คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : [KrisLay] Precious Gift [HBD Fiction for Wu Yifan]
have to give up the whole world
แสงสีทองที่กำลังกลืนกินพื้นท้องฟ้าที่เคยฟ้าสดเหนือแม่น้ำหวงผู่ไม่ได้ดึงดูดให้ผมหลงใหลมันจนไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของผมที่ดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า และ จากเสียงดนตรีที่เหมือนเป็นสัญญาณเตือนว่ามีคนโทรเข้า ก็กลับกลายเป็นเสียงสัญญาณสั้นๆ ที่หมายถึงว่ากำลังมีคนส่งข้อความถึงผมดังถี่จนแทบนับครั้งไม่ถ้วน หากแต่ผมเลือกที่จะไม่สนใจ
ผมยังทิ้งสายตาไปยังเหนือแม่น้ำที่ตอนนี้มีเงาสะท้อนของแสงอาทิตย์ยามอัสดงฉาบไล้อยู่ เหงา เจ็บปวด และสูญเสีย นี่คือความรู้สึกที่สะท้อนมาจากภาพตรงหน้าของผม
ผมยังมองเห็นตึกระฟ้าหลายตึกอยู่ในสายตา บางตึกเคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกหากแต่ตอนนี้มันกลับไม่ใช่แล้ว ที่เซี่ยงไฮ้ยังคงมีพื้นที่สำหรับตึกสูงระฟ้าที่จะแย่งชิงกันเป็นที่หนึ่งอยู่ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ความเจริญนี้จะหยุด ผิดกับฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ ที่เขตเมืองเก่าที่นั่นดูสง่า และดูอบอุ่นกว่า
ปลายนิ้วของผมค่อยๆ แตะที่พื้นเย็นเฉียบของกระจกใสที่เผยวิว 180 องศา ของแม่น้ำหวงผู่ และเขตเมืองเก่าผู่ซี นี่เป็นสิ่งที่ผมย้ำหนักย้ำหนากับอินทีเรียตอนที่จะแต่งห้องทำงานห้องนี้ให้ผมว่าผมอยากจะเห็นวิวอันสวยงามนี้บนชั้น 50 ตลอดเวลาที่ผมนั่งทำงาน
หากแต่ต่อไปมันคงไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว......
“คุณคริส!!!”
เสียงปึงปังอย่างไม่มีมารยาท และเสียงเรียกปนเสียงหอบหายใจ ไม่ได้ทำให้ผมหันกลับไปตามเสียงพวกนั้น ผมรู้ว่าคนที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามานั้นเป็นใคร และรู้แม้กระทั่งเขามีธุระอะไรกับผม
“คุณคริส คุณเหยียนบอกผมว่าเขาโทรหาคุณหลายครั้งแล้วแต่คุณไม่รับสาย และไม่ติดต่อเขากลับไปเลย เขาร้อนใจมากนะครับ ตอนแรกผมนึกว่าคุณไม่อยู่แล้วด้วยซ้ำ เพราะตอนผมโทรเข้ามาคุณก็ไม่รับ”
“ใจเย็นๆ อี้ชิง บอกคุณเหยียนด้วยว่าผมรู้แล้ว และจะติดต่อไป”
“รู้แล้ว” อี้ชิงเลขาของผมเอยครางเสียงเบา ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาค่อยๆ เดินมาด้านหลังของผม และถอนหายใจ
“ผมขอโทษที่ช่วยอะไรคุณไม่ได้” น้ำเสียงของเขาสั่นจนผมรับรู้ได้
“ไม่ใช่ความผิดเธอ ถ้าจะโทษคงต้องโทษตัวฉันเอง โทษชะตา ที่บางทีฟ้าคงไม่ได้ลิขิตให้จินหลางกรุ๊ปอยู่ในความรับผิดชอบของฉัน”
“ไม่นะครับ มันเป็นความผิดของ คุณเหว่ยอี้ ถ้าคุณเหว่ยอี้ไม่ขายหุ้นของตัวเองให้คู่แข่ง เขาคงไม่มีปัญญาครอบครองจินหลางกรุ๊ปได้ จินหลางกรุ๊ปเป็นของตระกูลอู๋มาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ของคุณ แต่ตอนนี้มันตกไปเป็นของคนอื่นเพราะหลานชายตัวเองแท้” อี้ชิงยังคงสบถไม่เลิก และพ่นลมหายใจเสียงดังซึ่งคงเกิดจากความโมโห ผมหันมามองเขา ร่างขาวจัดที่สูงน้อยกว่าผมกว่าสิบเซ็นต์ติเมนต์กำลังก้มหน้าก้มตาจนเห็นแต่เรือนผมดำสนิท ตัวเขาหอบโยนจนผมต้องเอื้อมมือมาลูบหลังของเขา
“คุณไม่โกรธคุณเหว่ยอี้เหรอครับ” คนตัวเล็กเงยหน้ามามองผม ดวงตาสีดำสนิทของเขาไม่ว่าผ่านไปกี่ปีมันก็ยังคงดูไร้เดียงสา และซื่อสัตย์
“ฉันไม่ใช่พระโพธิสัตว์นะอี้ชิง” ผมหันกลับไปที่กระจกอีกครั้ง ตอนนี้แสงของดวงอาทิตย์ลาลับไปแล้ว มีแต่แสงไฟสีเหลืองทองของเมืองที่สะท้อนกับแม่น้ำสายใหญ่ เซี่ยงไฮ้ไม่เคยหลับใหล มันพร้อมจะตื่นอยู่เสมอแม้มันจะเคยหมอบราบอยู่ใต้อำนาจของผู้อื่น
“ฉันโกรธเหว่ยอี้ โกรธมาก แต่มันก็ทำได้แค่โกรธ เพราะฉันไม่มีอำนาจอะไรไปสั่งเขาได้ว่าให้เก็บหุ้น 20 เปอร์เซ็นต์นั้นเอาไว้ เพราะหุ้นนั่นมันเป็นสิทธิของเขา เพียงแต่เจ้านั่นกลับใช้สิทธิ และของมีค่าของตัวเองในทางที่ผิด ถ้าฉันพูดเจ้านั่นก็คงตอกหน้าฉันกลับมาว่า ฉันเห็นแต่ประโยชน์ของตัวเอง”
อู๋เหว่ยอี้ ลูกพี่ลูกน้องคนโง่ของผม เขาเป็นลูกชายคนเดียวของอาผม พ่อและอาต่างช่วยกันบริหารจินหลางกรุ๊ปมาด้วยกัน จินหลางกรุ๊ปที่เคยเป็นเพียงธุรกิจค่าขายเหล็กเล็กๆ หากแต่รุ่นปู่ของผมก็เริ่มก่อตั้งโรงงานผลิตเหล็กกล้าขึ้นเอง และจากโรงงานที่อันฮุย คุณพ่อของผมก็มาตั้งบริษัทที่เซี่ยงไฮ้หลังยุคปฏิรูปเศรษฐกิจ เพราะที่นี่มีท่าเรือ ที่เป็นศูนย์กลางในทางการค้าและการส่งสินค้า จากธุรกิจผลิตเหล็กกล้า เราก็เพิ่มโรงงายย่อยมาผลิตเหล็กแปรรูปซึ่งส่วนใหญ่ไว้ใช้ในการก่อสร้าง จากวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของคุณพ่อของผมจึงทำให้จินหลางกรุ๊ปกลายเป็นบริษัทผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่รายหนึ่งของประเทศที่กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ของโลกแห่งนี้ โดยที่คุณอายอมรับกับความสามารถของคุณพ่อ และคอยช่วยเหลือพี่ชายของตัวเองมาจนชั่วชีวิตของพวกท่าน คุณพ่อของผมมอบหุ้น 30 เปอร์เซ็นต์ให้เป็นของผมซึ่งมันทำให้ผมกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท มีอำนาจสูงสุด รวมถึงอำนาจในการบริหารงานในฐานะประธานกรรมการ ส่วนอู๋เหว่ยอี้ได้รับหุ้น 20 เปอร์เซ็นต์จากพ่อของเขา เขาเลือกจะเป็นแค่เพียงผู้ถือหุ้น ไม่รับตำแหน่งหน้าที่ในบอร์ดบริหาร
ไม่ใช่อู๋เหว่ยอี้สมถะ แต่เจ้านั่นขี้เกียจ และเจ้าสำราญ
มันคงดูหยาบคายที่ผมพูดถึงน้องชายแบบนี้ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่ทุกคนรับรู้
“มันไม่ใช่ประโยชน์ของตัวเองนะครับคุณคริส แต่มันเพื่อบริษัท เพื่อส่วนรวม เหตุการณ์ตอนนี้มันทำให้บริษัทไม่มั่นคง ทุกคนหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลง แล้วที่สำคัญตอนนี้บริษัทมันได้กลายเป็นของคนอื่นไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคุณเหว่ยอี้”
ผมจะหัวเราะดีไหม กับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่อี้ชิงเรียก หรือที่ผมเรียกมันว่าความเขลา
เหว่ยอี้ขายหุ้นของตัวเองจนไม่เหลือให้กับบริษัท MA Industrial บริษัทที่เคยเป็นลูกค้าของเรา MA Industrial เป็นบริษัทใหญ่ ใหญ่มากเลยล่ะเขามักได้รับสัมปทานในการก่อสร้างโครงการใหญ่ ๆ จากรัฐบาลเสมอ รวมถึงโครงการของเอกชน หากแต่หลังๆ บริษัทนี้กลับไม่ค่อยเป็นลูกค้าที่น่ารักของเรานัก ไม่ว่าจะต่อรองราคาจนน่าเกลียด การผิดนัดชำระเงิน บางทีถึงกับมีการฮั่วกับคนในบริษัทของเราเพื่อให้ราคาสินค้าลดลง ความสัมพันธ์ของเรากับ MA Industrial ดูจะไม่สดใสนัก แต่ผมก็ไม่นึกว่ามันจะเป็นชนวนให้เขาคิดจะฮุบบริษัทของเรา
MA Industrial ประกาศยกเลิกการค้าขายกับบริษัทของเราเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน ประกาศชนิดที่ว่าชัดเจน และครึกโครม สำหรับผู้ถือหุ้นมันเป็นข่าวที่ไม่ดีแน่ๆ ที่บริษัทคู่ค้ายักษ์ใหญ่ขนาดนั้นตัดหางเรา หุ้นของเราตก ทีมงานของผมต่างเฝ้ามองการซื้อขายประหลาดในตลาดหุ้น มีการช้อนซื้อหุ้นของเราทันทีที่มันถูกปล่อยราวกับคนที่เหวี่ยงแหลงไปในบ่อปลาที่ถูกเลี้ยง
มันประหลาด และต่อให้เราเอะใจ หมายจะแก้ไขมันก็ไม่ทัน เรารู้ภายหลังว่าบริษัทลูกของ MA Industrial เป็นคนกวาดซื้อหุ้นเหล่านั้น แน่นอนเราแปลกใจ และไม่นานทุกอย่างมันก็เฉลย
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของผมประกาศว่าได้ขายหุ้นของตัวเองให้กับ MA Industrial ไปหลายรายซึ่งรวมแล้วกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ และไพ่เอชใบสุดท้ายของบริษัทนั้นก็เปิดออก เมื่อเขาประกาศว่าอู๋เหว่ยอี้ได้ขายหุ้นของเขา 20 เปอร์เซ็นต์จนหมด ซึ่งมันทำให้หุ้นของผมกับบริษัทนั้นเท่ากัน
และสุดท้ายหุ้นอีก 5 เปอร์เซ็นต์นั้นก็ถูกโอนมายัง MA Industrial เขามีหุ้นในมือ 35 เปอร์เซ็นต์เขาได้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดโดยทันที
มันเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก เมื่อความหายนะนี้มันเกิดขึ้นจากลูกพี่ลูกน้องของผมที่เห็นแก่เงินก้อนใหญ่มากกว่ารายได้ที่ได้รับจากเงินปันผลต่อปี ที่ผมก็มองว่ามันไม่น้อย เจ็บปวดกับความโลภ และเขลาของเขา
หรือผมควรจะเจ็บปวด กับความไม่ทันโลกธุรกิจของผมเอง
“คุณคริส” สัมผัสอุ่นนั้นวางลงที่ไหล่ของผม น้ำเสียงของเลขาของผมเต็มไปด้วยความเห็นใจ ผมหันกลับมามองเขา ดวงตาของอี้ชิงแดง ผมได้แต่บีบมือนั้นเบาๆ
“อย่าร้องไห้อี้ชิง”
เขาพยักหน้าหงึกหงัก กัดริมฝีปากเสียจนแดงช้ำ มันดูน่าสงสารจนผมอดคิดไม่ได้ว่าผมไม่ควรที่จะห้ามเขาให้เก็บกักอารมณ์
“เห็นทีเราคงต้องช่วยกันเก็บของแล้วล่ะ” ผมพยายามที่จะฝืนยิ้ม และหัวเราะ
“เก็บของ?”
“อืมเก็บของ นายคิดว่าคุณเหว่ยจะปล่อยให้ฉันนั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ที่ห้องนี้อยู่อีกเหรอในเมื่อเขาได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แล้ว เขาคงแทบจะทนรอการประชุมใหญ่เพื่อจะปลดฉันไม่ทันเลยล่ะ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเยาะ แล้วลงไปนั่งที่โต๊ะทำงานของผม ผมปิดคอมพิวเตอร์ ดูมือถือที่เต็มไปด้วยไอคอนต่างๆ ที่โชว์ว่ามีคนพยายามติดต่อผมมากแค่ไหน ทีมงานของผมคงพยายามติดต่อบอกผมเรื่องการโอนหุ้น แต่ผมดันรู้ก่อนผมจึงไม่อยากฟังมันอีก ผมเปิดแฟ้มเพื่อจะเซ็นต์งาน โดยที่ไม่แน่ใจว่าผมจะได้เซ็นต์มันในตำแหน่งนี้อีกนานแค่ไหน
“คุณคริส” อี้ชิงลงนั่งตรงหน้าผม วงหน้าขาวของเขาดูซีดลง เขาคงตกใจ อี้ชิงผูกพันกับที่นี่ไม่ต่างจากผม เขาเห็นการเจริญเติบโตของบริษัทนี้ตั้งแต่จำความได้เช่นเดียวกับผมและเหว่ยอี้ อี้ชิงคงทำใจไม่ได้เมื่อมันจะไม่ได้เป็นของเราเช่นแต่ก่อน
“เขาคงไม่ไล่เธอออกหรอกอี้ชิง” ผมเอ่ยล้อเพื่อสร้างบรรยากาศ
“ถ้าคุณคริสไม่อยู่ผมก็ไม่อยู่” หากแต่เสียงนั้นกลับตอบอย่างหนักแน่น
ผมเริ่มหายใจไม่ออก ขอบตาของผมเริ่มร้อนเมื่อมองใบหน้าสวยงามของคนตรงหน้าที่เริ่มร้องไห้ผมเอื้อมมือไปจับปลายนิ้วของเขาและบีบเบาๆ
“อี้ชิง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอจะอยู่กับฉันใช่ไหม”
“แน่นอนคุณก็รู้ว่าผมจะอยู่กับคุณ”
แม้เสียงพูดจะสั่นเครือ แต่แววตาช่างมั่นคงนัก
“แม้ตอนที่ฉันตกต่ำลง เธอก็ยังจะอยู่ใช่ไหม”
อี้ชิงพยักหน้ารัวเร็ว แล้วสะอึกฮัก ๆ จนผมต้องโน้มตัวมากอดเขาไว้ เด็กน้อยเอ้ย ผมต้องกอดปลอบเขาไปแบบนี้อีกนานแค่ไหนกัน เขายังขี้แยไม่เคยเปลี่ยนเลย ไม่ว่าจะตอนเป็นเด็กหรือโตจนป่านนี้แล้ว
“ผมจะอยู่กับคุณฮะ จะอยู่กับคุณช่วยผลักดันคุณให้คุณบินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ คุณเป็นมังกรนะฮะ มังกรอยู่บนดินนานไม่ได้หรอก คุณต้องอยู่บนท้องฟ้า อยู่เหนือยอดเขา”
“ขอบคุณ” ผมตอบได้แค่นั้นก่อนจะกดปลายจมูกลงบนเรือนผมนิ่มของเขา และซุกหน้าเพื่อให้เส้นไหมสีดำนิ่มนั้นซับน้ำตาของผมให้หมดไป
น้ำตาของผม ผมไม่อยากให้ใครเห็น และถ้าจะมีใครมีสิทธินั้นผมอนุญาตให้แค่จางอี้ชิงคนเดียว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“อี้ชิงยังไม่กลับบ้านได้ไหม” ผมไม่รู้หรอกว่าน้ำเสียงที่ผมเอ่ยมันเป็นแบบไหน แต่เห็นจากปฏิกิริยาของคนฟังมันคงประหลาด
อี้ชิงทำสีหน้างง ก่อนจะยิ้มเขิน
“จะไปไหนครับ”
“เดินเล่น หาอะไรทำให้มันหายเครียด กลับไปอยู่คอนโดคนเดียวตอนนี้ฉันคงบ้าตาย” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน ก่อนจะจับรีโมทของรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ของผมกดเพื่อเปิดประตูรถ ผมวางข้าวของที่ยัดใส่ลังย่อมๆ ลงไปที่เบาะหลังของรถ และเบี่ยงตัวให้อี้ชิงที่หอบของอย่างอื่นของผมวางลงไปด้วย
พอคนตัวเล็กวางของเสร็จเขาก็เดินไปเปิดประตูด้านข้างคนขับ ผมจึงจับข้อมือเล็กนั่นไว้
“ไม่เอารถไปหรอก ทิ้งมันไว้ที่นี่แหละ”
ผมบอกเขาแค่นั้น กดล็อครถ และเดินจับแขนของอี้ชิงให้เดินออกจากอาคารสำนักงานหลังใหญ่
“ฉันอยากไปฝั่งโน้น นายเป็นไกด์ให้ฉันได้ไหม” นั่นคือคำพูดขอร้องของผม อี้ชิงทำสีหน้างงตามแบบฉบับของเขา ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก
คนตัวเล็กออกไปเรียกแท็กซี่และบอกให้แท็กซี่ไปส่งเราที่ สถานีรถไฟใต้ดิน ผมอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ อี้ชิงรู้จักผมดีเหลือเกิน เขารู้ว่าผมต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร บางทีรู้ดีกว่าตัวผมเองด้วยซ้ำ แต่ในทางกลับกันผมก็คิดว่าผมก็รู้จักเขาดีเช่นกัน
หากแต่เราสองคนต่อให้รู้จักตัวตนกันดีแค่ไหน...ก็ทำได้แค่ผมยืนข้างหน้าเขา และเขายืนข้างหลังผม
รถแท็กซี่มาส่งเราสองคนที่สถานีรถไฟใต้ดิน อี้ชิงเป็นคนจัดการทุกอย่างเพราะรู้ว่าผมแทบไม่เคยใช้ระบบขนส่งมวลชนเหล่านี้ มันน่าหัวเราะทั้งๆ ที่ผมอยู่เซี่ยงไฮ้มาหลายปีแต่เพราะผมไม่ค่อยได้ไปไหนมาด้วยรถใต้ดิน มันเลยทำให้ผมยังไม่เคยผ่านอุโมงค์ทัศนาจรของบันด์เลย
Bund Sightseeing Tunnel เป็นอุโมงค์ที่เล่าลือว่ามีการจัดแสงสีจากดิสนีย์ ที่นี่เต็มไปด้วยไฟกระพริบสีสันสวยงาม และภาพต่างๆ ที่ฉายบนผนังคอนกรีต ผมมองมันด้วยความสนใจแต่ แต่ดูเหมือนจะมีคนที่ตื่นเต้นกว่า ทั้งๆ ที่เคยมาแล้ว และผมคิดว่าหลายครั้งด้วย อี้ชิงยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มที่ข้างแก้ม ดวงตาแดง ๆ ของเขากลับมาปรกติแล้ว ผมดีใจที่เห็นเขายิ้มได้
เวลาที่รถรางวิ่งผ่านอุโมงค์นั้นแค่ 5 นาที แต่มันก็ทำให้ความเครียดขึงของผมลดลงไปได้ เราสองคนก้าวเท้าออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน ผมเงยหน้าสูดอากาศที่ผมคิดเองว่ามันบริสุทธิ์กว่าฝั่งผู่ตงเสียจนเต็มปอด แล้วผมก็ซุกมือของผมลงในกระเป๋าโอเวอร์โค๊ทสีน้ำตาลตัวยาว และเมื่อเหลือบมองก็เห็นว่าอี้ชิงก็ทำเช่นเดียวกัน หากแต่เขาสวมสเวตเตอร์ตัวหนาแค่นั้น
ถึงแม้นี่จะแค่ต้น พฤศจิกายน หากแต่อากาศในยามค่ำริมแม่น้ำอย่างนี้มันก็หนาวใช่เล่น ผมดึงผ้าพันคอของผมออก แล้วจับมันพันคอของเขา
“คุณคริสเอากลับไปเหอะครับผมไม่หนาว”
“ก็ฉันรู้สึกอยู่ว่าอากาศมันเย็น แล้วจะบอกว่าไม่หนาวได้ยังไง”
“ผมไม่หนาวจริง ๆ นะครับ” อี้ชิงทำหน้าเหมือนลูกหมาเขาพยายามคืนผ้าพันคอให้กับผม ผมคว้ามันออกจากมือของเขา และกลับไปพันที่คอเขาใหม่อีกที
“เธอป่วยง่ายเธอควรจะรู้ตัวนะจางอี้ชิง” ผมดุเขาก่อนจะเดินนำร่างขาวจัดนั่นไปตามทางเดินริมแม่น้ำหวงผู่
มองจากมุมนี้ตึกสูงระฟ้าพวกนั้นดู ยิ่งใหญ่ ดึงดูดใจ สวยงาม น่าเกรงขาม หากแต่ไม่รู้สึกอบอุ่น มันดูเปล่าเปลี่ยว เวิ้งว้าง ผิดกลับเมื่อยามมองไปที่อาคารทรงยุโรปที่สะท้อนแสงไฟสีเหลืองทองอีกฝั่งถนน มันสวยงาม เลอค่า และน่าประทับใจ
“อี้ชิงเดินเร็ว ๆ หน่อยซิ” ผมหันไปเรียกคนที่เดินหันซ้ายหันขวาเพื่อให้เร่งฝีเท้าตามผมทัน และเมื่อคนตัวเล็กมาใกล้ผมก็คว้ามือนั้นไว้ให้เดินไปพร้อมกับผม
แม่น้ำหวงผู่ยามค่ำคืนสวยงามยิ่งนัก อากาศเย็นพัดพาความหม่นข้องหมองใจของผมให้ปลิวลอยไป ภาพสวยงามราวกับภาพวาดของเซี่ยงไฮ้ทำให้ผมลืมความทุกข์ของผมไปแม้จะชั่วคราว ความอบอุ่นของมือที่ผมจับกุมไว้ช่วยปลอบประโลมให้ผมรู้สึกไม่อ้างว้าง
ผมอยากจับมือของเขาไว้ตลอดไป และอยากที่จะฝ่าฟันผ่านอุปสรรค์ต่างๆ ไปพร้อมกับคน ๆ นี้ ไม่เคยนึกเบื่อแม้จะเห็นใบหน้านี้มาตั้งแต่วัยเยาว์ก็ตาม เพราะผมอยากจะเห็นมันตลอดไปแม้ลมหายใจสุดท้ายของผม
คำตอบที่ผมเคยตั้งคำถามเอาไว้มันไหลล้นมาจากอก... บางทีมันควรจะถึงเวลาแล้วที่เราสองคนควรจะยอมรับความเป็นจริงของหัวใจของเราทั้งคู่
.
.
.
.
จางอี้ชิงเป็นหลานของแม่บ้านคนสนิทของคุณแม่ของผม ผมจำวันแรกที่เจออี้ชิงได้ไม่มีทางลืม คุณแม่บอกว่าจะให้ของขวัญให้กับผม ของขวัญในวัย 6 ขวบ คุณแม่พาเด็กผู้ชายตัวเล็ก ผิวขาวเหมือนตุ๊กตากระเบื้อง แก้มยุ้ย มายืนตรงหน้า และบอกว่าเด็กคนนี้ชื่อจางอี้ชิง เขาจะมาอยู่เป็นเพื่อนผม เด็กคนนั้นอ่อนกว่าผม 1 ปี ตอนแรกผมไม่รู้หรอกว่าดีใจไหมกับของขวัญนี้ แต่ตอนนี้ผมนึกขอบคุณ คุณแม่มาก
ผมกับอี้ชิงถูกเลี้ยงมาด้วยกัน ผมอาจมองเขาเหมือนน้อง แต่อี้ชิงมองผมเป็นนายมาตลอด ผมผ่านวันเวลาร่วมกับเขามาตั้งแต่ยังอยู่ที่อันฮุย จนย้ายมาอยู่เซี่ยงไฮ้ โลกของผมมีเขาอยู่แทบทุกช่วงเวลาในยามนั้น อี้ชิงน่ารัก ช่างพูด ฉลาด แต่ก็ซื่อ เขาไม่เหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป เขาไม่ห่าม ไม่ซน เขาเรียบร้อย และน่ารัก
เราเรียนด้วยกันจนจบมัธยม และในวันสุดท้ายของชีวิตมัธยมปลาย...มันเป็นวันที่ผมรู้จักความรัก และก็ต้องยอมสูญเสียมันไป
ตอนที่ครอบครัวบอกผมว่าผมมีเวลาเตรียมตัวไม่นานผมต้องไปเรียนต่อที่แคนาดา หัวใจผมหล่นวูบ ผมเอ่ยถามพ่อกับแม่ว่าอี้ชิงจะไปด้วยไหม พวกท่านทำสีหน้าประหลาดใจ และบอกว่าเป็นผมที่ต้องไปคนเดียว
หัวใจของผมลอยหายไปแล้ว และแค่คิดว่าต่อไปผมจะไม่มีอี้ชิงอยู่ข้างๆ อากาศรอบตัวก็เหมือนมันจะระเหิดหายไปเสียหมด
.
.
.
ผมกอดเขาไว้แน่นหลังจากที่พาเขามาที่ห้องนอนของผม และบอกเขาเรื่องจะต้องไปแคนาดา เขาร้องไห้อย่างหนัก ทุกอย่างมันตอบความรู้สึกของผมในตอนนั้น ทำไมผมถึงได้อยากอยู่ใกล้เขา ทำไมมีแค่เขาผมก็มีความสุขแล้ว เวลาที่ผมไม่เห็นเขาในสายตาทำไมผมทุกข์ใจ ทำไมผมชอบที่จะสัมผัสร่างนิ่มของอี้ชิง และทำไมผมชอบให้เขาสัมผัสและดูแลผม เพียงคนเดียว
นั่นเพราะผมรักเขา
ผมกอดเขาเอาไว้แนบกับอก จนเขาหยุดร้องไห้ ผมเชยคางของเขาเพื่อจะมองให้เต็มตา ผมบอกเขาว่าผมไม่อยากไป และแนบประทับริมฝีปากกับปากอิ่มแดงระเรื่อเหมือนเปลือกเชอร์รี่ของเขา
อี้ชิงดิ้นรนเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้ผมทำตามใจ เราจูบกันเนิ่นนาน กอดกันร้องไห้ ผมย้ำว่าผมไม่อยากไป และถ้าต้องไปผมจะขอพ่อกับแม่ที่จะพาอี้ชิงไปด้วย
อี้ชิงส่ายศีรษะ แล้วสะอึกสะอื้น คนตัวเล็กกระซิบบอกผมว่า อย่าทำอย่างนั้น ปล่อยเขาไป อย่าให้เขามาฉุดรั้งอนาคตของผม สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันผิด ผมและเขาไม่ควรจะปล่อยให้มันเกิด เขาบอกให้ผมลืมความรู้สึกที่ผมรู้สึกกับเขา และเขาก็จะลืมเช่นกัน
“คุณคริสมีอนาคตที่ไกล อย่าให้ความรู้สึกของเราทำลายคุณเลย”
เราจบความรักที่รู้ช้าเอาไว้แค่นั้น ผมเข้าใจเขา และเลือกที่จะทำตามที่อี้ชิงต้องการ ไม่ใช่แค่ผมที่จะมีอนาคต อี้ชิงก็เช่นกัน ความรักของเราสองคนมันจะเป็นดั่งหอกที่ทิ่มแทงตัวเอง
หากแต่ห้ามอะไรห้ามได้......แต่ความรักมันยากนักจะหักห้าม
เรากลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากผมเรียนจบ ระยะเวลา 6 ปี มันทำให้เราสองคนเปลี่ยนไปมากขึ้น หากแต่ความเปลี่ยนแปลงของอี้ชิงมันยิ่งทำให้หัวใจของผมอ่อนยวบ แต่ก็เลือกที่จะปิดบังมันไว้
เราร่วมงานกันด้วยดี เขาเป็นเลขาที่ดีเยี่ยมจนผมคิดว่าคงไม่มีใครที่จะทำงานกับผมได้ดีเท่าเขา และถึงแม้เราจะเคียงคู่กันไม่ได้ หากแต่ได้อยู่กันแบบนี้มันก็คงดีพอแล้ว
แต่ได้มากกว่านี้ล่ะ....ผมคงจะมีความสุขยิ่งกว่านี้ซินะ
“คุณคริส”
“....”
“อืม...เห็นเงียบไปเลยเรียกดูน่ะครับ” อี้ชิงเอ่ยอ่อมแอ้มเหมือนเกรงใจที่ทำลายสมาธิผม
“คิดอะไรเพลิน”
“เรื่องนั้นเหรอฮะ” ผมรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องงาน
“เปล่า”
ผมยิ้มให้เขา และจับมือเล็กยัดใส่กระเป๋าโอเวอร์โคทของผม อี้ชิงดูตกใจ แต่ก็ไม่ได้ขยับมือหนี ผมสอดนิ้วกับนิ้วของเขา มันอบอุ่น และทำให้หัวใจของผมเต้นรัว
“อี้ชิง”
“ฮะ”
“เธอเคยคิดที่จะไปจากฉัน และครอบครัวฉันบ้างไหม”
คนตัวเล็กส่ายหัวดิก
“ทั้งๆ ที่เธอเรียนจบจากมหาลัยที่ดี เธอเก่ง เธออาจจะประสบความสำเร็จกว่าอยู่กับฉัน ทำไมเธอถึงไม่คิดจะไป”
“อย่าบอกให้ผมไปไหนเลยนะครับ ที่ไหนก็ไม่มีความสุขเท่าที่ ๆ ผมอยู่ ครอบครัวของคุณมีพระคุณกับผม และคุณก็เป็น.....”
“เป็น?”
“เป็นคนสำคัญสำหรับผม คุณคริสเป็นเหมือนครอบครัวเพียงคนเดียวของผม ฉะนั้นอย่าให้ผมไปไหนเลยนะครับ” เสียงนั้นสั่นเครือ...
คำตอบที่ได้อาจจะไม่ได้ตรงใจผมนัก แต่มันก็ทำให้ผมมีความสุข
ผมดึงเขามากอดไว้ และลูบหลังเขาเบาๆ
“ไม่ ฉันจะไม่มีทางไล่เธอ ไม่มีทางให้เธอไปจากฉันแน่ๆ”
“ขอบคุณฮะ” อี้ชิงตอบอู้อี้มาจากอก ผมยังกอดเขาไว้ ร่างของเขาอุ่นจนทำให้ผมรู้สึกสบาย ผมอยากกอดเขาไว้อย่างนี้ กอดในฐานะที่เทียมเท่ากัน..
“อี้ชิง เธอจำได้ไหมว่าพรุ่งนี้วันอะไร”
จางอี้ชิงดันตัวออกจากอกของผม เขาเงยหน้ามอง รอยยิ้มของเขาละไม ดวงตาของเขาเป็นประกาย
“ถึงแม้ผมจะขี้ลืม...แต่ผมจำเรื่องของคุณคริสได้ทุกเรื่องนะครับ”
ผมหัวเราะกับคำตอบหวานหูนั่น อี้ชิงยังยิ้มให้กับผมทั้งตาและริมฝีปากอิ่มสีแดงสดนั่น ริมฝีปากที่ผมอยากจะครอบครองและชิมรสว่ามันยังหวานล้ำอยู่ไหม
“ฉันอยากได้ของขวัญ”
“ถ้าผมหามาให้ได้ผมจะทำ”
“เธอให้ฉันได้แน่อี้ชิง”
คนตัวเล็กกรอกตาด้วยความสงสัย ผมจูงมือเขามานั่งที่เก้าอี้ริมแม่น้ำ เวลาเกือบเที่ยงคืนไม่มีใครสนใจซึ่งกันและกัน
“อี้ชิงเธอรู้ไหมว่ามีเรื่องบางเรื่องที่ต่อให้อยากลืมแต่มันทำไม่ได้”
อี้ชิงตอบผมด้วยการพยักหน้า
“เรื่องบางเรื่องที่อยากจะหักห้าม แต่มันก็ยังคงฝังอยู่ในหัวใจ”
“เรื่องบางเรื่องที่แม้วันตายก็ยังคงค้างคาใจ”
คราวนี้อี้ชิงไม่ได้ตอบผม แต่เขากำลังมองผมนิ่ง..ผมคิดว่าเขารู้ว่าผมกำลังพูดถึงอะไร
“เธอจำได้ไหมว่าเธอเคยบอกให้ฉันลืมความรู้สึกที่เกิดกับเธอ เธอบอกว่าความรู้สึกของเราจะทำร้ายกันและกัน และทำร้ายอนาคตของเรา”
คราวนี้อี้ชิงเบิกตาค้างเขาคงไม่คิดว่าผมจะพูดเรื่องพวกนี้ออกมา
“จำได้ไหม” ผมย้ำถามอีกครั้ง
“จำได้ครับ”
“แล้วเธอลืมมันได้จริงๆ หรือ ไม่เจ็บปวดกับมันจริงๆ หรือ....... แต่ฉันลืมไม่ได้ และยังเจ็บ”
ดวงแก้วสีนิลนั่นเกิดประกายล้อกับแสงไฟ หยดน้ำตาค่อยๆ ไหลมาจากหน่วยตาของอี้ชิงละไหลมายังปรางแก้มขาว ผมค่อย ๆ ไล้นิ้วโป้งลงบนแก้มใสนั่น
“เห็นไหมลืมไม่ได้ใช่ไหมล่ะ แล้วจะมาสั่งให้คนอื่นลืม ทุกๆ วันที่เราอยู่ใกล้กัน เราจะไม่รู้เลยเหรอว่าเรารักกันแค่ไหน”
“แต่มันเป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้” อี้ชิงค่อย ๆ เอ่ยมันออกมา
“ใครห้าม ใครกำหนด”
“คุณก็รู้ คุณโกหกตัวเองไม่ได้ คุณคริส คุณอี้ฟ่าน ปล่อยเรื่องนี้มันไปเสียเถิด อย่าให้ผมเป็นคนทำร้ายคุณเลย”
“เด็กโง่ ไม่มีใครทำร้ายฉัน เธอไม่ได้ทำร้ายฉันแน่ๆ หากแต่ถ้าเธอคิดจะให้ความรู้สึกของเราสองคนเป็นแบบนี้ นั่นแหละที่เธอกำลังทำร้ายฉันและตัวเธออยู่” ผมเอ่ยแล้วกอดร่างของอี้ชิงแน่น แน่นเหมือนเมื่อวันที่เราจากลากันในครั้งนั้น
“ตอนนี้ฉันไม่มีใคร โลกของฉันมีแต่เธอ ฉันต้องการกำลังใจที่จะสู้ในวันต่อ ๆ ไป และเธอเท่านั้นที่จะทำหน้าที่นั้น อย่าบอกให้ฉันลืมอี้ชิง ถ้าลืมได้ฉันทำไปแล้ว อย่าบอกให้ฉันไม่รัก เพราะถ้าเลิกรักได้ ฉันคงไม่รักเธออยู่อย่างนี้ อย่าบอกให้ปล่อยเธอไปเพราะฉันทำไม่ได้ และเธอก็ทำไม่ได้เช่นกัน”
“แต่” อี้ชิงจะเอ่ยหากแต่ผมไม่ปล่อยให้เขาพูดอะไรที่จะทำร้ายหัวใจของเราสองคนอีก ผมช่วงชิงคำพูดนั้นด้วยริมฝีปาก เขาพยายามผลักผม แต่ผมก็ยังจะทำ
ผมกดจูบเขาย้ำ ๆ เหมือนไม่อยากจะให้ริมฝีปากอิ่มนั้นเป็นอิสระ อี้ชิงหยุดดิ้นรน ผมจึงยังคงละเลียดไล้อยู่กับริมฝีปากอิ่มของเขา....จูบแล้วจูบเล่าให้สมกับกาลเวลาที่ผมรอคอย
ริมฝีปากนั้น จูบนั้นยังหวานไม่ต่างจากเดิม
พอริมฝีปากเล็กเป็นอิสระเขาก็รีบหันมองรอบตัว โชคดีสำหรับเราสองคนที่ตรงนั้นไม่มีใคร และผมก็ไม่ได้โง่พอที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม
“คุณคริส ทำไมคุณทำแบบนี้” อี้ชิงเอ่ยเสียออด
“ที่ทำก็เพราะรักของฉันมันล้นอก”
ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ถึงแม้แสงที่พาดผ่านวงหน้าของอี้ชิงจะสีเหลืองแต่ผมกลับคิดว่าแก้มกลมนั้นดูเรื่อสีแดง
“ฉันไม่ได้โง่นะอี้ชิงที่จะทำร้ายตัวเอง หรือทำร้ายเธอ เราสองคนรักกันได้ รักกันได้จริงๆ โดยที่ไม่ต้องไปป่าวประกาศให้ใครรู้ รู้แค่เราสองคน เราอยู่ด้วยกันเหมือนคู่รักได้ แม้มันอาจจะไม่เหมือนคู่รักอื่นแต่เราก็อยู่กันได้ มันดีกว่าที่เราจะหักห้าม และทำเหมือนเราไม่รักกัน”
ผมพูดให้เขาคิด เขาดูนิ่งไปเหมือนกำลังคิดตาม.....ผมสวดอ้อนวอนในใจให้เขาคิดเหมือนกับผม ผมไม่อยากที่จะต้องทนเก็บความรักที่มีต่อเขาไว้แบบนี้ ไม่อยากจะต้องแกล้งตอบคำถามของอี้ชิงที่มักจะถามผมเรื่องอนาคต เรื่องครอบครัว ผมอยากจะตอบกลับเขาว่า อนาคต และครอบครัวของผมมีแต่เขาเท่านั้น
“ของขวัญที่ฉันขอ ถ้าเธอให้ฉันจะไม่ขออะไรจากเธออีก” ผมเอ่ยสำทับ อี้ชิงดูคิดมาก แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคิด และผมเห็นเขาเหลือบมองไปด้านหลังของผม....
อี้ชิงมองอยู่ตรงนั้น ผมจับสายตาของเขา เขากำลังมองไปที่ The Customs House ที่หอนาฬิกาเหนือตึกสไตล์นีโอคลาสสิคนั่น ลมหายใจของผมช้าลง ผมค่อยๆ มองเข็มนาฬิกาที่กำลังแตะเลข 12
“ของขวัญที่คุณขอ.....”
“....”
“โปรดรับไว้ด้วยนะครับคุณอี้ฟ่าน”
ผมไม่รู้ว่าผมติดโรคขี้แยจากคนข้างหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมโน้มกอดเขาแน่น ให้สมกับคำตอบที่ผมรอคอยมาแสนนาน....
จางอี้ชิงคนรักของผม....ผมเรียกเขาได้เต็มปากแล้วใช่ไหม
“อี้ชิง....ฉันสัญญาว่าฉันจะเป็นมังกรเหมือนที่เธอบอกฉันเสมอ ฉันจะกลับไปอยู่บนยอดเขา และที่นั่นก็ต้องมีเธอเช่นกัน”
อี้ชิงพยักหน้ารับอยู่กับอกผม
“อี้ชิง....จางอี้ชิง...” ผมเรียกเขาและเกี่ยวปลายคางเล็กให้สบตากับผม....
“เธอรู้ไหมว่าของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับฉันคืออะไร”
อี้ชิงส่ายหัวเบาๆ ผมได้แต่ยิ้มและมองเขา ภาพในวันเก่าๆ ค่อยๆ ย้อนเป็นฉาก...
“ของขวัญวันเกิดของฉันตอนอายุ 6 ขวบไง นั่นคือของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับฉัน และของขวัญชิ้นกันก็ยังคงมอบของขวัญที่มีค่าที่สุดให้ฉันในวันนี้”
อี้ชิงทำหน้าสงสัยเพียงชั่วครู่ และเมื่อเขานึกออก ดวงตาของเขาที่แดงกล่ำก็หยดน้ำตาออกมาอีก
“ผมคือของขวัญนั้น?”
“ใช่คือเธอ จางอี้ชิง....ฉันรักเธอ” ริมฝีปากของผมกดจูบที่หน้าผากมล อี้ชิงสะอื้นอีกแล้วซินะ แล้วเจ้าตัวก็งึมงำประโยคที่ผมต้องเงี่ยหูฟัง
“อู๋อี้ฟ่าน ผมก็รักคุณ”
+++++++++++++++++++ The End ++++++++++++++++++++++
แฮปปรี้เบิร์ดเดย์คริสคนเก่งนะคะ .... คริสคนเก่งคนดี ต้องมีความสุขมากแน่ๆ สำหรับวันเกิดปีนี้ เป็๋นปีแรกที่เราได้อ้วยพรวันเกิดกันเน้อ มีความสุข และรุ่งเรืองมากๆ ขึ้นนะคะ
ฟิคนี้ปุ้มลงไว้สองที่นะคะ คือที่นี่กับที่ Short Story By KrisLay's Cottage เอาไว้เก็บกันหาย ชอบไม่ชอบอย่างไรติชมกันได้นะคะ คนแต่งก็อยากรู้ฟีดแบคนิดนึงเน้อ
ความคิดเห็น