ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Erasers II

    ลำดับตอนที่ #3 : ลาก่อนนะ มุมิ

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 48


        ระหว่างทางไปร้านนาทาสของมาสเตอร์ เพียงชั่วครู่เดียวการเดินทางก็เปลี่ยนจากสามคนเป็นสี่คน แต่ถึงอย่างนั้นสมาชิกคนที่สี่นั้นมีก็เหมือนไม่มี ไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆที่จะคงความเงียบสงบเอาไว้เพราะมุมิไม่เคยพูดจาจอกแจกจอแจหรือโวยวายหรือร้องไห้อย่างเด็กทั่วไปในสมัยนี้ชอบทำเมื่อไม่ได้อย่างใจ

        มุมิยังคงใส่ชุดเดิมเหมือนทุกๆครั้งที่ได้เจอ แม้อากาศจะร้อนมากเพียงใดก็ไม่อาจเปลี่ยนให้เธอเลิกใส่ชุดกระโปรงสุ่มไก่ที่หนาหลายชั้น หรือกอดตุ๊กตาหมีสีขาวราวกับว่าถ้าไม่ทำอย่างนั้นแล้วมันจะหายไป เด็กน้อยเดินตามต้อยๆโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่ก็ถึงที่หมายได้โดยสวัสดิภาพ

        กริ่ง กริ่ง

        เสียงกระดิ่งลมหน้าร้านแกว่งเบาๆเมื่อมีแขกเข้ามาเยือน ร้านเล็กๆที่จั่วหัวป้ายหน้าร้านว่า ‘นาทาส’ ไม่ได้มีแขกเข้ามานานมากแล้ว แต่เจ้าของร้านดูจะไม่ใส่ใจอะไรมากนัก

        “อ้าว...พวกนาย สวัสดี” มาสเตอร์ทักเมื่อได้เห็นแขกที่มา “ไง งานวันนี้ เจ้าวาโยทำบ้าอะไรอีกละ”

        อา...

        มุมิเดินผ่านคนอื่นอย่างรวดเร็วเพื่อไปที่นั่งตัวเก่าที่นั่งเป็นประจำ แขกอีกสามเดินตามเข้ามาหย่อนตัวนั่งลงหน้าโต๊ะกั้น “มาสเตอร์ ขออะไรอุ่นๆสักแก้วสิ”

        “น้ำร้อนดีไหม”

        “เป็นอะไรรึเปล่ามาสเตอร์” อันนาถามอย่างแปลกใจ “อารมณ์เสียจัง”

        “เป็นสิ เมื่อไหร่จะได้ฤกษ์ไปหากวินสักที ฉันเองก็เคยบอกให้พวกนายพักก่อนก็จริง แต่นี่มันนานแล้วนะ” มาสเตอร์ส่งสายตาดุดันหลังแว่นสายตา

        อันนาตอบทันที “ไปกันพรุ่งนี้ คิรินบอก”

        หลังจากนั้นมาสเตอร์ก็ค่อยๆอารมณ์ดีขึ้น อาหารเที่ยงฝีมือมาสเตอร์ยังอร่อยไม่เปลี่ยน แต่สายตาของวาโยยังเพียรมองไปที่เด็กหญิงริมหน้าต่างในสุดของร้าน ซึ่งเป็นที่ที่มุมินั่งขีดๆเขียนๆอะไรอยู่เป็นประจำ

        “วันนี้มุมิแปลกไปนะ”

        “ฮึ ฮึ เด็กนั่นแปลกทุกวันอยู่แล้ว” คิรินว่า “ฉันเองก็เคยคิดอยากจะให้เธอร่าเริงอย่างเด็กทั่วไป แต่ฉันนึกภาพนั้นแล้วมันพิลึกน่าดู”

        วาโยเดินเข้าไปหามุมิ เธอยังก้มหน้าก้มตาตลอดจน วาโยทัก “มุมิ เป็นอะไรไป วันนี้ไม่ร่าเริงเลย”

        มุมิไม่ตอบ เขาจึงเชิญตัวเองให้นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของมุมิ แต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไรเกี่ยวกับการถือวิสาสะนี้ และยิ่งดูไป...มุมิพูดน้อยลงกว่าครั้งแรกๆด้วยซ้ำ

        “เขียนอะไรอยู่เหรอ”

        “กลอน” มุมิตอบสั้นๆ พับกระดาษตรงหน้าแล้วยื่นให้วาโยโดยไม่พูดอะไร

        วาโยชินกับพฤติกรรมแปลกๆของเธอแล้วจึงไม่ได้แปลกใจ พอดีกับที่อันนาเดินมาสมทบกับเขาอีกทีหนึ่ง “ขอนั่งตรงนี้หน่อยสิ คิรินกับมาสเตอร์คุยธุระ ไม่อยากยุ่ง”

        มุมิเหลือบมองแล้วพยักหน้า

        “ธุระ สองคนนี้ธุระเยอะจริง”

        “อะไรน่ะวาโย กลอนอีกแล้วเหรอ นายนี่โชคดีจัง” อันนาเอ่ยแล้วยื่นชาอุ่นๆให้

        “ไม่รู้สิ อ่านนะ” วาโยว่า



                                                                                     ย่ำ ย่ำ ย่ำ สายัญ

                                                                                ดาว ดาว พลันหม่นหมอง

                                                                                เมฆ เมฆ เคลื่อนครรลอง

                                                                                สอง สอง พลัดพรากพลัน




        “เข้าใจไหม” อันนากระซิบถามเพราะกลัวมุมิได้ยิน

        วาโยไม่พูดอะไรแต่พับกระดาษนั้นเก็บไว้กับตัว อันนาไม่รู้สึกอะไรเมื่ออ่านมัน แม้จะพูดออกมาเป็นถ้อยคำไม่ได้แต่เขาก็ยังรู้สึกแปลก...เศร้า หรืออะไรกันนะ “นี่เป็นกลอนเหรอ”

        มุมิเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ ก่อนที่สีหน้าจะสลดลง แล้วส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ทายถูก นี่ไม่ใช่กลอน นี่เป็นข่าวสาร”

        “ข่าวสาร?” อันนาทวน

        “ยิ่งกว่าข่าวสาร”

        “อะไรเหรอ มุมิ”

        “ข่าวสารจากอนาคต” มุมิตอบ สายตาของเธอเลื่อนออกไปนอกหน้าต่าง และดูเหมือนว่าสติกับสมาธิของเธอจะลอยออกไปด้วย แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นเธอก็กลับมาเป็นตัวเอง หน้าตาเธอเหมือนคนจะร้องไห้ แล้วสิ่งที่เธอหยิบยื่นให้คือจดหมายฉบับหนึ่ง

        วาโยรับมาอย่างระมัดระวัง อันนาเองก็สนใจตามไปด้วย วันนี้มุมิพูดมากกว่าปกติแต่ยิ่งพูดก็ยิ่งงงเหมือนพูดกับตัวเองให้ตัวเองฟังเข้าใจคนเดียว ซองจดหมายสีขาวเรียบไร้สีสัน ด้านหนึ่งจ่าหน้าซอง - - ถึง...มุมิ

        “ของเธอนี่ แล้วให้ฉันทำไมละ”วาโยถามและค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ได้คำตอบ ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่เขาคิด อันนาที่นั่งอยู่ข้างๆพยักเพยิด เชียร์ให้เขาเปิดอ่าน เมื่อเห็นว่ามุมิไม่ได้กล่าวอันใด เขาจึงเปิดออกอ่าน



    ถึง...มุมิ

            สวัสดีมุมิ ไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ ลุงหวังว่าหนูคงจะสบายดีและทำหน้าที่ที่ได้รับมอบ

                    หมายได้ หลายเดือนมานี้หนูทำงานคนเดียวคงจะลำบากซึ่งเป็นความผิดของลุงเอง ในช่วงนี้อากาศ

                    ร้อนจึงอยากให้ระมัดระวังตัวด้วย แต่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วถ้าได้ฟังข่าวดีที่ลุงจะบอก

            อย่างที่หนูรู้ ตอนนี้ลุงได้งานใหม่แล้ว จะเรียกว่าโชคดีก็ได้เพราะงานใหม่นี้เป็นงานดีไม่

                    น้อย ลุงเป็นหัวหน้าคนหลายๆคนจึงไม่จำเป็นต้องลำบากหนูอีก ลุงจึงอยากให้หนูมาอยู่ที่นี่กับลุงที่

                    นี่จะสะดวกสบายราวกับบ้านของหนู และมีคนคนหนึ่งอยากพบหนูมาก ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีมากใน

                    ความคิดของลุง แต่อยู่ที่นี่หนูก็ต้องช่วยงานด้วยเหมือนกัน แต่ก็จะไม่ลำบากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

            หลังจากนี้ไปอีกสักเดือนสองเดือนจะมีงานใหญ่มากเข้ามา ซึ่งแน่นอนว่าคุณแม่ของหนูจะ

        ต้องทำงานนี้อย่างยากลำบาก ถ้ามีหนูมาอยู่ช่วยเขาอาจจะทำงานได้ดีขึ้น ลุงคิดว่าคุณแม่ต้องดีใจมาก

        แน่ๆ  เพราะฉะนั้นในสองสามอาทิตย์นี้ หลังจากที่จัดการเรื่องปลีกย่อยเรียบร้อยแล้ว ลุงอยากให้หนู

                    เดินทางมาที่นี่ทันที ยามเฝ้าประตูจะปล่อยให้หนูเข้ามาได้

            จัดการทุกอย่างให้เรียนร้อยก่อนมา ลุงขอให้หนูโชคดีในการเดินทาง ลุงเสียใจที่ออก

                    ไปรับหนูไม่ได้ เอาเป็นว่าลุงจะชดเชยโดยการขอให้หนูอยู่ต่อไปได้อีกสักพัก ถ้าลุงขอ...คุณแม่

                    ของหนูต้องอนุญาตแน่นอน

                                               จาก...ลุง

        

        จดหมายจบลงอย่างเรียนง่ายและน่าเศร้า ถ้ามุมิต้องไปอยู่กับลุงหมายความว่าเขาจะไม่ได้เจอมุมิอีกแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเด็กแปลกๆก็ตามที แต่ถ้าจะไม่ได้เจอกันอีกมันคงเศร้าน่าดู มุมิเองก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เธอต้องไปหลังจากรับจดหมายในสองสามอาทิตย์ ไม่รู้ว่าจดหมายนี้มาถึงมุมิเมื่อไหร่

        อันนาเองก็เงียบไป เธอไม่ได้ชอบเด็กคนนี้มากขนาดนั้น และยังไม่น่าไว้ใจในสายตาของเธอแต่ก็เข้าใจเพื่อนของเธอคนนี้ดี จึงได้แต่นั่งดู

        “มุมิจะไปเมื่อไหร่เหรอ”

        “พรุ่งนี้”

        วาโยใจหายเล็กน้อย “น่าเสียดายจัง เรากำลังจะสนิทกันแท้ๆเชียว”

        มุมิไม่ตอบ เธอหยิบตุ๊กตาหมีสีขาวขึ้นกอดแนบอกแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะทันที โดยที่ไม่หันกลับมามองวาโยเลยด้วยซ้ำและไม่สนใจจะเอาจดหมายคืน ชั่วครู่เดียวกระดิ่งลมก็สั่นน้อยๆและมุมิก็ออกจากร้านไป



        มาสเตอร์จุดบุหรี่สูบอยู่หลังโต๊ะกั้น คิรินที่นั่งอยู่อีกฝากรู้สึกรำคาญใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักท้วงอะไรออกไปเพราะช่วงนี้มาสเตอร์ดูจะหาเรื่องโวยวายเอามากๆ

        “จะเอาไง”

        “หลายเดือนมานี้พวกแกนกลางไม่เคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษ อาจจะเพราะครั้งล่าสุดที่เราเข้าไปสร้างความเสียหายไว้มาก จะเข้าไปรอบที่สองก็คงไม่ง่ายแล้ว” คิรินว่า “สถานการณ์ตอนนี้เรายังเป็นรองในหลายๆเรื่องถ้าจะต่อกรกันซึ่งๆหน้าคงจะไม่ไหว”

        มาสเตอร์พ่นควันออกมา “ฉันไม่ได้ถามเรื่องนั้น ที่ฉันจะถามคือเรื่องที่นายต้องไปเล่าให้เจ้าวาโยฟัง เจ้านั่นไม่รู้อะไรเลยสักนิด ทั้งๆที่เป็นเรื่องของตัวเองแท้ๆ”

        คิรินเงียบไปเล็กน้อย ก่อนพูดขึ้น “ไปเขตเหนือคราวนี้คงจะรู้เอง”

        มาสเตอร์ครุ่นคิดในใจ ชะตาชีวิตที่เจ้าตัวยังไม่รู้...ความจริงแล้วเขาเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าคิรินเลยแม้แต่น้อย อริสเองก็ปิดปากเงียบมาตลอดทั้งๆที่เธอกับซิสเตอร์รู้จักดีเป็นการส่วนตัว พอคิดถึงอริส...

        “นายจำผู้ชายอันตรายที่ชื่อเนโซกิได้ไหม”

        คิรินนึกไปถึงครั้งแรกที่เจอกัน ไม่ลืมง่ายๆหรอก “ทำไว้ซะแสบ จำได้สิ ทำไมเหรอ”

        “หมอนั่นไม่ใช่คนของแกนกลางจริงๆ” มาสเตอร์เล่า “เนโซกิเพิ่งจะเข้าไปอยู่ในแดนดาราได้แค่เก้าปี แต่เพราะฝีมือราวกับปีศาจของเขาทำให้ก้าวขึ้นไปอยู่ชั้นแนวหน้าของแกนกลางได้ไม่ยากเย็น หมอนั่นอันตรายมาก ถ้าไม่จำเป็นอย่าเข้าไปเล่นด้วยเลยดีกว่า”

        “แล้วนายรู้ได้ไง”

        “ชื่อเนโซกิเป็นฉายา” กลุ่มควันน้อยๆลอยออกมาจากปากของมาสเตอร์ “คนที่ใช้ฉายานี้และทำงานเป็นผู้ลอบสังหารก่อนเนโซกิคนนี้ก็คืออริส...”

        อริสเหรอ...คิรินแปลกใจกับข่าวใหม่นี้ นักลอบสังหารที่มีชื่อเสียงขนาดที่มีฉายามีไม่มากนัก ถ้าชื่อเนโซกิเป็นเพียงฉายาก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะอยู่ในชะตาที่เลวร้ายที่สุดก็เป็นได้ อริสเป็นนักฆ่ามาก่อนเขาเองก็ไม่ยักรู้ อาจจะเพราะว่านานมากแล้ว

        แม้นักฆ่ากับอีเรเซอร์จะคล้ายกันแต่ นักฆ่าจะยึดกฎและทำงานตามคำว่าจ้างเท่านั้น นอกจากนั้นก็ยังอยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาล และจะทำแค่งาน ‘ฆ่า’ เท่านั้น

        “แต่ก็ไม่แปลกหรอก แรงกดดันขนาดนั้น” คิรินนึกถึงตอนที่เจออริสครั้งแรก ไม่ผิดกับตอนที่เจอเนโซกิเลยแม้แต่น้อย

        “อริสเองก็รู้จักเนโซกิคนปัจจุบันดี เพราะอย่างน้อยก็ใช้ชื่อสืบต่อกันมาก็เลยแนะว่าอย่ายุ่งกับเขาจะดีกว่า”

        “จะรับฟัง” ขนาดอริสยังเตือน ท่าจะแย่...

        มาสเตอร์ขยี้บุหรี่ทิ้ง “ไปเขตเหนือพรุ่งนี้ฉันขอตามไปด้วยคนสิ”

        “ไปทำไม”

        “จะว่าไปซิสเตอร์ก็รู้จักกับอริส ส่วนฉันก็เป็นเพื่อนของ... เฮ้ เฮ้ เฮ้ อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนี้สิ คิดว่าฉันไม่แอบดูสาวๆที่โบสถ์ ไม่จริงๆๆ นายอย่าใส่ความกันสิ”

        “ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย”

        มาสเตอร์ยิ้ม “แล้วตกลงให้ฉันไปไหมละ”

        คิรินพยักหน้า มาสเตอร์จึงโล่งใจ “ความจริงฉันก็ไม่ได้ชอบฟังนิทานของซิสเตอร์นะ แต่ว่าอริสเขาขอมาว่ากลับมาเล่าให้เธอฟังด้วย บนเขานั่นบ่อยๆที่มีหมอกพิษออกมา พรุ่งนี้หมอกคงจะลงอีก กลับมาอีกทีก็คงจะหายพอดี”

        “ไว้ฉันกลับมาเล่าก็ได้”

        มาสเตอร์เงียบ...ถ้านายกลับมาได้จะให้เป็นคนเล่าเลย

        “คิริน!”

        เสียงวาโยร้องดังมาจากมุมหนึ่งของร้าน ทั้งเขาและอันนาเดินอย่างรีบร้อน ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คิรินก็ดูออกได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าใดนัก

        “คิริน!”

        “อยู่ตรงหน้านี่แหละไม่ต้องตะโกนหรอก”

        “ดูนี่สิ ดูนี่สิ” วาโยส่งกระดาษจดหมายให้คิรินที่ยังงงอยู่ไม่น้อย อันนานั่งลงข้างๆคิรินขณะที่วาโยไม่มีอารมณ์สบายใจมากขนาดนั้น คิรินกวาดสายตาแวบเดียวก็อ่านจบ

        “มุมิไปวันไหน”

        “พรุ่งนี้” ในใจคิด...อ่านจบแล้วเหรอ

        คิรินไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรนักเหมือนอันนา “ก็ดีแล้วที่เธอไปอยู่กับครอบครัวของเธอ พ่อแม่พี่น้องที่อยู่ด้วยกันมากนานเข้าใจอะไรได้ดีกว่าเราที่เจอกันเป็นครั้งคราว”

        “เหรอ” วาโยเงียบลงแล้วนั่งมั่ง

        คิรินมองหน้าคู่หูแล้วก็ถอนใจ “อย่าห่วงไปเลยนา นายทำได้ดีที่สุดแล้ว ดีเกินคาดด้วยซ้ำ”

        วาโยยิ้มร่าอย่างมีความสุขขึ้นมาทันทีจนทุกคนแปลกใจ “แล้วเมื่อกี้นายคุยอะไรกับมาสเตอร์เหรอ ทั้งสองคนมีธุระเยอะจัง”

        คู่หูของเขาส่ายหน้ากับความสามารถในการเปลี่ยนอารมณ์ได้ในเสี้ยววินาที “มาสเตอร์จะไปกับเราด้วย”

        “มาสเตอร์ไปทำไมละคะ” อันนาถามแบบเดียวกับคิริน

        “เอาเป็นว่าฉันก็ได้รับเชิญ อย่างไม่เป็นทางการก็แล้วกัน” มาสเตอร์ว่า “แล้วนี่ช่วงบ่าย พวกนายจะไปทำอะไรกัน”

        “ไม่มีอะไรให้ทำหรอก ฉันกะจะไปเดินดูอะไรนิดๆหน่อยๆในเมือง ระยะนี้ฉันทำแต่ภารกิจก็หวังจะฝึกฝีมือ เลยอยากพักสมองบ้าง” คิรินว่า วาโยมองเขาอย่างประหลาดจนต้องถาม “มีอะไร”

        วาโยยิ้ม “เปล่า นานๆทีนายจะบอกว่าอยากเที่ยว ฉันเองก็กังวลอยู่เหมือนกันเพราะหมู่นี้นายทำหน้าเครียดตลอดเลย ก็ดีเหมือนกันนะ อัน...ไปข้างนอกด้วยกันไหม วันก่อนฉันยังพาเธอเที่ยวไม่ทั่วเลย”

        “ฉันไม่สบาย พวกนายไปเถอะ”

        “เมื่อกี้ยังดีๆอยู่”

        คิรินมองหน้าอันนาที่ไม่ให้ความรู้สึกว่าป่วยสักนิด แล้วก็ดันคู่หูเขาออกนอกร้าน “เขาบอกว่าไม่สบายก็คือไม่สบาย จะลากเขาไปด้วยเหรอ”

        “แต่...”

        “ไปกัน วันนี้ฉันเลี้ยง”

        คิรินคว้าตัววาโยจนออกนอกร้าน เสียงร้องด้วยความดีใจของวาโยดังจากข้างนอกเข้ามาข้างใน เมื่อทั้งคู่เดินออกไปไกลพอดูแล้ว อันนาก็ตั้งใจจะกลับขึ้นห้อง

        “จะเอายาไหม”มาสเตอร์ถาม

        “ไม่คะ ขอบคุณ”



        ย่านการค้าของที่นี่คึกคักเสมอเหมือนกับที่เมืองอื่นๆเป็นกัน ร้านอาหารกลางแจ้งยังเปิดให้บริการอยู่แม้จะเลยเที่ยงมานานแล้ว ผู้คนเดินควักไขว่โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาเป็นประจำ แม้แต่คนไม่ชอบเที่ยวอย่างคิรินก็ยังไม่เคยเบื่อกับเมืองนี้

        “คิรินๆ ตรงนี้มีแผงขายของที่ระลึกเปิดใหม่ด้วยละ”

        “เหรอ แต่เราอยู่ที่เมืองนี้อยู่แล้ว ยังต้องซื้อด้วยเหรอ” คิรินว่า แต่ก็ยังหยิบพวงกุญแจรูปหัวกะโหลกที่ทำให้ดูน่ารักขึ้นมาดู “ก็สวยดีนะ”

        “เท่าไหร่เหรอครับ”วาโยชี้ไปที่พวงกุญแจที่คิรินถืออยู่

        คนขายท่าทางประจบประแจงเอาใจลูกค้า “แหม ตาแหลม อันนั้นนะครับกระดูกนั่นทำกับมือทุกชิ้นเลยนะครับ ตัวละสามเหรียญเองครับ”

        “แพง” คิรินว่า

        “อะไรกับคิริน สงสารชาวบ้านอุตส่าห์นั่งทำ” วาโยพูด คิรินหยิบพวงกุญแจแบบเดียวกันขึ้นมาดู กระดูกทุกชิ้นเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนเลยสักที่ คนแกะคงจะทำไม่ได้อย่างนี้ หรือไม่ก็สมาธิสูงมาก

        คิรินวางตุ๊กตานั่นลงที่เดิม “ไม่เอา ฉันกลับละ”

        วาโยเดินตามคิรินไป “ทำไมละ สวยดีออก”

        “ก็ว่าจะซื้อ ถ้าหมอนั่นไม่โกหกหลอกกันโต้งๆแบบนี้ ฉันว่าที่นี่ยังไงก็เหมือนกันหมดอยู่ดีนั่นแหละ สินค้าของตัวเองก็ยอซะหรูเชียว”

        “เฮ่อ ก็คนเขาค้าขายนี่”

        คิรินหยุดกึกแล้วหันกลับไปข้างหลัง ซึ่งยังคงเต็มไปด้วยคนพลุกพล่านเช่นเดิม แต่ความรู้สึกและสัญชาติญาณของเขาไม่น่าจะผิดพลาด มีความเป็นไปได้สูงพอที่จะเชื่อว่าพวกเขาถูกสะกดรอย อาศัยการที่ปะปนกับฝูงชนทำให้จับได้ยาก แต่ฝีมือยังไม่ดีพอ

        “อืม ฉันคิดไปเองรึเปล่านะ”

        “ไม่หรอก มีคนตามเรามาจริงๆ” คิรินยืนยัน

        ทั้งคู่เดินไปเดินมา วนไปวนมาหลายรอบจนเป็นฝ่ายเหนื่อยเสียเอง คนตามก็ไม่มีทีท่าจะลดละความพยายามเลยสักนิด จนทั้งคู่ตัดสินใจเดินออกจากย่านการค้าเข้าไปในที่ที่ไม่มีคน เจ้าตัวลึกลับก็ยังไม่ยอมไปไหน คิรินจึงตัดสินใจหันกลับไปเรียก

        “ออกมาได้ไหม ฉันชักเหนื่อยแล้วสิ”

        ไม่มีเสียงใดๆตอบออกมา แต่มีใครคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากมุมหนึ่งของถนน ผมที่เคยเป็นสีทองยาวเป็นลอน ตอนนี้กลายเป็นผมสั้น ชุดกระโปรงบานๆหายไป กลายเป็นเสื้อคลุมสีดำเหมือนแม่มด แต่ตุ๊กตาหมียังคงอยู่ในอ้อมแขน มุมินั่นเอง...และดูเหมือนว่าเขาคิดไปเองว่าเธอเตี้ยลงนิดหน่อย

        “มุมิ”

        มุมิไม่พูดอะไรและเดินเข้ามาหา เธอแกะริ้บบิ้นที่คอของเจ้าหมีน้อยแล้วผูกที่ข้อมือของวาโยที่ไม่ได้ว่าอะไรเลย แล้วเธอก็ถอยออกมา “มาลา”

        “ไหนว่าไปพรุ่งนี้”

        “จะไปแล้ว”

        วาโยก้มดูริ้มบิ้นสีชมพูที่ผูกเป็นโบว์น้อยๆน่ารัก มุมิไม่ได้ยิ้มหรือร้องไห้ อันที่จริงใบหน้าของเธอตอนนี้ยากที่จะระบุได้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ ยิ่งเห็นเธอใส่ผ้าคลุมพอง ยิ่งเหมือนตุ๊กตาล้มลุก

        “เครื่องราง เอาไว้ป้องกันตัวเองนะ”

        ทั้งคู่ตกใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด คนที่ได้ยินอาจจะไม่รู้สึกอะไรและดูเป็นการสนทนาแบบปกติ แต่สำหรับคนที่เคยเห็นและรู้จักมุมิทุกคนจะต้องแปลกใจที่เธอพูดได้คล่องมากขนาดนี้ เธอไม่พูดเหมือนหุ่นเป็นครั้งแรกและหวังว่าคงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย คิรินเองก็ยังอึ้งไม่หายขณะที่วาโยยังคุยกับมุมิ

        “ฉันจะเก็บเอาไว้อย่างดีเลย”

        “ขอโทษนะ หนูไม่ได้ตั้งใจ”

        “...”

        “ไปแล้วนะ” มุมิก้มหัวเล็กน้อยก่อนหันหลังกลับและเดินไปอย่างเรียนร้อยและไม่รีบ ทิ้งให้คนทั้งสองยืนงงอยู่กับคำทิ้งท้ายของเธอ

        “มุมิ!” วาโยร้อง

        มุมิไม่หันแต่ก็หยุดเดิน วาโยคิดว่าเธอน่าจะฟังอยู่จึงร้องบอก “โชคดีละ แล้วกลับมาอีกละ”

        สิ้นคำพูดมุมิก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็วและหายเข้าไปในฝูงชน



    ป่าแห่งหนึ่ง

        คำว่าป่ามักจะมากับคำว่าสงบและเงียบเชียบ ทั้งๆที่จริงแล้วป่าเป็นที่รวมของสรรพสิ่งของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเงียบสงบได้ สัตว์ต่างๆที่ป่านี้ยังดำรงชีพได้อย่างสุขสงบโดยไร้การก่อกวนจากมนุษย์ของโลกภายนอก ทำให้ต้นไม้บางต้นมีอายุหลายร้อยปี

        นกตัวหนึ่งเกาะลงบนกิ่งไทร “ได้ยินว่าเร็วๆนี้ที่นี่จะได้รับแขก”

        “เห็นเขาว่าจะมากันหลายคน”

        “ไม่ว่าจะเป็นใครเราก็ต้องทำตามหน้าที่”

        เสียงสวบซาบดังมาจากเบื้องล่าง สตรีนางหนึ่งเดินเยื้องย่างออกมาจากต้นไม้ใกล้ๆ “ช่วยเงียบสักครู่จะได้ไหมนกน้อย เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเจ้า”

        เหล่านกน้อยบนกิ่งไทรบินแตกตื่น

        “ไม่เห็นต้องดุขนาดนั้นเลย ยังไงภูตพรายอย่างคุณก็สูงกว่าพวกเขาอยู่แล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้น นางพรายหันไปยังต้นเสียง ผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนต้นไม้ “งานนี้คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ยังไงก็ฝากเรื่องในป่านี้ให้ด้วยละ”

        “ในป่านี้ไม่เกี่ยวกับคุณ กอลกอน” นางพรายว่า

        “ไม่เปลี่ยนเลยนะ”

        เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนกลับเข้าไปในต้นไม้อย่างเก่า “ฉันไม่เคยเปลี่ยน มีแต่คุณนั่นแหละที่เปลี่ยน เรื่องที่ขอฉันจะช่วย แต่บอกไว้ก่อน นายของคุณไม่ใช่นายของฉัน”



    [ Next Chapter ]
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×