ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO Fiction] KISS GOODBYE [Kris+Lay,Krislay]

    ลำดับตอนที่ #10 : KISS GOODBYE [Chapter 9]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.8K
      16
      18 มิ.ย. 56

    Titile: KISS GOODBYE [Chapter 8]
    Author: Angel Midori
    Genre: Romantic Drama
    Rating: PG
    Pairing: KrisLay


    Writer Talk : ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์และคำวิจารณ์ที่มอบให้กับฟิคเรื่องนี้นะคะ รวมถึงคนที่กด fav และ vote ด้วย
    ถ้ายังไงคนที่ชอบเรื่องนี้อาจไม่สะดวกเมนท์กด fav และ vote ก็ยังดีค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนและช่วยบอกต่อคนอื่นๆ ให้ลองแวะมาอ่าน 

    ตอนนี้มีซีนกิ๊บกั๊บนิดหน่อย ภาวนาร่วมกันนะคะ ขอให้อย่าโดนลงทัณฑ์ 
    5555 พอดีมันมีนิดเดียวมากๆ เลยไม่อยากขัดจังหวะคนอ่าน แล้วไม่ได้โป๊อะไรมากด้วย

    เจอกันตอนหน้านะคะ อาจเลทบ้างนิดหน่อยเพราะตอนนี้ปุ้มยุ่งมากกกกกกกกกกกกก

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    แสงอบอุ่นที่สาดแสงลอดผ่านกิ่งก้านของไม้ใหญ่จนเกิดเงาที่ทอดผ่านตกกระทบกับพื้นผิวถนน หากมองดูเผินๆ ภาพเหล่านี้นั้นดูคล้ายภาพวาดที่เกิดจากการสะบัดปลายพู่กันของจิตกรเอก ซึ่งมันก็ดูสอดคล้องกันดีกับภาพหมู่อาคารโบราณเบื้องหน้าที่ตกอยู่ในสายตาของคนมองตอนนี้

     

    ถ้าย้อนกลับไปนึกว่าครั้งสุดท้ายที่นายแพทย์หนุ่มหยุดเวลาของตัวเองไว้กับบรรยากาศที่สวยงามเช่นนี้เมื่อไหร่ คริสแทบจะนึกไม่ออก

     

    คยองจูไม่ได้ไกลจากโซลมากนักหากแต่คริสไม่เคยได้เหยียบย่างมาที่เมืองเก่าแห่งนี้มาก่อนเลย และเมื่อได้ก้าวเข้ามาคริสก็เริ่มรู้สึกหลงเสน่ห์ของมัน ที่นี่สงบ อบอุ่น และทำให้เวลาที่ก้าวเดินไปอย่างเร่งรีบของเขาเดินช้าลง

     

    กิ่งไม้ในเขตวัดแห่งนี้ถูกประดับประดาไปด้วยเกร็ดหิมะที่ยังค้างไว้ ไม่ต่างจากยอดอาคารไม้โบราณพวกนั้น นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งเดินสวนเขาเข้าไป หากแต่คริส และเด็กหนุ่มข้างกายเลือกจะเดินแยกออกมาจากที่ตรงนั้น และบ่ายหน้าเดินไปยังสวนสาธารณะที่สงบเงียบกว่า

     

    “เคยมาเที่ยวแบบนี้มาก่อนไหม” คริสเอ่ยถามคนข้างกาย คนตัวเล็กจึงพยักหน้าตอบ

     

    “เคยมาทัศนศึกษาฮะ”

    “อืม”

     

    คริสครางรับในคอ ก่อนจะเดินพาเด็กหนุ่มชมทัศนียภาพข้างทางไปเรื่อยๆ

     

    “ผมเคยมาตอนช่วงที่ต้นเชอร์รี่กำลังออกดอก แถวนี้สวยมากนะฮะ”

     

    “เหรอ น่าเสียดายนะ ตอนนี้อากาศหนาว มีแต่ต้นไม้แห้งๆ”

     

    อี้ชิงพยักหน้ารับก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ เด็กหนุ่มนึกอยากจะให้คุณหมอได้เห็นความงดงามในช่วงที่ดอกเชอร์รี่สีชมพูอ่อนบานแข่งกันไปทั่วเมืองเก่าแห่งนี้ เพราะมันสวยงามราวกับภาพวาดโบราณก็ไม่ปาน

     

    หากแต่อี้ชิงก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยชวน หรือขอให้คุณคริสพากลับมาที่นี่อีกครั้ง ... แค่คราวนี้ก็ราวกับความฝันแล้ว

     

    “เอาไว้ว่างๆ ช่วงเมษา เรากลับมาอีกครั้งแล้วกัน”

     

    คำพูดที่ออกมาจากริมฝีปากสีสดนั้นราวกับรู้ว่าเด็กหนุ่มรู้สึกนึกคิดเช่นไร อี้ชิงได้แต่ยืนกระพริบตาปริบ ๆ ด้วยความอึ้ง ที่ได้ยินคำพูดเหมือนชวนนั้น

    มันราวกับฝัน หากแต่เป็นจริง...

     

    คำชวนที่เหมือนคำสัญญา ว่าเขาและคุณหมอคริสจะกลับมาด้วยกันอีกครั้ง คำชวนที่สร้างความหวังให้กับเด็กหนุ่มว่าคุณหมอจะไม่ทอดทิ้งเขาในเร็ววันนี้....

     

    และอย่างน้อยถ้าหากจะจากกัน อี้ชิงก็ยังมีเวลาที่จะตั้งตัว ถึงแม้จะเตรียมใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากแต่ก็ยังอยากที่จะยื้อเวลาเอาไว้ให้นานที่สุด อยากที่จะพร้อมมากกว่านี้ อยากที่จะได้รับไออุ่นเนิ่นนานกว่านี้ อยากที่จะแข็งแรงมากกว่านี้ และขอให้เขามีช่วงเวลาดี ๆ กับคุณหมอเพื่อเอาไว้ระลึกถึง และจดจำมากกว่าที่เคยมี

     

    “เป็นอะไรมองฉันตาปริบๆ เชียว” คริสอู๋หัวเราะพลางขยี้เรือนผมนิ่มของคนตัวเล็ก ท่าทางของเด็กหนุ่มนั้นชวนหัวเราะ และก็ดูน่ารักดีในสายตาของคนสูงวัยกว่า

     

    “เดินไปทางนั้นกันดีกว่า ฉันเห็นเหมือนมีจักรยานเช่า เราได้เช่าขี่เล่นกัน” อู๋คริสเอ่ยก่อนจะเดินนำเด็กหนุ่มไป

     

    อี้ชิงยืนมองแผ่นนั้นกว้างก่อนจะค่อยๆ วิ่งตาม เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปหมายคว้าแขนของคุณหมอที่กำลังซุกมืออยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ท หากแต่เมื่ออี้ชิงนึกได้ เขาก็รีบดึงมือของตัวเองออก... อี้ชิงไม่กล้าจะดึงรั้ง ไม่กล้าจะไขว่คว้า ไม่กล้าไปยืนเคียงข้าง

     

    เขาเลือกจะเดินตามหลังคุณหมอคริสไปเรื่อย ๆ แทนที่ตรงนี้คงเหมาะกับเขามากกว่า

     

    >>>Kiss Goodbye<<<

     

    เสียงครางกระเส่าที่ดังรอดผ่านจากลำคอเล็กกระตุ้นให้กายแข็งแรงยิ่งรู้สุขสม

     

    ภาพของเด็กหนุ่มที่นอนก้มหน้าแนบกับพื้นเตียง จนอีกฝ่ายต้องประคองแก้มใส่ขึ้นมาเพื่อกดจูบกับริมฝีปากแดงระเรื่อนั้น เรียกร้องให้คริสไสกายเข้าแนบชิดกว่าเดิม

     

    ชายหนุ่มเกี่ยวประคองเอวคอดให้ยกสูงเพื่อให้เขาสามารถปรนเปรอรสรักให้สุขสมเท่าเทียมกัน และยิ่งถูกกระตุ้นด้วยการจมร่างเข้าไปแนบชิด เด็กหนุ่มก็ยิ่งจิกเล็บลงกับผ้าปูที่นอน และกัดฟันลงกับหมอนใบโตเพื่อลดความรู้สึกเสียวซ่านจนหมุนมวลในช่องท้อง

     

    ภารกิจรักดำเนินไปตามครรลอง และถึงมันจะเกิดขึ้นทุกวี่วันซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ทั้งคู่มาเที่ยวพักผ่อนในครั้งนี้ หากแต่มันก็ดูจะยังไม่เพียงพอ

     

    เขาไม่รู้หน่ายจากการได้ลิ้มรสรักจากร่างเล็ก และเด็กหนุ่มเองก็รู้สึกสุขจากการกระทำที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้ถึงแม้มันอาจจะไม่ได้เกิดจาก...ความรัก...

     

     

    “อ๊า..........” เสียงครางในลำคอเหมือนเป็นสัญญาณบอกถึงจุดหมายปลายทาง หยดหยาดแห่งความรักทำให้ร่างเบื้องใต้อุ่นร้อนและเคลิ้มสุขไม่ต่างกัน

     

    คริสกดกายตัวเองแนบชิดก่อนจะละไล้ปลายจมูกลงกับพื้นหลังที่ชุ่มเหงื่อของอี้ชิง เขาพลิกกายเล็กขึ้นมา โดยที่อีกฝ่ายรีบเกี่ยวแขนกับร่างของเขาไว้เช่นกัน...

     

    ใบหน้าหวานใสขึ้นริ้วรอยแดงชาด อี้ชิงซุกหน้าลงกับอกชุ่มเหงื่อ คุณหมอคริสรับรู้ได้ว่าเด็กหนุ่มกำลังแนบริมฝีปากเหนืออกของเขา เด็กคนนี้ชอบทำแบบนี้เสมอหลังจากจบกิจกรรมรัก

     

    จูบที่อก และแนบหูเหมือนกับอยากฟังเสียงหัวใจ ..... คล้ายๆ กับเวลายามเช้าที่เด็กคนนี้มักแอบจุมพิตเขาอยู่เสมอ...

     

    การกระทำซ้ำๆ ที่คริสเคยชินกับมันไปเสียแล้ว

     

    “เลย์”

     

    “ฮะ” เด็กหนุ่มขานรับด้วยน้ำเสียงที่คุณหมอคริสรู้สึกว่ามันน่ารัก

     

    “ง่วงหรือยัง”

     

    จางอี้ชิงเลือกไม่ตอบด้วยคำพูด แต่เจ้าตัวใช้วิธีส่ายศีรษะเบาๆ แทน

     

    “ถ้าอย่างนั้นร้องเพลงให้ฉันฟังหน่อยซิ” ชายหนุ่มนึกได้ว่าเมื่อกลางวันตอนที่ทั้งคู่ขี่จักรยานเที่ยวในเมืองด้วยกัน เลย์ร้องเพลงออกมา และเขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีน้ำเสียงที่ไพเราะน่าฟัง

     

    “อะไรนะฮะ”

     

    “ร้องเพลงไง”

     

    เด็กหนุ่มส่ายหัววืดทันที “ไม่ดีมั่งฮะ ผมร้องไม่เป็น”

     

    “เมื่อกลางวันเธอยังร้องอยู่เลย ไม่ร้องแค่ฮัมก็ได้ฉันได้ยินเธอฮัมเพลงบ่อย ๆ”

     

    “จะดีเหรอฮะ”

     

    คริสพยักหน้า และรวบกอดอี้ชิงแน่นขึ้นไปอีก


    “ฉันอยากนอนแล้ว ร้องกล่อมฉันหน่อยแล้วกัน” ปรกติเขาไม่เคยออดอ้อนคู่นอน ไม่เคยต้องฟังเพลงก่อนนอนให้หลับ เพราะเขาทำงานเหนื่อยจนหัวถึงหมอนก็หลับเองทุกครั้ง

     

    หากแต่วันนี้หลังลิ้มรสความสุขจนอิ่มเอม เขากลับหลับยากกว่าที่เคย และนึกอยากอ้อนอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้

     

    “ก็ได้ฮะ”

     

    คริสยิ้มหวานละไม เสียงฮัมเพลงจากเด็กหนุ่มกำลังกล่อมเขา ถึงแม้จะไม่มีเนื้อร้อง แต่เสียงและท่วงทำนองกลับทำให้คริสรู้สึกว่ามันไพเราะ ไพเราะแต่ก็เศร้า เขาคุ้นหูกับเพลงนี้ หากแต่นึกไม่ออก หรือเพราะความง่วงที่กำลังครอบงำจึงทำให้เขาหลงลืมไปว่าเพลงที่อีกฝ่ายบรรเลงให้เขาฟังแต่ผู้เดียวนั้นคือเพลงอะไร

     

    >>>Kiss Goodbye<<<

    ยานพาหนะคันหรูสีรัตติกาลค่อยๆ ขับเคลื่อนเข้ามาจอดที่บริเวณลานจอดรถของคอนโดมีเนียมกลางใจเมืองของกรุงโซล ที่ ๆ เป็นที่ตั้งของห้องชุดที่เจ้าของรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ครอบครองมัน เพราะมันมาจากหยาดเหงื่อ และแรงงานของเขา ในชีวิตของคริสอู๋ เขาไม่ได้นิยมซื้อของฟุ่มเฟือย หากซื้อแต่ของที่จำเป็น และมีเพียงไม่กี่อย่างที่นายแพทย์หนุ่มอนาคตไกลเลือกที่จะทุ่มเทจ่าย รถ คอนโด เสื้อผ้า และเซ็กส์

     

    คริสอู๋กดปลดล็อกเปิดประตูเจ้าออดี้ซีดานคันหรู ก่อนจะพาตัวเองออกมายืนรอเด็กหนุ่มที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดสามวันที่ผ่านมา อี้ชิงรวบข้าวของตามหลังเขาออกมาด้วยท่าทีมึนงงเพราะเจ้าตัวหลับมาตลอดทาง

     

    “เดี๋ยวขึ้นไปบนห้องก่อนแล้วกัน” คริสเอ่ยก่อนจะดึงกระเป๋าจากมือของเด็กหนุ่มร่างขาวจัดมาถือเพื่อที่จะให้คนตัวเล็กได้ใส่โอเวอร์โค้ทตัวหนาสะดวกขึ้น

     

    นายแพทย์หนุ่มไม่ได้ยืนมองอี้ชิงต่อหากแต่เขาเลือกหันหลังเดินนำมา และเด็กหนุ่มก็รีบเร่งฝีเท้าตามด้วยความเคยชิน

     

    จนเมื่อถึงห้องชุดสีขาวควันบุหรี่ คริสจึงวางกระเป๋าเป้ใบเล็กของอี้ชิง แล้วกระเป๋าของเขาลงบนโซฟา และถอดแจ็คเก็ตสีน้ำตาลที่สวมใส่มาโยนลวกๆ ลงไปกองรวมกัน เขาเดินเข้าไปในห้องนอนโดยที่เด็กหนุ่มทำได้แต่มองตาม เพราะไม่เข้าใจว่าคุณหมอคริสชวนตัวเองขึ้นมาทำไม

     

    หรืออยากจะให้อยู่ต่อ.... อี้ชิงสะบัดความคิดเข้าข้างตัวเองทิ้งและเลือกทรุดนั่งลงบนโซฟา พรางม้วนพับเสื้อแจ็คเก็ตของนายแพทย์หน้าหล่อที่กองไว้ให้เรียบร้อย

     

    ในขณะที่อี้ชิงกำลังพับเสื้ออยู่ เขาก็รู้สึกเหมือนมีคนสะกิดที่ไหล่ เด็กหนุ่มหันไปจึงเห็นคุณหมอยืนอยู่ด้านหลังโซฟา และกำลังยื่นบางสิ่งให้กับเขา......และสิ่งนั้นคือธนบัตร 10,000 วอนจำนวนหลายใบ


    “มองอะไรรับไปซิ”

     

    “ให้ทำไมฮะ”

     

    “ลืมเหรอ นี่ค่าตัวของเธอไง” อี้ชิงสะดุดกึกกับคำพูดนั้น นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่คุณหมอคริสยื่นเงินให้กับเขาและพูดถึงมันตรงๆ ว่าให้อี้ชิงทำไม

     

    เด็กหนุ่มสะบัดหน้าหนี ด้วยความน้อยใจ และละอาย

     

    “ผมไม่เอาฮะ”

     

    “ทำไม”

     

    “เพราะคุณคริสช่วยผมเรื่องใบรับรอง” นายแพทย์หนุ่มเลิกคิ้วสงสัยกับคำตอบของคนตัวขาว

     

    “ไม่เอาน่า ฉันพาเธอไปเสียเวลากับฉันตั้งหลายวัน ถ้าเธอไม่รับฉันคงรู้สึกลำบากใจ”

     

    อี้ชิงหันหน้าไปมองคุณหมอพลางกัดริมฝีปากจนขึ้นรอยขาว ความน้อยใจกำลังล้นทะลักจนท่วมอก คุณหมอคริสคิดว่าที่เขายอมไปเที่ยวด้วย หรือยอมนอนด้วยนั้นก็เพื่อแลกเงินหรือไง

     

    “ผมไม่อยากรับมันฮะ”

     

    “อย่ามางี่เง่าแบบนี้เลย์ อยู่ดีๆ เธออยากจะมาทำโปรโมชั่นอะไรกับฉัน เธอต้องกินต้องใช้ แล้วยิ่งเธอบอกกับฉันว่าเธอไม่รับแขกคนอื่นแล้วฉันยิ่งควรจ่ายให้เธอสมน้ำสมเนื้อ ถ้าเธอไม่รับฉันจะรู้สึกลำบากใจมากนะ”

     

    คำพูดที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังนั้นทำให้เด็กหนุ่มยิ่งคิดหนัก ความลำบากใจของคุณคริสคืออะไร ลำบากใจกลัวเขาไม่พอกินพอใช้ หรือลำบากใจกลัวว่าเขาจะเกาะติด หรือเริ่มสะดุดใจว่าเขาให้ใจไปแล้วจนยอมที่จะปฏิเสธการรับเงิน

     

    ถ้าคุณคริสรู้ อี้ชิงก็ควรจะดีใจมิใช่หรือ หากแต่บนความเป็นจริง ยิ่งอีกฝ่ายรู้ว่าเขาหลงรัก เส้นเชือกที่ผูกพันกันไว้คงถูกตัดขาดโดยทันที

     

    “มันเยอะไปฮะ” อี้ชิงเอ่ยเสียงอ้อมแอ้มก่อนจะดันเงินคืนกลับไป หากแต่คริสรีบรวบมือเล็กและจับเงินทั้งหมดยัดใส่ทันที

     

    “เธอตอบแทนฉันคุ้มค่าเงินเกินกว่าที่ให้อีก ถ้าอยากจะทำโปรโมชั่นก็เลือกตอบแทนให้ฉันอย่างอื่นดีกว่า” คริสอู๋เอ่ยพลางยิ้มมีเลศนัย คนที่น้อยอกน้อยใจอยู่ได้ฟังประโยคพวกนั้นก็สงสัย

     

    “ให้ทำยังไงฮะ”

     

    นายแพทย์หน้าหล่อหัวเราะก่อนจะยีผมนิ่มจนยุ่ง “ก็คืนนี้อยู่ต่อกับฉันอีกสักคืน ถือว่าแถม”

     

    เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายกับคำพูดนั้น มันเป็นคำพูดล้อเล่นที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ หากแต่มันบาดใจคนฟังนัก.... ค่าของจางอี้ชิงอยู่ที่ไหน เขาเป็นแค่เครื่องมือตอบแทนความสุข และอีกฝ่ายก็เห็นเขาเหมือนสินค้าที่สามารถหยิบจับซื้อหาหรือเป็นของแถมได้เช่นนั้นหรือ

     

    หรือเขาควรจะโทษตัวเองที่มัวแต่งมงายกับความรักที่ไม่มีทางไขว่คว้า จึงเลือกวิธีโง่เง่า ที่มีแต่จะทำให้เจ็บปวดทบทวีเพื่อดึงรั้งความสัมพันธ์นี้เอาไว้

     

    เขาไม่มีสิทธิโกรธคนที่เขารัก ถ้าจะโกรธก็ต้องโกรธตัวเอง

     

    “ก็ได้ฮะ”

     

    “......” คริสอู๋เลิกคิ้วกับคำตอบนั้นก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา


    “บ้าน่าฉันล้อเล่น เธอกลับไปได้แล้วพรุ่งนี้ต้องทำงานไม่ใช่เหรอ นี่ก็เย็นแล้วกลับไปพักผ่อนเหอะ ฉันเองก็ว่าจะนอนพัก อยู่กับเธอก็ไม่ได้พักพอดี” คำพูดเหมือนเอื้ออาทรหากแต่ก็ยังแฝงนัยยะล้อเล่นในเรื่องที่อีกฝ่ายนึกอับอาย

     

    คริสขยี้เรือนผมที่เขาชอบสัมผัสอีกครั้งก่อนจะเดินหิ้วกระเป๋าของเขากลับเข้าไปในห้อง

     

    “ถ้าจะกลับล็อคประตูด้วยล่ะ ฉันขออาบน้ำก่อน” คริสหันมาบอกก่อนจะพาตัวเองเข้าไปยังห้องนอน เขาเหลือบมองเลย์อีกครั้งก็เห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังลุกขึ้นแล้วเหวี่ยงกระเป๋าเป้ขึ้นหลัง

     

    เขารู้ดีว่าที่เอ่ยเหมือนล้อเล่นนั้น หากแต่จริง ๆ แล้วเขายังอยากรั้งเด็กหนุ่มเอาไว้ เขายังรู้สึกโหยหาร่างกายน่าทะนุถนอม และยังอิ่มเอมกับช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกัน แต่ท่าทีบางอย่างของเด็กหนุ่มมันทำให้เขารู้สึกแปลก สายตาตัดพ้อที่มองมา หรือคำพูดที่แทรกไว้ด้วยน้ำเสียงผิดหวัง มันทำให้ คริสเริ่มไม่เข้าใจเด็กคนนี้

     

    ฉะนั้นการทิ้งระยะให้ห่างไว้เช่นเดิมดูจะดีกว่าในยามนี้

     

    หากแต่ในยามที่คุณหมอหนุ่มกำลังตกภวังค์ เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ฉุดรั้งเขากลับมา เสียงเรียกเข้าที่เขาเลือกจากค่ามาตรฐานของโทรศัพท์ราคาแพง หากแต่เจ้าเสียงนี้มีเพียงไม่กี่คนที่เขาเลือกจะใช้ด้วย


    พ่อ แม่ จื่อเทา และจินอา

     

    และเมื่อเขาจ้องมองที่หน้าจอ ชื่อของ ลีจินอาก็โดดเด่นอยู่บนนั้น ชื่อที่ฉุดรั้งเขาสู่โลกแห่งความจริงที่มิอาจเลี่ยงหนีได้

     

    “ฮัลโหล”

     

    “พี่คริสอยู่ที่ไหนคะตอนนี้” เสียงใสที่ส่งมาจากปลายสายทำให้ผู้รับต้องครุ่นคิดกับคำตอบ เขาควรจะตอบความจริง หรือหาวิธีเลี่ยงหลบไปก่อน

     

    “พี่คะ ตกลงพี่กลับเข้าโซลมาหรือยังคะ”

     

    “กลับมาแล้วอยู่คอนโด” ชายหนุ่มเลือกที่จะตอบความจริง เพราะเขาเองก็อยากรู้ว่าจินอาโทรมาทำไม

     

    “ดีจังเลยค่ะ จินอาอยากกินอาหารเยอรมัน ก็เลยนึกถึงพี่  อาหารเยอรมันเนี่ยต้องพี่คริสเลย ไม่มีใครชอบเหมือนเราสองคนเลยนะคะ”

     

    “อืม”

    “คราวนี้พี่ตกลงจะไปกับฉันใช่ไหมคะ”

     

    “อืม”

     

    “โทรหาพี่คริสไม่เคยผิดหวังจริงๆ รสนิยมเรื่องกินเราตรงกันเสมอ จินอากำลังขับรถผ่านแถวๆ คอนโดพี่คริสอยู่แล้วจินอาแวะไปรับพี่เลยนะคะ”

     

    “อืม เดี๋ยวพี่ไปรอข้างล่างแล้วกัน” ชายหนุ่มรับคำเพราะเห็นว่าน้องสาวคนสวยคงอยากทานอาหารโปรดของทั้งเขา และจินอา ถ้าปฏิเสธไปก็กลัวจะทำให้ผิดหวัง และคำพูดของจินอามันกำลังสะดุดใจเขา รสนิยม หรือการใช้ชีวิตของเขากับจินอานั้นแทบจะไม่แตกต่างกัน หากจะต้องใช้ชีวิตร่วมกันก็แทบจะไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรมาก.... มันก็แค่เปลี่ยนสถานะจากคนที่เหมือนพี่น้อง เป็นคู่ชีวิตก็แค่นั้น

     

    หรือบางทีเพื่อตัดปัญหาเขาก็ควรจะคว้าจินอาเอาไว้

     

     คริสอู๋สะบัดความคิดนั้นทิ้งเสีย เขายังไม่อยากเครียดกับเรื่องนี้ในเวลาที่ยังไม่มีใครกดดัน วันนี้ขอให้เขายังคงมีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบพี่ชายของจินอาไปก่อน ส่วนเรื่องอื่นเอาไว้วันหลังที่ต้องคิดแล้วกัน

     

    >>> Kiss Goodbye<<<

    รถยนต์สีขาวไข่มุกคันกะทัดรัดเลี้ยวโฉบมารับนายแพทย์หนุ่มที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้า กับกางเกง สแลคสีดำ เจ้าของรถสาวสวยส่งยิ้มทั้งตาทั้งปากให้ว่าที่คู่หมั้น หากแต่นายแพทย์คริสเลือกแค่จะยิ้มบางๆ ตอบ

     

    “เราจะไปกินกันที่ไหน”

     

    “มีร้านใหม่แนะนำค่ะ จินอาอ่านเจอในอินเตอร์เนท”

     

    “อืม” คริสรับคำในลำคอก่อนจะลงนั่งพิงกับเบาะรถในท่าทางผ่อนคลาย เขาปล่อยให้คนชวนใช้สิทธิในการพาเขาไปลิ้มรสอาหารที่เจ้าตัวอยากไปชิมได้อย่างเต็มที่

     

    หญิงสาวหันไปสนใจกับการขับรถ และกดเร่งเสียงเพลงที่เปิดค้างไว้ให้ดังกลบทำลายความเงียบ เพราะรู้ว่าคนที่เหมือนราวกับพี่ชายนั้นไม่ใช่คนช่างคุย

     

    หากแต่เสียงเปียโนที่ดังพลิ้วไหวมาจากลำโพง มันกำลังกระตุ้นความทรงจำบางอย่างของคริส

     

    เสียงอินโทรเพลงคุ้นหู ท่วงทำนองหวานเศร้าที่คุ้นเคย ใช่มันเป็นเพลงเดียวกับที่อี้ชิงดีดเปียโนเล่นที่ร้านอาหารในโรงแรมซ้ำแล้วซ้ำอีกในวันนั้น

     

    และยิ่งเมื่อดนตรีบรรเลงต่อไป คริสก็รู้สึกเหมือนเคยได้ฟังมัน ทั้งๆ ที่วันนั้นอี้ชิงเล่นวนอยู่แค่ท่อนเดียว

     

    เพลงนี้มันเป็นเพลงเดียวกับคนตัวเล็กชอบฮัม และเป็นเพลงเดียวกับที่อี้ชิงกล่อมเขาเมื่อคืนนั้น

    หากแต่เมื่อคริสจับใจความทางภาษาจึงรู้ว่ามันไม่ใช่ภาษาเกาหลี หากแต่มันเป็นภาษาจีน

     

    “เพลงนี้เพลงอะไร” เขาเอ่ยถามลอยๆ ขึ้นมา คนเปิดเพลงจึงเหลือบมองด้วยความสงสัยกับคำถาม

     

    Kiss Goodbye ค่ะ”

     

    “เพลงจีนเหรอ”

     

    “ค่ะ เพลงของหวังลีฮอมไงคะ เพราะใช่ไหมล่ะ แต่ฉันชอบเพลงอื่นของเขามากกว่า Forever Love แทรคต่อไปอ่ะคะ” ลีจินอาอธิบายด้วยรอยยิ้มสดใส หากแต่มันไม่อาจดึงความสนใจของคุณหมอคริสได้

     

    “เธอดีดเปียโนเพลงนี้ได้ไหมจินอา”

     

    Kiss Goodbye เหรอคะ”

     

    “อืม”

     

    “ก็พอได้ค่ะ เคยดีดสักหนสองหน พี่สนใจหรือคะ ฉันน่าจะยังเก็บโน้ตเพลงนี้ไว้อยู่ ”

     

    “ถ้าอย่างนั้นเธอส่งให้พี่ทางอีเมล์คืนนี้ได้ไหม” คริสอู๋ถามด้วยความกระตือรือร้น

     

    “ได้ซิคะ”

     

    คำตอบของลีจินอามันทำให้ชายหนุ่มฉาบรอยยิ้มบนสีหน้าทันที เขานึกอะไรบางอย่างได้ในระหว่างที่กำลังฟังเพลง และอยากที่จะทำมันให้เป็นจริง....

     

    เขาแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะจินตนาการถึงเรื่องที่เขาหมายจะทำในอนาคต

     

     

    …TBC…

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×