ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO Fiction] KISS GOODBYE [Kris+Lay,Krislay]

    ลำดับตอนที่ #11 : KISS GOODBYE [Chapter 10]

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.ค. 56


    Titile: KISS GOODBYE [Chapter 10]
    Author: Angel Midori
    Genre: Romantic Drama
    Rating: PG
    Pairing: KrisLay


    Writer Talk : ขอโทษที่หายไปนานนิดนึงนะคะ พอดีไปปั่นฟิคคริสเลย์เรื่องที่ค้างไว้ให้จบ พอจบแล้วถึงมีเวลามาปั่นฟิคเรื่องนี้ต่อได้ ประกอบกับช่วงชีวิตแสนยุ่งด้วยเลยหายไปนานกว่าอาทิตย์นึงหน่อยทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะลงฟิคอาทิตย์ละครั้ง เจอกันวีคหน้าค่ะจะพยายามไม่เลท

    ถ้าใครอยากลองอ่านฟิค คริสเลย์ (หรือคู่อื่น) ของปุ้มแวะไปอ่าน
    ได้ตามลิงค์นะคะ 
    http://writer.dek-d.com/angelmidori/writer/view.php?id=853459 


    เจอกันวีคหน้าค่ะจะพยายามไม่เลท


    ปล.พรุ่งนี้ปุ้มจะมาตรวจคำผิดนะคะ
    ปล 2. ใครที่ขอเมล์ซีนที่ตัดไปแล้วปุ้มยังไม่ส่งให้ ลองเช็คดูนะคะ ว่าได้ทำถูกกติกาหรือยังถ้าทำแล้วแต่ยังไม่ได้ทวงด้วยนะคะ

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    รถยนต์สีรัตติกาลค่อยๆ เลี้ยวและจอดลงที่หน้าบ้านของครอบครัวอู๋ คริสอู๋บุตรชายคนโตของบ้านซึ่งเป็นเจ้าของรถเมื่อจอดรถนิ่งสนิทที่เขาก็รีบเร่งฝีเท้าก้าวออกมา และพาตัวเองเข้าไปในตัวบ้านทันที

     

    “เห็นจื่อเทาไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถามเด็กสาวคนรับใช้เมื่อเธอเดินสวนออกมาพอดี เด็กสาวรีบชี้นิ้วออกไปทางด้านข้างของตัวบ้านเมื่อได้ฟังคำถาม

      

    “อยู่ที่โรงรถค่ะ”

      

    พอได้ยินคำตอบคริสก็รีบเดินย้อนกลับออกมา และเดินเลยรถยนต์ของเขา เพื่อไปยังโรงรถ ที่จื่อเทาลงทุนสร้างเพื่อเอาไว้ทำงานที่บ้าน หรือไม่ก็แต่งรถเล่น

      

    ชายหนุ่มเดินลัดเลาะตัวบ้านมายังโรงรถที่อยู่หลังบ้าน เขาแทบไม่เคยมาเหยียบพื้นที่ส่วนตัวของจื่อเทาเลยตั้งแต่มันสร้างเสร็จเมื่อปีที่แล้ว และพอมาคิดก็นึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่อุตสาห์เดินมาตามหาน้องชายถึงในนี้

    และธุระที่เขาต้องมาหาจื่อเทายิ่งคิดแล้วมันก็เล็กน้อยมาก หากแต่มันก็เป็นธุระที่ทำให้เขาต้องกลับมานอนค้างที่บ้าน แทนที่จะได้นอนค้างที่คอนโดอีกสักคืนหนึ่ง ธุระที่เล็กน้อยแต่เขาก็อยากจะจัดการมันให้เสร็จๆ  

     

    เมื่อตอนเย็นที่เขาไปทานอาหารกับจินอา คริสยอมรับว่าอาหารเยอรมันของร้านนั้นอร่อยถูกปากของเขามาก หากแต่รสอาหารกลับไม่ใช่เรื่องที่เขาใส่ใจ แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องสัญญาที่ลีจินอาให้ไว้กับเขาว่าจะส่งอีเมล์โน้ตเพลงมาให้ต่างหากที่คุณหมอหนุ่มเห็นเป็นเรื่องน่าสนใจมากกว่า และเพราะเหตุนี้เขาเลยต้องกลับบ้านมาหาจื่อเทา

     

    “จื่อเทา”

     

    “ฮะ” บุตรชายคนเล็กของตระกูลอู๋เงยหน้าขึ้นมาจากเจ้ารถดูคาติมือสองที่เพิ่งซื้อมา และกำลังโมดิฟายเครื่องด้วยตัวเองอยู่

     

    และพอรู้ว่าใครเป็นคนเรียกก็ยิ่งทำให้แปลกใจ ก็ร้อยวันพันปี พี่ชายของเขาไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาที่นี่เลย

     

    “เปียโนไฟฟ้าของนายยังอยู่ไหม”

     

     

    เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว ก่อนจะพยักหน้าแทนคำตอบ

     

     

    “พี่ยืมหน่อยได้ไหม พักนี้นายยังเล่นอยู่หรือเปล่า”

     

     

    “ไม่เลยพี่ ถ้าพี่จะใช้พี่เอาไปได้เลย ผมไม่ได้เล่นมันนานแล้ว”

     

     

    “หรือพี่จะซื้อต่อนายดี เพราะพี่ว่าจะยืมไปสักพักใหญ่”

     

     

    “ไม่ต้องหรอกพี่เงินพ่อ ไม่ใช่เงินผมสักหน่อย แล้วนี่นึกอะไรขึ้นมาอยู่ดีๆ จะกลับมาเล่นเปียโน”

     
     

    อู๋คริสกรอกตาไปมา เหมือนกำลังหาคำตอบที่จื่อเทาน่าจะสงสัยน้อยที่สุด

     

     

    “พอดีเจอเพลงที่ชอบเลยอยากลองเล่น แล้วอยากฝึกมือใหม่ด้วย ไม่ได้เล่นนานเสียดาย”


    “อืม งั้นพี่เอาไปเลย ผมยกให้ พี่เล่นเปียโนเก่งกว่าผมตั้งเยอะ ไปอยู่กับพี่ดีกว่า แต่ว่าทำไมพี่ไม่ไปเล่นกับอัปไรท์ตัวที่ห้องรับแขกล่ะ”

     

    “ฉันอยากไปเล่นที่คอนโด ตอนว่างๆ”

     

    “อ๋อ งั้นตามสบายพี่ มันวางกองๆ อยู่ในห้องผมนั่นแหละ” จื่อเทาเอ่ยบอกก่อนจะหันกลับไปสนใจกับเจ้ารถจักรยานยนต์คันโตตรงหน้าต่อ

     

    “เพิ่งซื้อมาเหรอ” คริสเอ่ยถามแล้วพยักพเยิดไปทางเจ้ารถสีแดงคันนั้น จื่อเทายิ้มกว้างก่อนจะพยักหน้ารับ

     

    “รถนำเข้าพี่ แต่อย่าบอกแม่นะ ผมแอบเอาเข้ามาแทบแย่ แม่รู้ด่าผมตาย”

     

    “สวยดี แต่ฉันก็ไม่ค่อยชอบนะถ้านายจะขับมัน มันอันตราย”

     

    “ก็แค่อยากลอง เดี๋ยวพอผมแต่งเสร็จ ได้ลองขับสักหน่อยก็เอาไปขายต่อแล้ว”

     

    คริสพยักหน้ากับความคิดของน้องชาย จื่อเทาเป็นเด็กฉลาด ถึงจะดูดื้อไปสักนิด หากแต่ก็รู้ว่าตัวเองควรทำอะไร ชอนอะไรไม่ชอบอะไร และจื่อเทาเองก็สามารถหาเงินได้มากมายจากสิ่งที่ตัวเองรักตัวเองชอบ ตัวเขาเองยังทำไม่ได้เท่าจื่อเทาเลย

     

    ถ้าถามว่าเขารักเขาชอบกับงานที่ทำอยู่ไหม คริสก็นึกไม่ออก รู้แต่มันเป็นงาน เป็นหน้าที่ๆ ต้องทำ ถ้าไม่ทำก็ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร

     

    และอาชีพศัลยแพทย์ก็เป็นอาชีพที่ดี มีอนาคต มีเกียรติ พ่อแม่ก็ภูมิใจกับงานของเขา แล้วมันก็รายได้ดีมาก

     

     

    เมื่อคิดได้แบบนี้เขาก็ไม่เคยไขว้คว้าค้นหาสิ่งที่ตัวเองรักหรือชอบอย่างแท้จริง หรือจริงๆ ที่เขาไม่หาก็เพราะว่าเขาก็ชอบสิ่งที่มีอยู่แล้วก็ไม่อาจรู้

     

     

    คริสสะบัดศีรษะปัดความคิดเหล่านั้นทิ้ง... ไม่รู้จะคิดมากไปทำไม คิดไปก็ไม่ได้ประโยชน์ เพราะยังไงสิ่งที่ทำอยู่มันก็ไม่ได้ทำให้เขามีความทุกข์ ฉะนั้นจะต้องวุ่นวายหาสิ่งอื่นทำไมอีก

     

     

    “พี่ไปล่ะ ห้องนายไม่ได้ล็อกใช่ไหม” จื่อเทาส่ายศีรษะตอบในระหว่างกำลังส่องไฟเข้าไปดูเครื่องยนต์รถมอเตอร์ไซด์คันหรูตรงหน้า

     

     

    พอได้รับคำตอบคุณหมอคริสก็เดินเร่งฝีเท้าเข้าไปยังห้องนอนของอู๋จื่อเทา

     

    เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดสายตามองหาเปียโนไฟฟ้าตัวนั้น ชายหนุ่มใช้เวลาสักพักจึงพบว่ามันวางอยู่ริมห้องในสภาพเหมือนเป็นราวตากผ้ากลายๆ ของเจ้าของห้อง คริสจับเสื้อผ้าเหล่านั้นกองๆ ไว้ ก่อนจะค่อยๆ ถอดสายรื้ออุปกรณ์ของมันออกมาแล้วแบกกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง

     

    >>>Kiss Goodbye<<<

     

    เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณเตือนอีเมล์เข้าดังจากโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเครื่องหรู คริสอู๋ก็รีบคว้ามันมากดดู และเมื่อเห็นชื่อผู้ส่งและหัวข้อของจดหมาย ชายหนุ่มก็ยิ้มทั้งปากทั้งตาทันที

     

    คริสลุกจากโต๊ะทำงานที่เขาตั้งเปียโนไฟฟ้าวางไว้ลวก ๆ และหันไปเปิดคอมพิวเตอร์แทน พอคลิ๊กเข้าไปอ่านอีเมล์ได้ เขาก็รีบปริ้นข้อความในเมล์นั้นออกมาทันที

     

    โน้ตเปียโนเพลง Kiss Goodbye พร้อมกับเนื้อร้องภาษาจีน และหญิงสาวก็ยังแนบไฟล์เพลง และโน้ตเปียโนเพลงของนักร้องเจ้าของเพลงมาให้เขาอีกสองสามเพลงตามคำขอ

     

    คริสปริ้นโน้ตเปียโนเหล่านั้น และดึงแผ่นแรกออกจากทั้งหมดขึ้นมามองดู เขาเปิดไฟล์เพลงที่ได้มาเพื่อฟังทำนองและทำความเข้าใจกับโน้ตเพลงในมือนั้น เพราะเนื่องจากตัวเองห่างหายการเล่นดนตรีไปนานจึงต้องค่อยๆ รื้อฟื้นกันใหม่

     

    คุณหมออี้ฟ่านค่อยๆ ลองกดคอร์ดตามโน้ตที่ได้มา และด้วยทักษะที่มี บวกกับพรสวรรค์ที่ใครหลายคนเคยบอก ช่ายหนุ่มก็เล่นเพลงนั้นจบในเวลาไม่นานเหลือเพียงแต่เล่นมันให้คล่องแคล่วและให้ได้อารมณ์เพลงก็เท่านั้น

     

    คุณหมอหนุ่มพับเก็บโน้ตเพลงเหล่านั้นลงแฟ้มใสที่หยิบมาจากชั้นหนังสือ และวางกองมันรวมกับเปียโนไฟฟ้าไว้...เขากำลังนึกถึงรอยยิ้มสดใสของใครบางคน ใครคนที่เขาหมายจะได้เห็นรอยยิ้มนั้นอีกครั้งหลังจากที่ได้เห็นที่คยองจู

     

    ชายหนุ่มคาดเดาว่าเลย์คงจะประหลาดใจแน่ๆ ถ้าได้รับของขวัญนี้ คริสไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากแค่รู้สึกสนุก เมื่อคิดว่าเด็กหนุ่มคงต้องตื่นเต้นเมื่อได้ฟังเขาเล่นเปียโนเพลงโปรดของตัวเองเจ้าตัว ซึ่งตอนนั้นคริสเห็นอีกฝ่ายมุ่งมั่นจะเล่น เลย์คงเซอร์ไพรส์มากแน่ๆ ถ้าเห็นเขาเล่นมันได้ โชคดีเหลือเกินที่จินอารู้จักเพลงนี้ และมีโน้ตเพลงอยู่แล้ว รวมถึงที่บ้านก็มีเปียโนเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้ทิ้งเอาไว้อยู่จึงทำให้เขามีโอกาสที่จะเซอร์ไพรส์คนตัวเล็กได้

     

    อี้ฟ่านคิดว่านอกจากเลย์จะเซอร์ไพรส์แล้ว เขากำลังคิดว่าเปียโนที่เก็บทิ้งไว้เป็นขยะมันคงทำประโยชน์ได้มากกว่านี้ถ้าเอาไปสอนคนตัวเล็ก ที่คยองจูตอนที่เห็นเด็กหนุ่มอยากเล่นเปียโนมากขนาดนั้นก็นึกสงสาร เด็กคนนั้นคงมีใจรักมากๆ เพียงแต่ไม่มีโอกาส ในเมื่อเขาสามารถช่วยได้เขาก็น่าจะลองทำและเผื่ออนาคตเกิดคนตัวเล็กได้เรียนแล้วจับพลัดจับพลูทำมันได้ดีเลย์ได้มีโอกาสในอนาคตที่ดีกว่านี้

     

    >>>Kiss Goodbye<<<

     

    ถ้านับตั้งแต่รู้จักกันมา ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่อี้ชิงได้เจอคุณหมอคริสในระยะที่ห่างกันไม่ถึง 1 สัปดาห์ ปรกติคุณหมอมักเรียกอี้ชิงมาในวันเสาร์ และเจอกันอีกครั้งในเสาร์ถัดไป หากแต่เพราะทริปไปเที่ยวบ้านเกิดของอี้ชิง ทำให้เด็กหนุ่มได้เจอคุณหมอเมื่อวันพุธ และพอวันนี้วันเสาร์จึงได้เจอกันอีกครั้ง

     

    ถ้าถามว่าดีใจไหมที่ได้พบหน้า อี้ชิงอยากตอบว่าดีใจ หากแต่อารมณ์ขุ่นมัวที่ยังค้างคาอยู่ในการพบกันครั้งล่าสุดมันยังไม่จางไปจากหัวใจของเด็กหนุ่ม

     

    อี้ชิงเคยนึกถามตัวเองว่าความสุขที่ทั้งสุขทั้งเศร้าและไม่แน่นอนแบบนี้เขาจะทนมันไปได้อีกนานเท่าไหร่ และถ้าหยุดมันได้เขาควรจะหยุดมันด้วยตัวเองจะดีกว่าที่จะรอให้อีกฝ่ายเป็นคนพิพากษาความสุขของเขาโดยที่อีกฝ่ายไม่เคยรับรู้ความรู้สึกของเขาดีหรือไม่

     

    อี้ชิงรู้ว่าวิธีตัดใจเสียเองนั้นดีกว่า แต่อี้ชิงก็ยังขลาดที่จะปล่อยความสุขนี้ไป... เพราะถ้าไม่มีคุณหมอคริสแล้วอี้ชิงก็แทบไม่เหลือใคร

     

    ฉะนั้นที่ทำได้ตอนนี้คือพยายามทน และรักษายื้อเวลาเอาไว้ให้นานที่สุด...

     

    เด็กหนุ่มเปิดประตูห้องและเหลือบมองคนที่เป็นปัญหาหัวใจของตัวเอง ร่างสูงใหญ่นอนดูโทรทัศน์เฉกเช่นทุกครั้ง และพออี้ชิงเดินเข้าห้องไป คริสอู๋ก็ได้แต่ผงกศีรษะขึ้นมามองเหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่ารับรู้ถึงการมาของอี้ชิงแล้ว

     

    ต่อให้อี้ชิงน้อยใจแทบตาย ก็ไม่มีทางหรอกที่คุณหมอจะรู้

     

     

    เด็กหนุ่มรำพึงในใจ ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องครัวและจัดอาหารตามปรกติเหมือนเช่นเคย

     

     

    “วันนี้มีอะไรกิน” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามเมื่อเจ้าตัวเดินเข้ามาเฉียดใกล้โต๊ะอาหาร หากแต่เด็กหนุ่มยังไม่ทันตอบ คริสก็เหลือบมองอาหารพวกนั้นเองและลงนั่งเสียแล้ว

     

    มื้ออาหารง่ายๆ ไม่มีอะไรแปลกไปจากเดิม อี้ชิงจัดจานข้าวเงียบๆ ก่อนจะยื่นส่งให้คุณหมอคริสรับไปทาน ทั้งคู่ยังตกอยู่ในความเงียบของกันและกัน

     

     

    คริสคุ้นเคยกับมัน แต่อี้ชิงรู้ว่าทำไมตัวเองถึงเลือกที่จะไม่พูดคุย...

     

     

    เขาไม่ได้อยากทำตัวดื้อแสนงอน ให้อีกฝ่ายต้องมางอนง้อ หากแต่ที่ทำเพราะมันเป็นไปเองมากกว่า เขามองหน้าอีกฝ่ายไม่สนิท ความรู้สึกขุ่นใจยังมีอยู่ ไม่อยากพูดไม่อยากคุย แล้วยิ่งไม่ใช่คนช่างคุยอยู่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร คุณหมอเองก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะเมื่ออี้ชิงเหลือบไปมองก็เห็นว่าอีกฝ่ายมัวแต่ก้มหน้าก้มตากิน

     

    มื้ออาหารมื้อนี้จึงได้ยินเพียงเสียงช้อนที่กระทบกับจาน

     

    จนเมื่ออี้ชิงเก็บโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวก็ยืนยื้อเวลาอยู่ในห้องครัวอีกพักใหญ่ก่อนจะตัดสินในเดินออกไปเจอหน้าคุณหมอคริส

     

    หากแต่คราวนี้คุณหมอไม่ได้นอนดูโทรทัศน์เหมือนเช่นเคย เจ้าตัวกำลังนั่งไขว้ห้าง และมองจ้องเมื่ออี้ชิงเดินออกมา

    “ฉันนึกว่าเธอจะล้างครัวฉันเลย”

     

    “ห๊ะ”

     

    “ก็ล้างจานทีหายไปนานเป็นครึ่งๆ ชั่วโมง ฉันเลยนึกว่าเธออยากจะนั่งรื้อจานของฉันมาล้างจนหมดบ้าน”

     

    เด็กหนุ่มก้มหน้าไม่ตอบอะไรกับคำค่อนขอดไม่จริงจังนั้น

     

    “เธอเข้าไปในห้องนอนฉันหน่อยซิ”

     

    “...”

     

    “มีอะไรจะให้ดูสักหน่อย” คริสอู๋พยักเพยิดให้เด็กหนุ่มเดินไปยังห้องนอน หากแต่พออี้ชิงก้าวเท้าเดินออกไป คุณหมอหนุ่มก็ไม่ได้เดินตามมา ได้แต่นั่งยิ้มอยู่บนโซฟา

     

     

    แล้วอี้ชิงจะรู้ไหมว่าอะไรที่คุณหมออยากให้ดู....


    เด็กหนุ่มก้าวเดินช้า ๆ เข้าไปในห้องนั้น ทุกอย่างปรกติเขาไม่เห็นมีอะไรแปลกตา จนกระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นมุมห้องด้านติดกับโต๊ะเล็กๆ ที่เจ้าของห้องเอาไว้วางคอมพิวเตอร์

     

     

    ตรงนั้นมีอุปกรณ์อะไรสักอย่างเพิ่มมา มันเหมือนโต๊ะสีดำสนิท และเมื่ออี้ชิงเดินเข้าไปใกล้ จนก้มมองมันได้ เขาถึงเห็น...

     

    เปียโนไฟฟ้า....

     

     

    นี่หรือเปล่าที่คุณหมออยากจะให้อี้ชิงได้เห็น

     

     

    เด็กหนุ่มรีบพุ่งตัวออกมาจากห้องนอน ซึ่งตอนนี้คุณหมอคริสไม่ได้นั่งอยู่ที่โซฟาแล้ว หากแต่ร่างสูงใหญ่กำลังยืนยิ้มกว้างอยู่ที่หน้าห้อง และเมื่อพออี้ชิงเปิดประตูออกมา เด็กหนุ่มที่ตื่นเต้นมากอยู่แล้วแล้วยิ่งเพิ่มอาการตกใจเข้าไปอีก

     

     

     

    “อุ้ย!! อี้ชิงอุทานลั่น ก่อนที่จะละล่ำละลักพูดต่อ “เปียโนนั่นใช่ไหมฮะที่ให้ผมไปดู” เด็กหนุ่มเอ่ยถามและยื่นมือของตัวเองไปจับมือหนาเขย่าเป็นการเรียกร้องคำตอบเพื่อยืนยันในสิ่งที่ตนเห็น

     

    “ของน้องชายฉัน เจ้านั่นทิ้งไว้ไม่ได้ใช้ ฉันเห็นเธอบอกว่าอยากลองเรียน ก็เลยเอามันมาไว้ที่นี่ให้เธอได้หัด”

     

    อี้ชิงไม่สนใจถึงที่มาของมันหรอก หากแต่ที่อี้ชิงสนใจคือความอาทรของผู้ให้ที่หยิบยื่นให้กับอี้ชิงมากกว่า

     

    เด็กหนุ่มเงยหน้ามองคุณหมอใจดีตาปริบๆ และพยายามหาคำพูดอะไรก็ได้ที่จะบอกคุณหมอว่าตัวเองดีใจแค่ไหน

     

     

    “ขอบคุณฮะ ขอบคุณมาก” ไม่มีคำไหนจริงๆ ที่จะอี้ชิงจะให้ได้เท่าคำนี้

     

     

    “เข้าไปดูใกล้ๆ กัน” คริสอู่ดันหลังของเด็กหนุ่มให้เดินกลับไปที่มุมห้องนั้น เขากดร่างนิ่มให้นั่งลงบนเตียงนอน อี้ชิงแปลกใจที่คุณหมอให้เขานั่งตรงนี้แต่ก็ยอมที่จะทำตาม


    คริสเดินไปที่เปียโน และเขาก็นั่งลงที่ตรงหน้าเครื่องดนตรีนั้น ชายหนุ่มค่อยๆ พรมนิ้วลงบนคีย์สีขาวดำ ก่อนจะเงยหน้ามายิ้ม และมองอี้ชิงด้วยแววตาเป็นประกาย

     

     

    “ให้ฝึกเองมันคงจะยากไป ฉันเองเคยเรียนมาหลายปีคงพอจะสอนเธอได้ ตั้งแต่นี้ไปฉันจะค่อยๆ สอนเธอก็แล้วกัน”

     

     

    คำพูดว่าหวานหูในความรู้สึกแล้ว หากแต่เจตนารมณ์มันบาดลึกไปในหัวใจของอี้ชิงยิ่งกว่านัก เด็กหนุ่มได้แต่ปล่อยคำขอบคุณให้ลอดผ่านกลีบปาก และกัดริมฝีปากไว้เพื่อเก็บกลืนความปรีติที่เออล้นจนแทบสะอื้นไห้

     
     

    คนได้รับความขอบคุณทอดมองคนที่กัดริมฝีปากเป็นรอยช้ำ ดวงหน้าขาวนวนขึ้นสีระเรื่อน่ามอง อี้ฟ่านมองดูก็รู้ว่าคนตัวเล็กกำลังดีใจ หากแต่เลย์ไม่ใช่เด็กช่างแสดงออก ดีใจแค่ไหนเด็กหนุ่มก็ทำได้แต่ขอบคุณผ่านคำพูดและแววตาที่สะท้อนเงาฉ่ำน้ำนั้น

     

     

    คริสเอี้ยวตัวไปหยิบแฟ้มที่วางไว้บนโต๊ะ และท่าทางการกระทำเหล่านั้นมันทำให้เด็กหนุ่มที่มองจ้องอยู่มองมันด้วยความสนใจ จนเมื่อคุณหมอหยิบเอาโน้ตเพลงขึ้นมาวาง และเริ่มพรมนิ้วตามโน้ตเพลงนั้น

     
     

    น้ำตาที่แค่คลอหน่วยมันกลับไหลรินผ่านพวงแก้มใสในทันที.....

     

     

    เพลงที่คุณคริสเล่น เป็นเพลงที่อี้ชิงเคยบอกว่าชอบ เพลงที่อี้ชิงเคยฮัมให้อีกฝ่ายฟัง เพลงเศร้าที่อี้ชิงรู้สึกสัมผัสและรู้จักมันเป็นอย่างดี

     

     

    “ร้องเพลงซิ อย่าร้องไห้” นายแพทย์หนุ่มเอ่ยแซวคนที่กำลังกลั้นสะอื้นอยู่ เขายิ้มกับท่าทางของคนตัวเล็ก และตบเบาะนั่งข้างตัวเพื่อเรียกให้เด็กหนุ่มมานั่งข้างๆ เขา

     

     

    อี้ชิงลุกขึ้นเดินเตาะแตะมาทรุดนั่งลงข้างๆ และเมื่อร่างเล็กนั่งลงคุณหมอหนุ่มจึงหยุดเล่นเพลง และเอื้อมมือมาขยี้ผมนิ่ม พร้อมจับศีรษะกลมให้พิงกับไหล่ของเขา

     

     

    “ร้องไห้ทำไม”

     

     

    “ผมดีใจฮะ”

     

     

    “ดีใจทีไร้ร้องไห้ทุกที” คริสยังเอ่ยแซวในระหว่างที่ลูบศีรษะอยู่

     

     

    “ตอนที่ผมเรียนอยู่ ผมเคยอยู่ชมรมดนตรี ที่อยู่ชมรมนี้ก็เพราะอยากเรียนเปียโน แต่ผมยังไม่ทันได้เรียนมันจริงจังผมก็ออกมาเสียก่อน” เด็กหนุ่มพรั่งพรูเรื่องของตัวเองให้คริสฟัง

     

     

    ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มเล่าเรื่องตัวเอง คริสรู้สึกได้ว่ามันช่างมีแต่เรื่องชวนให้สงสาร

     

     

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันสอนเธอให้”

     

     

    “ขอบคุณมากฮะ ผมคิดว่าชาตินี้ผมคงไม่มีโอกาสแล้ว” เด็กหนุ่มซบหน้าลงกับบ่าแกร่งพลางเกลือกใบหน้าเพื่อซับน้ำตาที่ไหลออกมา


    คุณคริสดีกับอี้ชิงอีกแล้ว... ดีเสียจนอี้ชิงคาดเดาไม่ได้....


    ยิ่งอยู่ใกล้กันนับวันคุณคริสก็ยิ่งทำให้อี้ชิงรัก..... ถ้าจะหักใจอี้ชิงจะทำอย่างไรถึงจะทำได้....

     

     

    ความดีที่เหมือนกับการทำร้ายกัน แต่ตอนนี้อี้ชิงก็ยินดีที่จะถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า....


    ถ้าความเจ็บปวดมันจะทดแทนด้วยความใจดีจากคุณหมอ และการมีตัวตนของตัวเองต่อคุณหมอคริสมากขึ้นอี้ชิงก็ยินดีที่จะแลกมัน

     

     

    “หยุดร้องไห้แล้วมาเรียนกันได้แล้ว ต่อไปทุกวันเสาร์ฉันจะสอนเธอ ถือว่าฉันได้รื้อวิชาด้วย เรียนมาทำไมไม่รู้ตั้งหลายปี พอโตมาดีดโน้ตสักตัวยังไม่ได้ทำเลย” คริสแกล้งบ่นเพื่อเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งมันก็ช่วยทำให้อี้ชิงคลี่ยิ้มออกมาทั้งๆ ที่น้ำตายังคลอหน่วยตาอยู่

     

     

    เด็กหนุ่มนั่งปาดน้ำตาที่เลอะข้างแก้มราวกับเด็กเล็กๆ ซึ่งมันก็ทำให้คนที่นั่งมองอดยิ้มขำไม่ได้

     

     

    พอเห็นว่าคนตัวเล็กเลิกร้องไห้แล้ว คุณหมอคริสก็ค่อยๆ พรมนิ้วลงกับคีย์เปียโนอีกครั้ง เด็กหนุ่มนั่งจ้องมองสัมผัสอ่อนหวานนั่น เรียวนิ้วพลิ้วแผ่วตามเสียงเพลงที่ทั้งไพเพราะ และหวานเศร้า ซึ่งในยามนี้เพลงเศร้าก็ดูเหมือนจะกลับกลายเป็นเพลงรักได้ไม่ยาก

     

     

    อี้ชิงรู้ว่าที่เขาประทับใจคุณหมอคริสขนาดนี้ไม่ใช่แค่ความใจดี หากแต่เป็นความใส่ใจที่อีกฝ่ายมอบให้ต่างหาก คุณคริสอาจทำเหมือนไม่สนใจเขา แต่อีกฝ่ายมักจดจำในสิ่งที่อี้ชิงเคยพูด หรือสิ่งที่อี้ชิงเคยต้องการได้ และไม่ทอดทิ้งคำพูดพวกนั้นให้ลอยหายไปเฉยๆ และเมื่อมีโอกาสคุณหมอก็จะหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้โดยที่อี้ชิงไม่ทันตั้งตัว

     

     

    สิ่งเหล่านี้มันบอกอี้ชิงได้ว่าอีกฝ่ายใส่ใจเขา ไม่ได้มองเขาเป็นแค่วัตถุ...

     

     

    แค่นี้มันก็คุ้มแสนคุ้มแล้วที่อี้ชิงยอมที่จะเจ็บปวด

     

     

    เด็กหนุ่มร้องเพลงคลอตามเสียงดนตรีนั้น จนจบเพลง และคริสก็ค่อย ๆ ให้อี้ชิงลองดีดตาม

     

     

    คอร์สสอนดนตรีที่แสนพิเศษก็เกิดขึ้น ....

     

     

    ไม่ใช่แค่ความเหงา และเซ็กส์ที่เกี่ยวพันกันและกันเอาไว้อีกต่อไป....

     

     

    หากแต่การเปิดรับตัวตนของกันและกัน พร้อมทั้งหยิบยื่นและเติมเต็มในสิ่งที่อีกฝ่ายใฝ่หาต่างหาก ที่เป็นความผูกพันที่ก่อขึ้นโดยไม่รู้ตัว...

     

     

     

    >>> TBC.<<<


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×