู่
.
.
.
“ฉันไม่ได้มาหาลู่หาน” นั่นเป็นคำตอบหลังจากที่อี้ชิงบอกคนที่มาเยี่ยมเยือนโดยไม่รู้ตัวไปว่าลู่หานออกไปธุระ
“แล้วคริสมีธุระอะไร....” อี้ชิงเอียงคอสงสัย
คนถูกเรียกด้วยชื่อคริสจิ๊ปากด้วยความขุ่นใจ เขาอาจชอบให้คนอื่นเรียกเขาด้วยชื่อนี้ แต่ไม่ใช่กับจางอี้ชิง เมื่อก่อนอี้ชิงเรียกเขาด้วยชื่อจริงมาตลอด จนเมื่อเลิกลากันคนตัวเล็กก็เปลี่ยนมาเรียกชื่อคริสตามคนอื่น
“ลู่หานบอกว่านายอยู่คนเดียวเลยให้ฉันมาอยู่เป็นเพื่อน”
“ห๊า!! เราไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ลู่หานนี่จริงๆ”
“เขาเป็นห่วง กลัวจะล้ม หรือปวดหลังขึ้นมาอีก แล้วเห็นว่านายจะต้องไปซ้อมเย็นนี้เลยอยากให้ฉันขับรถไปส่ง”
“ฉันไม่เป็นไรจริงๆนะ” อี้ชิงบอกด้วยน้ำเสียงเกรงใจ ปนไม่สบายใจ คนตัวขาวก้มหน้าก้มตาพลางบ่นเพื่อนสนิทที่หาเรื่องมาให้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาพยายามเลี่ยงอีกฝ่ายมาตลอด
“ยังไงก็มาแล้วนายคงไม่ใจร้ายไล่ฉันกลับใช่ไหม” อู๋อี้ฟ่านเอ่ยเสียงนุ่ม
“แต่ฉันไม่เป็นไรจริงๆ”
อี้ฟ่านจ้องมองคนตรงหน้าที่ยืนกัดริมฝีปากอยู่ แค่ดูก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายพยายามเลี่ยงเขา
“นายกับฉันเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ ฉันก็แค่มาช่วยเพื่อน มาช่วยแทนลู่หานก็แค่นั้น และยังไงก็มาแล้ว” ดูเหมือนประโยคนี้จะได้ผล จางอี้ชิงอ้าปากค้างก่อนถอนหายใจเบาๆ
คำว่าเพื่อน เหมือนเป็นคำค้ำคอของจางอี้ชิงอยู่ เพราะตอนที่บอกเลิกกันอี้ชิงขอให้ความเป็นเพื่อนต่อกันยังคงอยู่ นั่นเพราะไม่อยากเสียเพื่อนดีๆ ไป และเพราะยังเป็นเพื่อนกันนี่แหละที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับอี้ฟ่านนั้นกระอักกระอวนนัก
เพราะการที่ต้องพบเจอกันทุกวันมันทำให้ตัดไม่ขาด อยู่ใกล้กันก็อึดอัดลำบากใจ ถ้าเลิกกันแล้วต่างคนต่างอยู่มันอาจจะอึดอัดน้อยกว่านี้ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ในเมื่อพวกเขายังคบเพื่อนกลุ่มเดียวกัน และอี้ชิงเองก็ยังอยากที่จะเป็นเพื่อนกับคน ๆ นี้อยู่ เขาทำได้แต่คิดว่าวันเวลาจะทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดนี่คงจางหายไปเอง
อี้ชิงเลือกที่จะหันหลังให้ประตูห้อง และก้าวเดินจากมาเหมือนเป็นสัญญาณยอมแพ้ต่อคนที่เอาสถานะเพื่อนมาอ้าง ซึ่งร่างสูงก็รีบเดินเข้ามาทันทีเหมือนกลัวว่าเจ้าของห้องจะเปลี่ยนใจ
อี้ฟ่านกวาดสายตาสำรวจห้องพักที่อดีตคนรักมาพักอยู่กับเพื่อนสนิท ห้อง ๆ นี้ขนาดไม่ใหญ่นัก ก็คงเป็นไซส์มาตรฐานของห้องพักกลางใจเมืองซึ่งราคาห้องสูงลิ่ว ในห้องมีเพียงเตียงสองชั้นอยู่ด้านหนึ่งซึ่งไม่ต้องบอกเขาก็เดาได้ว่าอี้ชิงต้องนอนเตียงล่าง เพราะเขาเห็นกีตาร์วางอยู่ ในขณะที่เตียงด้านบนมีผ้าพันคอสีแดงสลับดำของทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์อยู่ไนเต็ดพาดไว้ซี่งมันคงเป็นของลู่หาน ถัดไปตรงกำแพงฝั่งริมประตูมีตู้เสื้อผ้าใบใหญ่อยู่ และยังมีเสื้อผ้ากองอยู่อีกมากเพราะว่าทั้งคู่เป็นคนช่างแต่งตัว ส่วนริมอีกด้านของห้องมีโต๊ะคอมพิวเตอร์วางอยู่สองตัว มีอยู่ตัวนึงมีคีย์บอร์ดสีขาวคุ้นตาวางอยู่ข้างๆ ......คีย์บอร์ดสีขาวตัวที่อี้ฟ่านเคยไปช่วยอี้ชิงเลือกซื้อ
“ห้องแคบไปหน่อยหน่ะ ไม่เหมือนห้องนาย นายนั่งตรงหน้าคอมแล้วกัน” อี้ชิงเอ่ยก่อนจะพาตัวเองไปนั่งที่เตียง เนื่องจากห้องนี้เล็กมาก จึงทำให้มีพื้นที่ระหว่างมุมห้องอีกด้านไปอีกด้านมีไม่กว้างจนทำให้นั่งคุยกันได้
“แล้วอยู่สบายดีไหม” อี้ฟ่านเอ่ยถามด้วยความรู้สึกเป็นห่วง เมื่อก่อนตอนอี้ชิงยังอยู่ที่ห้องเดียวกับเขาที่นั่นกว้างขวางกว่าห้องนี้มาก และยังสะดวกสบายกว่า มาอยู่ห้องแคบๆ แบบนี้อี้ชิงคงอึดอัดแย่
“ก็อยู่ได้ วันๆ นึงอยู่แค่พักเดียวเองตอนเช้าไปเรียน แล้วก็ไปซ้อมกลับมาก็ดึกมากแล้ว ก็ไว้แค่นอน อีกอย่างห้องฟรีจะเรียกร้องอะไรอีก”
ห้องฟรีที่อี้ชิงว่านั้นก็เพราะว่าตอนนี้ค่าห้องพักของอี้ชิง และลู่หานเป็นหน้าที่ของบริษัทเพลงที่ทั้งคู่เป็นเทรนนีอยู่ เมื่อหลังจากที่ทั้งคู่ถูกเลือกให้เตรียมตัวเดบิวต์ทางบริษัทก็จัดการเรื่องอยู่เรื่องกินให้ทันที โดยเลือกห้องพักที่ใกล้บริษัท ปลอดภัย และเป็นความลับให้ แต่สำหรับจงอินที่ถูกคัดเลือกมาเหมือนกันนั้นเนื่องจากเจ้านั่นมีบ้านอยู่ไม่ไกลจากบริษัทเลยไม่ต้องมาอยู่หอแบบสองคนนี้
บรรยากาศในห้องเงียบไปอีกพักใหญ่ เพราะต่างคนไม่รู้จะคุยอะไรกัน เมื่อครั้งเคยอยู่ด้วยกันคนช่างคุยมักจะเป็นอี้ชิง หากแต่ตอนนี้ร่างขาวตรงหน้าอี้ฟ่านกลับแกล้งเสมองไปนอกหน้าต่างบ้าง ก้มอ่านโน่นอ่านนี่ในโทรศัพท์มือถือบ้าง
“หลังเป็นยังไงบ้างแล้ว” อี้ฟ่านพยายามดึงความสนใจกลับมาที่เขาอีกครั้ง
“ก็ดีขึ้นมากแล้ว”
“แล้วนี่ซ้อมได้แล้วเหรอ”
“ก็ยังไม่ได้ซ้อมเต้นจริงจังหรอก เปลี่ยนไปซ้อมร้องแทน” อี้ชิงตอบมาด้วยแววตาหมอง คนฟังรู้ดีว่าอีกฝ่ายจริงจังกับเส้นทางนี้แค่ไหน และอี้ชิงก็เด่นด้านเต้นมากกว่าร้อง อาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่หากทำให้คนตัวเล็กเต้นไม่ได้มันคงทำให้อนาคตที่อุตสาห์ต่อสู้มาสูญไป
“เดี๋ยวนายก็หายดี” อี้ฟ่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงให้กำลังใจ เขานึกอยากจะยื่นมือไปจับมือเล็กที่กุมอยู่ที่หน้าตัก แต่ระยะห่างทั้งทางกายและทางใจมันจึงทำให้เขาได้แต่นั่งอยู่ที่เดิม
“ก็อยากให้เป็นอย่างนั้นเร็ว ๆ แต่มันก็ยาก ฉันไม่เหมือนคนอื่น เลยรักษาเหมือนคนทั่วไปไม่ได้ ทั้งๆ ที่ฉันเป็นก่อนจงอินแต่ตอนนี้เจ้านั่นหายแล้ว” อี้ชิงถอนหายใจเบาๆ กับอาการป่วยของเขา
เมื่อต้นปีเอ็นกล้ามเนื้อหลังของเขาบาดเจ็บ และมันกลายเป็นอาการป่วยเรื่อรัง ซึ่งคนที่เต้นหนักอย่างพวกเขามีโอกาสง่ายที่จะบาดเจ็บแบบนี้ แต่ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ได้ป่วยด้วยโรคทางพันธุกรรมอย่างฮีโมฟีเลียอย่างเขาก็คงรักษากันได้ง่ายจากการฝังเข็ม หรือผ่าตัด แต่กับเขามันไม่ใช่ เพราะเขาถูกสั่งห้ามในการรักษาด้วยการฝังเข็มซึ่งมันจะเป็นอันตรายสำหรับคนเป็นโรคนี้ และการผ่าตัดนั้นเป็นทางเลือกสุดท้ายเพราะหมอไม่อยากให้แฟคเตอร์กับเขาจำนวนมากในเวลาผ่าตัดเพราะกลัวร่างกายจะต่อต้าน หรือกลัวการห้ามเลือดไม่ได้ และรวมกับอาการของโรคนี้ที่มีโอกาสจะเจ็บปวดกล้ามเนื้อง่ายกว่าคนอื่นเพราะเลือดจะออกออกตามข้อหรือกล้ามเนื้อ มันเลยทำให้สุขภาพของเขาค่อนข้างอ่อนแอกว่าคนอื่น
ทำไมนะความฝันของเขามันถึงวิ่งตรงกันข้ามกับสภาพร่างกายของเขาแบบนี้
อี้ฟ่านลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ และเอื้อมมือไปลูบที่ศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมหยักศกเบาๆ เขารับรู้ดีว่าอี้ชิงต้องต่อสู้กับปัญหานี้มากแค่ไหน เวลาที่เขาเห็นอี้ชิงเจ็บปวดมันทุกข์ทรมานมากเหลือเกินสำหรับเขาเช่นกัน แต่ก็รู้ว่าคนตรงหน้าไม่มีทางที่จะท้อถอยแน่ๆ ....
เพราะอี้ชิงลือกความฝันมากกว่าตัวเขาเสียด้วยซ้ำ …….
“ถ้านายดูแลตัวเองดีๆ กินยาตามที่หมอสั่ง สักวันนายก็จะกลับมาหายปรกติ” มันเหมือนคำพูดปลอบใจที่พร่ำพูดเพื่อสะกดจิต อี้ฟ่านเคยพูดแบบนี้หลายครั้งทั้งๆ ที่ลึกๆ เขาก็คิดว่ามันคงยากที่จะกลับมาปรกติ แต่สำหรับเขาตอนนี้มันทำได้แค่นี้จริง ๆ
ทั้งๆ ที่ในใจเรียกร้องอยากจะเอ่ยบังคับให้อดีตคนรักเลิกความตั้งใจที่จะเป็นนักร้องไปเสีย แต่ก็รู้ว่าพูดไปอีกฝ่ายก็คงไม่รับฟัง
“อืออ” อี้ชิงครางรับในลำคอ พลางเบี่ยงตัวหนีจากมือใหญ่ที่ลูบเลือนผมของเขาอยู่ เขาไม่อยากจะเผลอใจปล่อยให้ความอ่อนโยนมาครอบครองความรู้สึกของเขา เพราะมันจะยิ่งทำให้ลำบากใจ
“ฉันว่าฉันแต่งตัวเตรียมไปซ้อมก่อนดีกว่า นายนั่งรออยู่แถวนี้แล้วกันหรือเปิดโทรทัศน์ดูก็ได้” อี้ชิงลุกขึ้นจากขอบเตียงกระทันหัน โดยที่ไม่แม้แต่เหลียวมองคนที่ตัวเองสั่งเสีย ร่างสูงได้แต่มองตามแผ่นหลังบอบบางนั้น พร้อมความรู้สึกเจ็บหน่วงๆ ที่หัวใจ เมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะหลีกหนีสัมผัสของเขา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ขอบคุณนะ” คนตัวเล็กเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่พาตัวเองออกไปยืนนอกรถแล้ว พร้อมมอบรอยยิ้มกดลึกจนเห็นรอยบุ๋มข้างแก้มแถมให้กับคนมาส่งอีกด้วย
รอยลักยิ้มที่อี้ฟ่านคิดถึง และเจ้าตัวไม่เคยมอบมันให้กับเขาโดยตรงมานานแล้ว อี้ฟ่านมักจะแอบมองเวลาอี้ชิงหัวเราะเล่นหัวกับเพื่อน และก็ทำได้แต่มอง เพราะหลังจากเลิกลากัน อี้ชิงก็ไม่แทบไม่ยิ้มให้กับเขาเลย
“ไปก่อนนะ” ร่างขาวจัดยกมือขวาขึ้นมาโบกอยู่ข้างแก้ม และเจ้าตัวก็เกี่ยวสายกระเป๋าเป้ให้กระชับไหล่ สารถีคนมาส่งมองร่างนั้นค่อยๆ เดินห่างไป จนเมื่อเขานึกอะไรบางอย่างได้อี้ฟ่านก็รีบกดกระจกลงจนสุดและชะโงกหน้าออกไปตะโกนเรียก
“อี้ชิง แล้วตอนหลังเลิกซ้อมล่ะ”
คนตัวเล็กเอียงคอทำหน้าสงสัย และพอนึกได้ถึงความหมายของคำถามอี้ชิงก็ส่งยิ้มกลับไป
“เรากลับพร้อมลู่หานไง ขอบคุณนะ”
อี้ชิงตอบแค่นั้น และก็ก้าวเดินขึ้นบันไดตึกด้านหลังไป อี้ฟ่านได้แต่มองตามตอนที่คนตัวเล็กยืนกดรหัสซ้ำไปซ้ำมาด้วยสีหน้างงๆ จนร่างนั้นผลุบหายเข้าตึกไป
เป็นยังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ปรกติอี้ชิงมักเข้าบริษัทพร้อมลู่หาน หรือไม่ก็น้องรหัสอย่างจงอิน เจ้าตัวเลยไม่เคยกดรหัสเปิดประตูเอง และอีกเหตุผลคืออี้ชิงขี้ลืม เพื่อนและน้องเลยไม่คาดหวังจะให้อี้ชิงจำรหัสเข้าตึกได้ แล้วถ้าต้องมาเองทีไรก็ต้องเสียเวลากดเปิดประตูนานแบบนี้ทุกครั้ง อี้ฟ่านมองภาพนั้นพลางหัวเราะลงคอเบาๆ ด้วยความเอ็นดู มันเป็นภาพเก่าๆ ที่เมื่ออดีตเขามักเห็นบ่อยเวลาที่มาส่งอี้ชิง
เมื่อก่อนนอกจากหน้าที่ต้องมาส่งในบางวัน เขายังมีหน้าที่หลักที่ต้องมารับอี้ชิงทุกวันหลังเลิกฝึก เพราะกว่าจะเลิกก็มักจะดึกมากเหลือเกิน เมื่อก่อนเขาจะจอดรถรออยู่ฝั่งตรงข้ามตึก บางวันก็ต้องนั่งรอเป็นชั่วโมง ๆ แต่เขาก็มีความสุขที่ได้รอ และแม้แต่ตอนนี้เขาก็อยากได้วันเวลาแบบนั้นกลับมา
อี้ฟ่านแหงนหน้ามองตึกสูงเบื้องหน้า จริงๆ ตึกมันก็ไม่ได้สูงสักเท่าไหร่ แต่กำแพงที่จะก้าวข้ามผ่านไปต่างหากที่สูงกว่าแม้จะมองด้วยตาไม่เห็น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เรือนร่างสูง ผมทองสว่างค่อยๆ ก้าวเข้ามาในห้องพักของเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากมหาวิทยาลัย ห้องโทนสีขาวสลับดำ ที่กว้างกว่าห้องของคนน่ารักสองคนที่เขาไปเยี่ยมมาวันนี้กว่าสองเท่าตัว
ตอนเขาย้ายมาเรียนต่อที่เกาหลี เขาจำเป็นต้องหาที่พักที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย และตัวเองก็ไม่ชินจะอยู่ห้องเล็กๆ อย่างที่นักศึกษาคนอื่นอยู่ เพราะปรกติบ้านที่แคนาดาที่จากมาก็มีพื้นที่กว้างขวาง หากแต่ห้องกว้างกลับกลายมาเป็นภาระของเขา ไม่ใช่เรื่องเงินแต่กลายเป็นเรื่องการดูแล และการที่ต้องอยู่คนเดียวในห้องกว้างขวางมันทำให้เขารู้สึกเบื่อและเหงา และเมื่อลู่หานเพื่อนชาวจีนที่เขารู้จักตอนปฐมนิเทศน์มาเอ่ยปากถามหาห้องพักใกล้มหาวิทยาลัยให้เพื่อนชาวจีนคณะเดียวกับลู่หาน อี้ฟ่านจึงตอบตกลงที่จะช่วยด้วยการแชร์ห้องให้ เพราะลู่หานบอกว่าเพื่อนสนิทคนนี้ เป็นคนเรียบร้อย เรื่องงานบ้าน เรื่องอาหารการกินนั้นพอจะช่วยอี้ฟ่านได้ และนั่นแหละคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้จักกับ “จางอี้ชิง”
อี้ฟ่านพาร่างสูงๆ ของตัวเองลงนอนก่ายหน้าผากบนโซฟากำมะหยีสีดำตัวใหญ่กลางห้อง สายตาของเขาไปปะทะกับโต๊ะตัวเล็กที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง โต๊ะตัวที่อี้ชิงไปลากมาจากในห้องครัวเอามาตั้งที่ริมหน้าต่างเพราะเจ้าตัวบอกว่าการกินอาหารเช้ากับบรรยากาศดีๆ จะช่วยให้วันทั้งวันสดชื่นขึ้น
ทุกวันหยุดอี้ฟ่านยังจำได้ว่าอี้ชิงจะทำอาหาร หรือไม่ก็ออกไปหาซื้อมาจัดเตรียมเอาไว้ให้เขา เราทั้งคู่จะนั่งคุยกัน เรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องเพื่อน เรื่องอดีต และอนาคต...
ทั้งๆ ที่เขาเคยวาดแผนชีวิตในอนาคตไว้มากมาย หลากหลายรูปแบบ และทุกเส้นทางนั้นเขาวางไว้โดยมีจางอี้ชิงร่วมบนเส้นทางที่วาดไว้ด้วยกันเสมอ....แต่มาถึงตอนนี้ไม่ว่าเส้นทางไหนก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ แล้วในเมื่ออี้ชิงเลือกที่จะไม่เดินบนเส้นทางนั้นร่วมกับเขา...
เขายอมรับอย่างไม่อายว่าเขาทำใจไม่ได้ และแทบจะขาดใจตายเอาให้ได้ในตอนที่มองไปรอบห้องแล้วไม่พบคนที่เคยอยู่ร่วมกัน แต่อี้ฟ่านก็เลือกที่จะไม่อ้อนวอนร้องขอ หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังอี้ชิงไว้ เพราะรู้ว่าก่อนที่เจ้าตัวจะมาบอกเลิกเขา อี้ชิงคงต้องตัดสินใจมาดีแล้ว เหตุผลที่คนตัวเล็กยกมา มันทำให้เขาปฏิเสธไม่ออก อี้ฟ่านจึงทำได้แค่ต้องปล่อยจางอี้ชิงไป
ห้องนอนที่อยู่ข้างๆ ห้องเขา อี้ฟ่านยังเก็บไว้เหมือนเดิม ... และเขาไม่คิดจะหารูมเมทคนใหม่มาอยู่ด้วย... ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่อยากหาใครมาแทนที่ หรือกลัวความสัมพันธ์ใหม่ ๆ ที่อาจทำให้เขาเจ็บปวดอีกในอนาคต...
แต่ทั้งๆ ที่อี้ฟ่านพยายามที่จะตัดใจ พยายามที่จะเข้าใจ และก้าวเดินต่อไปในเส้นทางที่ขนานกับจางอี้ชิง... แต่ทุกความตั้งใจนั้นกลับล้มครืน.....เพราะในวันที่อี้ฟ่านเปิดกระเป๋าเงินของอี้ชิงตอนที่พาเจ้าตัวไปส่งโรงพยาบาล เขาเห็นรูปถ่ายที่อยู่ในกระเป๋า...รูปคู่ของเขากับอี้ชิง....
แล้วแบบนี้ใครจะตัดใจได้ เขาอยากจะเข้าข้างตัวเองว่าอี้ชิงเองก็ยังรักเขาอยู่ และยังตัดใจจากเขาไม่ขาดเช่นกัน...
ในเมื่อยังรักกัน..อี้ฟ่านก็เลือกจะมองข้ามทุกสิ่งทุกอย่าง และบอกกับตัวเองว่า..ถ้าแค่มีความรักเขาก็สามารถจะชนะทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคได้เช่นกัน
ฉะนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเขาจะไม่นอนปวดใจ...แต่จะทำทุกทางที่จะให้จางอี้ชิงกลับมาเป็นของเขาให้ได้
กลับมาเพื่อเป็นแฟน....ไม่ใช่เป็นแค่แฟนเก่า....
ความคิดเห็น