ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] FICTION ROOM [CHANBAEK,KRISLAY,KAILU]

    ลำดับตอนที่ #11 : [ChanBaek Fiction] Mug & Saucers [Part 6] Ending Part

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 55


    Mug & Saucers [Part 5] 

    Author: Angel Midori
    Rating: PG
    Pairing:ChanBaek


    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ปาร์คชานยอลเร่งฝีเท้าจนเรียกได้ว่าแทบจะวิ่ง หลังจากที่มองดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือและเห็นว่ามันเลยเวลาเข้าเรียนวิชาแรกไปแล้ว วันนี้พี่ ๆ ในวงซ้อมหนักเพราะเกิดเปลี่ยนเพลงใหม่กะทันหัน และอีกอย่างที่ทำให้การซ้อมช้าก็เพราะตัวเขาเองด้วย เขาผิดพลาดบ่อยเพราะจิตใจมันลอยไปคิดเรื่องที่เพิ่งลงมือตัดสินใจทำไปเมื่อเช้า

     

    เรื่องที่เขาคิดซ้ำคิดซากว่าพยอนแพคฮยอนจะรับความรู้สึกของเขาได้ไหม

     

    ชานยอลเปิดประตูห้องเรียนรวมเข้ามา โดยมีสายตาของอาจารย์เหลือบมองมาเป็นเชิงตำหนิเล็กน้อย และเมื่อชานยอลเงยหน้าไปมองยังบริเวณที่นั่งประจำของกลุ่มเขาหัวใจก็หล่นวูบ หล่นชนิดที่ว่าต่ำกว่าปลายเท้าเสียด้วยซ้ำ

     

    ที่นั่งที่เคยนั่งกันประจำบัดนี้ไม่มีแม้เงาของพยอนแพคฮยอนนั่งอยู่ตรงนั้น มีแต่เพื่อนในกลุ่มคนอื่นๆ นั่งกันอยู่ครบ ขาดแต่คน ๆ นั้นคนเดียว ชานยอลนึกอยากจะหันหลังกลับ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะอาจารย์จ้องเขาอยู่ เจ้าตัวจึงต้องจำใจเดินไปนั่ง

     

    “เตี้ยล่ะ?” ชายยอลหันไปถามจงอินทันทีที่ก้นแตะกับพื้นเก้าอี้

     

    “มันส่งไลน์มาบอกว่าป่วย” จงอินกระซิบกระซาบตอบ ก่อนจะหันไปมองที่หน้าห้องอย่างเด็กใฝ่รู้ซึ่งมักเป็นแค่ช่วงแรกของการเรียนเท่านั้นแหละ พอใกล้ๆ หมดคาบจงอินก็คงฟุบหลับไปกับโต๊ะเช่นเคย และพอชานยอลจะหันไปพึ่งคยองซู ก็ดูอีกฝ่ายไม่พร้อมตอบเขายิ่งกว่า ตาโตๆ นั่นกำลังเบิ่งมองข้อความที่ฉายอยู่บนพื้นผนังสีขาว และมือก็จดจนแทบไม่มีช่องให้เขาแทรกถามได้

     

    ปาร์คชานยอลจึงทำได้แค่ถอนหายใจแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ

     

    หลบหน้ากันขนาดนี้ ความหวังของเขาคงแทบจะไม่มีเหลือ แม้แต่ความเป็นเพื่อนบางทียังอาจจะยากด้วยซ้ำที่จะรักษาไว้

     

    คนตัวโตใช้เวลาในตอนเช้าหมดไปกับการฟุบหน้ากับโต๊ะมากกว่าการเรียน สิ่งที่เขาทำอยู่มันทำให้คยองซูทนไม่ได้ถึงกับโยนแลคเชอร์มาให้เขา เพราะคิดว่ายังไงวันนี้ชานยอลคงแทบไม่ได้เรียนแน่ ตอนแรกเขาหมายจะรั้งคยองซูเอาไว้เพราะอยากระบายความทุกข์ให้ฟัง แต่คนตัวเล็กต้องไปธุระกับประธานรุ่นอย่างจุนมยอน เขาจึงต้องมาเดินลากเท้าหมดอาลัยตายอยากอยู่กับคิมจงอินแบบนี้

     

    “มึงเป็นอะไรเนี่ยชานยอล ทำหน้าเหมือนหมาตาย”

     

    “กูไม่ได้เลี้ยงหมา” ชานยอลตอบไร้อารมณ์ก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์ของเขาขึ้นมา และเมื่อมองที่หน้าจอก็เห็นสัญลักษณ์ของแอพพิเคชั่นติดต่อสื่อสารยอดฮิตโชว์หราอยู่ ชานยอลรีบกดเข้าไปอ่านทันที และหัวใจเขาก็แทบจะพุ่งออกมาจากอกเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนส่งข้อความนั้น และที่สำคัญข้อความนั้นส่งหาเขามาตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ด้วยซ้ำ แต่เขาไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเลย

     

    “เย็นนี้หลังเลิกเรียนเจอกันที่ห้องฉันนะ”

     

    ข้อความสั้น ๆ ที่พยอนแพคฮยอนส่งมาให้ มันทำให้ปาร์คชานยอลทนรอให้ถึงเวลาเลิกเรียนแทบจะไม่ไหว

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

    กลิ่นชาคาโมมายล์ลอยเอื่อยมาจากถ้วยชาใบใส ควันที่เคยลอยอยู่เหนือถ้วยจางลงไปแล้วพร้อมกับความร้อน แพคฮยอนยกแก้วชาขึ้นมาสูดกลิ่นหอมอ่อนโยนนั่น กลิ่นหอมหวานแต่ไม่เอียน และเขาก็รู้สึกชอบกลิ่นนี้มาก ๆ เพราะเมื่อจิบแล้วเขารู้สึกว่าร่างกายมันเบาสบายขึ้น

     

    ตอนที่เขากำลังสับสนว่าจะเลือกเครื่องดื่มอะไรดีอยู่หน้าเคาท์เตอร์ เพราะไม่นึกอยากดื่มกาแฟ พนักงานก็แนะนำชาคาโมมายล์มาให้ พนักงานคนนั้นบอกว่าชาคาโมมายล์จะช่วยลดความเครียด และช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย แพคฮยอนจึงเลือกเจ้าชานี่มาดื่มเพราะตอนนี้บอกตรงๆ เลยว่ากำลังเครียด

     

    ข้อความในกระดาษแผ่นเล็กที่ปาร์คชานยอลให้มายังวางอยู่บนโต๊ะ แพคฮยอนอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทุกครั้งที่อ่าน การตีความมันก็มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น

     

    ทางที่ว่าเพื่อนสนิทกำลังมีใจให้กับเขาเกินเพื่อน

     

    ทุกครั้งที่คนตัวเล็กอ่านข้อความเหล่านั้น เขาจะรู้สึกวูบวาลราวกับมีลมหมุนวนอยู่ในท้อง ความเขินอายลามไล้จนมองอะไรก็ขัดเขิน แม้ครั้งแรกที่อ่านเขาจะตกใจ แต่ในส่วนลึกเขาก็ไม่รู้สึกเลยว่าเรื่องพวกนี้มันจะเป็นไปไม่ได้

     

    มันเหมือนมีเค้าลางบ้างอยู่แล้วในการกระทำของชานยอล หากแต่เขาเลี่ยงที่จะรับรู้มันตลอดมา

     

    แพคฮยอนไม่รู้สึกรังเกียจถ้าหากเพื่อนจะคิดกับเขาเกินเพื่อนจริงๆ ไม่ได้คิดว่าจะลำบากใจ แต่ทำอะไรไม่ถูกเสียมากกว่า.....

     

    เขาเลือกที่จะหลบหน้าชานยอล เพราะความรู้สึกทำอะไรไม่ถูกนี่แหละ และอยากให้เวลาตอบคำถามตัวเองก่อนว่าเขาล่ะคิดกับปาร์คชานยอลเช่นไร

     

    ชานยอล เป็นเพื่อนที่ดี ที่เขาคิดว่าโชคดีเหลือเกินที่ได้พบ เขามีความสุขที่ได้คุย ได้เล่นหัวกับอีกฝ่าย และมีความสุขปนปลาบปลื้มเมื่อเวลาที่คนตัวสูงเทคแคร์ดูแลเขามากกว่าคนอื่น เขาชินปากที่จะเรียกหาชานยอล และอยากรับรู้ทุกเรื่องของเพื่อนคนนี้

     

    แต่มันก็ไม่ได้บ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่าเขาคิดเกินเพื่อนกับชานยอลหรือเปล่า

     

    คนตัวเล็กไม่เคยรู้สึกขัดเขินเวลาอยู่ใกล้ชานยอล ชานยอลไม่ได้ทำให้เขาวูบวาบราวกับผีเสื้อบินวนในตัวเขาเหมือนกับที่รู้สึกกับคริสฮยอง แพคฮยอนไม่เคยนึกอยากสบตา หรือเขินอายเมื่อได้รับรอยยิ้มละไมจากอีกฝ่าย สัมผัสต่างๆ ของชานยอลไม่ได้ทำให้เขาวูบวาบจนร้อนรุ่ม

     

    แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับชานยอล มันให้ความรู้สึกอบอุ่น....

     

    เขาไม่ขัดเขิน แต่สบายใจเมื่อได้รับสัมผัสนั้น อุ่นใจเมื่อได้สบแก้วตาดวงโตใสของชานยอล มั่นคงเวลาที่อีกฝ่ายประคับประคองเขา...

     

    ความรุ้สึกกับคริสฮยองก็คงเหมือนช่วงเวลาตกหลุมรักที่ทำให้หัวใจเต้นกระหน่ำ มองอะไรก็มีความสุข ลุ่มหลง และอยากไขว้คว้าไว้ หากแต่เมื่อนานวันความรู้สึกเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางลงไป และยิ่งเมื่อรับรู้ว่าระยะทางที่จะเข้าไปใกล้หัวใจของรุ่นพี่สุดหล่อนั้นมันยิ่งทอดยาวเกินกว่าที่คาดเอาไว้ ความรู้สึกสุขนั้นก็ยิ่งจะจืดจางลง

     

    ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงบัดนี้ มีเพียงข้อความจากลู่หานฮยองที่ถามว่าเขาว่ากลับถึงห้องปลอดภัยไหม แต่กับอีกคนยังไม่ติดต่อถามไถ่แม้เพียงนิด ระยะทางของหัวใจที่คิดว่าไกลมันก็ไกลขึ้นอีกโข

     

    และเวลาแบบนี้นี่แหละที่ภาพของคนที่เขาอยากพึ่งพิง อยากได้รับคำพูดห่วงใย อยากอยู่ใกล้ อยากฟังแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ มันก็ฉายชัดขึ้นราวกับถูกถมดำด้วยหมึก

     

    ภาพของปาร์คชานยอล... ความรู้สึกกับชานยอลนั้นคงเหมือนเป็นความผูกพัน อยู่ใกล้กันทุกวันด้วยความคุ้นเคย แต่เมื่อห่างกันก็คิดถึง และถ้าต้องเลือกเขาเลือกจะสูญเสียคริสฮยอง แต่ไม่ใช่ปาร์คชานยอลแน่ๆ

     

     

    พอมาคิดได้เช่นนี้คำตอบของหัวใจมันก็ค่อยๆ เฉลยขึ้นมาราวกับพลิกเฉลยข้อสอบออกอ่าน

     

    แพคฮยอนยกแก้วชาขึ้นมาจิบจนหมดแก้ว ชาคาโมมายล์เย็นชืดหมดแล้ว.. และมันคงถึงเวลาแล้วล่ะที่เขาจะต้องกลับ...

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

    แพคฮยอนเดินออกจากลิฟท์พลางแกว่งพวงกุญแจตุ๊กตาที่ซื้อมาระหว่างทางกลับบ้านด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าน่ารัก จนเมื่อคนตัวเล็กเดินเลี้ยวออกจากมุมอาคาร และมองทอดสายตาไปตามทางเดิน เขาก็พบวัตถุขนาดใหญ่มาวางกองไว้ที่หน้าห้องของเขา

     

    วัตถุที่ว่ามีผมหยิกสีบรอนซ์ สวมโอเวอร์โค๊ทสีเขียวลายพราง วัตถุชิ้นนี้นั่งก้มหน้าซุกกับเข่าอยู่ วัตถุที่ชื่อปาร์คชานยอล

     

    “ชานยอล!!”

    คนตัวเล็กเผลอตะโกนเมื่อเห็นว่าใครที่มานั่งกอดเข่าราวกับคนเพิ่งเสียบอลอยู่หน้าห้องของเขา ร่างใหญ่นั้นเงยหน้าขึ้นมาทำหน้าเหรอหราทันทีที่ได้ยินเสียง แล้วก็ลุกพรวดจนแพคฮยอนแทบจะตั้งตัวไม่ทัน

     

    “มานั่งทำอะไรตรงนี้” แพคฮยอนถาม โดยที่คนโดนถามทำหน้าเหรอหราเป็นคำตอบ คนตัวเล็กเองก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะได้คำตอบนักเพราะจริงๆก็พอรู้แหละว่าคนตัวโตมานั่งรอเขา แพคฮยอนเดินผ่านตัวชานยอลไปเปิดประตูห้อง แล้วพอประตูถูกเปิดชานยอลก็ใช้ตัวโต ๆ เบียดกับเขาเข้ามาในห้อง แพคฮยอนหันไปค้อนเสียวงใหญ่หลังจากถูกเบียด และเมื่อโดนค้อนคนตัวใหญ่กว่าตั้งหลายเซ็นต์ติเมตรก็ทำหน้าหงอยทันที

     

    “มานานหรือยัง” แพคฮยอนถามหลังจากลงไปนั่งไขว้ห้างบนเก้าอี้ที่หน้าคอมพิวเตอร์ของเขาแล้ว

     

    “ไม่นาน ๆ” ชานยอลส่ายหัวจนผมหยิกนั้นสะบัดไปมา

     

    แต่คนตัวเล็กไม่เชื่อง่ายๆ หรอก แพคฮยอนลุกขึ้นไปจับมือของคนโกหกก็รู้สึกได้ทันทีว่ามือใหญ่นั้นเย็นขนาดไหน

     

    “มือเย็นขนาดนี้ยังกล้าโกหก ก็บอกว่าตอนเย็นค่อยเจอกันนี่มันเพิ่งบ่ายสี่” ชานยอลยืนอ้ำอึ้ง ราวกับไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไง แพคฮยอนแกล้งทำสีหน้าดุ เพื่อกลบเกลื่อนรอยยิ้มที่มันแทบจะซ้อนไว้ไม่ได้


    ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่พอรับรู้ว่าชานยอลอุตสาห์ทนหนาวมานั่งรอแบบนี้ หัวใจมันก็ฟู่ฟ่อง จนอดยิ้มไม่ได้

     

    “นายไปไหนมา” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อมแอ้มหลังจากที่เจ้าตัวพาตัวเองลงนั่งบนขอบเตียงของแพคฮยอนซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเก้าอี้ที่คนตัวเล็กยึดนั่งอยู่

     

    “เดินเล่นเรื่อยเปื่อย”

     

    ชานยอลอยากจะถามต่อด้วยซ้ำว่าที่หนีไปเดินเล่นเพราะตั้งใจหลบหน้าเขาใช่ไหม แต่มันก็เป็นได้แค่คำถามที่อยู่ในใจ เพราะกลัวคำตอบจะทำให้เขาเจ็บ

     

    “แล้วนี่นายโดดเรียนเหรอ” แพคฮยอนแกล้งถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว และมันยิ่งทำให้ชานยอลทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ในเมื่ออีกฝ่ายทำเหมือนกับว่าเหตุการณ์เมื่อเช้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้

     

    “นายคิดว่าฉันจะยังเรียนได้อีกเหรอ ถ้านายหนีหายไปแบบนี้” ชานยอลเอ่ยเสียเข้ม และเงยหน้ามองใบหน้าน่ารักที่จ้องมองเขาอยู่เช่นกัน ชายหนุ่มทอดเสียงอ่อนลงจากเดิมแล้วเอ่ยคำถามที่แสนคาใจ ฉันทำให้นายลำบากใจหรือเปล่าแพคฮยอน 

     

    คนตัวเล็กเลือกที่จะไม่ตอบ แต่เขาหยิบกระเป๋าเป้ที่วางไว้ข้างตัวขึ้นมา และล้วงหยิบถุงกระดาษใบที่ชานยอลแสนคุ้นตาตามขึ้นมาอีกที คราวนี้หัวใจของปาร์คชานยอลก็เต้นอย่างกับกลองรบ เพราะไม่รู้ว่าแพคฮยอนกำลังจะทำอะไร

     

    “ขอบคุณนะ ถึงลายมันจะแย่ไปหน่อยแต่มันก็สวยดี แก้วของฉันคงดีใจที่มันมีจานรองเสียที” แพคฮยอนกล่าวถึงจานรองแก้วในมือของเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง ซึ่งมันทำให้หัวใจของชาลยอลเต้นผิดจังหวะเลยทีเดียว ท่าทางแบบนี้ของคนตัวเล็กมันทำให้คนรอความหวังมีกำลังใจฮึดสู้ขึ้นมากโข

     

    แพคฮยอนวางจานรองแก้วไว้ข้างคอมพิวเตอร์ และหันกลับมาล้วงหยิบของอีกชิ้นจากในถุงกระดาษ ซึ่งเป็นของที่ทำให้ชานยอลยิ่งทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม

     

    กระดาษโน้ตแผ่นนั้น

     

    “ช่วยอธิบายให้ฉันเข้าใจได้ไหมโย่ง ฉันมันไม่ค่อยฉลาดนักที่จะตีความ” คราวนี้แพคฮยอนเอ่ยหน้านิ่ง และลุกขึ้นยืน ทำไมไม่รู้ชานยอลรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกกดดัน เหมือนจำเลยที่กำลังถูกอัยการสักถาม และกำลังรอคำพิพากษาบทลงโทษ

     

    จำเลยหัวใจของแพคฮยอนถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อเรียกกำลังใจ และไล่ความป๊อดของตัวเองให้หลุดลอยไปจากร่าง ชานยอลเงยหน้าขึ้นจ้องใบหน้าขาวน่ารัก ที่กำลังกัดริมฝีปากจ้องเขาเขม็งอยู่


    “ฉันรักนาย” ปาร์คชานยอลโพล่งประโยคนั้นมาจนคนที่รอฟังคำตอบอยู่ถึงกับตกใจ แพคฮยอนถอยกรูจนร่างเล็กไปชนกับเก้าอี้ แล้วคนตัวโตก็ลุกขึ้นคว้าแขนนั้นไว้ทันที

     

    ปาร์คชานยอลก้มมองใบหน้าของคนที่ขโมยหัวใจของเขาไปทั้งดวงด้วยความหวัง ใบหน้านั้นตอนนี้ดูงงงวยและตกใจ มันทำให้ชานยอลรู้สึกเสียขวัญจนต้องรวบกอดร่างแบบบางนั้นเสียจนจมลงไปกับอกของเขา

     

    “ขอโทษถ้าทำให้ลำบากใจ แต่ฉันหมายความตามนั้นทุกอย่าง ขอโทษที่เผลอรักนายเกินเพื่อน แต่นายก็รู้ เรื่องหัวใจมันห้ามกันไม่ได้ ฉันเองยังเพิ่งจะรู้ใจตัวเองว่าที่ผ่านมาที่รู้สึกกับนายมันคืออะไร แต่ถ้าหากนายรับความรู้สึกของฉันไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ฉันขอแค่ได้ดูแลนายเท่าที่เพื่อนคนหนึ่งจะดูแลได้ก็พอ” ริมฝีปากอิ่มกระซิบคำพูดมากมายที่ล้นมาจากอกให้คนตัวเล็กในอ้อมกอดได้ฟัง คำพูดที่นั้นเจือกระแสสั่นไหวของอารมณ์ ชานยอลกอดร่างเล็กจนแนบแน่นเหมือนกลัวอีกฝายจะดิ้นหนี หากแต่คนในอ้อมกอดก็ไม่ได้ขยับกายไปไหน แพคฮยอนกำชายเสื้อเชิ้ตนักศึกษาจนยับคาเรียวนิ้วสวยของเขา

     

    แพคฮยอนไม่ได้รังเกียจ แต่ที่ตกใจก็เพราะไม่คิดมาก่อนว่าชานยอลจะโพล่งมาแบบนี้ ตอนแรกเขานึกจะแกล้งเจ้าโย่งเล่นก็แค่นั้นเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกขี้อายขนาดไหนกับเรื่องแบบนี้

     

    “แพคฮยอน”เสียงทุ้มห้าวกระซิบข้างใบหูนิ่ม ดึงคนตัวเล็กให้หลุดจากความคิด มือใหญ่ค่อยๆ ดึงร่างเล็กออกจากอ้อมกอด จากช่วงเอวคอดมืออุ่นนั้นก็ค่อยๆ ไล้มาที่แก้มใสของแพคฮยอน

     

    ปาร์คชานยอลจ้องตาของพยอนแพคฮยอนด้วยแววตาสั่นระริก เค้าเอ่ยเรียกชื่อนั้นซ้ำๆ เหมือนเร่งเร้าเอาคำตอบ ปลายนิ้วยังคงเกลี่ยแก้มใสนั้นเบา ๆ ราวกับกลัวจะช้ำ

     

    แพคฮยอนค่อยๆ ดึงมือนั้นออกจากแก้มและบีบมันไว้เบาๆ....

     

    “ฉันไม่ได้รังเกียจ และบางทีฉันเองก็อาจเป็นพวกรู้ตัวช้าเช่นกัน……..”

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    “ถามตรงๆ นายมีที่รองแก้วในแบบที่นายอยากได้แล้วหรือไง” คริสเอ่ยถามพลางยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบเบา ๆ

     

    คนถูกถามยิ้มจนตาปิด ก่อนพยักหน้ารัว ๆ “มีซิ แล้วเขาก็เคยบอกเองว่าเขาจะเป็นจานรองแก้วให้กับผม”

     

    “ใคร?”

     

    “ฮยองจะรู้ไปทำไม” แพคฮยอนยู่ปากจนกลม เพื่อกลบความขัดเขินของตัวเอง ซึ่งมันทำให้คริสอดหัวเราะกับท่าทางน่ารักนั่นไม่ได้

     

    “ในฐานะที่เราเป็นพี่น้องกันฮยองควรรู้ไม่ใช่เหรอ”

     

    “ฮยองมาเป็นพี่ผมตอนไหนกัน” คนถูกลดบทบาทจนไม่เหลือแม้แต่ความเป็นพี่ถึงกับอ้าปากค้าง พอแพคฮยอนเห็นจึงหัวเราะพรืดกับท่าทางแบบนั้น “ผมล้อเล่นน๊ายังไงตอนนี้ฮยองก็เป็นพี่ชายของผม ได้มีพี่ชายหล่อขนาดนี้ก็ยังดีนั่นแหละ”

     

    “แล้วตอบได้หรือยังว่าใคร”

     

    “ปาร์คชายยอล” คนตัวบางรีบทำเฉไฉยกแก้วกาแฟของตัวเองขึ้นซดทันทีหลังจากเอ่ยชื่อคนที่อาสามาเป็นจานรองแก้วให้กับแก้วอย่างเขา คนฟังดูจะไม่แปลกใจเลยสักนิดกับคำตอบ อู๋อี้ฟ่านยิ้มเหมือนรู้ทัน ก่อนจะหัวเราะเบาๆ

     
     

    “เจ้านั่นรู้ตัวสักทีซินะว่าควรต้องทำอะไร”

     

    “ฮยองดูออก?”

     

    “อืม ของบางอย่างมันต้องยืนดูจากมุมไกลๆถึงจะเห็นชัด หลายครั้งนะที่ฮยองพยายามพูดให้พวกนายเอะใจ”

     

    “บอกว่าดูออก แต่ฮยองก็ยังจีบผมอยู่”

     

    “ใครจีบใครกันแน่” คริสหัวเราะร้าย จนคนตัวเล็กอดไม่ได้ที่จะแลบลิ้นใส่ท่าทางยั่วประสาทนั่น

     

    “ถึงคนอื่นมองเห็น แต่ถ้าพวกนายสองคนมองไม่เห็นกันเองมันก็ไม่มีประโยชน์ บางทีการมีตัวตนของฮยองอาจจะกระตุ้นพวกนายก็ได้หรือไม่จริง ดีแล้วล่ะที่รีบตัดสินใจ ไม่ปล่อยให้ทุกอย่างมันสายเกินไป” คริสเอ่ยคำสุดท้ายครางในลำคอก่อนเจ้าตัวจะยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มกาแฟที่เหลือจนหมดแก้ว แพคฮยอนมองตามท่าทางพวกนั้นพลางรู้สึกถึงอะไรบางอย่างกับประโยคสุดท้ายที่อี้ฟ่านเอ่ย

     

    “สายเกินไป....” แพคฮยอนพูดเบาๆ “พี่คงไม่ได้หมายถึงถ้าผมกับชายยอลรู้ตัวช้าผมอาจจะหลงรักพี่จริงจัง หรือพี่อาจจะรักผม แต่รู้ตัวช้าของพี่ พี่คงหมายถึงเรื่องของพี่กับเลย์ฮยองใช่ไหมฮะ”

     

    “ทำไมเธอรู้!!” คริสเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

     

    “ผมบังเอิญรู้ฮะ จริงๆ ผมก็รู้สึกมาตลอด คงเหมือนที่พี่บอกว่าคนไกลบางทีมันก็มองเห็นชัดกว่าคนใกล้ ผมเองก็สังเกตเห็นแต่ไม่แน่ใจ ผมถามได้ไหมครับว่าทำไมพี่สองคนที่เลิกกัน ทั้งๆ ที่ผมดูออกว่าพี่ยังรักเลย์ฮยองอยู่”

     

    คริสมองวงหน้าขาวใสนั้นด้วยความแปลกใจ อยากซักถามมากกว่านี้ว่าไปรู้เรื่องราวความลับของเขามากจากไหน แต่คริสก็คิดว่าถามไปคงยากจะได้คำตอบ

     

    “พี่คงตอบเราไม่ได้ แต่ที่เราคิดมันก็ถูกต้อง ถึงตอนนี้พี่ก็ยังตัดเขาไม่ขาด...ถึงแม้พี่จะพยายามแล้วแต่มันก็ยาก พี่ทำได้แต่เตือนตัวเองให้จบแต่มันก็ไม่จบ”

     

    แพคฮยอนเอื้อมมือเล็กของตัวเองไปกุมมือใหญ่นั้นไว้แล้วบีบเบาๆ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของอู๋อี้ฟ่านมันสะท้อนความรู้สึกเจ็บปวดได้ดีนัก ความรู้สึกรักทั้งๆ ที่อยากจะลืมมันคงเจ็บปวดมาก แม้แพคฮยอนจะไม่เคยรับรู้ แต่ก็พอคาดเดาได้

     

    “สู้ ๆ นะฮะ...ถ้าพี่อยากลืมสักวันมันก็จะลืมได้ แต่ถ้าพี่ยังอยากจะรัก ผมก็ขอให้พี่สมหวังโดยเร็ว ไม่มีอะไรสายไปหรอกฮะ ผมไม่รู้ว่าพวกพี่มีปัญหาอะไร แต่แววตาของพี่สองคนยังรักและผูกพันกันอยู่ ถ้ากลับมารักกันได้มันคงจะดีกว่าใช่ไหมฮะ ผมคงจะทำได้แค่อวยพรให้พี่สมหวังกับเป็นกำลังใจให้แค่นั้น”

     

    คริสบีบมือนั้นตอบเบาๆ เป็นเชิงขอบใจ รอยยิ้มเศร้าระบายอยู่บนใบหน้าหล่อ เศร้าจนแพคฮยอนยังรับรู้ได้

     

    “พี่คงต้องไปแล้วล่ะ เขาคงรอพี่อยู่”

     

    “เขา?”

     

    “อี้ชิง เออ เลย์น่ะ.... พอดีเสี่ยวลู่โทรมาบอกเมื่อเช้าว่าต้องออกไปธุระกับเพื่อนนาย จงอินนั่นแหละ แล้วไม่มีใครดูแลเขาฉันเลยจะไปอยู่เป็นเพื่อน”

     

    “สองอาทิตย์แล้วอาการยังไม่ดีขึ้นเหรอฮะ”

     

    “ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ แต่เสี่ยวลู่ไม่อยากให้เจ้านั่นอยู่คนเดียว เกิดเจ็บขึ้นมาอีกมันอันตราย ฮยองคงต้องไปจริงๆ แล้ว” คริสลุกขึ้นแล้วหันไปหยิบโอเวอร์โค้ทสีเข้มที่พาดอยู่ขึ้นมาคล่องแขน เขาหันมายิ้มให้กับคนที่ตอนนี้เป็นเหมือนน้องชาย มือใหญ่โยกศีรษะกลมเบาๆ อย่างเอ็นดูรักใคร่

     

    “ขอให้มีความสุขล่ะ” ความสุขแบบไหนคนสองคนคงรู้กันดี

     

    “ฮยองก็เช่นกันฮะ”

     

    “อืม....ฉันก็อยากมีความสุข” คริสเอ่ยทิ้งไว้แค่นั้น ร่างสูงใหญ่ก้าวเท้าเดินออกไปจากร้านกาแฟแล้ว คนตัวเล็กมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปจนลับสายตา

     

    โชคดีแล้วล่ะที่เขาตัดสินใจแบบนี้ เพราะหากเผลอไปรักปักใจกับคนที่มีความรักความหลังฝั่งใจ และยากที่จะถอนเพราะความสัมพันธ์ยังใกล้ชิดแบบนี้ คนรอคงมีแต่เจ็บกับเจ็บ

    .
    .
    .
    .
    .
    .

     

    แพคฮยอนหันกลับไปพิงร่างกับเก้าอี้นวมจนตัวเล็กๆ จมไปกับเบาะ แล้วอยู่ดี ๆ สัมผัสอุ่นๆ ก็แตะลงที่ไหล่บาง คนตัวเล็กหันไปจึงรับรู้ว่าคนที่แอบซ่อนตัวอยู่เผยตัวออกมาแล้วล่ะ

     

    “เรียบร้อยไหม” คนตัวโตยังกับยักษ์ถามไม่ถามเปล่ายังลงมานั่งเบียดบนโซฟาเดียวกับแพคฮยอนจนคนตัวเล็กแทบจะกลืนตัวเองลงไปเป็นเนื้อเดียวกับโซฟา

     

    “เรียบร้อยอะไร”

     

    “ก็คุยกับรุ่นพี่นั่นเรียบร้อยหรือยัง”

     

    แพคฮยอนยู่หน้ามองคนที่ทำหน้าลุ้นจนตาโตเห็นตาขาวชัดเจน พอเห็นท่าทางแบบนี้ก็อดกลั้นขำไม่ได้

     

    “ก็จะไม่รู้เรื่องได้ยังไง ฉันกับพี่เขาไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”

     

    “ขอให้จริงเหอะ” ปาร์คชานยอลงึมงำเบาๆ ก่อนจะกดศีรษะตัวเองลงจนปลายจมูกไปซุกกับเรือนผมนิ่ม แพคฮยอนดิ้นขลุกขลักหลบ แต่คนตัวใหญ่ก็ยิ่งดึงเข้ามารวบกอด ดีที่ว่าที่นั่งตรงนี้ เป็นที่นั่งมุมด้านใน แล้วโซฟาฝั่งของแพคฮยอนก็หันหลังให้กับที่นั่งอื่นๆ ของร้าน แต่เพราะแบบนี้แหละ แพคฮยอนจึงคิดมันเสียเปรียบ

     

    “อย่ามารุ่มร่ามน่า ฉันบอกแค่ว่าจะพิจารณายังไม่ตกลงคบกับนายสักหน่อย”

     

    “แต่วันนั้นนายบอกฝากตัวกับฉันแล้วนะเตี้ย”

     

    แพคฮยอนยกมือตีที่แขนใหญ่รัวๆ ทันทีที่ได้ยินสรรพนามนั้น

     

    “บอกแล้วไงถ้าจะคบกันห้ามเรียกฉันเตี้ยอีก”

     

    “โอเค ๆ” ปาร์คชานยอลยกมือทำท่ายอมแพ้ พลางนึกบ่นในใจทีตัวเองห้ามเรียกเตี้ย แต่คนตัวเล็กยังเรียกเขาไอ้โย่งอยู่ทุกวี่ทุกวัน และถ้าพอเผลอทำอะไรไม่พอใจก็ยังจะขู่อีกว่าที่ตกลงจะรับเขาไว้พิจารณาจะเลิกคิดแล้ว...

     

    นี่เขากำลังขอแพคฮยอนมาเป็นแฟนหรือแม่กันแน่นะ

     

    “นี่ ๆ พี่เขาน่าสงสารนะ”

     

    “ใคร?”

     

    “คริสฮยองไง”

     

    ชานยอลเอียงศีรษะทำหน้าสงสัย ไอ้รุ่นพี่หน้าหล่อนั่นมีอะไรน่าสงสาร หรือว่า...

     

    “อย่าบอกนะว่าเจ้านั่นชอบนายจริงๆ ไปแล้ว แล้วพอนายบอกเลิกกับเขา เขาเลยอกหัก”

     

    ป๊าบ!!  ยังไม่ทันจบประโยคปาร์คชานยอลก็โดนฝ่ามือเล็กซัดเข้าที่ไหล่ไปอีกที

     

    “ไม่ใช่สักหน่อย ก็บอกแล้วไงว่าฉันกับเขาไม่ได้มีอะไรกัน ฉันหมายถึงเขากับเลย์ฮยองต่างหาก คริสฮยองบอกว่าเขายังตัดใจไม่ได้เลย คนหล่อแสนดีขนาดนี้ ทำไมนะเลย์ฮยองถึงทิ้งไปได้” คนตัวเล็กบ่นงุ๊งงิ๊ง โดยที่ปาร์คชานยอลนั่งมองอยู่ด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ

     

    ใครล่ะจะชอบให้คนที่ตัวเองรักเอ่ยชมผู้ชายคนอื่น...

     

    “คนรักกันตอนเลิกรากันมันคงเจ็บน่าดูเน้อ” แพคฮยอนเงยหน้าขึ้นมาจากจานขนม ดวงแก้วสีดำวาวสะท้อนแสงจ้องมองคนตัวใหญ่ตาปริบๆ ยิ่งมองก็ยิ่งดูคล้ายลูกหมาตัวเล็ก ชานยอลโอบไหล่เล็กเบาๆ ก่อนจะจับอีกฝ่ายโยกไปมา

     

    “มันไม่เหมือนกันเสมอไปทุกคนหรอก การเลิกรากันมันอยู่ในเหตุผลที่แตกต่างกัน แต่ก่อนเลิก มันก็เริ่มจากรัก อย่างน้อยช่วงเวลาที่เคยรักกันมันก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข” เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยนุ่มพลางบีบไหล่เล็กเบาๆ แพคฮยอนพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะฉีกยิ้มใส่คนตรงหน้า

     

    “แต่ยังไงฉันก็ไม่อยากแค่จำนะ แล้วเวลารักแล้วก็ไม่อยากเลิกด้วย” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงใส แต่หนักแน่น คำพูดน่ารักนั่นทำเอาคนตัวใหญ่หัวเราะลั่นจนแพคฮยอนแทบจะปิดปากกว้างๆ นั่นไม่ทัน

     

    “ไม่มีมารยาทเลยนายเนี่ย”

     

    “ไม่ชินอีกเหรอไง”

     

    “ใครจะชิน”

     

    “ก็ทำให้ชินซิในเมื่อจะต้องอยู่กันไปอีกนาย นายไม่อยากเลิก ฉันก็สัญญาว่าจะไม่ยอมเลิกง่ายๆ แน่ๆ สัญญาด้วยเกียรติของปาร์คชานยอลเลยว่าจะไม่ทำให้พยอนแพคฮยอนเจ็บ จะไม่ทิ้งกัน จะไม่ยอมเลิกง่ายๆ ไล่ก็ไม่ยอมไปด้วยเอ้า!!”


    คนตัวเล็กหัวเราะคิกคักกับคำสัญญานั่น...จริงๆ มันควรเป็นช่วงเวลาหวานใช่ไหม แต่เพราะมันเป็นปาร์คชานยอลมันถึงออกมาแบบนี้

     

    “อุตส่าห์สัญญา ไม่คิดจะตอบรับสัญญาหน่อยเหรอ” ชายยอลถามเสียงต่ำ ทำหน้ามู่ทู้

     

    “ตัวขนาดนี้อย่ามาทำงอน” แพคฮยอนเอานิ้วชี้จิ้มๆ ที่หว่างคิ้วคนแกล้งงอน ปาร์คชานยอลรวบนิ้วนั้นไว้ แล้วจับคลึงเบาๆ นิ้วของคนตัวเล็กสวย สวยเหมาะกับใบหน้า เขาชอบมองเวลาแพคฮยอนหยิบจับสิ่งของ หรือเกี่ยวปลายผมด้วยปลายนิ้ว เพราะมือของคนตัวเล็กสวยมากเหลือเกิน

     

    ปาร์คชานยอลละสายตาจากเรียวนิ้วเพื่อมองสบตาดวงแก้วสีดำเล็ก ๆ นั้น และแพคฮยอนก็ยังคงมองจ้องเขาอยู่เช่นกัน 


    นี่แพคฮยอน ที่ฉันสัญญาไป ฉันจริงจังนะ ไม่ได้ล้อเล่น

     

    “อืม.......” คนได้รับฟังรีบก้มหน้าเพราะทนแววตาจริงจังของปาร์คชานยอลไม่ไหว แพคฮยอนยอมรับในใจเลยว่า คนตัวโย่งนี่เวลาไม่ทำตัวบ้าๆ บอ ๆ ก็หล่อจนใจเต้นเลยล่ะ

     
     

    “แล้วเมื่อไหร่จะยอมเป็นแฟนฉันสักที” ชานยอลก้มลงไปจนชิดศีรษะกลม เขาใช้ปลายจมูกโด่งดุนเรือนผมจนอีกฝ่ายต้องเอียงหน้าหนี พลางหัวเราะคิกคัก

     

    “รอไม่ได้หรือไง”

     

    “ทำไมจะรอไม่ได้ รอได้จนแก่เลยล่ะ” ปาร์คชานยอลแกล้งดึงร่างของคนตัวเล็กให้เข้ามาใกล้ คราวนี้แพคฮยอนไม่ดิ้นหนี หากแต่ยังคงหลบหน้าหลบตาจนคางเล็กชิดอกอยู่อย่างนั้น

     

    “จริง?”

     

    “ก็สัญญาแล้วไง ว่าจะอยู่ข้างๆ จะอยู่ดูแล จะเป็นจานรองให้ถ้วยชาอย่างพยอนแพคฮยอน สัญญาขนาดนี้ยังไม่เชื่ออีกหรือไง ตั้งแต่คบกันมาฉันเคยผิดสัญญากับนายไหม”

     

    แพคฮยอนนิ่งอึ้ง ก่อนจะส่ายศีรษะตอบเบาๆ....ใช่ตั้งแต่คบกันมาปาร์คชานยอลไม่เคยผิดสัญญา และดูแลเขาดีมาตลอด

     

    แต่ที่ยังไม่ตอบรับไม่ใช่ไม่เชื่อ ไม่ใช่ว่าไม่รัก จริงๆ หัวใจน่ะเผลอยกให้กับคนตัวใหญ่ไปแล้วล่ะ.. แต่แค่อยากรอเวลา ไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าตัวเองเป็นคนโลเล ใคร ๆ ก็เห็นว่ากำลังทำทีเหมือนคบหาอยู่กับอีกคน แล้วอยู่ดีๆ จะมาเป็นแฟนกับเพื่อนตัวเองมันคงจะเร็วไป...

     

    “ที่ให้รอไม่ใช่ว่าไม่ฉันไม่ได้ชอบนายนะ ... แล้วอย่างที่เคยบอกว่าฉันรับรู้ว่านายดีักับฉันแค่ไหน ฉันมีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา  แต่ที่ให้รอก็แค่รอเวลาที่เหมาะสม รออีกนิดได้ไหม” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงอ้อน มันออดอ้อนจนชานยอลต้องรีบพยักหน้ารับแล้วดึงร่างนั้นมากอดไว้..

     

    เขาก็พอรู้ว่าแพคฮยอนคิดอะไรอยู่...รออีกนิดมันจะเป็นอะไรไป

     

    “รอได้ซิ ก่อนหน้านี้ตอนไม่มีความหวังยังรอ...ตอนนี่ทำไมจะรอไม่ได้ รอได้เสมอแหละ” ปลายจมูกโด่งกดลงย้ำๆ ที่หน้าผากเล็ก แพคฮยอนปล่อยให้อีกฝ่ายกระทำอย่างที่ใจอยาก คนตัวเล็กอมยิ้มอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆ ที่คอยดูแลเขามาเนิ่นนานอย่างมีความสุข...

     

    และคาดหวังว่าเขาเองก็จะทำให้ปาร์คชานยอลมีความสุขเช่นกัน

     

    “ปล่อยได้แล้ว นี่มันร้านกาแฟนะไม่ใช่ที่หอ พักนี้ทำไมชอบรุ่มร่าม” แพคฮยอนฝืนตัวออกมาจากวงแขนหนา แกล้งสะบัดหน้างอนเอาแต่ใจ แต่คนชิดเชื้อมานานก็พอรู้ว่านี่ไม่ได้งอนจริงจังแต่ก็แค่อาย

     

    “ถ้าที่หอทำได้มากกว่านี้?”

     

    “ยังไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย”

     

    “ถ้าอย่างนั้นรอตอนเป็นแฟนกันก็ได้ จะได้มากกว่านี้เยอะ ๆ”

     

    “ไอ้โย่ง ไอ้ลามก รอไปเหอะ”


    ถึงปากจะบอกว่ารอไปเหอะ แต่ปาร์คชานยอลคิดว่าตัวเองคงเดาไม่ผิดหรอกมั่ง...ว่าคงอีกไม่นานที่เขาจะสมหวัง...

     

    แต่ขอแค่ให้ไอ้รุ่นพี่หน้าหล่อนั่นไม่กลับมาวุ่นวายอีก หรือไม่ก็กลับไปคืนดีกลับแฟนเก่าเสียทีก็พอ.....



    เขาจะได้รอความหวังอย่างสบายใจหายห่วง ได้ควงเพื่อนสนิทในฐานะแฟนอย่างหมดห่วงเสียที......

     

     

     

    ..........An Ending, but Not the End.......

     

     +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    ในที่สุดแก้วชากับจานรองแก้วก็จบลง จบถูกใจไหมเนี่ยค่ะ แต่มันจบในตอนของมันนะคะ เรื่องนี้จะไปต่ออีกเรื่องคือ The moon and The sun เป็นพาร์ทของคริสเลย์ ที่คงเกี่ยวกับคู่นี้บ้าง (แต่คู่นั้นมาเกี่ยวกับคู่นี่เสียเยอะ 555) ความรักของคู่นี้ถึงมันจะจบแบบว่ายังไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่มันก็มีเหตุผลที่ว่าทำไมนะยังไม่ตอบตกลงกันง่ายๆ บางทีคนเราก็มีเหตุผลบ้าๆ บอ ๆ อยู่อะเน้อ แต่ยังไงคู่นี้คงไม่พ้นกันไปไหนหรอก 5555555555


    ขอบคุณคนอ่านทุกคนนะคะ ขอโทษที่ปล่อยตอนนี้ออกมาช้าด้วย ถึงกับโดนทวง เจอกันตอนหน้าค่ะ

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×